ความคิดเห็นที่ 1
เรื่องของ ชา ไฮที (High Tea)
น้ำชาจัดได้ว่าเป็นเครื่องดื่มระดับสากล เพราะนิยมกันแทบทุกชาติ แต่ที่รู้จักกันว่าเป็น 'คอชา' จริงๆ นั้น มีอยู่ 3 ชาติ คือ จีน ญี่ปุ่น และอังกฤษ สำหรับชาวจีนกับชาวญี่ปุ่น แม้น้ำชาร้อนจะเป็นเครื่องดื่มปกติ ที่มักจะดื่มกันแทนน้ำเปล่า แต่ทั้งสองชาติต่างก็มีพิธี 'ยกน้ำชา' และพิธีชงชาซึ่งหรูหราอลังการ เป็นประเพณีประจำชาติทีเดียว ถึงกระนั้นก็ยังไม่หลายหลาก และมากเรื่องเท่ากับน้ำชาแบบอังกฤษ ซึ่งกลายเป็นสาเหตุทำให้ เกิดกรณีพิพาทระหว่างประเทศ จนส่งผลให้เกิดประเทศใหม่ขึ้นมาในโลกประเทศหนึ่ง เมื่อ 226 ปีมาแล้ว
เรื่องนี้นั้น ไม่ได้เริ่มต้นขึ้นจากน้ำชาแต่อย่างใดเลย หากเป็นเรื่องความขัดแย้ง ทางศาสนามาก่อน เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า แค่ไหนแต่ไรมานับตั้งแต่เกิด มีประเทศอังกฤษขึ้น ชาวเมืองผู้ดีต่างก็นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก จนมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งเป็นราชานักรัก พระองค์ทรงมีพระราชินีอยู่แล้ว แต่กลับไปพพระราชหฤทัย ในสาวงามนางหนึ่งนามว่า แอน โบลีน แต่สาวเจ้าไม่ยอมเป็นแค่นางสนม กลับยื่นคำขาดว่า หากเฮนรี่ที่ 8 ไม่ทรงหย่ากับพระราชินี นางก็ไม่ยอมอภิเษกด้วย ตามกฎของคาทอลิกนั้น เมื่อชายหญิงเข้าพิธีสมรสกัน โดยกล่าวคำสัตย์สาบาน ต่อหน้าพระสงฆ์ ซึ่งถือเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า จะหย่าร้างกันไม่ได้ ต้องครองคู่อยู่กันจน 'ความตายมาพราก' (Till death do us path.) ซึ่งทั้งคู่ต้องปฏิญาณอย่างนั้น แต่ด้วยความหลงใหลในหญิงงาม เฮนรี่ที่ 8 ถึงขนาดส่งสารไปขออนุญาตองค์สันตาปาปา ขอหย่ากับพระนางแคเธอรีน มเหสี แต่คำตอบก็คือไม่ เพราะนอกจากจะผิดกฏศาสนาแล้ว โป๊ปยังทรงมีศักดิ์ เป็นพราะราชนัดดา ของพระนางแคเธอรีนเอง เฮนรี่ที่ 8 ก็ไม่ทรงยอมแพ้ ทรงประกาศตัดประเทศอังกฤษ ออกจากศาสนจักร และสถาปนานิกายใหม่คือ เชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ (Church of England) ขึ้น ซึ่งก็ยังคงเป็นศาสนา ประจำชาติของอังกฤษอยู่จนทุกวันนี้ สมัยแรกๆ บรรดาเจานายและขุนนาง ต่างก็คัดค้านกันสุดฤทธิ์ แต่พวกที่ค้านก็ถูกประหารไปนับร้อยคน จนไม่มีใครกล้าขัดขวางอีกต่อไป ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาครั้งใหญ่นั้น ทำให้ชาวบ้านชาวเมือง ที่มีศรัทธาแก่กล้า ในนิกายโรมันคาทอลิกทนคับใจอยู่ไม่ไหว จึงลงเรือแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ไปแสวงหาดินแดนใหม่ แถบชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ของทวีอเมริกาเหนืออยู่กัน เพื่อที่พวกเขาจะมีเสรีภาพ ในการปฏิบัติตามศรัทธาของตนได้ พวกนั้นสร้างบ้านเรือนอยู่ในแถบที่เรียกกันว่า 'นิวอิงแลนด์' ปัจจุบันก็คือแถบนิวยอร์ก นิวเจอร์ซี่ โรดไอร์แลนด์ แมสซาชุเซต์ส และคอนเนคติกัต สมัยที่อพยพมาอยู่แรกๆ พวกนี้ก็ยังถือว่าเป็นตนเอง เป็นคนอังกฤษ ต่อมาหลายชั่วคนเข้า ความผูกพันกับอังกฤษก็มีน้อยลง และอังกฤษต้องทำสงครามกับฝรั่งเศส นับเป็นเวลานานมาก จนเรียกว่ากันว่า 'สงครามร้อยปี' เงินทองก็ร่อยหรอลง อังกฤษก็เลยหันมาขูดรีดขูดไถ เอากับพวกอาณานิคมในอเมริกา โดยการเรียกเก็บภาษีต่างๆ แพงขึ้น โดยเฉพาะภาษีใบชา ซึ่งรู้ว่าผู้คนนิยมดื่มกัน คิดว่ายังไง ก็ต้องซื้อ เลยขึ้นภาษาแบบมหาโหด ชาวเมืองบอสตันในรัฐแมสซาชูเซตต์ส เจ็บใจเลยปลอมเป็นชาวอินเดียแดง แอบขนใบชาของอังกฤษทิ้งน้ำไปหมด เหตุการณ์ครั้งนั้น เรียกว่า บอสตันทีปาร์ตี้ ซึ่งเป็นสาเหตุขัดแย้งใหญ่สาเหตุหนึ่ง ระหว่างชาวอังกฤษกับชาอาณานิคม จนตอนหลังเกิดการประกาศอิสรภาพของอเมริกาขึ้น ไม่ทราบว่าเป็นเพราะ ชาวอเมริกันยุคแรกๆ เจ็บใจอังกฤษจริงๆ หรือเพราะไปติดใจผลไม้พื้นเมืองจากอเมริกาใต้ ที่นำมาคั่วบด แล้วชงกับน้ำดื่ม รสชาติเข้มข้น และกลิ่มหอมรุนแรงกว่าน้ำชาของอังกฤษ เลยทำให้เครื่องดื่มชนิดนี้ ที่เรียกกันว่า กาแฟ หรือ coffee ได้แจ้งเกิดขึ้นในโลกก่อน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะถือกำเนิดขึ้น 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 เพียงไม่กี่ปี
แม้จะมีกาแฟมาเป็นคู่แข่งสำคัญ แต่ชาก็ยังเป็นที่นิยมของชาวอังกฤษ และชาวประเทศในเครือจักรภพ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา รวมทั้งอาณานิคมอื่นๆ ของอังกฤษด้วย แม้แต่ประเทศไทยเราถึงจะ ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ แต่ก็ได้รับอิทธิพลประเพณีดื่มชากับเขาด้วย สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคที่นวนิยายเรื่องบ้านทรายทอง และปริศนากำลังฮิต พระเอก นางเอกของนวนิยายดังๆ สมัยนั้น ตลอดจนตัวประกอบของนางร้าย ต่างก็นิยมดื่มน้ำชา พร้อมกับรับประทานของว่างในยามบ่ายจัดๆ ก่อนที่จะไปตีเทนนิสกัน น้ำชาแบบนั้นมีต้นแบบมาจากอังกฤษ เรียกว่า ไฮที (High Tea) คือ น้ำชายามบ่ายที่รับประทานกับอาหารที่มีเนื้อสัตว์ปน เช่น พายไก่ กะหรี่ปั๊บ สำหรับอาหารว่างแบบไทยก็เช่น สาคูไส้หมู ข้าวเกรียบปากหม้อ ปั้นขลิบ ขนมเบื้อง ขนมปังหน้าหมู รับประทานกับน้ำชาร้อนใส่นม และน้ำตาล จัดเป็นอาหารมื้อใหญ่เกือบเท่าอาหารเย็นทีเดียว แต่ถ้าไม่มีเนื้อสัตว์ปนก็ไม่เรียกว่าไฮที
สำหรับน้ำชามื้อสายนั้น อาจจะมีบิสกิตหรือคุกกี้เสิร์ฟมาด้วย และรับประทานก่อน 11 โมงเช้า น้ำชา 2 มื้อนี้แหละที่เป็นต้นแบบของอาหารว่าง ระหว่างการประชุมในตอนเช้า และตอนบ่าย
ไฮทีนั้น จัดเป็นมื้อบ่ายที่ค่อนข้างจะใหญ่ เพื่อนร่วมงานชาวแคนาดาคนหนึ่ง ชื่ออาจารย์ซูซาน บอกกับผู้เขียนว่า ไฮทีที่เยี่ยมที่สุดในโลก ต้องไปกินที่โรงแรมดิเอเพรส (The Empress) อยู่บนเกาะแวนคูเวอร์ทางตะวันตกของแคนาดา ผู้เขียนก็เคยเห็นโฆษณาไฮทีของโรงแรมนี้ ติดไว้ข้างรถเมล์ในอังกฤษ ดูเชิญชวนให้ไปลิ้มลองจริงๆ เมื่อปลายปีที่แล้วซูซานหมดสัญญา และกลับไปแวนคูเวอร์ ความที่อยู่ด้วยกันมาเกือบ 4 ปี ทำให้ใจหายมาก เลยสัญญาว่าจะเก็บค่าเครื่องบินไปเยี่ยม และไปให้เธอเลี้ยงไฮทีที่ ดิ เอมเพรส แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนเจ้าหล่อนเมลมาบอกว่า ราคาไฮทีที่นั่นตอนนี้ 39 เหรียญแคนาดา (ประมาณ 1,100 บาท) แล้ว ขนาดยังไม่รวมค่าภาษี และบริการนะเนี่ย ผู้เขียนเลยเมลตอบเธอไปว่า ยังเก็บค่าเครื่องบินได้ไม่พอไปแวนคูเวอร์เหมือนกันแหละ ทางที่ดีให้เจ้าหล่อนบินมาทำมาหากิน ในเมืองไทยเหมือนแต่ก่อน แล้วเดินไปกินชาเย็นสูตรโบราณของป้าสุรางค์ ที่สโมสรกันได้ทุกบ่าย ไม่ต้องเสียสตางค์จะดีกว่า [b]เพราะชา กาแฟ ในสโมสรอาจารย์ที่ทำงานของผู้เขียนฟรีค่ะ ท่านผู้อ่านท่านไหนผ่านมา จะลองแวะมาชิมก็ยินดีต้อนรับเสมอ
เรียบเรียงโดย จิราภรณ์ มาตังคะ
นิตยสารกุลสตรี
จากคุณ :
ป้าปูเป้
- [
21 ม.ค. 49 16:57:52
]
|
|
|