ความคิดเห็นที่ 1 น้ำมันมะกอกถูกแบ่งระดับโดยให้ชื่อต่าง ๆ ดังนี้:- 1. Extra-virgin Olive Oil ได้มาจากการคั้นมะกอกรอบแรกด้วยวิธีที่เรียกว่า Cold press ไม่มีการใช้ความร้อนช่วยในการหีบน้ำมัน ไม่ผ่านการฟอก และจะต้องมีความเป็นกรดไม่เกิน 0.8% น้ำมันมะกอกชนิดนี้มีสีเขียว กลิ่นรสเข้มข้น เหมาะสำหรับปรุงน้ำสลัด และแน่นอนมีราคาสูงสุด 2. Virgin Olive Oil ได้มาจากการคั้นรอบแรกเหมือนกัน ไม่มีสารเคมีใด ๆ เจือปน แต่ไม่ได้คั้นแบบ Cold Press จะมีความเป็นกรดมากกว่า คือไม่เกิน 2% สี กลิ่น รสจะไม่เข้มข้นเท่าชนิดแรก 3. Fino Olive Oil ได้มาจากการผสม Extra-virgin Olive Oil กับ Virgin Olive Oil 4. Pure Olive Oil หรือที่บางครั้งเขียนบนฉลากว่า "Olive Oil" ธรรมดา ได้มาจากการผสมกันระหว่าง น้ำมันมะกอกที่ผ่านการฟอกกับ Virgin หรือ Extra-virgin Olive Oil กลิ่นรสจะด้อยลงกว่าสามชนิดแรก 5. Olive-pomace Oil เป็นน้ำมันมะกอกที่ได้จากการผสมน้ำมันที่ผ่านการฟอกกับน้ำมันที่คั้นซ้ำ ออกจากกากมะกอก บางครั้งอาจใส่ Virgin Olive Oil เข้าไปด้วย ไม่ค่อยมีขายตามร้านทั่วไป แต่มักนิยมใช้ตามร้านอาหาร เพราะราคาถูกกว่าและใช้ได้อเนกประสงค์ 6. Light Olive Oil น้ำมันมะกอกชนิดนี้เกิดขึ้นในภายหลัง เนื่องจากเมื่อปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง น้ำมันมะกอกทั่วไปจะไหม้ ผู้ผลิตจึงกรองน้ำมันอย่างละเอียดกว่าปกติ ทำให้น้ำมันที่ได้แทบไม่เหลือรสชาติของน้ำมันมะกอก แต่ทนความร้อนได้สูงกว่าปกติ และยังคงคุณค่าทางโภชนาการเหมือนชนิดอื่น ๆ บางครั้งเรียกว่า Extra Light เพื่อเน้นว่าใสจริง ๆ ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันมะกอก จากหนังสือ Gourmet & Cuisine ฉบับเดือน พ.ย. 2005 คุณ Neocat ลองกลับไปอ่านฉลากดูอีกครั้งนะครับ ว่าแต่ละแบบระบุข้อความแบบไหนไว้ ผมชอบไปยืนอ่านฉลากน้ำมันมะกอกครับ ตัวที่เป็น Extra-virgin นั้น แต่ละยี่ห้อไม่แตกต่างกัน เพราะว่าจะได้น้ำมันจากวิธี First Cold Pressing แทบทุกยี่ห้อ และถือว่าเป็นจุดขายด้วยครับ เพราะว่าใคร ๆ ก็อยากได้น้ำมันมะกอกที่ได้มาด้วยวิธีนี้  ไม่ควรให้ น้ำมันผ่านความร้อน น้ำมันชนิดนี้ทานสด ๆ ได้เลยครับ  ดังนั้น เหมาะสำหรับทำน้ำสลัด ราดบนสลัดผัก แต่ถ้าจะใช้ผัดอาหาร ที่บ้านผมใช้แบบข้อ 3 ครับ จริง ๆ แล้วจะใช้แบบข้อ 6 ก็ดีนะ ราคาไม่แพงด้วย แต่ก็ไม่เคยลองใช้ ส่วนเรื่องทอดอาหารนั้น ไม่เคยใช้น้ำมันมะกอกทอดอาหารแบบจม เพราะว่าน้ำมันมะกอกไหม้ง่าย อย่างมากก็แค่ทอดไข่เจียว ไข่ดาว ที่จริงผมอยากใช้แบบ Extra-virgin มากครับ แต่ที่บ้านไม่ได้ทำน้ำสลัดทานเอง เคยซื้อมาแล้วไม่รู้จะทำอะไร แพงก็แพง ก็เลยต้องเลือกชนิดให้ตรงกับวิถีชีวิต ถ้าสงสัยอะไรก็ลองถามไปใหม่ได้ครับ ถ้าผมทราบก็จะตอบให้ครับ จากคุณ : sahachai - [ 22 ม.ค. 49 01:55:22 ]

ความคิดเห็นที่ 2 evoo -- 1. Extra-virgin Olive Oil  อร่อยมากๆเลยค่ะ เอามาเทใส่จานเล็กๆ สับกระเทียม โหระพา + พริกน้อยเดียว ลงไป จิ้มขนมปังอร่อยมากๆ (แทนนย) จากคุณ : เอริ...จัง - [ 22 ม.ค. 49 03:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 3 .       ข้อมูลของ คุณ sahachai เยี่ยมยอดมากครับ ผมขอเสริมในส่วนที่คุณ sahachai ลืมบอกไปดังนี้ครับ       BERTOLLI ผลิตน้ำมันมะกอก 3 ชนิดคือ             Gentile เป็น  The mildest extra virgin olive oils เหมาะสำหรับใช้ทำ dressings, pasta and marinades.             Extra Vergine เหมาะสำหรับใช้ปรุงสลัด salads             Delicato เหมาะสำหรับใช้ในงานที่ต้องการความร้อนสูงเช่นการทอดหรืออบ                         แต่ความหมายของคำว่า Extra Vergine olive oil อย่าไปคาดหวังมากครับ เพราะตามมาตราฐานของ The International Olive Oil Council ตาม  EU law ไม่มีกฎกำหนดไว้ว่า Extra-virgin olive oil ต้องประกอบไปด้วย 100% Olive Oil เพียงกำหนดว่า Extra-virgin olive oil เป็นน้ำมันมะกอกหรืออนุพันธ์ของน้ำมันมะกอกที่มี  Free oleic acid acidity น้อยกว่า 1 % เท่านั้น ดังนั้นพวก  Lower-quality oils ซึ่งนำน้ำมันมะกอกมาเจือจางหรือมา refined เพื่อลดค่าความเป็นกรดให้ต่ำลงจนได้มาตราฐาน ก็ถูกเรียกกันว่า Extra-virgin กันเกลื่อนเมือง                         อย่าง Extra Vergine olive oil ของยักษ์ส่งออกน้ำมันมะกอกที่ขึ้นชื่อของทางฝั่งเมดิเตอเรเนียน  อย่าง  Bertolli, Sasso และ Cirio ของอิตาลี กลุ่ม Frasca และ Truffle ของฝรั่งเศส หรือ พวก Extra Vergine olive oil ของเขา ก็เป็นน้ำมันมะกอกที่เจือจางด้วย  hazelnut oil 20 % แล้ว Refine ลงมาจนได้มาตราฐานเป็น Extra Vergine ครับ                        อย่าง USA ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก The International Olive Oil Council ยิ่งแล้วใหญ่ เล่นใช้นำมันข้าวโพด ถั่วเหลือง และดอกทานตะวันมาผสมกันให้เปราะไปหมด แล้วก็เรียก Extra Vergine หน้าตาเฉย จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 22 ม.ค. 49 13:50:13 ]

ความคิดเห็นที่ 4 .                         ความหมายที่แท้จริงของ Extra Vergine olive oil  ในหมู่ปรมาจารย์ในการทำอาหาร เขาหมายถึง น้ำมันมะกอกที่ได้มาจากเม็ดมะกอก( แถบเมดิเตอเรเนียนที่อุณหภูมิและความชื้นเหมาะสมเหมือนฟ้าประทาน )ที่สุกคาต้นไม่หล่นลงสู่ดินให้เปื้อนราคีคาวของไอดิน ด้วยขบวนการบีบน้ำมันระบบ cold-pressed ที่ไม่ใช้สารเคมีหรือขบวนการใดเป็นองค์ประกอบในการบีบน้ำมันให้เปื้อนมนทิล และต้องอัดบีบภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมงหลังจากเก็บเกี่ยว และต้องไม่มีการกรอง ( Filtration ) หรือการปรับแต่งใด ( Refination ) เพื่อให้สูตรเสียความบริสุทธิ์ของธาตุในน้ำมันมะกอกไป ดังนั้นสีของน้ำมันจึงขมุกขมัวและมอนแมม แบบสาวใสซื่อในชนบลไงครับ เขาถึงเรียกน้ำมันที่กลั่นว่า Extra Vergine หรือ สดซิงๆ ไงครับ                       จุดเด่นของน้ำมันมะกอกอยู่ที่ กลิ่น มี Smoke point สูงถึง 360 ํC กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมาก จึงคงสถานะเป็นของเหลวไม่จับตัวแข็งแม้อุณหภูมิจะเย็นลง นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วย Antioxidants อาทิเช่น  polyphenols, Vitamin E และ Natural antioxidants อีกหลายตัว ที่เขาอ้างว่าไปป้องกันการเปลี่ยนสภาพของ Cell membranes  fatty acids ไม่ให้กลายเป็น Lipid peroxides ทำให้พวก Cell ของร่างกายมีอายุยืนขึ้น                      น้ำมันที่วางขายตามห้างสรรพสินค้า ใสเป็นตาตั๊กแตน เป็นน้ำมันที่กลั่นกรองแล้วดังนั้น คุณค่าทางโภชนาการเกี่ยวกับการเป็น Antioxidants  ซึ่งเป็นจุดขายก็ถูกกลั่นกรองทิ้งตามไปด้วย                       น้ำมันประเภท Real Extra Vergine Olive Oil นี้มีหลายยี่ห้อ ที่ดังๆก็มี Bariani ผมยังไม่เคยเห็นมีการว่าจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหน เพราะราคามัน ลิตรละเกือบ 100 $ พวก Traditional 100 % Filtered & Refined Extra Vergine Olive Oil ก็ปาเข้าไปเกือบลิตรละ 40 $ ไอ้ประเภท ลิตรละไม่ถึงพัน ที่ขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วโลก มันก็เป็น Extra Vergine แบบสมราคาของมัน ไม่มีค่าอะไรให้ชื่นชมหรอกครับ                      ดังนั้นตามความเห็นผมจึงว่า การปรุงอาหารหรือขนม ไม่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันมะกอกให้มันเปลืองสตางค์  มีข้อบ่งใช้เพียงเมื่อเราต้องการเรื่องกลิ่นเท่านั้นถึงจะใส่ก็พอแก่การณ์แล้วครับ แต่ถ้าคุณต้องการใช้มันก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของคุณครับ จากคุณ : วเนจรป่าคอนกรีต - [ 22 ม.ค. 49 13:54:23 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณทุกท่านค่ะ   ได้ข้อมูลดีมาก จากคุณ : neocat - [ 23 ม.ค. 49 11:42:39 ]