|
ยาที่ใช้ชื่อ triamtinolone ครับ ถ้าไปร้านขายยาก็บอกเค้าว่า 0.1% ta cream ครับ คุณสมบัติของมันคือเป็น steroid พอทาไปนาน ๆ ก็จะทำให้ผิวหนังส่วนนั้นบางลงครับ ช่วยทำให้อะไรที่มันตีบๆ แน่น ๆ ก็พอหลวมออกได้ครับ
วิธีใช้ให้ได้ผลคือทาเช้า-เย็นครับ ทาแล้วผู้ปกครองก็ต้องพยายามค่อย ๆ ช่วยรูดด้วย ไม่ต้องแรงมาก พอแค่รู้สึกตึงครับ ทาติดต่อกันซัก 2 อาทิตย์ก็น่าจะรูดเปิดได้ครับ
ข้อดีของยานี้ก็คือเอามาเป็นทางเลือกของผู้ปกครองที่ไม่อยากให้ลูกขลิบครับ ก็หมั่นทาหมั่นรูด ส่วนใหญ่ประมาณ 80 เปอร์เซนต์จะเปิดได้ แล้วจากนั้นค่อยสอนให้ลูกทำความสะอาดเองทุกวันครับ
ข้อเสียของการใช้ยานี้นาน ๆ คือสเตียรอยด์หน้าที่ส่วนนึงคือกดภูมิคุ้มกันครับ หากใช้นาน ๆ อาจจะทำให้เกิดเชื้อราขึ้นมาได้แทนครับ ฉะนั้นระหว่างใช้ก็ต้องพยายามรักษาความสะอาดให้ดีด้วยครับอย่าให้อับชื้น และอีกอย่างก็คือถึงหนังจะเปิดได้ แต่ถ้าต่อไปคุณแม่ไม่ติดตามดูแล หรือคุณลูกไม่ค่อยสนใจตัวเอง ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้อีกครับเพราะว่าหนังมันก็ยังเหลือยาวไปคลุมเท่าเดิม คือเราไม่ได้กำจัดปัญหาออกไปครับ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นนะครับ สังเกตุดูครับว่าบริเวณปลายอวัยวะเพศทำความสะอาดดีหรือไม่ เพราะตรงส่วนนี้ถ้าดูแลได้ไม่ดีก็จะเกิดการหมักหมมของเชื้อโรคต ่าง ๆ ทั้งคราบฉี่ คราบเหงื่อครับ ทำให้เกิดการติดเชื้อย้อนขึ้นไปด้านบนได้ครับ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ได้ให้ลูกขลิบจะเจอปัญหานี้ได้เยอะมา ก ๆ ครับ และส่วนใหญ่ถ้าเป็นแล้วก็จะเป็นซ้ำได้บ่อย ๆ ครับ ไม่เหมือนในเด็กที่ขลิบแล้วจะดูแลสุขอนามัยได้ง่ายกว่าเยอะครับ
ต้องพยายามทำความสะอาดให้ดีเป็นกิจวัตรครับ เพราะอวัยวะส่วนนี้มักถูกละเลย ส่วนใหญ่คิดว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ทั้งที่เรื่องความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันเชื้อโรคครับ
การทำความสะอาดก็คือเอาน้ำสะอาดธรรมดานี่แหละครับ ล้างบริเวณจู๋ให้ดี แล้วค่อย ๆ รูดหนังลงครับ ทำวันละนิดๆ ช้า ๆ ไม่ต้องรีบ ทำบ่อย ๆ มันก็จะค่อย ๆ รูดลงจนหมดได้เองครับ พอรูดลงได้แล้วก็ใช้น้ำล้างและซับให้แห้งครับ และก็สอนให้เค้ารู้จักดูแลแบบนี้เองให้เป็นนิสัยครับผม
การหมักหมมของขี้เปียกและการที่ไม่ทำความสะอาดให้ดี อาจทำให้เป็นแหล่งที่อยู่ของเชื้อโรคมากมาย และที่สำคัญคือ HPV ไวรัสครับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิงและมะเ ร็งองคชาติในเพศชาย
ฉะนั้นจึงพบว่าผู้ชายที่ขลิบปลายอวัยวะเพศแล้วจะมีอัตราการเกิด โรคนี้ต่ำมาก ๆ เนื่องจากดูแลสุขอนามัยได้ดีขึ้นและข้อดีนี้ก็ยังเผื่อแผ่ไปถึง สุขภาพของผู้หญิงด้วย
ดังนั้นถ้าไม่ได้ขลิบก็ต้องดูแลความสะอาดให้ดี สม่ำเสมออย่าละเลย อย่าถือว่าปล่อยไปตามธรรมชาติ พวกคิดอย่างนี้กุดมาเยอะครับ
หลายคนยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าขลิบแล้วเป็นยังไง ผมเลยรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการหาข้อมูลนะครับ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่บ้างแหละ
ลองเข้าไปชมดูนะครับ ที่
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thaicirc20&group=7
ส่วนใครมีข้อแนะนำไงก็ฝากไว้ได้นะครับ
เรื่องจำเป็นหรือไม่นี่อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนครับ คนที่ไม่เคยมีปัญหา ก็จะมองว่าไม่จำเป็น หรือไม่สำคัญ ส่วนคนที่เคยประสบกับปัญหา หรือมีคนใกล้ตัวมีปัญหา ก็คิดว่าทำน่าจะดีกว่าครับ
การขลิบก็คือหัตถการการแพทย์อย่างนึง ซึ่งประโยชน์ของมัน ก็คือเพื่อการดูแลทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น ทำให้ดูแลสุขอนามัยได้ดีขึ้น อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กัน คือผู้ชายทุกคนจะมีหนังหุ้มบริเวณปลายของอวัยวะเพศ ซึ่งบางคนที่โชคดีหน่อย หนังไม่ยาวมาก ดังนั้นเวลาโตขึ้นหนังก็จะร่นไปด้านล่างได้ แต่ก็มีผู้ชายอีกจำนวนมากเช่นกัน ที่หนังหุ้มปลายยังยาวอยู่ ทำให้มันคลุมบริเวณหัวของตัวอวัยวะ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เกิดปัญหาได้ เพราะเวลาเราเข้าห้องน้ำแต่ละครั้ง หลังทำธุระเสร็จก็จะมีคราบหรือหยดของฉี่มาค้างไว้ และยิ่งประกอบกับเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ทั้งเหงื่อ ทั้งขี้ไคลมาหมัก ๆ คลุกเคล้า ๆรวมกันจนเข้าที่ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เกิดคราบและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ครั บ ซึ่งคนที่ขลิบจะช่วยเรื่องนี้ได้เยอะครับ
เจ็บหรือไม่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ เด็กๆหลายคนก็แค่ฉีดยาชาก็ไหวครับ ไกลหัวใจ สังเกตุดูครับว่าบริเวณปลายอวัยวะเพศทำความสะอาดดี หรือไม่ เพราะตรงส่วนนี้ถ้าดูแลได้ไม่ดีก็จะเกิดการหมักหมมของเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งคราบฉี่ คราบเหงื่อครับ ทำให้เกิดการติดเชื้อย้อนขึ้นไปด้านบนได้ครับ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ได้ให้ลูกขลิบจะเจอปัญหานี้ได้เยอะมาก ๆ ครับ และส่วนใหญ่ถ้าเป็นแล้วก็จะเป็นซ้ำได้บ่อย ๆ ครับ ไม่เหมือนในเด็กที่ขลิบแล้วจะดูแลสุขอนามัยได้ง่ายกว่าเยอะครับ
เมืองไทยเมืองร้อน ใส่เสื้อแขนยาวทำอะไรก็ลำบาก จะล้างมือ จะหยิบของก็ไม่สะดวก จะถกแขนเสื้อไปข้อศอก ซักพักแขนเสื้อก็ตกลงมาอีก และพอแขนเสื้อเปียกน้ำ มันก็ชื้น เหนอะหนะครับ ดังนั้นหาเสื้อแขนสั้นมาใส่ดีกว่า จะทำอะไรก็ง่ายขึ้นครับ
ปล.อาจมีภาพไม่เหมาะสมกับเยาวชนบ้าง แต่เจตนาเพื่อการศึกษานะครับ เรื่องเพศศึกษาหรือสุขอนามัยของอวัยวะส่วนสำคัญเมืองไทยเราไม่ค ่อยมีคนพูดหรือสอน ปล่อยให้ไปหาความรู้กันเองแบบผิด ๆ แอบถามกันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ คนตอบก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง ตอนสอนครูก็สอนไปอายไป พยายามข้าม ๆ ให้จบ ๆ ผมเลยอยากจะทำเวบเกี่ยวกับเรื่องการดูแลอวัยวะส่วนสำคัญของผู้ชายครับ ไปดูแล้วช่วยกันเผยแพร่หน่อยนะครับ เพราะทุกวันนี้ผมอยู่รพ. มีคนไข้มากมายที่มาปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในพันทิพเองก็มีคำถามแบบนี้มาทุกวัน ทั้งที่จริง ๆ เป็นเรื่องที่ควรจะมีการสอนและปลูกฝังให้กับเยาวชนของพวกเราครับ
ปล.2 หนังหุ้มปลายมันก็มีประโยชน์ครับ คือในระหว่างครรภ์มารดา อุณหภูมิในท้องแม่จะสูงมาก หนังหุ้มจึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันให้ส่วนหัวขององคชาติไม่โดนความร้อนมากครับ และเมื่อคลอดออกมาคนเมื่อหมื่นปีก่อนไม่ได้สวมเสื้อผ้า ดังนั้นหนังส่วนนี้จึงทำหน้าที่เหมือนห่อหุ้มบริเวณหัวไว้เหมือนกันน๊อคอะครับ
แต่ในปัจจุบันมนุษย์ก็มีวิทยาการต่าง ๆ มีการใส่เสื้อผ้า ใส่กางเกง ใส่กางเกงในอยู่แล้ว ดังนั้นประโยชน์เรื่องหนังกันน๊อคจึงค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ แถมคนเรายิ่งใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ยิ่งทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เกิดเหงื่อไคลมากขึ้น ฉะนั้นการมีหนังหุ้มอีกเลยทำให้เกิดการหมักหมมได้ง่ายครับ ซึ่งตรงนี้แหละมนุษย์ก็เลยเริ่มมีการหาวิธีที่จะทำยังไงให้เกิดการระบายถ่ายเทความร้อนออกไป ทำยังไงให้ดูแลความสะอาดง่ายขึ้น จึงเกิดการขริบครับ
เอาง่าย ๆ คนสมัยก่อนไม่ใส่เสื้อผ้า มีหนังคลุม 1 ชั้น ลมโกรกไปมา ฉี่เสร็จวิ่งโต้ลมสามก้าวก็จบ
คนสมัยนี้ มีหนังหุ้ม มีกางเกงใน มีกางเกงนอก รวมสามชั้น เข้าห้องน้ำแล้วเก็บ ทำงานงกๆ คิดว่าการระบายถ่ายเท จะดีเหมือนโบราณไหมครับ
ปล.3 หลายงานวิจัยทางการแพทย์พบข้อดีและประโยชน์ของการขลิบมากมายในการป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ในเด็ก และการขลิบในเด็กพบว่าสะดวกและง่ายในการดูแลแผลมากกว่าการมาทำในตอนโต เนื่องจากกิจกรรมต่าง ๆ ของเด็กเอง เด็กทารกอาจจะไม่สามารถที่จะเลือกว่าจะขลิบหรือไม่ แต่ก็เช่นเดียวกับการการสร้างภูมิคุ้มกันต่าง ๆ เช่นฉีดวัคซีน ,การเลือกนับถือศาสนา,การเลือกโรงเรียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จึงเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะทำการตัดสินใจแทนลูก ๆ ของเรา โดยอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเรากำลังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยชั่งน้ำหนักทั้งข้อดีและข้อเสียมาประกอบกัน เพื่อที่ลูกของเราเมื่อเติบโตขึ้นมาจะได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด
จากคุณ |
:
สาลิกาโบยบิน
|
เขียนเมื่อ |
:
11 เม.ย. 55 14:24:32
|
|
|
|
|