Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แชร์ประสบการณ์การทำประกันให้ลูกค่ะ ติดต่อทีมงาน

แชร์ประสบการณ์การทำประกันให้ลูกค่ะ
  ช่วงนี้เห็นมีกระทู้ที่คุณแม่ๆ เข้ามาสอบถามกันเกี่ยวกับเรื่องการทำประกัน
ให้ลูกทั้งประกันสุขภาพและประกันชีวิต เลยอยากจะขอแชร์ข้อมูลการทำประกันตามที่เราได้ศึกษามานะคะ เผื่อว่าอาจจะเป็นประโยชน์บ้างค่ะ ข้อมูล
ที่แชร์อาจจะมีถูกและมีผิดบ้าง แต่เราเขียนตามที่เราเข้าใจนะคะ หากมีคุณพ่อคุณแม่ท่านไหน มีอะไรจะร่วมแลกเปลี่ยน หรือ แก้ไขเพิ่มเติม ก็ยินดีเลยค่ะ จะได้เป็นแหล่งข้อมูลให้ท่านอื่นต่อไปนะคะ

1.ประกันสุขภาพ
-ประกันแบบนี้เป็นแบบจ่ายแล้วทิ้งปีต่อปีค่ะ หมายความว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปจะไม่ได้คืน ถึงแม้ทั้งปีนั้นไม่ได้เคลมเลย ก็ไม่ได้คืน  
-เบี้ยประกันมีความแตกต่างกันตามวงเงินค่าห้อง และวงเงินรวมที่ประกันจะจ่ายให้ทั้งปี  ยิ่งเลือกค่าห้องแพง เบี้ยก็จะสูงตามไปด้วยค่ะ  ค่าห้องเท่าที่เราเห็นน่าจะมีเริ่มตั้งแต่ 1500, 2000 ขึ้นไปเรื่อยๆ จะเลือกระดับไหนก็ดูว่าโรงพยาบาลที่คาดว่าลูกเราจะต้องเข้ามีอัตราค่าห้องประมาณเท่าไหร่  
-ประกันสุขภาพแบบนี้ควรจะทำตั้งแต่ตอนลูกยังเล็กๆ เพราะว่าถ้ามี record การรักษากับโรงพยาบาลแล้ว อาจจะมีการปฏิเสธการประกัน หรือยกเว้นการประกันเฉพาะโรค
-เบี้ยประกันตอนแรกเกิด - 6 ขวบจะแพงที่สุดค่ะ พ้น 6 ขวบไปแล้ว จะลดลงครึ่งๆ เลยค่ะ
-ประกันสุขภาพส่วนใหญ่ตั้งต้นที่ประกันเฉพาะแบบคนไข้ในเป็นหลัก หมายความว่าต้อง admit เขาถึงจะจ่ายสารพัดตามที่ว่ามา  แต่ถ้าอยากเพิ่มเรื่องคนไข้นอก (OPD) เข้าไปด้วยก็ได้ เท่าที่เราเคยเช็คราคาจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณเกือบเท่านึงนะคะ OPD ก็มีเรทให้เลือกได้เหมือนกันว่าจะให้เขาจ่ายสำหรับการไปหาหมอต่อครั้งเท่าไหร่  
-สำหรับคนที่มีสวัสดิการอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้มีแบบจ่ายเฉพาะส่วนเพิ่มได้
ด้วยค่ะ เราเคยอ่านดูของ BUPA มีแบบจ่ายเพิ่มอีกปีละไม่เท่าไหร่ แล้วเขาจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนเพิ่มให้ กรณีเราเบิกเต็มสิทธิ์แล้ว ก็ยังมีเงินเกิน เขาก็จะดูแลส่วนนี้ให้ อันนี้ก็น่าสนใจสำหรับคนที่มีสวัสดิการอยู่แล้วนะคะ
-สำหรับบริษัทที่รับทำ เท่าที่ทราบบริษัทประกันทั่วไปที่เคยได้ยินชื่อกัน จะไม่รับทำประกันสุขภาพอย่างเดียว ถ้าเราไม่ได้ซื้อกรมธรรม์หลักด้วย (รายละเอียดเรื่องกรมธรรม์หลัก เดี๋ยวดูข้อต่อไปนะคะ) ถ้าอยากซื้อประกันสุขภาพอย่างเดียว เท่าที่เราเคยหาข้อมูล ก็จะมี BUPA และ
ไทยประกันสุขภาพ ไม่แน่ใจว่ามีเจ้าอื่นด้วยรึเปล่า รอท่านอื่นมาเพิ่มเติมนะคะ
-ข้อควรพิจารณาอีกอย่างก็คือต้องดูว่าโรงพยาบาลเครือข่ายที่รับประกันมีโรงพยาบาลอะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน และโรงพยาบาลที่ลูกอาจจะต้องเข้าอยู่ในเครือข่ายหรือเปล่า ต้องสำรองจ่ายหรือ fax เคลมได้เลย  (โดยปกติเท่าที่ทราบ ประกันสุขภาพจะมีระยะปลอดโรค 1 เดือนแรกค่ะ คือ ตั้งแต่วันที่ทำประกันนับไป 1 เดือน ถ้าเป็นอะไรระหว่างนั้น จะไม่คุ้มครอง หลังจากนั้นก็คือคุ้มครองแต่อาจจะไม่ต้องจ่ายเลย หรือ ต้องจ่ายไปก่อน แล้ว fax เคลมทีหลัง ก็แล้วแต่เงื่อนไข (ตรงนี้เรายังไม่เคยเคลมเลย เพราะลูกยังไม่เคยต้องเข้าโรงพยาบาล เลยไม่รู้ความสะดวก ช้า-เร็วยังไง ท่านที่มีประสบการณ์แล้วมาช่วยกันแชร์ไว้ก็ดีนะคะ)
-การจ่ายเบี้ยประกัน มีจ่ายได้ทั้งรายเดือน ราย 6 เดือน และรายปี แล้วแต่บริษัทนะคะ แต่ตัวแทนของเราเคยแนะนำว่าประกันสุขภาพควรจะจ่ายอย่างน้อย 6 เดือนดีกว่า เพราะถ้าจ่ายรายเดือน เดือนไหนลืมจ่าย ประกันจะขาดทันที ไม่คุ้มครองต่อ

2. ประกันชีวิต  มีหลายแบบแล้วแต่วัตถุประสงค์นะคะ เท่าที่ศึกษามาก็จะมีแบบต่างๆ ประมาณนี้ค่ะ
   2.1 เน้นคุ้มครอง  หมายความว่า เน้นการคุ้มครองชีวิตเป็นหลักส่วนใหญ่ก็จะเป็นระยะยาว คุ้มครองจนถึงอายุ 80 ปี / 90ปี หรือคุ้มครองตลอดชีพเลย  เหมาะสำหรับคนที่จะอยากจะมีหลักประกันไว้ให้คนข้างหลัง หมายความว่าเมื่อเราเป็นอะไรไป ลูกหลานเราไม่เดือดร้อน  เพราะประกันแบบนี้ส่วนใหญ่ เราว่าคนส่งเบี้ยไม่ใช่คนที่จะได้รับผลประโยชน์ (นอกจากว่าเราจะมีอายุยืนมากๆ) เบี้ยประกันก็จะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาคุ้มครอง ระยะเวลา
การส่งและเงินปันผลคืนค่ะ  ยิ่งส่งสั้นเบี้ยก็ยิ่งแพง  ถ้าอยากได้เงินคืน
ระหว่างทางด้วย เช่น 3 ปีคืนครั้งนึง ไปเรื่อยๆ จนครบระยะ ก็จะแพงกว่าแบบที่ได้เงินก้อนทีเดียวเลยตอนสิ้นสุดระยะเวลากรมธรรม์ค่ะ  จะเลือกแบบไหน
ก็แล้วแต่ความสามารถในการจ่ายเบี้ยและความต้องการในการทำประกัน
นะคะ  แต่โดยรวมแล้ว เราเข้าใจว่าประกันแบบนี้น่าจะเบี้ยถูกที่สุดในบรรดาประกันแบบอื่นๆ รึเปล่า (อันนี้ไม่คอนเฟิร์ม)  และเพราะความที่มันถูกก็เลยมีคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน (รวมทั้งเราด้วย) เลือกประกันแบบนี้เป็นประกันหลักให้ลูก เพื่อซื้อประกันสุขภาพเป็นสัญญาเสริม เพื่อเบี้ยรวมรายปีจะได้ไม่แพงมาก อย่างที่เราบอกไว้ในเรื่องประกันสุขภาพแล้วว่า บริษัทประกันใหญ่ๆ มักไม่รับทำประกันสุขภาพอย่างเดียว เราจะต้องซื้อกรมธรรม์หลักก่อน เขาถึงจะยอมให้ซื้อประกันสุขภาพเป็นสัญญาเสริม ดังนั้นเพื่อให้เบี้ยรวมไม่แพง เราก็ซื้อประกันหลักราคาไม่สูงมาก เพื่อเป็นบันไดให้ซื้อประกันสุขภาพได้ค่ะ
การซื้อประกันสุขภาพเป็นสัญญาเสริมแบบนี้ มีข้อดีก็คือว่าเบี้ยจะถูกว่าประกันสุขภาพเดี่ยวๆ และไม่ว่าปีนี้จะเคลมเท่าไหร่กี่ครั้ง ปีหน้าบริษัทก็จะต่อให้เพราะมันถูกผูกไว้กับสัญญาหลักแล้ว และสามารถซื้ออย่างอื่นเพิ่มเติมได้ด้วย เช่น ประกันอุบัติเหตุ  คุ้มครองผู้ส่ง (คือถ้าเราเป็นอะไรไป บริษัทจะดูแลเรื่องกรมธรรม์ให้เหมือนเดิมทุกอย่าง) หรือชดเชยเงินรายวัน ถ้าลูกต้องนอนโรงพยาบาล เป็นต้น  การซื้อประกันเน้นคุ้มครอง+ประกันสุขภาพแบบนี้ก็เลยเป็นที่นิยมพอสมควร (จากที่เราคุยกับตัวแทนนะคะ) แต่ก็มีข้อสังเกตด้วยเหมือนกันว่า ถ้าเลือกแบบนี้ลูกเราอาจจะไม่ได้เป็นคนที่ใช้เงินจากทุนประกัน อันเนื่องจากว่ากว่าจะได้ทุนคืนเขาก็อายุ 80-90 แล้ว น่าจะเป็นลูกของลูกที่ได้ใช้เงินมากกว่าก็เลยมีบางท่านที่เลือกเอาประกันสุขภาพไปผูกไว้กับประกันแบบอื่นที่ให้ลูกได้ผลประโยชน์ด้วย แต่แน่นอนว่าเบี้ยก็จะต้องสูงกว่าแบบ
คุ้มครองหรือไม่ก็ทำประกันอื่นๆเพิ่มเติม อย่างเราเราเลือกแบบคุ้มครอง + สุขภาพให้ลูก แต่ก็มีประกันในลักษณะอื่นเพิ่มเติมด้วยเพื่อเติมส่วนที่ขาดให้เต็มค่ะ  

  2.2 เน้นสะสมทรัพย์ ก็คือเน้นเก็บเงิน และเอาผลประโยชน์มาใช้ เมื่อครบเวลากรมธรรม์ แต่ก็ยังคุ้มครองในระหว่างนั้นด้วยนะคะ  แบบนี้ระยะเวลาและรูปแบบมีหลากหลายมากเลยค่ะ ตอนจะทำเราหาจนตาลาย  ซึ่งก็ต้องแล้วแต่วัตถุประสงค์ว่าอยากจะทำไปเพื่ออะไร  อย่างเราตอนเราจะทำ เราก็จะคำนวณว่าเราอยากจะใช้เงินก้อนตอนอายุเท่าไหร่ ใช้เป็นค่าอะไรในตอนนั้น เช่น เป็นค่าเทอมลูก หรือ ใช้เมื่อตอนเราเกษียณ  และอยากให้มีเงินคืนระหว่างปีด้วยรึเปล่า คืนทุกปี หรือ คืน 3 ปีครั้ง  และที่สำคัญคือเรามีเงินส่งประกันเท่าไหร่ ต้องมองยาวๆ เผื่อไว้ว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะยังส่งไหวมั้ย
จริงอยู่ว่ากรมธรรม์ประกันชีวิตสามารถเวนคืนได้ หมายความว่าถ้าเราส่งต่อจนครบระยะเวลาไม่ไหว ก็อาจจะหยุดส่งแล้วเลือกให้บริษัทคุ้มครองต่อไป หรือเลือกเวนคืนโดยเอาเงินคืนมาเลย แต่เราว่าวิธีนี้น่าจะเป็นทางเลือก
สุดท้ายนะคะ เพราะฉะนั้นก็น่าจะต้องวางแผนการเงินให้ดีก่อนค่ะ ประกันแบบนี้ส่งเป็นรายเดือนได้ด้วยนะคะ แต่ส่งรายปีจะถูกที่สุด  เบี้ยมีหลากหลายตั้งแต่หลักร้อยไปถึงหลักหลายพัน ขึ้นกับรูปแบบและทุนประกันที่เราเลือก  บางท่านต้องการเบ็ดเสร็จในกรมธรรม์เดียวเวลาทำให้ลูกก็เลือกแบบนี้ + ประกันสุขภาพก็มีค่ะ นั่นก็คือลูกก็จะได้เงินใช้ระหว่างทางด้วย ได้ประกันสุขภาพด้วย และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลากรมธรรม์ก็จะได้เงินคืนด้วย

3. โมเดลการทำประกันของเรา
   เล่ามาทั้งหมด ก็เป็นการแชร์ประสบการณ์จากที่เราศึกษามานะคะ ขอบอกว่าบางอย่างอาจจะไม่ถูกหลักวิชาการ  เพราะมาจากประสบการณ์ล้วนๆ ท่านไหนอยากจะแก้ไข หรือแชร์เพิ่มเติมก็ยินดีค่ะ และเพื่อให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อาจจะอยากได้แบบสำเร็จรูปเลยว่าควรต้องทำอะไรบ้าง  เราขอแชร์แบบประกันที่เราทำให้ลูก และตัวเองไว้นะคะ (บางแบบทำแล้ว และแบบที่เหลือจะทำในปีนี้และปีหน้าค่ะ แต่วางแผนไว้ว่าจะเป็น
แบบนี้)  เผื่อจะเป็นแนวทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าแนวทางนี้จะได้ที่สุด
นะคะ  ในความเห็นเรา เราว่าแบบประกันที่ดีที่สุดก็คือแบบที่เหมาะกับลักษณะชีวิตของเราค่ะ  
รายละเอียดการประกันของเราก็มี
1. คุ้มครอง + สุขภาพ ทำให้ลูก 1 ฉบับ  คุ้มครองเป็น 20/90 คือส่ง 20 ปี ลูก หรือทายาทของลูกได้คืนตอน ลูกอายุ 90 ไม่มีปันผลระหว่างทาง  
2. สะสมทรัพย์เป็นชื่อเรา และลูก  แบบนี้จะมีเงินปันผลให้ลูกทุกปี เมื่อครบกำหนด( ประมาณลูกจบมหาวิทยาลัย) ก็จะได้เงินก้อนอีกก้อนให้ลูก
3. สะสมทรัพย์เพื่อเป็นค่าเทอม จะได้เงินคืน 4 ครั้ง ตอน ลูกเข้ามหาวิทยาลัย พูดง่ายๆว่าเป็นเงินค่าเทอมค่ะ และเรียนจบก็จะได้อีกก้อนนึง
4. สะสมทรัพย์ของเราเองส่ง 10 ปี พอครบ 10 ปี จะได้คืนทุกปี จนถึงอายุ 60 จะได้เงินก้อน
5. สะสมทรัพย์ของเราเองส่ง 15 ปี พอครบ 15 ปี  จะได้คืนทุกเดือนจนถึงอายุ 70 ปี จะได้เงินก้อน
6. สะสมทรัพย์ของเราเอง ได้คืนทุกๆ 3 ปี หลังอายุ 60 ปี ได้คืนทุกปี ไปจนเราอายุ 80 ได้เงินก้อนคืน (เราไม่ได้ทำสุขภาพ เพราะเบิกได้ค่ะ)
7. คุ้มครองของเราเอง 20/90 เหมือนลูก ก็คือจะได้เงินก้อนคืนตอนอายุ 90 ค่ะ

(รวมความแล้วเท่ากับว่าเราวางแผนสำหรับลูกให้มีเงินคืนสะสมระหว่างทาง และมีเงินช่วยในการส่งเขาเรียนมหาวิทยาลัย และพอเรียนจบจะมีเงินอีก
ก้อนนึงสำหรับไปใช้ชีวิตตามต้องการ เริ่มต้นธุรกิจ หรือเรียนต่อก็แล้วแต่
เป็นแค่เงินเริ่มต้นนะคะ ไม่ได้มากมาย สำหรับเราจะมีเงินคืนก่อนอายุ 60
นิดหน่อย พอหลังเกษียณแล้วก็จะมีเงินคืนมากหน่อย และจะได้เงินก้อนทุกๆ 10 ปี จะได้ไม่ลำบาก)

นี่คือทั้งหมดที่เราอยากแชร์นะคะ  ขอย้ำว่าเป็นแค่เพียงแนวทางและประสบการณ์เท่านั้นนะคะ จริงๆ แล้วเรื่องประกันคงยังมีความรู้อีกมากที่เราต้องหาต่อไป และแลกเปลี่ยนกันต่อไปค่ะ เพียงแต่ว่าเราเคยได้รับข้อมูลที่ดีๆเรื่องการประกันจากคุณพ่อคุณแม่ในชานเรือน ก็เลยอยากจะแชร์ไว้บ้างเผื่อเป็นประโยชน์กับท่านอื่นต่อไปค่ะ  

ขอบคุณที่อ่านนะคะ

แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 16:18:13

แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 16:15:06

แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 16:14:40

จากคุณ : plumpgovt
เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 16:14:19




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com