Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กว่าจะเป็นแม่คน : เมื่อฉันแพ้ทุกอย่างบนโลกนี้ ติดต่อทีมงาน

ตอนไม่เคยท้องเราไม่เคยเข้าใจเลยว่าอาการแพ้ท้องมันสาหัสขนาดไหน  เวลาได้ยินใครบอกแพ้ท้องๆ เราก็คิดว่าไม่เห็นจะเป็นไรเลย

จนถึงวันที่เรามีอาการแพ้ท้องเองถึงเข้าใจว่ามันทรมานสุดๆ จริงๆ ความเจ็บปวดรวมกันทั้งชีวิตแล้วยังไม่เท่ากับแพ้ท้องครั้งนี้ครั้งเดียวเลย ช่วงตั้งครรภ์ของใครหลายคนอาจเป็นช่วงเวลาของความสุข ได้เห็นพัฒนาการของเจ้าตัวเล็กทุกวัน ทุกอาทิตย์ ทุกเดือน เผลอแป๊ปๆก็ได้เห็นหน้าหนูน้อยกันแล้ว

แต่สำหรับเราแล้วไม่มีโอกาสแห่งความสุขนั้นเลย แต่ละวินาทีที่ผ่านไปช่างยาวนานและยากเย็น


เรื่องราวต่อไปนี้อาจไม่มีวิธีหลีกเลี่ยงอาการแพ้ต่างๆที่เกิดขึ้นนะคะ เพราะเราแพ้แบบรุนแรง ...วิธีเดียวที่บรรเทาความรุนแรงได้คือ ให้น้ำเกลือ+วิตามินฉีดเข้าเส้นอย่างเดียว แต่เมื่อออกมาจากโรงพยาบาลมันก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก    

(ช่วงแรกไม่เกี่ยวกะอาการแพ้ท้องแต่เป็นผลต่อเนื่องกัน ขี้เกียจอ่านข้ามไปช่วงแพ้ท้องเลย เพราะยาวเหมือนกันคร่า)


ช่วงปวดท้อง


เราท้องตอนอายุ 31 ปี ซึ่งเป็นท้องแรก แต่เราก็เกือบจะทำร้ายชีวิตน้อยๆนี้ไปแล้วด้วยความไม่รู้ ปกติเราเป็นคนที่ปวดท้องน้อยมากเวลามีประจำเดือน จะมานานถึง 8 วันและมาเยอะมาก

ก่อนที่จะรู้ว่าท้องเรามีอาการเจ็บจี๊ดๆ ซึ่งจริงๆเราไม่สามรถระบุตำแหน่งที่แน่นอนได้ว่ามันปวดช่วงไหน  ตำแหน่งมันเหมือนท้องช่วงล่างๆต่อเนื่องไปถึงลำไส้และทวารหนักลึกๆเลย   ก็เลยศึกษาหารพ.เอกชนที่ดูมีชื่อและหาหมอที่เชี่ยวชาญ เป็นหัวหน้าแผนกนี้โรคนี้โดยเฉพาะ

วิธีการตรวจเป็นการอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอด (คุณหมอเป็นคนทำเองหมด) เสร็จปุ๊ปหมอบอกเราเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ซึ่งผู้หญิงที่ปวดท้องประจำเดือนมากๆส่วนใหญ่ก็จากสาเหตุนี้

หมอเปิดวีดิโอให้เราดูภาพเคสจริงว่าหมอจะรักษาแบบผ่าตัดผ่านกล้อง คือเอาวัสดุแหลมๆเข้าไปจิ้มๆพวกเยื่อบุ ตุ่มเม็ดเลือดแย่ๆพวกนั้นให้มันแตก ทีละเม็ดๆเหมือนจิ้มลูกโป่งเลย ซาดิสต์มากอ่า  เราก็เอาวะทำใจ  เป็นไงเป็นกัน ค่าผ่าแสนสองแต่ไม่เจ็บ แผลเล็กมากจนแทบไม่เห็น ก็พอจะคุ้มกับคนใจเสาะอย่างเรา  ก็รอให้นัดมาฉีดสีแล้วก็ผ่าต่อไป


จังหวะรอนัด ก็เลยหารพ.รัฐชื่อดัง หาอาจารย์หมอเก่งๆ เป็น second opinion เผื่อได้ราคาถูกว่า เซฟเงินได้อีกเยอะ ได้เวลาขึ้นขาหยั่งอีกรอบ คราวนี้อาจารย์หมอไม่ได้เป็นคนอัลตร้าซาวด์เอง แต่เป็นผู้วินิจฉัย หมอบอกเหมือนจะเป็นช็อคโกแล็ตซีสต์ เราก็ไรฟร้า..ยิ่งตรวจยิ่งเป็นเยอะขึ้น แต่คุณหมอบอกว่าถ้าจะผ่าตัดผ่านกล้องคุณหมอไม่ค่อยเชี่ยวชาญ ให้ไปหาอาจารย์หมอเบอร์1 ขอไทยที่เก่งโรคนี้ และการผ่าแบบนี้โดยเฉพาะ ก็ให้ไปคลินิคที่หมออยู่จะได้เร็วหน่อย แล้วผ่าค่อยกลับมาทำที่นี่ได้


พอพบอาจารย์หมอคนที่3 หมอคนที่ใช้วิธีแบบแมนน่วลค่ะ เครื่องมือไฮเทคไรไม่ต้อง อาศัยสองมือและประสบการณ์ล้วนๆ หมอบอกเราเป็นซีสต์เฉยๆ ไม่ถึงขนาดช็อคโกแล็ตซีสต์ ทีนี้หมอก็ให้เรากลับไปคิดว่าจะเอาไง พร้อมเมื่อไหร่ก็นัดผ่าได้เลย


โอ้แม่เจ้า ในเวลา 1 อาทิตย์ หาอาจารย์หมอที่คิดว่าเก่งที่สุดมา 3 หมอ 3 ที่ วินิจฉัยไม่เหมือนกันเลย แต่ก็พอเข้าใจว่าดีที่มันยังเป็นโรคที่ไปในทิศทางเดียวกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้คงนัดหมอผ่าเลยจะได้หายซักที


วันนั้นตื่นเช้ามานึกไรไม่รู้ อธิฐานขอพระเจ้าว่าขอหาหมอครั้งสุดท้ายละผลออกมาเป็นยังไงก็จะยอมรับละ อาบน้ำแต่งตัวบอกคุณสามีว่าขอตรวจอีกหมอนึง ครั้งสุดท้ายแระเพื่อความชัวร์ จะได้เสียตังค์สมใจเจ๊ซักที  

ตอนนั้นหมอคนนี้กะลังดังจากการทำคลอดคุณแม่ฮีโร่คนหนึ่ง และพี่ที่ออฟฟิศเคยแนะนำไว้ แต่ตอนนั้นยังไม่อยู่ในลิสต์  เพราะหมอที่ไปตรวจมาโดดเด่น Hi-Profileกว่าแกเยอะ


ครั้งนี้ก็โดนอัลตร้าซาวด์ช่องคลอดเหมือนที่ผ่านมา เราก็ชินซะแล้ว ชิวมากไม่รู้สึกอะไร ระหว่างที่ตรวจอยู่หมอก็พูดชิวเหมือนกันว่าหมอว่าผนังมดลูกเธอหนาผิดปกตินะ ....หมอคิดว่าเธอท้อง....แล้วหมอก็หยุดการอัลตร้าซาวด์ทันทีแล้วให้เราไปตรวจเลือดแทน ...

.นาทีที่เราลงจากเตียงมาก็รู้สึกเข่าอ่อนทันที ไม่ใช่เพราะดีใจหรือเสียใจ แต่มันช็อคมากกว่าเพราะไม่คาดคิดว่าจะจะได้เป็นแม่คนในนาทีที่เราคิดว่ากำลังจะผ่าตัดในวันสองวันนี้


พอตั้งสติได้ก็รู้สึกดีใจปากสั่นมือสั่นไปหมด บอกสามี สามีก็ถามหมอว่าหมอชัวร์ป่าว หมอบอกก่อนเราไปตรวจเลือดว่า หมอมั่นใจ100% ท้องชัวร์(เคสเราใช้การตรวจปัสสาวะจะไม่ทราบผลค่ะ เพราะอายุครรภ์จะแค่ 1-2 วีคเท่านั้น ต้องตรวจเลือดสถานเดียวฮอร์โมนถึงจะขึ้น) ....

พอถึงเวลาฟังผลเลือด...มันเหมือนนาทีชีวิตยังไงไม่รู้ หมอเรียกเข้าไปเราก็นั่งอยู่ตั้งนาน หมอไม่พูดไรซักคำ นั่งคลิ๊กหรือพิมพ์หรือเขียนไรยิกๆอยู่ไม่รู้ ไอ่เราก็ใจเต้นตึกๆ สุดท้ายรอไม่ไหว ต้องเอ่ยปากถามหมออีกที ..

ตกลงท้องชัวร์ป่าวหมอ ...หมอบอก.ก็นี่ไงฮอร์โมนขึ้นมา (จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้แล้วค่ะ) เดี๋ยวมันจะขึ้นเรื่อยๆนะ อันนี้แปลว่าท้องได้ประมาณ 1-2 วีคแล้ว หมอเลยเปลี่ยนเคสจากปวดท้องเป็นฝากท้องแทนซะงั้น ถามหมอเรื่องซีสต์ทั้งหลายทั้งแหล่ หมอบอกไม่ต้องไปคิดถึงมัน  พอเดินออกมาจากห้องหมอเท่านั้นแหละน้ำตาไหลเลย.....ดีใจโครต


กลับบ้านไปแม่สามีแม่เรายังถามว่าตกลงนัดผ่าวันไหน พอบอกไปเท่านั้นแหละ ช็อคทั้งบ้านเราบ้านเค้าเลย เพราะไม่ใครคาดถึงจริงๆ .........มันเป็นอะไรที่ฮามากเลยลูกแม่ เกือบไม่ได้อยู่กับแม่แล้วลูกเอ๊ย


ช่วงแพ้ท้อง

ถึงช่วงสำคัญ เตรียมตัวเต็มที่สู่การเป็นหญิงตั้งครรภ์เต็มตัว หลังจากเคยปฏิญาณตัวเองมานานแล้วว่า ถ้าวันหนึ่งชั้นท้องขึ้นมาชั้นจะต้องเป็นคนท้องที่สวยที่สุด ชั้นจะต้องใส่ชุดคลุมท้องสุดชิค หน้าตาผิวพรรณชั้นต้องเปล่งปลั่งเป็นประกาย ชั้นไม่เคยได้กินไรเยอะเลย เพราะห่วงสวยมากกว่าห่วงหิว คราวนี้แหละ โอกาสมาแล้ว ชั้นจะกินแหลก กินทุกอย่างที่ขวางหน้าเลย 555+


แต่แล้ว ฝันหวานได้ไม่กี่คืน เมื่อความเป็นจริงคือเราเริ่มแพ้ท้อง วันแรกก็จัดหนักมาเลย ทั้งมึนทั้งอาเจียนทั้งวัน แบบออกหมดจนไม่มีอะไรจะออกแล้ว น้ำดี ดีหมีอะไรไหลหมดตัว ไส้จะขาดแล้วจร้า

แต่ก็ยังคิดอยู่ว่าไม่เป็นไรใครๆเค้าก็แพ้กัน ปกติม๊ากกก คงเป็นแค่ช่วงแรกๆ เดี๋ยวเดียวก็หาย


ที่ไหนได้ ไม่ใช่อย่างที่คิดเลยตรู นับวันยิ่งหนักตั้งแต่เดือนแรกเลยกินอะไรไม่ได้ อาเจียนหมดทั้งวันทั้งคืน อ้วกไปร้องไห้ไป เปรี้ยวปากขมคอไปหมดแล้ว  ไม่ได้หลับไม่ได้นอน อาหารแทบไม่ตกถึงท้องเลย อาเจียนจนไม่มีอะไรจะออกจนเส้นเลือดฝอยแตกและเลือดออกมาเป็นก้อนๆเลย เป็นอย่างนี้ทุกวัน ทั้งวันทั้งคืน ทุกครั้งตลอด 36วีค

ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ  

(เคยไปถามคุณยายข้างบ้าน ตอนยังมีแรง เค้าบอกว่าแพ้หมด 3 ท้องเหมือนกันอาเจียนเป็นน้ำดีเขียวๆออกมาเลย ยังคิดอยู่เลยว่าเราคงไม่เป็นแบบนั้นหร๊อก ที่ไหนได้ มันเลยจุดนั้นมาแระ .... หนักกว่าเค้าอีก)


ระหว่างเดือนแรกที่ต้องมาอาเจียนเคล้าน้ำตาอยู่ทุกวันทุกคืน ก็พยามศึกษาวิธีบรรเทาอาการเหล่านี้ ใครแนะไรก็ทำตามหมดหมอก็ให้กินแคร๊กเกอร์เค็มๆ ที่เค้าว่าช่วยได้ กินอาการทีละน้อย  กินรังนก กินอาหารน้ำๆเหลวๆ ค่อยๆจิบ พักผ่อนเยอะๆ จัดยาสารพัด โอวว ไม่มีตัวช่วยสำหรับเราเลย

พอจะไปหาหาข้อมูลในเน็ตก็ทำให้รู้อีกว่าเรามองจอคอมไม่ได้เลย มึนมากวิ่งหาห้องน้ำอาเจียนอีก จนอาการหนักเข้าก็เห็นคอมเห็นคีย์บอร์ดไม่ได้เลย จบข่าว ทำงานตอบเมล์เล่นเน็ตไม่ได้ ..ซักพักได้ยินเสียงมือถือ..มันมาอีกแล้ว..พะอืดพะอดพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

และแล้วก็ใช้โทรมือถือไม่ได้เลย เห็นไม่ได้ อ้วกทันที ...ตอนนั้นใช้มือถือ 2 เบอร์  2 เครื่อง ต้องปิดหมดห้ามเห็นห้ามได้ยิน ขาดการติดต่อจากโลกภายนอกทันที

ใครโทรมาต้องโทรเบอร์สามี แต่เค้าต้องออกไปโทรไกลๆและพูดเบาๆเพราะเราได้ยินเสียงไม่ได้เลยจริงๆ ...ตอนนั้นคิดว่าเอาวะมือถือใช้ไม่ได้ โทรศัพท์พื้นฐานคงพอได้ คลื่นสัญญาณมันต่างกัน คงพอถูไถไปได้ ตอนแรกก็ยังพอไหว แต่ไม่กี่วัน โอ้แม่เจ้า ได้ยินเสียงโทรเข้าไม่ได้เลย จะทำยังไงดี
....เพราะอาชีพชั้นคือโอเปอร์เรเตอร์และรีเซปชั่น โทรศัพท์คือเงินเดือนของชั้น กล้วยทอดแล้วไง..หาทางออกด้วยการปิดเสียงเรียกเข้าใช้จ้องหน้าจอเอาถ้ามีคนโทรเข้า แต่สุดท้ายไม่รอด

ในที่สุดเราก็เห็นตัวเครื่องโทรศัพท์และได้ยินเสียงมันไม่ได้เลย พี่อีกคนต้องคอยมารับแทนให้ ส่วนเรามีหน้าที่วิ่งไปอาเจียน แต่ส่วนใหญ่ไม่ทันก็มุดมันใต้โต้ะนั่นแหละ

เวลาลูกค้ามาเราอยากจะหนีออกไปนอกโลก เพราะสภาพดูไม่ได้เลยผอมซีด ตาโหล ผมเผ้ากระเซิง ไม่มีแรงเดินไปไหน เหลือแต่ร่างซูบซีดกะน้ำตา  เจอใครมีแต่คนคอยปลอบด้วยความจริงใจว่าเธอดูเหมือนศพมาก...T-T


เราต้องลางานอยู่บ้านเพราะมันไม่ไหวจริงๆอาเจียนเป็นเลือดตลอดทั้งวันและทุกวัน ทีวีก็ดูไม่ได้ แพ้ทีวีอีกทั้งภาพทั้งเสียง

ฟังวิทยุฟังเพลงก็แพ้อีก นั่งรถไปทำงานก็แพ้รถเมารถอีก

เห็นไฟ เห็นเสาไฟ เห็นไฟหน้ารถ ไฟเลี้ยว ไฟเบรกก็ไม่ได้ อ้วกไปร้องไห้ไป แม่โทรหาสามีได้ยินแต่เสียงอ้วกกับเสียงร้องไห้ 555 ....

ระหว่างทางที่นั่งรถเนื่องจากบ้านอยู่ปริมณฑลยิ่งมีร้านอาหารที่มีป้ายไฟแจ่มๆใหญ่ๆจำนวนมาก ช่วงนั้นแมคโดนอลขึ้นป้ายไฟใหญ่สะใจมาก วันๆต้องผ่าน 3-4 สาขา ซึ่งเป็นภาพที่สะเทือนใจเรามาก  ขนาดก้มหน้ามุดอยู่กะเบาะรถ หลับตาก็แล้ว ก็มิได้นำพา .....

แต่ชีวิตก็ไม่จบอยู่แค่นั้น จากที่คิดว่านี่ดีนะที่ยังได้กลิ่นอาหารได้อยู่ ฟ้ายังปราณี แต่เปล่าเลย ในที่สุดเราก็ได้กลิ่นอาหารไม่ได้เลย กลิ่นทุกชนิดทั้งอาหาร ทั้งน้ำหอม กลิ่นคน กลิ่นครีมอาบน้ำ กลิ่นยาสีฟัน กลิ่นโลชั่น เราก็แพ้มันกระจาย  

เท่านั้นยังไม่พอเครื่องสำอางค์ต่างๆที่มีเราก็ไม่สามารถจะทนกลิ่นมันได้ ที่เลวร้ายที่สุดคือเราเห็นมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทั้งกันแดด ทั้งเบส ทั้งแป้ง อายแชโดว์ ปัดแก้ม ลิป อ้วกกระจาย เราต้องยอมทนไม่แต่งหน้าไม่ทาครีมซึ่งเป็นสิ่งที่ทำใจได้ยากมากจริงๆ  

หน้าเปลือยๆโทรมๆ แห้งๆเหมือนหญิงชายขอบมาจากถิ่นธุรกันดาร  ชุดคลุมท้องสวยๆที่เคยวาดฝันไว้ว่าจะได้ใส่สวยไม่ซ้ำวันก็ลืมมันไปได้เลย เพราะหมดแรงหมดสภาพไปไหนไม่ได้เลย

ดีที่มีพี่ใจดีเคยให้ชุดลุมท้องมาพอสมควรถึงแม้จะเป็นรุ่นเมื่อสิบปีที่แล้ว ก็เอาวะ ไม่มีปัญญาไปหาใหม่แล้วนิ  เคยลองนั่งรถจะไปห้างซื้อของที่อยากได้ ออกจากบ้านเปลี่ยนบรรยากาศมั่ง แต่ก็ไม่เคยไปได้ถึงที่จอดรถห้างเลย ทนไม่ไหวต้องบอกสามีให้วกรถกลับบ้านทั้งน้ำตาแทน  

แต่เท่านั้นมันก็ยังไม่พอ...เสื้อผ้าในตู้เรายังแพ้ มีชุดคลุมท้อง2-3ตัวเท่านั้นที่เราเห็นและใส่ได้ไม่แพ้ นอกนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย..พอเปิดลิ้นชักออกมาเจอชุดชั้นในเราเห็นก็ทนไม่ไหว แพ้ทางมันอีก...ฮ่วยอะไรมันจะขนาดนั้น


เราได้แต่ปลอบใจตัวเองไปวันๆว่าเดี๋ยวแปร๊บๆมันก็หายละ  พรุ่งนี้มันคงดีขึ้น คนอื่นๆเค้าก็คงเป็นเหมือนกัน แต่ความเป็นจริงคือ เราไม่มีโอกาสได้นอนเพราะอาเจียนและร้องไห้ตลอดเวลา ทรมานมาก วันหนึ่งๆนอนติดต่อกันได้10 นาทีก็ดีมากแล้ว  

สามีก็พลอยไม่ได้นอนด้วยเพราะต้องคอยดูเราตลอด  ตื่นเช้ามาต้องมาเก็บถุงอาเจียนใหญ่หลายๆถุงไปทิ้ง ตอนเย็นก็ทำเหมือนกัน เป็นแบบนี้ทุกวันจนเป็นกิจวัตรไปเลย....

   
แต่ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกจนได้ อาการเดิมๆไม่ได้จะดีขึ้นเลย หนำซ้ำนับวันยิ่งหนักขึ้นๆเรื่อยๆ

เดือนที่สองเริ่มมีอาการแพ้น้ำลายตัวเองอีก น้ำลายท่วมปากตลอดเวลา คือน้ำลายออกมาเยอะมากเหมือนเปิดก๊อกอยู่ในปากเลย จะกลืนเป็นปกติก็ไม่ได้ เคยลองกลืนพุ่งเลยทันที จนต้องพกถุงพลาสติกติดตัวตลอดเวลาเพื่อบ้วนน้ำลาย เป็นที่เวทนาตัวเองมาก (ไม่รู้เบ็ดเสร็จหมดถุงไปกี่กิโล)  

เราต้องพกลูกอมกินแบบเม็ดต่อเม็ดเลย วันนึงกินไม่ต่ำกว่า 3 ห่อใหญ่เพื่อให้สามารถกลืนน้ำลายได้ ไม่งั้นเราก็พูดกลับใครไม่ได้เลย  ต้องอมลูกอมไม่เว้นแม้กระทั่งตอนนอน หมดเม็ดก็ต้องอมใหม่ สรุปก็ไม่ได้นอนเหมือนเดิม  

....แต่แล้วลูกอมก็เริ่มช่วยไม่ได้ กินมาหลายเดือนก็เริ่มเห็นและได้กลิ่นไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องพกถุงอย่างเดียว ใครมาคุยด้วยก็คุยไปบ้วนน้ำลายไป ลูกค้ามาเราเดินหนีเลยเพราะมันทุเรศตัวเอง ดีที่พี่ที่ออฟฟิศน่ารักมากมองตาก็เข้าใจ รีบมาช่วยทันที  

แต่แล้วน้ำลายที่บ้วนออกมามันก็ทำให้เราคลื่นไส้พะอืดพะอมและอาเจียนเป็นเลือดเหมือนอาการที่ผ่านๆมา มีครั้งนึงรวบรวมพละกำลังที่แทบไม่มีเปิดคอมหาข้อมูลในเน็ตเรื่องน้ำลาย แม้จะต้องหาไปมองคอมไปอาเจียนไปก็ตาม

แล้วก็พบว่าอาการนี้มันก็มีเหมือนกันแต่มันเป็นไม่นานหรอก ไม่กี่สัปดาห์ ไม่กี่เดือนเอง ได้แต่ปลอบใจตัวเอง เดี๋ยวชั้นก็หาย ที่ไหนได้ อาการนี้เป็นตั้งเดือนเดือนที่ 2 จนคลอดเสร็จแล้วอีก 2 วันถึงจะหายคร๊า ปากลอกเปื่อยหมด เลือดออกซิปๆเลย หมดสภาพ

ช่วงที่ต้องนอนตายเป็นซากศพอยู่กับบ้าน  ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากใช้โทรศัพท์ไม่ได้ ดูทีวีไม่ได้ ฟังเพลงฟังวิทยุไม่ได้ เล่นเน็ตไม่ได้ ได้ยินเสียงคนคุยกันไม่ได้ กินไม่ได้ ได้กลิ่นไม่ได้ แพ้แม้กระทั่งน้ำ น้ำหวาน ร้อน น้ำเย็น แม้กระทั่งน้ำเปล่าเราก็แพ้  ..

เคยลองน้ำเก๊กฮวย กินได้ระยะนึงก็แพ้มันอีก สิ่งเดียวที่กินได้ไม่แพ้คือน้ำโอเลี้ยง แต่เป็นสิ่งที่เราไม่อยากกินมากที่สุดเพราะมันมีคาเฟอีน กลัวว่าลูกจะได้รับสารพวกนี้ไปด้วย..แต่หมออนุญาตนะ เราก็พยายามเลี่ยงกินให้น้อยที่สุด.... และสิ่งที่เราทำได้เหมือนเดิมคือนอนร้องไห้ไปอ้วกเป็นเลือดไป

แต่เหมือนมันยังไม่จบ ด้วยความที่ย้ายบ้านไปอยู่ในเขตปริมณฑล สันนิฐานว่ามันคงเป็นที่สวนเก่า และหมู่บ้านปลูกต้นไม้ให้เยอะมาก สิ่งที่เราเคยชอบและชื่นชมคือนกนานาชนิด เสียงร้องเพราะๆของพวกมัน ตอนนี้มันทำให้เราปั่นป่วนมากกกก และพวกมันก็รักเรามากมาเล่นมาจีบกันตีกันที่หน้าบ้านทุกวัน

เราต้องประตูหน้าต่างทุกบานเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงมัน และต้องปิดผ้าม่านไม่ให้เห็นพวกมันรวมถึงต้นไม้ใบไม้ดอกไม้ในสวนที่เราชอบ เราก็เห็นมันไม่ได้เลย กระจายอีก

แต่ก็ยังไม่วายลูกชายหน้าบ้านแว๊นมอเตอร์ไซค์ เสียงรถของไปรษณีย์ เสียงกดออดหน้าบ้าน เสียงน้ำไหลจากก็อก เสียงชักโครก เสียงน้ำตกเคล้าเพลงคลาสสิคเพื่อนบ้านที่เปิดทุกวัน เสียงถ้วยชาม เสียงช้อนกระทบกันเวลากินข้าว หรือแม้กระทั่งเสียงล้างจาน มันช่างบาดลึกเข้าไปในหัวใจ แล้วก็คลื่นไส้อาเจียนออกมาทุกที ..จนเลือดออกมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว หมดแรงจนเดินไปห้องน้ำไม่ไหว ต้องซื้อถุงพลาสติกทีเป็นกิโลๆ แล้วก็จัดการมันบนเตียงนี่แหละ

เราทำไรไม่ได้เลยจริงๆนอกจาก ร้องไห้ อยากโทรไปหาแม่ก็โทรไม่ได้.. ..เราก็ได้แต่คุยกับแม่อยู่ในใจ....นี่ชั้นท้องหรือเป็นโรคกันแน่ ไม่เข้าใจเลย

หลังจากนั้นเราประกาศยกธงขาว คือหาผ้าขาวๆยกขึ้นมาจริงๆให้สามีดูเลย ขอยอมแพ้ชั้นสู้ไม่ไหวแล้วจริงๆ สิ่งที่อยู่ในใจคือชั้นอยากตาย อยากตายและอยากตาย

ถ้ามันจะยากเย็นขนาดนี้ให้ชั้นตายไปเลยดีกว่า มันจะมีใครที่แพ้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้แบบนี้บ้าง เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ระหว่างนั้นต้องเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาลจนจะเป็นญาติกับหมอกะพยาบาลอยู่แล้ว

คร่าวๆว่าแอดมิทไปทั้งหมด 4 รอบ และมีนอนให้ยากะน้ำเกลือเฉยๆแบบไม่แอดมิด(นอนไม่ถึง 6 ชม.)อีก 2-3 รอบ และ OPD อีกนับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งที่ไปหาหมอพอพยาบาลเห็นเราที่แผนก ก็ไม่ต้องบอกไรเลย จับนั่งรถเข็นต่อสายน้ำเกลือโลด เคยได้ยินพยาบาลบอกเคสหนัก ความดันอะไรตกหมด (เราแอบใจเสีย หนักนี่ใกล้ตายมั๊ยน๊อ)

มีหลายครั้งที่กำลังเจาะสายน้ำเกลือหรือเวลากำลังฉีดยาเข้าเส้น เราอ้วกคาเข็มเลย พอเจอหน้าหมอ หมอชวนคุยด้วยก็คุยไม่ได้เพราะน้ำลายเต็มปาก แต่หมอก็ให้กำลังใจทุกครั้ง บางครั้งผ่านหน้าห้องก็แวะเอาขนม เอาหนังสือมาให้ บีบมือบีบแขนให้กำลังใจเรา ยิ้มหวานให้ทุกครั้ง หมอบอกว่าเคสแบบเรา 10 ปีเจอคนนึง เดี๋ยวเราจะผ่านมันไปได้ พระเจ้าอวยพร

เวลาผ่านไปจนถึงวีคที่ 29 เราขอหมอให้ผ่าออกเลยได้มั๊ยเราไม่ไหวแล้ว สงสารลูกด้วยเค้าแทบไม่ได้รับสารอาหารอะไรเลย หมอบอกอดทนอีกหน่อยนะ  อีกนิดเดียวเดี๋ยวสวยเหมือนเดิมแล้ว

ออกมาตอนนี้เดี๋ยวต้องเข้าตู้อบนะ แพงนะ เดี๋ยวตาจะมีปัญหา เดี๋ยวปอดจะมีปัญหานะ  แล้วหมอก็ให้เราฟังเสียงหัวใจลูก เต้นดังเต้นดีเลยแหละ เราก็ยิ้มไปหัวเราะไป บ้วนน้ำลายไปทั้งน้ำตา...ช่วงนี้หมอเริ่มนัดถี่ขึ้นทุกครั้งที่เจอหมอเราขอหมอผ่าออกทุกครั้ง หมอก็ปะเหลาะเราไปเรื่อยๆแบบนี้ทุกครั้ง พร้อมแจกลูกอม ^_^ แต่ก็มีฉีดยาเร่งปอดให้


พอดึงเวลาถึงวีคที่ 35 เราขอหมออีกครั้งเหมือนทุกที คราวนี้หมอบอกว่าอยากให้อยู่ถึง 38 วีค แล้วก็ให้ไปอัลตร้าซาวด์อีกที คราวนี้ปรากฏว่าเด็กหยุดการเจริญเติบโต (ก็แน่ละสิ แม่มันมีอะไรผ่านคอไปไม่ได้เลย แล้วหนูจะโตได้ยังไง) ก็บอกหมอผ่าวันนี้เลยละกัน

หมอต่อรองขอวันเสาร์หน้านะ เราบอกงั้นขอวันพฤหัสเป็นวันเกิดอาม่าพอดี หมอบอกพบกันคนละครึ่งทางละกันเป็นวันศุกร์ ....ยุติการตั้งครรภ์ที่ 36วีคพอดี


วันคลอด


วันที่คลอดมีเรากับสามีแค่ 2 คน สามีต้องไปเดินเรื่องเอกสาร มีพยาบาลมาเข็นเตียงไป แต่ก่อนไปสามีเราก็เตรียวถุงพลาสติก กระดาษทิชชู่ แล้วบอกพยาบาลว่าต้องมีถุงนะเค้าพูดไม่ได้ ต้องคอยบ้วนน้ำลายตลอด พยาบาลก็โอเคเป็นอันเข้าใจกัน  

พอมาถึงหน้าห้องคลอดพยาบาลคนนั้นก็เดินจากไปแล้วมีพยาบาลอีกคนเข็นเตียงเข้าไปแทน  โดยที่เค้าไม่ได้พูดอะไรกัน โอวววววท่าทางงานจะเข้าแน่เลยช๊านนน  แล้วก็คิดไม่ผิด ...น้ำลายตอนนั้นเต็มปากอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ว่าแล้วพยาบาลก็เข้ามาเคลียร์เตียงจัดการเอาถุงก๊อปแกีปกับม้วนกระดาษที่อยู่ข้างๆเราไปเก็บ  โดยเราไม่มีโอกาสได้อธิบายเลย....ซักพักคุณหมอวิสัญญีหรือหมออะไรไม่ทราบ ถามอะไรเราบางอย่าง เราก็ได้แต่พยักหน้าและส่ายหัวไปมา หมอก็งง พยาบาลถามเราก็พยักหน้าและส่ายหัวเหมือนเดิม และในนาทีนั้นคุณหมอทำคลอดเรามาพอดี (คิดในใจหมอช่วยหนูด้วย)

หมอมองหน้าเราแล้วรีบบอกพยาบาลถุงพลาสติกคนไข้อยู่ไหน ไปเอามาด่วนเลย แล้วก็บอกหมอคนอื่นกะพยาบาลว่าคนไข้น้ำลายไหลพูดไม่ได้ 55 เราก็ให้หมอทำคลอดไปบ้วนน้ำลายไป (คิดว่าเดี๋ยวเจ้าตัวเล็กออกมาทุกอย่างก็จะหายหมดแล้ว สวรรค์)


พอคลอดเสร็จหมอผู้หญิงซักคนหนึ่งอุทานออกมาว่า ว๊ายยตัวเล็กนิดเดียว (ใจเสียมากตอนนั้น คิดในใจว่าเราคงหูแว่ว) หมอทำคลอดบอกคนไข้แพ้หนักตลอดอายุครรภ์ .....ทุกอย่างมันเร็วไปหมด หมอผู้หญิงถามอยากดูหน้าลูกมั๊ย เดี๋ยวให้ลูกมาหอมแก้ม เราก็พยักหน้า แล้วก็เหมือนตัวอะไรสีเทาๆวูบๆมาชนที่แก้มเรา เร็วมากจนเรามองไม่ทัน แต่ก็เข้าใจว่าเด็กเกิดใหม่เค้าคงต้องรีบส่งไปทำไรต่ออย่างเร็วที่สุด โดยเฉพาะเด็กคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อยแบบนี้..


เจ้าตัวแสบออกมาด้วยน้ำหนัก 2100 กรัม จิ๋วมากเลยค่ะ โดยเฉพาะเมื่อโดนเด็กเตียงข้างๆหนัก 4 โลประกบ จนลูกเราแลดูเหมือนลูกกรอกเลย 55 แต่สำหรับแม่แล้วหนูทำน้ำหนักได้ดีมากเลยลูกเมื่อเทียบกับอาหารที่หนูได้รับอันน้อยนิดและสิ่งที่หนูต้องเผชิญตอนอยู่ตอนอยู่ในท้องมันคงปั่นป่วน ทรมานหนูน่าดู

และถึงหนูจะตัวเล็กแต่หนูก็แข็งแรงไม่ต้องเข้าตู้อบ ไม่ตัวเหลือง ไม่ต้องฉายแสง มีอย่างเดียวที่เป็นปัญหาในช่วงแรกคือหนูนอนอย่างเดียว ไม่ยอมกินนม เขี่ยยังไง จับอ้าปากยังไงหนูก็ไม่ยอมตื่นเลยค่ะ คุณหมอต้องให้นมทางสายยางผ่านทางจมูกอยู่หลายวัน ...แต่สุดท้ายหนูก็ผ่านทุกอย่างมาได้ด้วยดีค่ะ


ผลต่อเนื่องจากอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงซึ่งมีผลทำให้ลูกต้องคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักน้อย และเรียกน้ำหนักยากมากถึงมากที่สุดเพราะติดหลับตลอด(นึกว่ายังนอนอยู่ในท้อง) ปลุกไม่ยอมตื่น ดูดนมได้ไม่เกิน 1 นาที หลับอีก เลี้ยงยากมาก ร้องตลอด เป็นเสือยิ้มยาก และมักทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลา (สงสัยเพราะแม่มันไม่ได้ฟังเพลง อารมณ์เลยบูดตลอด)

แต่โดยรวมพัฒนาการโดยทั่วไปถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่บางอย่างจะช้าหน่อย ...


อย่างที่บอกในตอนแรกค่ะว่าอาการแบบนี้ไม่มีอะไรรักษาได้เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ถึงแม้บางคนจะคิดว่าพร้อมช่วยเสมอขอแค่บอกว่าให้ทำอะไร แต่ความเป็นจริงคือนาทีนั้นมันไม่มีแรงแม้แต่จะพูดเลย เพราะฉะนั้นคนรอบข้างที่รู้ใจนั้นสำคัญมากเลย โดยเฉพาะสามี คอยเตรียมข้าวของจำเป็นให้อยู่ใกล้มือมากที่สุดหรือหาของหาวิธีที่คิดว่าจะชนะไอ่กาอารพวกนี้ได้(ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ผลเลย) และเป็นกำลังใจให้ ...คิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าไม่มีคนที่บ้านและเพื่อนๆคอยดูแลแล้วเราจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง

สำหรับคนที่อาจจะเป็นเหมือนเราก็ขอให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยดีและมีคนที่เข้าใจคอยอยู่เคียงข้างตลอดนะคะ....

***ใครอยากเห็นหน้า ด.ญ.น้ำเกลือ (ชื่อแรกๆตอนแอดมิทบ่อยๆ) อยู่คอมเม้นท์#99 จ้า

แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 55 13:00:21

จากคุณ : BioYogurt
เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 13:50:30




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


tion.protocol.indexOf('https')>-1?'https://th-ssl':'http://th-cdn') +unescape('.effectivemeasure.net/em.js%22%3E%3C/script%3E')); //]]>