|
ผู้เข้าคอร์สบางส่วนป่วยเป็นโรค ซึ่งได้ไปเข้าตรวจกับแพทย์มาแล้ว และหลังจากเข้าคอร์ส ได้ไปตรวจซ้ำอีกที ปรากฏว่านิ่วในถุงน้ำดีลดลง อันนี้ไม่ได้ไปฟังใครกล่าวอ้างเพราะเป็นกับคนใกล้ตัว
อย่างไรก็ตามดิฉันได้หาข้อมูลบางส่วนมาให้ลองอ่านกัน
คัดลอกบางส่วนมาจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ สามารถไปอ่านฉบับเต็มได้ที่ http://www.manager.co.th/daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000119438 -------------------------------------------------- ในคอร์สสุขภาพ 8 อ. (คอร์สล้างพิษตับ) ของชาวสันติอโศก ได้ใช้วิธีล้างพิษออกจากร่างกายด้วย กรรม 7 คือ การล้างพิษจากช่องปากด้วยน้ำมันมะพร้าว (Oil pulling) การอดอาหาร (Diet) การสวนล้างลำไส้ทั้งระบบด้วยกากไยอาหาร (food fiber detoxification) การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว (Liver flush) การปรับสมดุลกรดด่างด้วยน้ำด่างขี้เถ้า pH 8.5 การแช่เท้าและพอกหน้า เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย แต่ดูเหมือนประเด็นที่มักจะมีข้อสงสัยหรือเป็นชนวนในการโจมตีมากที่สุดก็คือ การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว (Liver Fush) ก็เพราะเหตุว่าคนที่เข้าหลักสูตรนี้อดอาหารมาเป็นเวลาหลายวันจนถ่ายอุจจาระจนไม่มีกากแล้ว เหตุใดหลังจากคืนสุดท้ายที่ดื่มน้ำมันมะกอกผสมมะนาวแล้วจึงได้มีการถ่ายอุจจาระออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ บ้างก็เป็นไขมัน บ้างก็เป็นก้อนสีเขียว สีเหลือง วุ้นสีขาว ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันออกไป และในคนๆเดียวๆกันหากเข้าหลักสูตรไปหลายครั้งแล้วสิ่งที่ออกมาก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกครั้งอีกด้วย เฉพาะความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ที่ออกมาซึ่งไม่เหมือนกันนี้เองทำให้ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาเคมีจากสิ่งที่ดื่มเข้าไป เพราะถ้าเป็นผลิตภัณฑ์จากสิ่งที่ดื่มเข้าไปก็ควรจะได้ผลเหมือนกันในทุกๆครั้ง จริงหรือไม่? ฝ่ายที่โต้แย้งที่อยู่ในประเทศบางคนอ้างหรือเชื่อว่าสิ่งที่ออกมาเป็นสีเขียวนั้น เป็นปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นจากน้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว หรือ น้ำมันมะกอก+น้ำมะนาว +ดีเกลือ ปรากฏว่า คุณแก่นฟ้า แสนเมือง ได้ทดลองให้ดูด้วยการนำขวดมาบรรจุ น้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว 1 ขวด และอีกขวดหนึ่งนำน้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว + ดีเกลือ อีก 1 ขวด แล้วเขย่า แล้วตั้งทิ้งไว้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยาน พ.ศ. 2555 ผลปรากฏว่าจนถึงวันนี้ก็ไม่ได้เกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นก้อนไขมันใดๆ ซึ่งเรื่องนี้ใครๆก็สามารถพิสูจน์ได้ ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่โต้แย้งกันในต่างประเทศ ก็มีการสันนิษฐานว่าก้อนที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปฏิกิริยาเคมีที่มีลักษณะเป็นสบู่ที่เรียกว่า Saponification ที่เกิดจากไขมันหรือน้ำมันทำปฏิกิริยากับน้ำดี ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง แต่เมื่อพบความเป็นจริงก็จะพบว่าการทำสบู่ก้อน ซึ่งการทำสบู่ก้อนที่ทำจากน้ำมันมะกอกนั้นต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ซึ่งมีค่าเป็นด่าง (Alkaline) เข้มข้นสูงสุดถึง pH 14 ในอัตราส่วนน้ำมันมะกอก 100 กรัม และใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 12.46 กรัม แต่ความเป็นจริงน้ำดีของมนุษย์มีค่าความเป็นด่าง (Alkaline) ที่มีค่า pH เพียงแค่ 7.5 ถึง 8.8 ซึ่งไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาการทำเสมือนสบู่ก้อนได้
ความจริงแล้วการล้างพิษตับนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร 8 อ.ของสันติอโศก และการบูรณาการเข้ากับภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย และการค้นคว้าจากงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้หลักสูตรที่ได้ออกแบบมานี้มีความครบเครื่องในการล้างพิษอย่างเด่นชัดเสียยิ่งกว่าการล้างตับที่ทำกันในต่างประเทศ จนชาวต่างชาติที่เชี่ยวชาญการล้างพิษตับยังต้องมาดูงานของชาวสันติอโศกไปแล้วในวันนี้ และอาจเป็นเพราะการบูรณาการและพัฒนาการของหลักสูตรล้างพิษตับของชาวสันติอโศก (ที่ริเริ่มและค้นคว้าโดย อ.แก่นฟ้า แสนเมือง, อ.อุ่นเอื้อ สิงห์คำ, อ.ขวัญดิน สิงห์คำ) ทำให้โรคที่ต่างชาติไม่ได้สำรวจเพราะอาจไม่คิดว่าจะหายได้ก็กลับหายได้จากหลักสูตรนี้มาแล้วหลายโรค โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบ บี ที่แพทย์แผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ นอกจากคุณแก่นฟ้า แสนเมือง จะหายจากโรคไวรัสตับอักเสบ บี ด้วยการล้างพิษออกจากร่างกายด้วยตัวเองแล้ว การบูรณาการและพัฒนาการของหลักสูตรส่งผลทำให้ยังมีหลายตัวอย่างปรากฏเป็นผลการตรวจสอบทางแพทย์ในการรักษาโรคดังกล่าว เช่น กรณีล่าสุด คุณชัชชัย คาวีสุทธิกร ได้เข้าตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีสูงถึง 18,100,000 IU/mL ต่อมาเข้าหลักสูตร 8 อ. (ล้างพิษตับ)ของชาวสันติอโศกไป 4 ครั้งเป็นเวลา 4 เดือน ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีลดลงเหลือ 20,400 IU/mL ต่อมาจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษตับอีก 5 ครั้ง ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555 พบไวรัสตับบีลดลงเหลือเพียงแค่ 111 IU/mL เท่านั้น ส่วนการดื่มน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวนั้นแท้ที่จริงแล้วก็เป็นตัวกระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีขับน้ำดีออกมา (ซึ่งทำให้ไขมันและสิ่งตกค้างในตับและถุงน้ำดีได้ถูกขับออกมาด้วย) ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะเป็นห่วงหรือกังวลว่าการดื่มน้ำมันมะกอกว่าจะมีโทษอย่างไรหากดื่มเข้าไปมาก แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปรากฏหลักฐานหรือมีงานวิจัยที่กล่าวถึงโทษดังกล่าว แต่ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกนั้นก็กลับปรากฏเป็นงานวิจัยที่ชัดเจนอยู่จำนวนมาก น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis) ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดในสมองแตก และยังช่วยให้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ และถุงน้ำดี ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่ว นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าน้ำมันมะกอกช่วย บรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ แผลในกระเพาะ และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำมันมะกอก ช่วยปกป้องหนังกำพร้า ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ซึ่งเกิดจากวิตามินอี และ สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอก นอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีในการป้องกันโรคผิวหนังและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolic function) ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ น้ำมันมะกอกช่วยป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานจาก การศึกษาล่าสุดพบว่าระดับกลูโคสของผู้ที่มีสุขภาพดีจะลดลง 12% เมื่อรับประทานน้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอกช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และช่วยให้ร่างกายของคนเรามีประสิทธิภาพในการดูดซึมแร่ธาตุและแคลเซี่ยมได้ดี และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ด้วย อีกทั้งช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก) ทั้งนี้เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวมา จากการค้นคว้าวิจัยพบว่า น้ำมันมะกอกนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง
---------------------------------------------------
จากคุณ |
:
สาวผมสั้น
|
เขียนเมื่อ |
:
9 พ.ย. 55 10:32:47
|
|
|
|
|