ความคิดเห็นที่ 1 คิดมาก ยังอีกนาน ทำ ณ วันนี้ให้ดีที่สุดค่ะ จากคุณ : nong nang เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 11:24:21

ความคิดเห็นที่ 2 ลองอธิบายให้น้องฟังจริง ๆ ว่าเป็นหมอต้องเรียนอะไรบ้าง ต้องทำอะไรบ้าง รับผิดชอบอะไรบ้าง พาไปสัมผัส อธิบายให้ฟังตอนไปหาหมอก็ได้ ถ้าชอบจริงก็ดีค่ะ แต่ถ้าชอบเพราะว่าค่านิยม หรือคนรอบตัวต้องการอย่างนั้นก็คงไม่เหมาะ จากคุณ : Pidchayut เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 11:33:10

ความคิดเห็นที่ 3 ยังอีกนานครับ ให้เขาตั้งใจเรียน เน้นคณิตศาสตร์ไว้ก่อน จากนั้น เข้า ม.ต้น - ม.ปลาย เลือก สาย วิทย์-คณิต แต่อย่างที่บอก อีกนาน ความคิดเด็ก ป.2 กับตอน ม.3 ช่างต่างกันนัก ถึงตอนนั้น น้องอาจจะชอบอีกอย่างก็ได้ จากคุณ : QDora เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 11:34:38

ความคิดเห็นที่ 4 จากประสบการณ์ของลูกรุ่นพี่นะคะ ลูกเค้าเรียนติวสารพัดเลยคะ บวกกับตัวเด็กเองมีความตั่งใจสูงอยู่แล้ว พื้นฐานคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ดีมาก พอไปเรียนเสริมก็จะได้เทคนิคต่างๆ เพิ่มเติมอีก ลูกเค้าเรียนเร็ว รุ่นเดียวกับหลานสาวเรา หลานเราอยู่ม 6 กำลัง รอสอบแอดมิดชัน แต่ลูกรุ่นพี่เราเข้าเรียนทันต ปี1 ไปแล่วคะตอนนี้ อย่างแรกเลยพ่อแม่และสภาพแวดล้อมต้องอำนวยให้เด็กด้วยคะ รุ่นพี่กับภรรยาเค้าเป็นอาจารย์ทั้งคู่และเป็นพวกซีเรียส ตัวลูกเค้าก็เป็นเด็กจริงจัง ไม่ทำกิจกรรมอะไรเลยแต่จะเรียนวิชาการอย่างเดียว ทำแล้วเด็กเค้ามีความสุขด้วยนะคะ ตรงกันข้ามกับหลานเราเป็นเลิศกิจกรรมทุกชนิดระดับประเทศ 555 คุณพ่อคุณแม่ลองพิจารณาดูคะว่าครอบครัวเราเป็นแบบไหน โดยทำแล้วเด็กต้องมีความสุขนะคะ เห็นด้วยว่าต้องเตรียมแต่เด็กจริงๆ ไม่อย่างนั้นคือเด็กเก่งด้วยตัวเองคะ  เด็ก 2 คนนี้อยู่ รร เดียวกันตอน ประถมคะ พอ มปลายหลาน้ราไปเรยนต่อที่หอวัง ส่วนลูกรุ่นพี่ต้องขอโทษด้วย้ราจำไม่ได้ว่าไปเรียนสวนกุหลาบหรือเปล่าพวกนี้คะ แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 55 11:44:42 จากคุณ : หมวยเล็กกับหมวยใหญ่ เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 11:39:01

ความคิดเห็นที่ 5 โชคดีลูกเราบอกอยากเป็นคนทำอาหาร   (ทั้งๆ ที่สอบได้ที่ 1 สองเทอมติด แถมเธอยังเรียนนานาชาติอีกต่างหาก) จากคุณ : ink (siam) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 11:42:16

ความคิดเห็นที่ 6 คิดว่าหลายๆ คนก็อยากให้ลูกเป็นค่ะ แต่การที่เราเริ่มปูทางตั้งแต่ยังเล็ก (เกินไป) จะไปกดดันเด็กหรือเปล่าคะ แค่ ป.2 เอง ตอนเรา ป.6 อยากเป็น นายกรัฐมนตรีค่ะ ออกไปพูดหน้าชั้นเรียนถึงเรื่องไข่ไก่ราคาแพง ผ่านมา 20 กว่าปียังจำได้ พอโตขึ้นอยากเล่นการเมือง ปัจจุบัน ไม่เคยแยแสเลย ไม่อ่านข่าวการเมือง ไม่แม้แต่ชำเลือง ส่วนลูก อยากให้เป็นหมอมากเหมือนกัน แต่ว่ารอลูกพร้อม แล้วหาตัวเองให้เจอ ว่าเขาชอบจริง ๆ หรือแค่คิดว่าชอบ เรื่องการเรียนกลัวว่ากดดันมากไป วันนึงที่มันไม่เป็นอย่างนั้นลูกจะรับกับสถานการณ์อย่างนั้นได้ไหม กลัวความรู้สึกของลูกจะรับไม่ได้ เพราะอยากเป็นแต่สอบไม่ติด เลยคิดว่าคงจะแค่เสนอแนวทาง แต่ลูกต้องยอมรับสมองของลูกเองว่าไหวแค่ไหน ไม่ได้ห้ามให้หยุดฝัน เพียงแต่เราต้องตื่นมาพร้อมกับความจริง ( แม่เคยผ่านมาแล้ว รู้รสชาด ของการเอ็นซ์ ไม่ติดว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน) อย่างความเห็นบนค่ะ วิทย์-คณิตย์ เท่านั้น ถ้าเรียนแล้วไม่ชอบค่อยมาว่ากัน จากคุณ : อย่าให้บอก เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 11:44:17 A:125.26.137.218 X: TicketID:341720

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ต้องทำอะไรค่ะ เพราะถ้าคุณทำจะเป็นสิ่งที่คุณยัดเยียดซึ่งมันอาจเป็นความฝันของพ่อ ของแม่ ของปู่ย่า ตา ยาย หรือฝันของใครก็ไม่รู้ที่เอามายัดเยียดให้กับเด็กว่าเป็นหมอถึงจะเก่ง ถึงจะดี ถึงจะเป็นที่รัก เพราะหากเป็นฝันของเค้าจริง ๆ คุณก็เพียงแค่สนับสนุน ไม่ต้องยัดเยียดหรือเตรียมตัวอะไรเลย เค้าจะบอกเองว่าเค้าชอบหรือมีความสุขกับการได้เรียนอะไร ชอบเรียนเลข ชอบเรียนวิทย์ คุณก็เป็นผู้สนับสนุน แต่ผู้ปกครองบางคนตั้งความฝันว่าอยากให้ลูกเป็นอะไรแล้วพยายามยัดเยียดให้ลูกเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น โดยลืมไปว่าบางทีเค้าถนัดวาดรูป เค้าถนัดร้องเพลง เค้าถนัดเต้น บางทีเค้าก็มีฝันของเค้า  ปล่อยเค้าไปตามความถนัด เราเป็นแค่ส่วนสนับสนุนก็พอ ป.2 เค้าโตพอที่จะบอกได้แล้วค่ะว่าเค้าชอบเรียนอะไร จากคุณ : คนบนฟ้าส่งมาให้รักกัน.. เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 11:49:22

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าจำไม่ผิดช่วงม.ต้น หรือ ม.ปลาย  จะมีพาไปสังเกตุการณ์ดูการทำงานในวิชาชีพแต่ละวิชา ก่อนที่น้องๆจะเลือกเรียน เลือกสอบค่ะ เคยเห็นเด็กข้างบ้านเคยไปดูงานโรงพยาบาล ไม่รู้ว่า กว่าจะถึงคราวลูกคุณ จะยังมีอีกหรือเปล่านะคะ แต่ความคิดของเด็กๆ จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆค่ะ อย่างลูกชายพี่คนโต ตอนเด็กๆอยากเป็นคนขับรถเก็บขยะ เพราะเห็นรถเก็บขยะมาที่บ้านทุกวันศุกร์แล้วตื่นเต้น พอผ่านไปซักระยะ บ้านมีก่อสร้าง ก็อยากเป็นคนงานก่อสร้าง คอยไปยืนคุมงานเขาทุกวัน พอโตขึ้นอีกนิด อ่านหนังสือเป็น พูดคุยภาษาอังกฤษได้ ชอบเรื่องรถมาก กลับเปลี่ยนมาสนใจเรื่องรถแข่ง อยากเป็น นักแข่งรถ และอยากออกแบบ ดีไซส์รถแข่ง แต่ที่แน่ๆ อยู่ในครอบครัว และสิ่งแวดล้อมเพื่อนๆพ่อเป็นหมอ ลูกกลับไม่ชอบ ไม่สนใจอยากเป็นเหมือนคุณพ่อเลยค่ะ จากคุณ : Phu-nera เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 11:53:08

ความคิดเห็นที่ 9 สอนให้ลูกรักการเรียน ปลูกฝังให้เขาคิดว่า "หมอ" คืออาชีพที่ดีที่สุดสำหรับเขา กระหน่ำติวเข้าไป ติวทุกวิชา เน้นวิชาที่ใช้ในการสอบเข้าแพทย์ นี่พูดจริงๆ นะคะ ข้างบ้านเรามีครอบครัวหนึ่ง เขาเป็นหมอกันทั้งครอบครัว (มั้ง) พอมีลูก มีหลาน เขาติวกันตั้งแต่อนุบาลเลย เน้นวิชาการ นี่จบหมอมาคนหนึ่งแล้ว เหลืออีก 2 คน กำลังเรียนมัธยมอยู่ จากคุณ : Green Lime เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 12:18:20

ความคิดเห็นที่ 10 ด้านวิชาการไม่ขอออกความเห็น เพราะ ท่านอื่นๆ คงแนะนำได้ค่ะ อย่าลืม ปลูกฝังด้านจิตใจ และ คุณธรรม ให้น้องเป็นแพทย์ด้วยใจเสียสละอย่างแท้จริง ให้น้องอยากเป็นเพราะอยากช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความสามารถที่น้องมี เป็นหมอที่มีความรักในวิชาชีพ รับผิดชอบตอบสังคมด้วยนะคะ จากคุณ : Neko Sensei เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 12:27:09

ความคิดเห็นที่ 11 รอเค้าตัดสินใจเองดีกว่าค่ะ ระหว่างนี้ก็ปูพื้นฐานสายวิทย์ให้แน่นๆไว้ก่อนค่ะ จากคุณ : MMTaro (MMTaro) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 12:31:14

ความคิดเห็นที่ 12 เราไม่เคยเร่งลูกเลยค่ะ เค้าชอบอะไรก็ชอบด้วย ส่วนตัวคิดว่าเร็วไปค่ะ เราจะให้ลูกกวดวิชาคงประมาณ ป.4 ค่ะ ไม่อยากให้ลูกกดดันค่ะ ขนาดเรียนแค่อย่างเดียวยังบ่นแทบแย่เลย จากคุณ : ดีดีจัง (ดีดีจัง) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 12:31:57

ความคิดเห็นที่ 13 น้องอยากเป็นหมอหรือป่าวคะ จากคุณ : nongmalee เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 12:40:57

ความคิดเห็นที่ 14 ทำวันนี้ให้ดี พอเค้าโตแล้วให้เค้าเลือกเองดีกว่าค่ะ จากคุณ : titleinlove เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 12:45:10

ความคิดเห็นที่ 15 อ่านคห.9 แล้วใจสั่นเลยค่ะ เครียดดดด เครียดแทนเด็ก สงสารจัง อย่าทำอย่างนั้นเลยนะคะ ขอร้อง จากใจจริงของหมอคนหนึ่ง ที่ตอนป.2 อยากเป็นคนถือกระทงวันลอยกระทง กับอยากถือพานไหว้ครู และวันนี้แม้เป็นหมอทั้งตัวเองและสามี ก็ไม่เคยคิดเลยว่าอาชีพนี้มันดีเด่นกว่าคนอื่นอย่างไร และไม่เคยคิดอยากให้ลูกเป็นอะไร เพราะนั่นคือสิ่งที่ "ลูกต้องตัดสินใจเอง ด้วยวุฒิภาวะที่พร้อม" ค่ะ ป.2 ยังเร็วเกินไปค่ะ ด้วยความเคารพ เข้าใจว่าคุณพ่อหวังดีต่อน้องนะคะ จากคุณ : Bubbaloo เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 12:45:50

ความคิดเห็นที่ 16 เด็กวัยนี้เวลาคุณครูถามก็ตอบอยู่ไม่กี่อย่างหรอก อยากเป็นคุณครู เป็นทหาร เป็นหมอ เป็นวิศวกร เดี๋ยวนี้อาจจะมีอยากเป็นดารานักร้องเพิ่มเข้าด้วย จขกท ลองเคยลองคุยกับน้องเค้าไหมว่าทำไมอยากเป็นหมอ น้องเค้าไปเห็นหรือไปได้แรงจูงใจมาจากไหน เป็นเรื่องดีที่เด็กจะมีฝัน และก็เป็นเรื่องดีที่พ่อแม่จะพยายามส่งเสริมฝันของลูกให้เป็นจริง แต่จะเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตของพ่อแม่ถ้าเอาฝันของตนเองไปยัดเยียดให้ลูกนะครับ อย่าลืมว่าคนเราเลือกสายอาชีพอะไร เราก็ต้องอยู่กับมันไปทั้งชีวิตนะครับ ผู้ใหญ่บางคนทำงานมาครึ่งชีวิตแล้วยังค้นหาตัวเองไม่เจอเลยว่าจริงๆ อยากทำอาชีพอะไรกันแน่ แต่ก็มีหลายคนที่ค้นหาตัวเองเจอ และก็ได้ทำงานตามฝันของตนเองอย่างมีความสุข พ่อแม่มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ลูกได้มีชีวิตการทำงานที่มีความสุขหรือต้องทนทำไปเพราะไม่รู้จะทำอะไร เข้าใจว่า จขกท คงอยากจะทำอะไรเพื่อสานฝันของลูกบ้าง ดีกว่าอยู่เฉยๆ ผมว่าน่าจะหาวิธีกระตุ้นความสนใจเด็ก ด้วยการเล่นหรือทำกิจกรรม จะช่วยให้เด็กเค้ารู้ว่าเค้าชอบอะไรไม่ชอบอะไรได้นะครับ อย่าจำกัดเฉพาะต้องเป็นหมอ จากคุณ : จีโอ ฟรีด เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 12:56:15

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ Bubbaloo บางครอบครัวเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ 2 ศรีพี่น้องที่กำลังเรียนมัธยม เราเห็นมาตั้งแต่เธออยู่อนุบาล เด็กเรียนอาทิตย์ละ 7 วันค่ะ คุณแม่เขาคอยดูแลรับ-ส่งลูกเรียน รร พิืเศษ ส่วนอีกครอบครัว คุณพ่อเป็นหมอฟัน คุณแม่เป็นเภสัช ไปอีกขั้วเลยค่ะ ส่งลูกเรียน รร วิถีพุทธ ไม่เน้นวิชาการใดๆ บอกสมัยเรียนเหนื่อยมาก จะไม่ให้ลูกเป็นแบบตัวเอง ตอนลูกยังเล็ก การชี้แนะ ชี้นำเป็นของพ่อ-แม่ค่ะ จะวางแนวทางชีวิตลูกยังไง คิดดีๆ นะคะ ลูกเรา 7 ขวบ เธอเปลี่ยนอาชีพในฝันมาเยอะมากค่ะ หนูอยากเป็นครูสอนศิลปะ เป็นหมอ นักมายากล แม่ค้าขายยางรัดผม ขายน้ำปั่น นักวิทยาศาสตร์ ผู้จัดการทำงานoffice นักดนตรี จำไม่หวาดไม่ไหวค่ะ ล่าสุดคือ หนูจะเป็น chef ทำอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก ทุกครั้ง แม่จะสนับสนุนความคิดลูกค่ะ อาชีพอะไรก็ดีทั้งนั้น ถ้าหนูรักจะทำ ทำให้ได้ดีแล้วกัน จากคุณ : Green Lime เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 12:58:49

ความคิดเห็นที่ 18 อ่านเจอหัวกระทู้ ตกใจค่ะ อะไรเตรียมกันตั้งแต่ป.2เลยหรอ เข้าใจค่ะคุณพ่อมีเจตนาที่ดี แต่มันจะเร็วไปรึป่าว ให้ลูกได้เรียนรู้ เล่น เหมาะสมกับวัยก่อนดีกว่า ซึ่งก็ถือว่าเปนการเตรียมความพร้อมเช่นกัน อีกอย่างลูกอาจจะไม่ได้อยากเป็นก็ได้ ลูกโตขึ้นความคิดเค้าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ ถึงตอนนั้นลูกจะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าตัวเองต้องการอะไร อยากเป็นอะไร ลูกสาวอยู่อ.1 ถามเค้าว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร หนูอยากเป็นหมอที่ขับเครื้องบิน ตอนนี้เพิ่มมาอีก อยากเป็นนักบินอวกาศ จะเข้านาซ่าให้ได้(อินเทรนด์ค่ะ555) ดิชั้นได้แต่อมยิ้ม ในความน่ารัก ไร้เดียงสาของเด็กๆ จากคุณ : ผัาพันคอสีกรม เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 13:13:56 A:1.1.205.216 X: TicketID:342537

ความคิดเห็นที่ 19 รอน้องเค้าอีกซักพักก่อนนะคะคุณพ่อ ^ ^ บางทีเด็กวัยนี้เค้าก็ยังอยากจะไปอะไรไปเรื่อยๆก่อน น้องเขยเราเป็นหมอ..ก็ไม่ต้องติวตั้งแต่เล็กนะคะ เค้าเรียนพิเศษก็ตอนม.ปลายโน่น จากคุณ : ตัวกลมกลิ้ง เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 14:23:02

ความคิดเห็นที่ 20 คิดถึงโฆษณา บัวหลวงคิดส์ อยากไปอยู่ นาซ่า จากคุณ : Subject เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 14:28:58

ความคิดเห็นที่ 21 สามีบอกว่า ความฝันของเรา อย่าเอาไปใส่ไว้กับลูก จากประสบการณ์ที่เค้าโดนพ่อแม่บังคับให้เรียนจิตวิทยาเด็ก จบมาแบบไม่อยากเรียน แต่ก็เรียนจบ สรุป มาเป็นพ่อค้า ค้าขายระหว่างประเทศซะงั้น วิชาที่ร่ำเรียนมา ไม่ได้ใช้ เพราะไม่ชอบ เคยไปลองเป็นครูสอนมา 5 ปี บอกเบื่อมาก ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ และไม่ใช่ความฝันของเค้า เค้าอยากเป็นนักธุรกิจมีบริษัทเป็นของตัวเอง ทุกวันนี้เค้ายังเสียใจว่าทำไมตอนพ่อเลือกที่เรียนให้ไม่โต้แย้งไปว่าไม่อยากเรียน ไม่งั้นป่านนี้เค้าคงได้เป็นนักธุรกิจเก่งกว่านี้อีกหลายเท่าตัวไปแล้ว สรุป.........พอมามีลูก ตัวเราเองก็ยังอยากให้ลูกเป็นหมอเลย ^^ แต่สามีบอกว่า ทำไมตัวเองอยากเป็นไม่ทำความฝันตัวเองให้สำเร็จ เอาความฝันตัวเองมาให้ลูกแบกไว้ทำไม แป่ว.........กลายเป็นว่าตอนนี้ถามลูกคนโตอายุ 14 หนูอยากเป็นไรลูก หนูอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเค้าตั้งใจทางด้านสายนี้มาก แม่ก็ปล่อย ถามคนเล็กอายุ 8 ขวบ หนูอยากเป็นอะไรลูก หนูอยากเป็นดารา แป่ว........อ่านะ ดาราก็ดารา แต่หนูขี้อายมาก จะเป็นดาราได้อย่างไง แต่ก็ปล่อย เพราะฉะนั้นรอให้น้องโตแล้วให้น้องเลือกเองว่าจะเป็นอะไรก็ไม่สายเกินไปหรอกค่ะ เพราะถ้าเค้าตั้งใจแล้วรับรองทำได้แน่นอน ป.2 กับความฝันของพ่อแม่ ไม่รู้สึกว่าน้องต้องแบกรับภาระอะไรมากเกินไปเหรอค๊ะ อีกอย่างพอน้องโตไปเจอเพื่อน เจอสังคมข้างนอก ความคิด ความอยากเป็น มันก็จะเปลี่ยนไปตามกระแสสังคมด้วยค่ะ คุณพ่อลองคิดใหม่ดูนะคะ จากคุณ : PHaTthiTA เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 14:43:49

ความคิดเห็นที่ 22 ดีนะ ป 2 อยากเป็นหมอ ยังรู้ว่าอัดวิชาการให้ลูกไปเยอะ ๆ ได้ ลูกดิฉัน 2 ขวบครึ่งอยากเป็นรีฮันน่า ยังไม่รู้เลยว่านอกจากให้เรียนเต้นร้องเพลง ดนตรี แล้วต้องเสียเงินค่าศัยกรรมให้สวยแบบรีฮันน่าเท่าไหร่ ขอแก้ว่า จริง ๆ ถึงไม่ได้เป็นรีฮันน่า แต่ถ้าคุณลูกอยากเป็นนักร้องแล้วให้ดังระดับรีฮันน่า นี้แค่มีความสามารถ สวย เต้นเก่งก็ยังไม่พอ มีนักร้องหลาย ๆ คนเสียงก็ดี หน้าตาก็ดีแต่ออกแผ่นแค่เพลงเดียวแล้วก็หายไป ลูกอยากเป็นดารานี้แล้วดังมันเป็นอยากกว่าหมอเยอะค่ะ  เด็กที่เรียนเก่งและฉลาดขยัน มีความพยายาม เป็นหมอได้ แต่เด็กที่เก่ง ฉลาด สวย พยายาม เป็นดาราได้ แต่อาจจะเล่นแค่เรี่องเดียวดับ จะดังได้ต้องอาศัยหลาย ๆ อย่างมากกว่านั้น แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 55 21:19:47 จากคุณ : มนชิจัง เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 15:00:12

ความคิดเห็นที่ 23 ฮา คห 22 ค่ะ :D คุณพ่ออย่าเพิ่งเครียดเลยค่ะ เด็กๆ ความอยากเป็นเปลี่ยนได้ตลอดแหละค่ะ เดี๋ยวอยากเป็นนั่น เดี๋ยวอยากเป็นนี่ แต่ถ้าเผื่อไว้ ตอนนี้ก็ต้องให้เค้ารักการเรียนก่อนเลยค่ะ รักการอ่าน รักการเรียน ทำให้เรียนได้ดี แล้วพอ ม ปลายก็เริ่มติวค่ะ ตอนนี้อย่าเพิ่งอัดมากเลยค่ะ เดี๋ยวเด็กเครียดแล้วจะไม่อยากเรียน ไม่อยากเป็นไปเลย จากคุณ : BigSom เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 15:34:22

ความคิดเห็นที่ 24 หลานชายเราตอนเด็กๆ อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ พ่อเค้าก็ส่งเข้าค่ายวิทย์ช่วงซัมเมอร์แต่เด็ก ปิดเทอมก็พาเที่ยวสวนสัตว์ มาอยู่บ้านนอกเรียนรู้ธรรมชาติ ส่วนในเทอมปกติวันหยุดก็พาไปเรียนพวกคณิตคิดเร็วและตีเทนนิสเพื่อผ่อนคลาย พอตอนหลานชายอยู่ม.ต้น ยายเค้าป่วยนอน icu เป็นเดือน เค้าเลยเปลี่ยนใจตั้งหน้าตั้งตาอยากเป็นหมอค่ะ เค้าก็ตั้งใจเรียน พอขึ้นม.ปลายทุกซัมเมอร์ต้องไปติว ปีก่อนเค้าแอดได้วิดยาเคมี จุฬาฯ เรียนได้เทอมนึงดรอปไว้แล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบแอดใหม่จะเอาแพทย์ให้ได้ แต่เค้าเลือกจุฬาเท่านั้น ตอนนี้เค้าเรียนวิศวะ จุฬาค่ะ แต่ไม่สอบใหม่แล้วค่ะ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่อไป จากคุณ : Phagus เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 16:08:46

ความคิดเห็นที่ 25 ป.2 ยังเด็กมากนะคะ เดี๋ยวความฝันน้องเค้าก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆอยู่แล้วค่ะ ไว้ถ้ามัธยมน้องเค้ายังมีใจรักทางนี้อยู่ค่อยเตรียมความพร้อมก็ยังทันนะคะ ตัวเราเองเด็กๆก็ฝันไปเรื่อยค่ะ มารู้จักตัวเองจริงๆว่าเป็นคนลักษณะไหน ชอบอะไรก็ตอนม.6 ถึงได้เลือกสายการแพทย์ เราว่าตอนนี้คุณพ่อคอยดูแลให้น้องได้เรียนรู้และมีพัฒนาการที่สมวัยเค้าก็น่าจะพอค่ะ จากคุณ : เขียนบน iPhone (bver_x) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 16:41:57

ความคิดเห็นที่ 26 พาน้องไปพิพิธภัณฑ์  ตามพวกศิริราช หรือหาเวลาสักวันไปดูตามรพ ดูห่างๆว่าเค้าทำอะไรบ้าง นอกเหนือจากที่เค้าเห็น ให้ลองคิดดูว่าจะแบ่งเวลากับชีวิตยังไง หรือ ถ้ามีค่ายตามชุมชนลองคุยกับพี่ๆพยาบาลที่เยี่ยมตามบ้าน ว่าขอติดไปดูด้วยได้ไหม  ติดต่อที่อนามัยแถวบ้านแหละค่ะ หมอไม่ใช่ง่ายๆ รับผิดชอบคนทั้งชัวิต งานหนัก เงินเดือนเยอะ แต่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อที่มากกว่าอาชีพแื่นหลายเท่าค่ะ จากคุณ : ฮิปโป-โป๊ เตมัส O.,o เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 16:47:19

ความคิดเห็นที่ 27 สร้างแรงบันดาลใจให้ลูกครับ จากคุณ : ริมน้ำคาน เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 17:03:26

ความคิดเห็นที่ 28 คาดหวังได้แต่อย่ากดดันลูกมากเลยค่ะ โดนส่วนตัวสามีเป็นหมอแต่ตัวเองไม่ได้เป็น สามีเล่าเรื่องสมัยเด็กๆให้ฟังแล้วสงสารค่ะโดนกดดัน บังคับ สารพัด เพราะตั้งแต่จำความได้พ่อแม่เค้าก็กรอกหูตลอดว่าโตมาต้องเป็นหมอเท่านั้น แต่พอมามีลูกเองใจลึกๆก็อยากให้ลูกเป็นหมอเหมือนพ่อเค้านะค่ะแต่อยู่ที่ลูกมากกว่าค่ะว่าอะไรที่เค้ามีความสุขมากกว่า ปล: สามีบอกว่าสมัยนี้หมอเรียนสบายกว่าสมัยก่อนเยอะ เห็นแล้วอิจฉามากเลย จากคุณ : O_Chani เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 17:28:27

ความคิดเห็นที่ 29 นึกทบทวนจากที่ตัวเองเลี้ยงลูกมา ตอนลูกเรียนอนุบาลถึงประถมหก เราไม่ได้ให้เรียนพิเศษ ยกเว้น 2 วิชา ที่เราเห็นว่าสำคัญมาก คือ เลข เราสอนเอง และสอนล่วงหน้ากว่าชั้นเรียนไปเยอะเลยล่ะ และอังกฤษ เรียนคอร์สสนุก ๆ กับครูต่างชาติ เพื่อให้ได้ทักษะการฟังและพูด ไม่เรียนแกรมม่าเลย พอเรียนชั้นมัธยมต้น เรียนพิเศษเฉพาะอังกฤษ แต่คราวนี้เรียนทุกทักษะเลย ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน วิชาอื่นไม่ได้เรียนพิเศษเลย แม้แต่เลขเราก็ไม่ได้สอนให้แล้ว พอเรียนชั้นมัธยมปลาย ตอนมัธยมสี่ ห้า ไม่ได้กวดวิชา แต่ตอนอยู่มัธยมหก ลูกไปเรียนพิเศษเยอะเลย เลข ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไทย สังคม อังกฤษ เรียนครบทุกวิชา แต่จะเรียนเฉพาะคอร์สตะลุยโจทย์เท่านั้น เข้าเรียนมัธยมปลาย แรก ๆ ลูกอยากเรียนวิศวะ เรียนไปเรียนมาเกิด อยากเป็นหมอ เลยไปสอบ กสพท ตอนนี้เรียนแพทย์อยู่ที่จุฬา ความเห็นส่วนตัว เราคิดว่าลูกเราสามารถสอบเข้าได้ ไม่ใช่เพราะลูกเราเรียนเก่งเริ่ด แต่เป็นเพราะลูกเรามีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของตนเอง ตลอดเวลาที่เราเลี้ยงลูกมา สิ่งที่เราให้ความสำคัญ คือ ลูกต้องมีความรับผิดชอบ รู้หน้าที่ ลูกเป็นนักเรียน ต้องรู้ว่าหน้าที่นักเรียนคืออะไร แล้วปฏิบัติให้ดี นอกจากเป็นนักเรียนแล้วลูกยังเป็นลูกของพ่อแม่ ต้องรู้จักแบ่งเบาภาระการงานของพ่อแม่ตามสมควร เรามอบหมายงานให้ตั้งแต่ลูกเรียนอนุบาล เป็นงานบ้านที่เหมาะสมกับวัย เรื่องเงินทองเราให้ลูกใช้แต่พอควร ไม่ให้จนเหลือเฟือ เราเชื่อว่าให้เงินเยอะไป ลูกจะเสียคน มีเงินไปเที่ยวเตร่เฮฮามากเกินไป ลูกจะติดสนุก จนลืมหน้าที่ จากคุณ : ivy เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 18:08:23 A:223.204.38.151 X: TicketID:301096

ความคิดเห็นที่ 30 ทำได้ค่ะ แต่ต้องไม่กดดัน ยัดเยียด ต้องดูกำลังรับได้ และความกระตือรือล้นของเด็กด้วยค่ะ ตัวอย่างเพื่อนเรียนมัธยมด้วย แต่งกับแพทย์ เธอเป็นแม่บ้านมาตลอด ไม่เคยต้องทำงาน ชีวิตเธอสุขสบายไม่รู้จักความยากจน และมีลูกสาวสามคนที่ทุกคนสอบติดศิริราช เป็นแพทย์สาวสองคน และคนสุดท้องเรียนฑันตแพทย์ ช่วงลูกๆเรียนมัธยมเธอไปรับส่งลูกสามคนไปเรียนพิเศษมาตลอด.. ความสำเร็จที่ลูกสามคนสอบติดศิริราชหมด และลูกๆเธอไม่ได้รู้สึกดดันอะไร อีกตัวอย่างเพื่อนอาวุโสแต่งกับแพทย์ในอเมริกา ตัวเพื่อนลาออกจากงานอยู่บ้านดูแลลูกๆ ส่งลูกๆเรียนเอกชนในอเมริกา ด้วยมีเงินเหลือเฟือสามารถส่งเรียนเอกชนมีชื่อเสียงได้ ลูกๆเรียนดีเด่นมาตลอด พาสชั้น และ ด้วยคงเกรดดีเด่นมาตลอด จนได้เข้าเรียนแพทย์ทั้งสองคน ที่จบออกมาเป็นแพทย์เต็มตัวได้หลายปีแล้ว... ลูกๆเขาไม่กดดัน แต่กลับภูมิใจตัวเองมากที่ยืนอยู่ Top แห่งความสำเร็จ... เขามีความเชื่อมั่นตัวเองสูง ทั้งหมดนี้... ต้องมาจากความพร้อม ความหัวดี กระตือรือล้นของเด็กด้วยค่ะ จากคุณ : JidNince เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 18:18:29

ความคิดเห็นที่ 31 เส้นทางเด็กเก่งนะครับ ป.๓ ได้เหรียญ สสวท ทอง เงิน ทองแดง สาขาวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์(ทั่วประเทศมี ๑๕๐ คน ถ้าจำไม่ผิด) ป.๖ ได้เหรียญเหมือน ป.๓ ม.๑ สอบเข้าโรงเรียนดังของรัฐบาล(สาธิตปทุมวัน สวนกุหลาบ สตรีวิทย์ สามเสน บดินทร์เดชาฯลฯ) สอบเข้าค่าย สสวท. วิทย์หรือคณิต เพื่อเรียนและทำโครงงาน และสอบเข้าค่ายเพื่อไปแข่งโอลิมปิก ม.๔ เตรียมอุดมหรือมหิดลวิทย์ รวมถึงกวดวิชาเท่าที่จำเป็น ก่อนจบ ม.๖ ไปทดสอบเข้าแพทย์ที่ขอนแก่น(โรงแรมจะเต็มช่วงนี้ เพราะเด็กไปทดลองสอบกันเยอะมาก) เวลาจะสอบเข้าแพทย์จะหยุดเรียนดูหนังสือประมาณ ๑เดือนโดยอาจารย์ไม่ว่าอะไร ถ้าเดินตามเส้นทางนี้ได้ แพทย์จุฬาฯ ศิริราช รามาฯไม่หนีไปไหนหรอกครับ ลูกผมก็อยู่ในกลุ่มเด็กประเภทนี้แหละครับ แต่เขาเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ จากคุณ : nscas เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 19:27:26

ความคิดเห็นที่ 32 น้องเพิ่ง ป.2 เอง  เราว่าต่อไปน้องอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะคะ เราว่าไม่ต้องทำอะไรอ่ะคะ  ให้เค้าตั้งใจเรียนก็พอแล้วค่ะ  สมัยนี้ส่งยั่วยุมันเยอะ  คุณแม่คอยๆดูตรงจุดนี้ดีกว่านะคะ เพื่อนเราคนนึง แม่เค้ากดดันว่าต้องหมอๆๆๆๆๆ เหมือนกัน  เพื่อนเราเรียนเก่งมา  เพราะเรียนพิเศษทุกเย็น  แล้วก็ทุกเสาร์อาทิตย์เลย ฟิสิก  เคมี นี่ท๊อป จังหวัดเลย สุดท้าย หน้ามือเป้ฯหลังมือค่ะ  ใจแตก เพราะมีแฟน  หนีตามแฟนไปอยู่กรุงเทพ ไปแล้ว  คนเป็นแม่ ตรอมใจเลยค่ะ เราแค่แสดงความเห็ฯส่วนตัวนะคะ  เราว่ามันยังอีกยาวนานนะคะ น้องอาจจะเปลี่ยนใจ ตอนเราเด็กๆ เราก็อยากเป็นหมอ  พอมัธยมหน่อยอยากเป็นดีเจอีกแล้ว  พอตอนนี้ก็ฝันอยากเป็นครู  พอเป็นครูได้ไม่เท่าไร  สุดท้ายมานั้งเลี้ยงลูกอยู่บ้านเฉยๆ จากคุณ : Fairybox เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 20:53:33

ความคิดเห็นที่ 33 เอ่อ ตกใจอย่างแรงจนเม้นท์ไม่ถูก จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 20:54:18

ความคิดเห็นที่ 34 ไม่ใช่แค่ต้องเก่งอย่างเดียวนะคะ คนที่เร์ยนเก่งมากๆ มากๆเยอะที่เป็นไม่ได้ ปัจจัยหลายอย่าง ทั้งความกล้า ไม่กลัวเลือดไม่กลัวที่จะต้องผ่าต้องเย็บ เพื่อนสมัยเรียนระดับหัวเป็นหมอได้ ม.5 มีเรียรผ่ากบ เป็นลมกันเป็นแถว อย่าเพิ่งรีบคิดว่าจะให้เป็นอะไร เพราะถ้าเค้าไม่อยากเป็นมันเป็นการกดดันและทำร้ายเค้าโดยไม่รู้ตัว ทำได้ดีที่สุดคือช่วยให้เค้าค้นหาตัวเอาว่าชอบและอยากจะเป็นอะไรมันคงจะดีกว่าเยอะ เพราะการที่อยากเป็นหมอในวันนี้  อีก5ปีน้องอาจจะเปลี่ยนใจได้ค่ะ โตมากขึ้นรู้มากขึ้น  รู้จักหลายอาชีพมากขึ้น เราเด็กจนโตอยากเป็น  หมอ  สัตวแพทย์  ดาราศาสตร์  ดีเจ  สารพัดความอยาก รอดูไปก่อนแล้วค่อยสนับสนุนดีกว่าค่ะ อาชีพไหนๆเป็นคนดี  ทำงานซื่อสัตย์  มันก็เป็นหน้าตาได้นะคะ ไม่ได้จะมาโลกสวย  เพราะหมอแย่ๆทำให้อับอายก็เยอะ แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 55 21:10:52 จากคุณ : ETHNOMUSIC เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 21:02:28

ความคิดเห็นที่ 35 เราให้ลูกเลือกเรียนในสิ่งที่เค้าชอบคะ เพราะตัวน้องเค้าจะได้มีความสุขในสิ่งที่ทำและเค้าจะทำได้ดี ถ้าเราบังคับลูกว่าต้องเป็นหมอนะเมื่อโตขึ้นพูดให้เค้าฟังทุกวันมันเหมือนกดดันเด็กว่าต้องเป็นหมอนะ แล้วถ้าเค้าไม่ชอบแหละก็ต้องฝืนเรียนเพราะพ่อแม่ต้องการต้องมานั่งกดดันตัวเอง เรากลัวว่าลูกจะบ้าซะก่อนเพราะเครียดเกินไปเวลาว่างเพื่อนวิ่งเล่นตัวเองต้องมาอ่านหนังสือเพื่อสานฝันของพ่อแม่ เคยมีกรณีว่าสอบติดหมอแต่เห็นเลือดแล้วเป็นลมสลบไปแล้วจะช่วยคนไข้ได้ไหมสรุปเค้าต้องสอบใหม่ในสาขาอื่นและเค้าก็ทำได้ดีมาก ๆ ด้วย ตอนนี้ลูกเรา 4 ขวบแล้วเราให้เค้าเสริมด้วยดนตรีหรือกีฬา น้องเลือกเรียนไวโอลินน้องบอกว่าครูที่สอนน้องเคยไปแสดงที่ต่างประเทศและได้ท่องเที่ยวเค้าอยากเป็นแบบนั้น เราดีใจที่ลูกสามารถเลือกสิ่งที่เค้าชอบโดยที่เราไม่ต้องบังคับเค้า แต่เราก็ให้ลูกเสริมวิชาการด้วยเผื่อวันข้างหน้าเค้าเปลี่ยนใจจะได้ไม่เสียเวลาคะ จากคุณ : นางมารร้าย (ลี้บกโช้ว) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 21:17:50

ความคิดเห็นที่ 36 เร็วไปไหมคะ ธรรมชาติของเด็กสดใส เขาคงยังอยากเล่น อยากเรียนรู้สิ่งต่างๆตามวัยของเขา อย่าเพิ่งยัดเยียดอะไรเลยดีกว่าไหมคะ ปล่อยให้เขาลองค้นหาตัวเองก่อน เหมือน คห.ต้นๆว่า พอโตขึ้นเขาอาจจะอยากเป็นอย่างอื่นก็ได้นะคะ ใจเย็นๆค่ะ เราคิดว่าซัก ม.ต้น ม.ปลาย เราค่อยปูทางในสิ่งที่เขาชอบคงจะดีกว่าไหมคะ เราเองถึงจะไม่ได้เป็นหมอ แต่เราก็อยู่ทางสายนี้เหมือนกัน เราไม่เคยเรียนพิเศษแพงๆตามเพื่อนๆที่เข้าไปเรียนใน กทม.เลยค่ะ แต่เราก็ได้คะแนนไม่เคยน้อยกว่าเพื่อนพวกนั้นเลย ไม่ได้บอกว่าเรียนพิเศษไม่ดีนะคะ แต่เราเชื่อว่าขึ้นอยู่กับเด็กด้วย ให้เขาได้เติบโตตามวัยไปก่อนเถอะคะ อย่าเพิ่งให้เขาเครียดเลยค่ะ ความเห็นส่วนตัวนะคะ ^^ จากคุณ : AmmAmmMekkrajai เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 23:37:01

ความคิดเห็นที่ 37 อยากให้คุณพ่อ จขกท.ลองถามตัวเองดูก่อนว่าเราตั้งเป้าอยากให้ลูกมีความสุขในแบบที่เค้าเลือกเองหรืิอในแบบที่เราอยากให้ เค้าเป็น ? ถึงคุณพ่อดันสำเร็จจนอีกหน่อยลูกได้เป็นหมอสมใจแต่ถ้าเค้ารู้สึกไม่มีความสุข คุณพ่อจะคิดว่าดีมั๊ยคะ ? ก้อเหมือนกับคนที่รวยแต่ไม่มีความสุขน่ะค่ะ จะมีประโยชน์อะไร และทำไปเพื่อ...? เราได้ยินเคสพ่อ-แม่กดดันลูกจนกินยา-โดดตึกมาเยอะแยะ แต่เอาแบบเบาะๆใกล้ๆตัวเราที่มีผลทั้งชีวิตดีกว่า ! เพื่อนสนิทเราจบรัฐศาสตร์มาแบบโหวงมากกกกกก บอกว่าเรียนเอาปริญญาให้พ่อ-แม่แล้วทีนี้จะขอทำเพื่อตัวเองบ้าง ก้อเบนเข็มไปเรียนด้านแฟชั่นจนเป็นดีไซเนอร์ นั่นคือโชคดีที่ยังหาตัวเองเจอ ส่วนรุ่นน้องเราคนนึงเรียนหมอจนเป็นหมอฝึกหัดอยู่ คนนึงเป็นแอร์ฯพอเวลามากินข้าวคุยอัพเดตชีวิตกัน น้องหมอมักบอกอิจฉาชีวิตเพื่อนแอร์ฯที่ได้บินไปประเทศสวยๆทั่วโลก จนเรากับน้องแอร์ฯกลับต้องเป็นฝ่ายพูดให้เค้ามั่นใจในทางของตัวเองว่าหมอนี่สิไม่ใช่ใครๆก้อจะเรียน-เป็นกันได้นะ ในเมื่อทำได้แต่ทำไมถึงไม่อยากทำ & ดูไม่มีความสุขที่จะเป็น ?! อันนี้คือตัวอย่างธรรมดาที่เห็นได้ทั่วๆไปเลยว่าลูกเราได้เป็นในแบบที่พ่อ-แม่ต้องการแล้วความสุขของลูกคืออะไร-อยู่ตรงไหน ? พ่อ-แม่คำนึงถึงกันด้วยมั๊ย ? จากคุณ : แม่เล็ก - ลูกนาโน เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 00:09:39 A:58.9.60.126 X: TicketID:319975

ความคิดเห็นที่ 38 ลืมๆยกตัวอย่่างเคสใกล้ตัวกว่านั้นอีก พี่สาวเราเองค่ะ จบเกียรตินิยมบัญชี จุฬาฯ เคยทำงาน บ.หลักทรัพย์ Trade Volume อันดับ 1 ของ บ. จนถูกส่งไปประจำ ตปท.พักใหญ่ ญาติๆก้อภูมิใจกันใหญ่ และชอบด้วยเพราะจะได้ขอกู้ได้สะดวก ฯลฯ แต่สุดท้ายเค้าก้อขอลาออกกลับมาเมืองไทยด้วยเหตุผลอมตะนิรันดร์กาล "คับที่ิอยู่ได้ คับใจอยู่ยาก" ทุกวันนี้ทำมูลนิธิไปเลย เค้าบอกเรากับแม่ว่าเค้าเครียดหาเงินมาพอแล้ว ตอนนี้เค้าจะขอทำในสิ่งที่เค้าต้องการบ้าง แม่เราก้อไม่ว่าอะไร ญาติๆซะอีกกลับมาบ่นแม่เราว่าบ้ารึป่าว? ยอมให้ลูกทำยังงี้ได้งัย ? แต่แม่เราก้อไม่สนใจ เอาความสุขของลูกเป็นหลัก ใครจะว่ายังไงก้อช่าง น้าเราก้อเหมือนกันค่ะ เคยเป็นหมอเด็กออทิสติค - ครูใหญ่เปิด รร.สอนเด็กออทิสติค แต่ไม่มีึความสุขกับชีวิตเลย ทุกวันนี้ก้อบวชเหมือนกัน ที่เล่ามาทั้งหมดแค่อยากถามว่า "ไขว่คว้าไปเพื่ออะไร ถ้าใจไม่เป็นสุข" คะ ??? ตัวเราเองทุกวันนี้แค่เลี้ยงลูกให้เต็มที่ แค่เห็นเค้าเติบโตอย่่างมีความสุขและสร้างเค้าให้เป็นคนดีของสังคม เราก้อรู้สึกว่าเราได้ทำหน้าที่เราสมบูรณ์แล้วนะคะ จากคุณ : แม่เล็ก - ลูกนาโน เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 00:24:31 A:58.9.60.126 X: TicketID:319975

ความคิดเห็นที่ 39 ลูกชายเราบอกว่าอยากเป็นเกษตรกรค่ะ. ตอนอยู่ประมาณป.๑ได้ จินตนาการเสียล้ำเลิศ วาดฝันซะสวยอยากเป็นเกษตรกรแบบสมัยใหม่. นู่นนี่นั่น จัดไปค่ะ พาไปลุยสวนเงาะค่ะ. แบบที่จ่ายค่าเข้า50บาท เดินเก็บกินได้เอง ผลคือ ร้องไห้จ้า เพราะหญ้าที่สวนมันบาดขา. เจ็บด้วยคันด้วย แถมตามต้นเงาะต้นมังคุดมีมดเต็มไปหมด555 เค้ากลัวมากๆค่ะ เลิกล้มความฝันไปเลย บอกไม่เอาแล้วเบนเข็มทันที จะไปเป็นนักวิทยาศาสตร์แทน ให้เค้าค้นหาตัวเองต่อไปค่ะ ตอนนี้ยังเด็กเกินกว่าจะตัดสินอะไรได้ เด็กน้อยยังมองโลกด้านเดียว ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอเลย จากคุณ : มารร้ายทิชชู่ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 02:40:10

ความคิดเห็นที่ 40 Your kid's life is his/her own life. It is not yours ka. จากคุณ : It is a life เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 04:15:25

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าลูกชอบเองก็น่าสนับสนุนค่ะ เเต่อย่าบังคับนะคะ สงสารเด็ก เพื่อนเราสมัยมัธยมบอกว่าไม่เคยได้ดูทีวีตอนเย็นเลยเพราะว่่าพ่อบังคับให้อ่านหนัีงสือย่างเดียว ฟังเเเล้วอึ้ง จากคุณ : bijna เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:24:32

ความคิดเห็นที่ 42 ลูกพี่สองคนที่บ้าน พ่อเป็นหมอ แต่ลูกไม่เห็นมีใครอยากเป็นหมอซักคน เด็กๆก็มีความฝันเปลี่ยนไปเรื่อยๆค่ะ เป็นคนเก็บขยะ เป็นคนงานก่อสร้าง เป็นนักขับรถแข่ง  ลูกสาวคนเล็ก ยังร้องรำทำเพลง ตอนนี้อยากมีปีกบินได้ ร้องไห้อยากมีปีกทุกวัน ตอนนี้น้องยังเล็กอยู่ยังเอาความคิด ความฝันอยากเป็นมาเป็นตัวกำหนดไม่ได้หรอกค่ะ ที่บ้านไม่ได้ให้ลูกเรียนพิเศษเลยค่ะ ให้ลูกเลือกเรียนตามสบาย เรียนในสิ่งที่เขาอยากเรียน พ่อแม่ก็คอยแนะนำและช่วยหาข้อมูลในสิ่งที่ดีๆให้ เคยมีผู้ใหญ่ที่สัมภาษณ์ของสาธิตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งถามว่า มีวิธีการเลี้ยงลูกอย่างไร ครอบครัวเราตอบว่า ให้ลูกเลือกในสิ่งที่ลูกชอบก่อนค่ะ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่พ่อแม่รับได้ จากคุณ : Phu-nera เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 10:15:54

ความคิดเห็นที่ 43 อย่าให้กลายเป็นเด็กขี้กลัว อย่าให้กลัวเข็ม กลัวเลือด กลัวผี กลัว 3 อย่างนี้เรียนหมอลำบากแย่เลย จากคุณ : แม่น้องอัณณา เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 15:33:35 A:203.107.217.33 X: TicketID:258399

ความคิดเห็นที่ 44 ลูกชายผม 5 ขวบอยากเป็นกัปตันเจอรี่ เต็มที่เลยลูกพ่อ จากคุณ : สับปะรดริมทาง เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 21:01:36

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่ต้องทำอะไรมากค่ะ ปลูกฝังให้รักการอ่านหนังสือ หนังสืออะไรก็ได้ ไม่ต้องวิชาการหรอก จะการ์ตูน นิยาย ได้ทั้งนั้น อ่านแล้วก็หัดให้สรุปใจความให้ฟัง หัดจับประเด็น ให้ทำกิจกรรมนอกห้องเรียน เพิ่มอีคิวเยอะๆ โดยเฉพาะเรื่องการเห็นอกเห็นใจคนอื่น คุณธรรมประจำใจ พาไปวัดเลี้ยงปลา ใส่บาตร ปลูกต้นไม้ สอนเรื่องวินัย วิชาการก็เรียนไปปกติ โตขึ้นน้องอาจเปลี่ยนความคิดก็ได้ จากคุณ : แม่ฮะ..โตขึ้นผมจะเป็นไดโนเสาร์ (รังสีอำมหิต) เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 23:00:21

ความคิดเห็นที่ 46 เด็กขนาดนี้ต้องปลูกฝังให้รักการอ่าน การ์ตูน อะไรก็ได้ที่เด็กชอบ เรียนดนตรี ศิลปะทำให้เด็กมีสมาธิ เรียนสนทนาภาษาอังกฤษสนุก ไม่เครียด ไม่ต้องติววิชาการเข้มๆถ้าไม่ได้ไปสอบแข่งขันวิชาการ ป.5ปลายๆเริ่มเรียนพิเศษวิชาการซักอาทิตย์ละ 2-3ชม เน้นเลขกับภาษาอังกฤษ คุณพ่อ คุณแม่อยู่เป็นเพื่อนลูกอย่าให้ลูกเบื่อ สอบม.1หาโรงเรียนที่เหมาะกับลูก ปลูกฝังให้ลูกอยากเป็นหมอ สอนลูกว่าหมอที่ดีเป็นเช่นไร สร้างแรงบันดาลใจ หาที่เรียนพิเศษที่ไหนก็ได้ที่เด็กเรียนแล้วสนุกเรียนแล้วเข้าใจเริ่มซักม.2 เน้นเลข อังกฤษ อย่าทิ้งลูกไว้ที่โรงเรียนพิเศษทั้งวัน อยู่เป็นเพื่อนลูกถ้าลูกต้องการ เรียนดนตรี ภาษาไปเรื่อยๆ ผลสอบไม่ได้ที่หวังอย่าตำหนิลูก คอยให้กำลังใจ ขำๆไป สอบขึ้นม.4 ถ้าติดเตรียมหรือมหิดลสอบแพทย์ได้ก็แค่เอื้อม ม.ปลายเด็กคงเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าอยากเป็นอะไร ถ้าอยากเป็นหมอก็ต้องเน้นเรียนวิชาการแล้วก็เลือกเรียนที่เด็กเรียนแล้วเข้าใจ คอยให้กำลังใจลูก ที่สำคัญที่สุดต้องอ่านหนังสือ เด็กเตรียมที่ติดหมอกัน 500กว่าคน เพราะอ่านหนังสือกันหนักทั้งนั้น ประเภทเทพติดตัวมาตั้งแต่เกิดคงไม่มี การ์ตูนให้ดูทุกวันเกมส์อยากได้ซื้อให้แต่ให้เล่นตอนปิดเทอม ลูกชายที่เป็นเด็กเรียนธรรมดา ไม่ได้มีแววจะเก่ง ทำตามข้างบนไม่ได้เก่งขั้นเทพแต่ผลการเรียนถือว่าดี ไม่มีวิชาอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษแต่ทุกวิชาถือว่าดีใกล้เคียงกันทุกวิชา สุดท้ายก็ติดหมอครับ คุณพ่อลองเลือกทำดูนะครับถ้าคิดว่าสิ่งไหนเหมาะกับลูก จากคุณ : freetext (freetext) เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 10:11:18

ความคิดเห็นที่ 47 ลองดูไปก่อนมั้ยคะ ว่าเขาชอบอะไร ช่วงนี้ วิชาแนะแนว / คุณครู จะชอบถามความใฝ่ฝันของเด็กๆ ว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร แล้วให้เขียน ในประวัติ ส่วนตัว ..เป็นจุดมุ่งหมายในอาชีพ ที่โตขึ้นเขาอยากจะเป็น ตอนเราเป็นเด็กๆ เราก็จำได้ว่า เราอยากเป็น นางฟ้า, พยาบาล, คุณครู, แอร์โอสเตส,...., สถาปนิก, วิศวกรหญิง,... สรุปสุดท้าย ทำงานออฟฟิส... เด็กเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แหละคะ ลูกเราก็ป.2 .... ตอนเด็กกว่านี้ ชอบ โทมัส อยากเป็น ผู้ควบคุมอ้วน (วิศวกรรถไฟ , เขาว่างั้น) ไปงานสัปดาห์วิทย์ /ท้องฟ้าจำลอง...อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ ...สนุกดี ได้ทดลองนู่นนี่ ชอบเรียนปั้นดิน...อยากเป็นคนปั้นถ้วยแก้ว / เครื่องปั้นดินเผา ดูเบิร์ดแลนด์บ่อยๆ ชอบเรียนดนตรี...อยากเป็นพี่เบิร์ด อยากเป็นนักร้อง ซุปตาร์... อยากเป็นไรก็แล้วแต่เถอะคะลูก ขอให้เป็นคนดีของสังคม โตขึ้นทำงาน หาเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวได้ ไม่งอมืองอเท้าขอเงินพ่อแม่ ไม่คดโกงคนอื่น ก็พอ.... จากคุณ : น้องเพน (NongPenquin) เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 11:24:15

ความคิดเห็นที่ 48 ลูกเราตอน อ.2 อยากเป็นคนขับรถผสมปูน คงรู้สึกเท่ดี ได้ขับรถคันใหญ่ พอ ป.2 อยากเป็นนักสืบแบบโคนัน 55 ...ทุกวันนี้เราไม่ให้ลูกเรียนพิเศษเลยค่ะ เราอยากให้เค้าสนุกเต็มที่ในวัยเด็ก อนาคตที่ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่อย่าให้อนาคตมาบีบจนปัจจุบันไม่มีความสุขเลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 55 12:08:22 จากคุณ : เต่าพันปี เขียนเมื่อ : 29 มิ.ย. 55 12:01:47

ความคิดเห็นที่ 49 ทำไมต้องอยากให้เป็นหมอ? อาชีพอื่นในโลกนี้มันเป็นยังไงหรือ? ทำไมเป็นหมอถึงเป็นบุญของวงศ์ตระกูล? ในทางกลับกัน แล้วหมอคนอื่นๆ ประเภทเงินไม่มาใบสั่งยาไม่ขยับหรือประเภทเงินมาแล้วค่อยลงมีด จะถือว่าเป็นบาปของวงศ์ตระกูลเค้าด้วยหรือเปล่า? เป็นหมอ = คนดี น่ายกย่อง? ใครกำหนด? ถ้าหมอเห็นแก่เงินหรือทำอะไรไม่ดีก็ยังเป็นคนดีเพราะเป็นหมอ? ถ้าหมอหาเงินได้เท่าพนักงานทั่วๆ ไป อยากรู้เหมือนกันว่ายังจะส่งเสริมหรือแย่งชิงกันเรียนหมออีกไหม? ระบบความคิดของคนไทยเดี๋ยวนี้มันเพี้ยนไปกันหมด ปลูกฝังอุดมการณ์แบบนี้ให้เด็ก ทั้งๆ ที่ตัวผู้ใหญ่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ลึกๆ อยากให้ลูกหลานเป็นหมอเพราะอะไร นักเรียนแพทย์เข้าใหม่ มากกว่า 80% บอกว่าอยากเป็นหมอเพราะได้ช่วยเหลือคน แต่พอเรียนเฉพาะทางแล้วเห็นวิ่งรอกเอกชน ไม่ก็เปิดคลินิกกันเองเป็นงานหลักซะส่วนใหญ่ 1) เงินดี มั่นคง ไม่อดตาย 2) มีหน้ามีตาในสังคม บอกไปได้ทั่วว่าลูกหลานฉันเป็นหมอ 3) คุยข่มกันในสมาคมวงศาคณาญาติได้ 4) ครอบครัวจะได้ฝากผีฝากไข้ได้ ความเป็นจริงเดี๋ยวนี้ไปโรงพยาบาลรัฐไม่มีเงินก็ไม่ต่างอะไรจากคนอนาถา ไปในเวลาตรวจกับแพทย์ฝึกหัด ถ้าคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการถึงจะเจออาจารย์หรือหมอมีประสบการณ์ ไม่เสียค่าธรรมเนียมแพทย์ 300 500 1000 ถึง หลักหมื่นไม่มีทางได้เห็นก้นคนระดับอาจารย์ นอกจากคุณแปลกมากซะจนน่าเอามาศึกษาวิจัย หรือ ใกล้จะตาย หรือ มีเส้นมีสายวงใน ลองพาลูกหลานไปโรงพยาบาลตอนเช้ามืfดูคนจากต่างจังหวัดมานอนกับระเกะระกะรอหน้าห้องบัตร กับลองพาไปตอนเย็นดูคลินิกนอกเวลาซิครับ จะเห็นได้ว่า หมอจะมีอุดมการณ์ตอนยังเรียนอยู่และจะละลายหายไปตอนชำนาญแล้ว คำตอบนี้คงมีคนเข้ามาด่ากันไม่น้อย แต่อยากให้ดูโลกของความจริงกันบ้าง อย่าเอาแต่เพ้อฝันอยากให้ลูกหลานเรียนหมอด้วยอุดมการณ์อยากให้ช่วยเหลือคนอื่นมากไปนัก จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 55 10:35:40 A:58.64.55.13 X: TicketID:344784