 |
ถ้าจขกท.ถามเราคำถามนี้ สัก 2-3 ปีก่อน คำตอบเราคงเป็นว่า อยู่เมืองไทยค่ะดีที่สุด ใกล้พ่อแม่ญาติพี่น้อง
เราอยู่กับสามีที่ออสเตรเลีย ปีนี้เราอยู่ที่นี่เป็นปีที่ 8 แล้วค่ะ เรื่องอากาศ ที่ออสเตรเลียอาจจะดีกว่าที่แคนาดา ไม่หนาวมาก แต่ก็หนาวสำหรับคนขี้หนาวอย่างเรา
แต่เรื่องสภาพแวดล้อมหลายๆ อย่างอาจจะใกล้เคียงกัน เพราะเป็นประเทศที่ผู้อพยพอยู่เยอะ (ถ้าคุณจะฟังประสบการณ์ เราอยากให้คุณฟังประสบการณ์ของคนที่มีครอบครัวแล้ว และอยู่ที่ประเทศนั้นๆ นานพอสมควรนะคะ เพราะช่วงปีแรกๆ เป็นช่วงของการปรับตัวของเราเอง ทุกอย่างจะเปรียบเทียบกับเมืองไทยตลอด คิดถึงแต่สิ่งที่คุ้นเคย พออยู่ไปหลายๆ ปี โดยเฉพาะถ้าเป็นแม่คนแล้ว มุมมองจะต่างไปค่ะ)
เราทำงานประจำที่นี่ด้วยนะคะ ได้งานที่ตรงกับด้านที่เราเรียนมาพอดี ก็ช่วยเรื่องโฮมซิคไปได้ คือ ถ้าไม่ทำงาน เราว่า เราคงฟุ้งซ่านและคิดถึงเมืองไทยมากกว่านี้
ตอนนี้เรามีลูก 3 ขวบค่ะ มุมมองหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป เริ่มชินกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เร่งรีบ ไม่ต้องเผชิญกับรถติดบนถนน เหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ
ปีนี้ลูกเริ่มเข้าพรีสคูล เราเริ่มมองหลายๆ อย่างในฐานะแม่ และคิดถึงอนาคตของลูกค่ะ เราเริ่มเอนเอียงมาด้านที่อยากให้ลูกโตที่นี่มากกว่าค่ะ (จะบอกเป็นข้อๆ นะคะ) แต่เรายังอยากให้ลูก พูดภาษาไทย และให้เค้ากลับไปเยี่ยมตากับยายที่เมืองไทยบ่อยๆ หรือให้พ่อกับแม่เรามาเที่ยวและอยู่ด้วยกันสักพัก
เราขอบอกมุมมอง ข้อดีหรือข้อแตกต่างระหว่างที่เมืองไทยกับประเทศที่เราอยู่ นะคะ (บางอย่างอาจจะคล้ายๆ กับที่แคนาดา)
1. การเลี้ยงดูลูกยามลูกเล็กๆ
ที่เมืองไทย: มีตายาย คอยช่วยบ้าง (ซึ่งก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย) พ่อกับแม่อาจจะมีเวลาแว้บไปทำอะไรบ้าง หรือถ้าไม่มีตายาย ช่วยก็จ้างพี่เลี้ยง หรือเนอส ซึ่งพี่เลี้ยงที่ดี ไว้ใจได้ หาได้ยากมากกก..
ที่ต่างประเทศ: พ่อแม่เลี้ยงลูกเอง แต่ประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่จะมีนโยบายให้ความช่วยเหลือ คนชนชั้นกลางที่ต้องเลี้ยงลูก (young families)
ความช่วยเหลือมาจาก หน่วยงานของรัฐในรูปแบบต่างๆ มีการให้คำปรึกษาฟรี เช่น ถ้าลูกนอนยาก ก็จะมีคลินิคช่วยเหลือ มีเงินช่วยเหลือตอนคลอดลูก ลางานได้ปีนึง วัคซีนฟรี และตรวจสุขภาพเด็กเล็กทุกๆ ระยะฟรี (ไม่ใช่ว่า จะเอาแต่ของฟรีนะคะ เพราะจริงๆ แล้วที่บ้านก็จ่ายได้ แต่ฟรีจะดีกว่า อิอิ)
พอลูกเข้าเดย์แคร์ ของประเทศที่เราอยู่ เราสามารถเลือกได้ว่า จะเข้าเป็น Family Day Care ซึ่งจะเป็นคล้ายๆ พี่เลี้ยงเด็กตามบ้าน แต่จะมีกำหนดว่า คนเลี้ยงหนึ่งคนสามารถเลี้ยงเด็กได้แค่ 4 คน (ซึ่งจะเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 เดือนได้แค่คนเดียว) และจะมีตัวกลางเป็นคนคอยสุ่มเช็ค
แฟมิลี่เดย์แคร์นี้ก็จะมีโปรแกรมการเล่นและกิจกรรมคล้ายๆ กับศูนย์เดย์แคร์ใหญ่ แต่จะย่อส่วนลงมา เราชอบเพราะว่า ช่วยแก้ปัญหา ลูกป่วยเวลาไปเดย์แคร์ที่มีเด็กเยอะๆ ได้มากค่ะ .. คนเลี้ยงก็รู้จักลูกเราดี และมีมาตรฐานไม่ต้องห่วงมากเรื่องความปลอดภัย.. ข้อนี้ต่างกับของที่เมืองไทยอย่างเห็นได้ชัด... เราเห็นเพื่อนๆ แต่ละคน หาพี่เลี้ยงที่ไว้ใจให้ลูกลำบากมาก
2. ลักษณะโรงเรียนและการศึกษาของเด็ก
ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ จะมีโรงเรียนดีๆ กระจายอยู่หลายๆ ส่วนของเมือง หรือส่วนใหญ่แล้ว เวลาพ่อและแม่จะซื้อบ้าน จะมอง เรื่องโรงเรียนของลูกเป็นเรื่องหลัก (เมืองที่เราอยู่ เขตไหนโรงเรียนรัฐดีๆ เขตนั้นบ้านแพงมากค่ะ)
ด้วยเหตุผลนี้ เด็กๆ จะไม่ต้องใช้เวลาในการเดินทางมากนัก เด็กๆ มีเวลาในการทำกิจกรรมและเล่นมากกว่า ที่ต้องใช้เวลาอยู่บนท้องถนน
เวลาเลือกโรงเรียน เค้าจะดูเรื่อง กิจกรรมอื่นๆ ด้วยค่ะ เช่น กีฬา, band, Arts, โต้วาที, คลื่นวิทยุ ฯลฯ และ เด็กๆ เค้าจะทำกิจกรรมกันจริงๆ นะ เช่น เล่นดนตรี เด็กๆ จะต้องเลือกเครื่องดนตรี หนึ่งชนิด และสิ้นปีก็จะมีการจัดคอนเสริ์ตค่ะ
การเรียนการสอนของเด็กที่นี่ จะเน้นให้เรียนแบบ เรียนรู้นอกห้องเรียน และปฏิบัติ มากกว่าเรียนจากหนังสืออย่างเดียวค่ะ
เรื่องการแบ่งชนชั้น เราไม่ค่อยเจอนะคะ เราคิดว่า เราสามารถเลือกสภาพแวดล้อมและสังคมให้ตัวเองได้นะ ฝรั่งก็เหมือนคนทั่วไป มีทั้งรวยและจน ไม่ใช่ว่าเรามาจากประเทศกำลังพัฒนาแล้วเราจะด้อยกว่าเค้าซะเมื่อไหร่ ที่เราทำคือ เราสามารถเลือกซื้อบ้านในเขตที่ดี เขตที่มีฝรั่งที่มีการศึกษาและมีฐานะค่ะ เท่าที่เราเจอมา ไม่มีใครเหยียดเราได้ ถ้าเราวางตัว ประพฤติตัวดี และเหมาะสม
อยากให้จขกท. ลองไปอยู่ดูสักพัก ถ้ามีเพื่อนที่มีครอบครัวแล้ว อยากให้คุยกับเค้าดูค่ะ และดูว่า จะพออยู่ได้ไม้ .. ถ้าย้ายไปจริงๆ แล้วกลัวเหงา อยากให้ลองหางานทำ แบบพาร์ทไทม์ ไว้ฆ่าเวลาก็ยังดีค่ะ (สามีเราชอบบอก เธอต้องทำงานนอกบ้าน จะได้ไปทะเลาะกับคนอื่นแทน แหะแหะ)
จากคุณ |
:
yuki-onna
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ก.ย. 55 09:16:26
|
|
|
|
 |