 |
วัยร้ายเลข 2 Terrible 2
ไอซ์จะกินหนม เอาหนมมานะ บอกว่าเอามาๆๆๆ เป็นใบ้เหรอ ฮือๆๆๆ ไอซ์จะเอาแม่นก พี่แจ๋วไปเอาแม่นกมา!! ไม่ๆๆ ! อย่ามายุ่งกับไอซ์นะ เดี๋ยวไอซ์เอามีดหั่นเนื้อเลย
น่าสงสารแจ๋วนะคะ แต่ถ้าเพียงพี่แจ๋วของน้องไอซ์จะเข้าใจว่า น้องไอซ์ที่เคยน่ารักแสนดีกำลังย่างเข้าสู่วัยที่ผู้เชี่ยวชาญเขาเรียกกันว่า Terrible 2 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวัยทารกที่กำลังเข้าสู่วัยเตาะแตะ ซึ่งในวัยนี้เด็กทุกคนจะมีการเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้พ่อแม่หรือคนใกล้ชิดที่ทำหน้าที่ดูแลหนักใจกันถ้วนหน้า แต่ว่าทำไมหนูๆ ถึงต้องทำตัวอารมณ์บูด พูดได้แต่ ไม่ๆๆๆ หรืออาละวาดงอแงโดยไม่เลือกเวลาแบบนี้ล่ะ ?
หนูดื้อ หนูร้าย หนูมีเหตุผลนะ
ความจริงแล้วอาการเอาแต่ใจโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแบบนี้ เริ่มมาตั้งแต่หนูๆ อายุได้ขวบครึ่งหรือขวบปลายๆ แล้ว แต่จะมาปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นด้วยสาเหตุหลักๆ หลายประการดังต่อไปนี้
นี่แหละหนู ในวัยนี้หนูๆ เริ่มมีอิสระเพราะพัฒนาการทางร่างกายก้าวหน้า มีศักยภาพที่จะไปไหนหรือทำอะไรได้มากขึ้น เริ่มมีการก่อร่างของความรู้สึก ความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการจะทำโน่นทำนี่ ไปโน่นมานี่ ทุกสิ่งรอบตัวจะดูแปลกใหม่และน่าสนใจ น่าสนุกไปเสียหมดสำหรับหนู แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องการการประคับประคองดูแลจากพ่อแม่อยู่ มีทั้งความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ที่มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของหนูๆ ด้วย ในบางครั้งการปฏิเสธของหนูก็เป็นการบอกถึงจุดยืนของตัวหนูได้ เช่น พี่แจ๋วบอกให้น้องไอซ์ไปกินข้าวแต่น้องไอซ์ยังสนุกกับการเล่นอยู่ ก็เลยบอกว่าไม่ๆๆๆ เป็นการประกาศจุดยืน
ไม่ชินกับการปฏิเสธ หรือรอไม่เป็น หนูๆ ในวัยนี้ เพิ่งผ่านพ้นวัยทารกที่เวลาต้องการอะไรหนูร้องไห้หน่อยก็ได้ทันใจแล้ว หิวก็ได้หม่ำ ง่วงก็ได้นอน พอโตขึ้นมาอีกนิด โลกกว้างขึ้น ความต้องการด้านอื่นก็มากขึ้นตาม หนูๆ เคยชินต่อการได้รับตอบสนองที่ทันใจจึงไม่เคยคุ้นกับการปฏิเสธ ทำให้เขาแสดงออกมาเพราะในวัยทารก หิวร้องไห้ก็ได้กิน นอกจากนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกไม่พอใจได้อย่างไร ซึ่งต้องเป็นเรื่องของประสบการณ์ครับ
หนูค้นพบ หนูเรียนรู้ หนูอยากลอง เช่น ในบางครั้งที่เด็กๆ มีกิริยาที่เรานึกไม่ถึง หรือพูดคำหยาบคายที่เราไม่คิดว่าเด็กตัวเล็กๆ จะพูดได้ วัยนี้กำลังเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้จดจำและนำไปใช้ หนูได้ค้นพบคำศัพท์ใหม่ๆ ก็เลยขอซะหน่อยเถอะ (ก็คนอื่นเขาพูดกันนี่) บางครั้งคำหยาบคายบางคำ หนูก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วมีความหมายอย่างไร รวมไปถึงกิริยาแปลกๆ อื่นๆ ที่เลียนแบบมาจากคนอื่นด้วย
แล้วจะทำอย่างไรกับหนูดี ?
ถึงแม้จะเข้าใจแล้วว่าที่หนูต้องดื้อต้องร้าย เพราะมีเหตุผลแอบแฝงอยู่ แต่จะจัดการอย่างไรกับหนูต่อไปล่ะนี่ ลองมาดูกันเป็นกรณีไปเลยดีกว่า !
เอาแต่ใจ...จอมสั่ง ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การสั่งของลูกมาจาก 1) การจดจำ เช่น เวลาเราบอกให้ลูกทำนั่นทำนี่ ลูกก็จำรูปแบบประโยคมาใช้กับเรา 2) มาจากข้อจำกัดทางภาษาที่หนูยังไม่รู้จัก อาจทำให้ดูเหมือนการสั่ง สิ่งที่เราควรจะทำก็คือให้เขาได้รู้จักการพูดขอร้อง ขอความช่วยเหลือด้วยความสุภาพ เช่น แทนที่จะพูด น้องไอซ์เอาลูกบอลมานี่ ก็ให้ลองเปลี่ยนเป็น น้องไอซ์คะขอลูกบอลนั่นให้แม่หน่อยสิคะ และพูดขอบคุณหรือชมเขาด้วย เพื่อเป็นแบบอย่างและแรงจูงใจให้ลูกพูดเพราะๆ ไงครับ ในขณะเดียวกันก็ให้งดการตอบสนอง ถ้าหนูยังพูดสั่งอยู่ เช่น เอาบอลมา ก็ไม่ต้องทำตามคับแต่ให้สอนเขาว่าถ้าเขาต้องการจะให้คนหยิบลูกบอลให้ก็ควรจะต้องพูดขอร้องแบบสุภาพๆ
พูดจาแสดงอารมณ์ งอแง หรืออาละวาด
เมื่อหนูไม่ได้ตั้งใจ ก็อาจจะพูดจาแสดงอารมณ์ หรืออาจถึงขั้นลงไปร้องไห้ชักกะแด่วๆ ที่พื้นเลยก็ได้ ในกรณีนี้ให้คุณพ่อคุณแม่พยายามทำใจเย็น อย่าใช้อารมณ์ตอบโต้กับลูก ให้ลองพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ในกรณีที่ลูกร้องไห้จะเอาของเล่นในห้างสรรพสินค้าแทนที่จะตามใจหรือโมโหจนตีลูก ให้พาลูกออกจากตรงนั้น เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ หรือบรรยากาศให้ดีขึ้น แล้วจึงค่อยๆ อธิบายว่าทำไมเราถึงไม่ซื้อของชิ้นนั้นให้แก่เขา เป็นต้น
คุณพ่อคุณแม่ อย่าลืม
1. เข้าใจหนูบ้าง ว่าอารมณ์ของหนูที่ดูดื้อ ดูร้ายหรือแปรปรวนเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการที่เกิดขึ้นตามวัย ซึ่งหนูยังขาดทักษะในการจัดการกับอารมณ์ ความรู้สึก คิดในทางที่ดีก็เป็นโอกาสที่คุณพ่อคุณแม่จะได้ใช้ในการสอน สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเขาในวันข้างหน้า
2. ยืดหยุ่นตามสมควร เพราะนอกจากจะเป็นวัยที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Self-Centre) หนูๆ ยังมีแรงต่อต้านต่อการบังคับ ไม่เชื่อฟัง คุณพ่อคุณแม่จึงควรยืดหยุ่นตามสถานการณ์ (แต่สิ่งไหนที่เป็นกฎหรือกติกาที่ตกลงกันไว้แล้ว ก็ไม่ควรโอนอ่อนตามใจเขาโดยไม่มีเหตุผล ไม่อย่านั้นหนูอาจจะเคยตัวและไม่เคารพกฎที่ตั้งไว้ร่วมกันเลยก็ได้) การช่วยให้หนู ผ่านพ้นช่วงพัฒนาการนี้ และเติบโตขึ้นโดยได้บทเรียนที่จำเป็น ที่จะสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่จะช่วยเขาได้ แต่คงไม่ยากเกินไปสำหรับคุณพ่อคุณแม่ชาวดวงใจฯ หรอกใช่ไหมครับ ?
Tips : การใช้อารมณ์หรือการบังคับจัดการกับพฤติกรรมสุดเซี้ยวของคุณหนู ๆ คงจะไม่ใช่ทางที่ดีนัก เพราะหนู ๆ อาจจะต่อต้านได้ อย่าลืมนะครับ มีเหตุผลและยืดหยุ่นตามสถานการณ์ดีที่สุดครับ ถ้าลูกต่อต้าน ไม่เชื่อฟังทำอย่างไรดี?
คุณแม่อาจตั้งคำถามเวลาที่คุณแม่บอกลูกว่า อย่าทำอย่างนั้น! อย่างนี้! แต่ลูกก็ยังทำเหมือนต่อต้าน ไม่เชื่อฟัง เราควรทำอย่างไรดี ?
พฤติกรรมการต่อต้านและต่อรอง อยู่ในส่วนของพัฒนาการตามวัยของเด็กวัยก่อนเรียนค่ะ และพฤติกรรมจะค่อยๆ เพิ่มและมากขึ้นให้เราเห็นได้ไปจนเป็นวัยรุ่นทีเดียว เด็กเล็กประมาณ 2 ขวบ จะแสดงอาการต่อต้านโดยการทำสิ่งตรงข้ามกับที่เราบอก เช่น ให้อาบน้ำก็ไม่ยอมอาบ ไม่ให้เล่นสวิตช์ไฟเปิด-ปิด ก็จะเล่น ถ้าเป็นเด็กโต นอกจากต่อต้านก็จะเริ่มมีการต่อรอง พฤติกรรมที่มักพบ มักเป็นปัญหาเกี่ยวข้องกับกิจวัตรประจำวัน เช่น ไม่ยอมไปนอน เมื่อถึงเวลานอน เวลาตื่นไม่ยอมตื่น ให้อาบน้ำก็ขอรอก่อน โดยมากเป็นการขอผัดเวลา เช่น ขอกินขนมก่อนค่อยอาบน้ำ ขออ่านนิทานก่อนนอน...
การลดพฤติกรรมต่อต้าน คุณแม่อาจจะทำโดยการพูดย้ำกับลูก ด้วยน้ำเสียงและการแสดงที่หนักแน่นและจริงจังอย่างพอดี โดยการบอกว่าต้องการให้ลูกทำอะไรอย่างชัดเจน และบอกด้วยว่าเมื่อไรที่คุณแม่ต้องการให้ลูกทำ โดยคุณแม่อาจมีการบอกเตือนล่วงหน้าให้ลูกรู้ด้วยค่ะ เช่น คุณแม่อาจเริ่มต้นก่อนว่าถ้าอ่านนิทานเล่มนี้จบ ลูกต้องเตรียมตัวเข้านอนและเมื่อถึงเวลาคุณแม่ควรทำตามที่พูดไว้ด้วย โดยการย้ำเตือนลูกว่าเวลานี้เป็นเวลาเข้านอนแล้วค่ะ
ซึ่งคำพูดที่พูดกับลูกควรเป็นคำที่นุ่มนวล ไม่วางอำนาจหรือตะคอกแผดเสียง ขณะพูดพยายามมองหน้า สบตาลูก แสดงท่าทีจริงจัง หนักแน่นแต่นุ่มนวล ถ้าเป็นเด็กเล็ก คุณพ่อคุณแม่อาจต้องนั่งลงไปพูดกับลูก และอาจต้องช่วยจับตัวลูก คุณหมอมักจะใช้คำว่าอย่าเลี้ยงลูกด้วยปาก เช่น ถ้าลูกเปิด-ปิดลิ้นชักเล่น เราไม่ควรนั่งและพูดว่าอย่าเล่นลิ้นชักค่ะ อาจต้องพูด และลุกไปจูงลูกออกมาจากลิ้นชักทันทีที่ลูกกำลังเล่น โดยเราอาจพูดคำสั้นๆ ว่าอย่าเปิดปิดลิ้นชักค่ะ เดี๋ยวหนีบมือแล้วหนูจะเจ็บ และจูงลูกออกมา ถ้าคุณแม่หาสิ่งที่เล่นได้มาให้ลูกเล่นแทน ลูกจะเลิกสนใจลิ้นชักเจ้าปัญหาค่ะ
การกระทำที่คุณแม่ไม่ควรปฏิบัติกับลูกที่มีพฤติกรรมต่อต้านคือ การตั้งกฎเกณฑ์เรียกร้องกับเด็ก ตลอดจนการตำหนิเด็กโดยไม่บอกชัดเจนว่าเด็กควรทำหรือไม่ ควรทำอะไร (เช่น ทำไมถึงทำตัวแย่อย่างนี้ หรือทำไมดื้อแบบนี้ ควรจะบอกพฤติกรรมที่เด็กควรจะทำให้ชัดเจนเช่น อย่าพูดเสียงดังในบ้าน) พูดไม่ควรขึ้นเสียงหรือตวาด ตะคอกลูกด้วยอารมณ์ พูดหรือสัญญาอะไรแล้วไม่เป็นไปตามที่พูดหรือที่สัญญาเอาไว้ อย่าให้สมญาที่ไม่ดีกับเด็ก เช่น เด็กดื้อ เจ้าตัวยุ่ง เจ้าตัวแสบ, อย่าใช้วิธีข่มขู่เด็ก เช่น ถ้าไม่กินข้าวจะพาไปให้คุณหมอฉีดยา ถ้าไม่เข้านอนเดี๋ยวผีมาหลอก ซึ่งจะให้เด็กกลัว ขวัญเสียและอาจเกลียดบุคคลหรือสิ่งเหล่านั้นโดยใช่เหตุ และถ้าจำเป็นต้องตำหนิลูก ก็ขอให้ตำหนิเฉพาะการกระทำของเขา อย่าตำหนิตัวเขา และถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่คิดจะเอาจริง อย่าขู่เด็ก เพราะสิ่งที่เราพูดออกไปเราควรจะทำ เช่น ถ้าลูกไม่นั่งกินข้าวคุณแม่จะไม่ให้ไอศกรีม และถ้าลูกไม่นั่งคุณแม่ควรงดไอศกรีมมื้อนั้นค่ะ
นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรลงโทษด้วยการตี เพราะจะเป็นการสอนเด็กกลายๆ ค่ะ ว่าการจะให้คนอื่นทำตามที่เราอยากให้ทำเราจะต้องใช้ความรุนแรง
ท้ายที่สุดสิ่งสำคัญยิ่งกว่าอื่นใดคือ คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมชมลูก เวลาที่ลูกทำตามที่เราบอกหรือทำตัวน่ารัก เพราะคำชมนอกจากเป็นกำลังใจให้เด็กทำให้เด็กมีความภาคภูมิใจยังส่งผลทำให้เด็กมีความเชื่อมั่นในตนเอง คำชมเป็นตัวเน้นให้เด็กรู้ว่า การกระทำหรือพฤติกรรมใดที่ลูกควรทำและการกระทำใดที่ลูกไม่ควรทำค่ะ
**ลองอ่านดูนะคะ หามาจาก Google ค่ะ** เผื่อเป็นประโยชน์กัยแม่ๆๆ อีกหลายคน เพราะลูกเรา 1 ขวบ 10 เดือน ก็เริ่มเป็นเป็นแล้วค่ะ
จากคุณ |
:
NUI_KAN
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ก.ค. 55 15:52:29
|
|
|
|
 |