สะพายเป้ ตะลุยเดียว 2 วัน 1 คืน ณ เกาะสีชัง
คืนวันอาทิตย์มาทำโอที ก็เราทำงานครบ 7 วัน ก็อยากจะไปเที่ยวชาร์จแบ็ตให้ตัวเอง ซึ่งวันจันทร์เราลาพักร้อน 1 วัน ก็เลยกะว่า จะเข้ากรุงเทพ น้องสาวโทรมาบอกว่าจะไปสัมภาษณ์งาน เราเลยไม่เข้ากรุงเทพ
เลยเปลี่ยนแผนใหม่จะไป เกาะสีชัง ค้นหาที่พักจากในอินเตอร์เน็ท ก็ลองโทรสอบถามที่พักดู มีคืนละ 850 บ้าง 1200 บ้าง และได้ที่หนึ่ง 650 บาท ห้องแอร์ ก็น่าสน ชื่อ เบ๊นซ์ บังกะโล เจ้าของบอกว่า จะให้ลูกชายเอาสามล้อไปรับที่ท่าเรือ
12.30 จากนั้นก็นั่งรถสองแถวจากบางแสน (7 บาท)ไปหนองมน ต่อ รถเมล์ไปลงโรบินสัน (12 บาท) ศรีราชา ต่อรถมอไซค์ (20 บาท) ไปท่าเรือที่เกาะลอย มาช้าไปไม่ทันเรือบ่ายสอง เรือมีทุกชั่วโมง จึงต้องรอเรือตอนบ่าย 3จากนั้นจ่ายค่าเรือไปเกาะสีชัง (40 บาท)
มาถึงท่าเรือ มีน้องผู้ชายตัวเล็กผอม (รูปร่างประมาณ 1 ใน 3 ของผมเอง) ขับสามล้อมารับ ชื่อน้องเต้ย ก็ไปที่บังกะโล ระหว่างทางที่เดินทางไป บ้านคนรายล้อม เหมือนกับว่า เราไม่ได้อยู่บนเกาะอะ เหมือนอยุ่แถวเมืองธรรมดาทั่วไปแหละ พอมาถึงบังกะโลเจอพี่วิชาญ เจ้าของ ก็บอกว่า น่าจะไปทัวน์รอบเกาะก่อน 1 รอบ คิด 250 บาท
น้องเต้ยพานั่งมอไซค์สามล้อผ่าน หลักศิลาจาริกของร. 5 ก็ไม่ได้แวะดู เราเลยไปช่องเขาขาด ที่ช่องนี้มีบังกะโลติดทะเลวิวดี คนมักจะชอบไปตกปลาที่นั่น ทำเลสวยดี แต่ดูมันโล่งเกินไป ก็เดินวันดูสวน ขึ้นบันไดไปดูจุดชมวิว
อยู่ที่นั้นได้สักพัก น้องเต้ยก็พาไปดู เจ้าพ่อเขาใหญ่ ต้องขึ้นบันไดไป 200 ขั้น เหนื่อยเหมือนกัน เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน ไม่เป็นไรทนเอา เจ้าพ่อเขาใหญ่ที่คนสักการะซึ่งทำจากหินแกะสลักแล้วทาสีทองทั่วทั้งถ้ำ ก็ถ่ายรูปอย่างเดียวและก็ออกมา (ผมเป็นคริสเตียนครับ) เห็นมีตั้งเคาเตอร์บริจาคโลงศพ เลยทำบุญไป 500 บาท/ 1 โลง ลงบันไดมาก็เจอคนแก่ไร้บ้านมาพักอยู่แถวนั้น เพราะทางวัดจัดให้เป็นที่พัก เราก็บริจาคให้เขาอีก ไม่เจอน้องเต้ย ถามคนแถวนั้นบอกไปสะพานปลา เราก็เลยไปนั่งรอสั่งโอวัลตินเย็นมากิน น้องเต้ยก็ขับรถโผล่มา
ก็บอกว่า จะพาไปดูวังร. 5 ก็พาเราไปสักการะรูปปั้นของร. 5 เราขึ้นบันไดไปสักพัก พ่อเจ้าเต้ยมาเรียกไปไหนไม่รู้ สรุปแล้ว เราก็เลยเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ถ่ายสะพานอัษฏางค์ที่คนชอบถ่ายกันมากที่สุด นานพอสมควร น้องเต้ยขับรถมาหา
แล้วพาไปจุดสุดท้าย จุดเล่นน้ำทางไปหาดก็ลาดชันซะ ดีแล้วที่ไม่เช่ารถมอไซค์ (ราคา 250 บาท/วัน) เพราะโค้งหักศอกเยอะ แถมเป็นเนินสูงอีก ขี่ลำบาก พอถึงหาดก็หน้าไม่ค่อยกว้างเลย ก็เดินวนๆ เล่นๆ นัดน้องเต้ยมารับตอน 6.30 นี้เพิ่ง 5.45 เอง เลยเบื่อๆ เซ็ง ดังนั้น ควรจะบอกเวลาที่แน่นอน เพื่อให้คนขับรถมารับ เพราะคนขับรถอาจจะไปรับจ๊อบอื่นๆ ในเวลาที่ปล่อยเราไว้แถวนั้น!
น้องเต้ยแนะนำร้านอาหารตรงข้ามกับบังกะโลเลย บอกว่าอร่อย เราก็เดินไปสั่ง ดูเมนู ลูกสาวเจ้าของร้านมารับเมนู เราถามหลายเรื่องเรื่องอาหารว่า เจ้านี้อร่อยไหม อะไรอร่อยบ้าง สุดท้ายได้สั่ง หอยฟันกระต่ายทอดกระเทียมพริกไท (หวานมาก) แล้วก็กุ้งชุบแป้งทอด 1 จาน (กุ้ง 14 ตัว นับแล้วจ๊ะ) ข้าวอีก 2 จาน
สรุป กินเจ้าหอยนั้นเยอะมาก ครึ่งกิโลได้มั้ง พุงจะแตก เคี้ยวและหนึบดี อร่อยคล้ายๆ หน่อไม้ทะเล (เจ้าหน่อไม้ทะเล ซึ่งก็คือสัตว์ตระกูลหอยอะแหละ มาผัดเกี๋ยมฉ่าย อร่อยมาก) รูปร่างเหมือนหอยเชลล์ แต่หอยเชลล์จะมีไข่พ่วงติดมาสีส้ม ส่วนเจ้าหอยฟันกระต่าย ตัวใหญ่กว่าหอยเชลล์ประมาณ 3 เท่า แล้วก็มีเอ็นเป็นสีส้มสด
อีกจานกุ้งชุบแป้งทอด ก็ใช้แป้งโกกิอะแหละมาชุบ ขอบอกว่า กุ้งทอดกรอบจริงๆ แป้งก็ไม่หนากำลังดี แถมจิ้มน้ำจิ้มบ๊วยเจี่ยของทางร้าน อร่อยมาก มีรสออกเปรี้ยวเหมือนใส่เหล้านิดนึง หอมๆ สุดยอดจรึงๆ สนนราคาอาหารจานละ 150 บาท ข้าวสวยจานละ 10 บาท มื้อนี้หมดไป 320 บาท
เขาเอาอาหารมาเสริฟให้ที่ห้องเลยทานในห้องนั้นแหละ ดูทีวีไปด้วย ทานเสร็จ ก็นอนอึด หลับไปทั้งอย่างนั้น (นอนเน่าบนเตียง ไป) ห้องพัก ก็เอาหินมาก่อทั้งห้องทั้งเพดาน เท่ห์เก๋ดี แอร์เย็นเฉียบจนเราจะเหมือนช้างแช่เย็นอยู่แล้ว
เช้าวันอังคาร ตื่นมาตีสี่ นอนบ่หลับ เปิดทีวีดูรายการ ดูจนถึง หกโมง ก็อาบน้ำ เดินออกไปชมวังต่อ คราวนี้ได้แผนที่ที่มีคนเอามาวางไว้ที่ห้อง ก็เดินสำรวจหมด ขอบอกว่า วันจันทร์เป็นวันหยุดของทางสถานที่ในวัง แห้วแตกไป ดีที่นอนหนึ่งคืน ค่อยเอามาเก็บเอาวันนี้แหละ ทางเดินลาดชัน แถมเอาหินมาวางตรงทางเดินแล้วลาดปูน เดินไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ เพราะทางเดินมันขรุขระ แต่อย่างว่า ถ้าทำทางเรียบ จะเดินยากอีก
เดินขึ้นไป ได้ไปเคาะหินที่เขาบอกว่าเป็นระฆัง เคาะดูก็ดังกังวลดี
เดินจนเกือบ 8 โมง ลงมา แดดยังไม่ออกเลยเพื่อมาสั่งกับข้าว เมื่อวานเห็นมีหอยกระโจงโดงด้วย มีคนบอกว่า มันเครี้ยวหนึบอร่อยดี เลยสั่งยำหอยกะโจงโดง ไม่วายสั่งกุ้งชุบแป้งทอดของอร่อยอีก ข้าวสวยคราวนี้สั่งแค่จานเดียวพอ แล้วก็ขอน้ำอัดลมขวดนึงละกัน (ขวดละ 25 บาท น้ำแข็งกระติกละ 10 บาท ) กลับไปรอในห้องพักสักครู่ อาหารก็มา แต่ดันเป็นยำหอยฟันกระต่าย เลยเอาไปเปลี่ยน ตาลุงเจ้าของร้านฟังผิด ก็เลยได้กินหอยกระโจงโดงที่อยากกิน เป็นหอยน่าเกลียดตัวสีดำลายจุดขาว เอามาลวกมายำกับมะม่วงหั่นฝอยตามยาว แล้วก็หอมแดงซอย ก็อร่อยดี แต่ทานมากเกินไป ก็เลี่ยนๆเหมือนกัน ทนทานจนหมด ส่วนกุ้งชุบแป้งทอด คราวนี้ได้มาแค่ 13 ตัวเอง (นับตลอด)
เก้าโมงแดดออก โครตจะร้อน แต่ว่า รอพิพิธภัณฑ์เปิด พอออกไปตอน 9.30 เข้าพิพิธภัณฑ์ และตามชมห้องแสดง exhibition เกี่ยวกับเกาะ และ ประวัติศาสตร์ของเชื้อพระวงศ์ มีเยอะพอสมควร อ่านไม่ทัน อาศํยกล้องมือถือถ่ายรูปเก็บไว้ไปอ่านเวลาว่างๆ
เดินขึ้นเดินลงเขา เหนื่อยและอากาศร้อนมาก ได้ชาเขียวเลมอนมะนาวมา 1 ขวด ( 25 บาท) แช่ซะเย็นเฉียบ เป็นวุ้นเลย ดื่มแล้วเย็นชื่นใจมีแรงเดินต่อ
กลับมาก็ 11 โมงแล้ว กลับไปเก็บของ เปิดแอร์เย็นๆ เก็บของไปด้วย พอหายเหนื่อย พี่วิชาญก็ขี่มอไซค์ไปส่งที่ท่าเรือ แกไม่คิดค่าไปรับ-ส่งเลย คราวหน้าถ้าจะมาก็จะพักกับแกอีก อาหารถ้ากลับมาทานอีก ก็คงทานกุ้งชุบแป้งทอด อร่อยจริงๆ
ข้อแนะนำ
1) ถ้าต้องการไปดูบอร์ด exhibition ควรไปวันอื่น ที่ไม่ใช่วันจันทร์ เพราะวันจันทร์เป็นวัดปิดทำการของวัง
2) ควรเลือกนอนห้องติดเครื่องปรับอากาศเพราะอากาศร้อนมาก
3) รถสามล้อเครื่อง คิดค่าบริการเป็นรอบเกาะนะ ถ้าจะไปไหนนอกจากเส้นทาง เสียตังค์เพิ่ม
4) อาหารการกินไม่แพงอย่างที่คิด เพราะถ้าข้าวจานเดียว ก็ 35 บาทนะ แต่ถ้าสั่งเป็นกับข้าวก็ 100 บาทขึ้นไป แต่รับประกัน คุ้ม และ อร่อย :P
5) เกาะนี้ความปลอดภัยสูง สงบ เงียบ ถ้าใครเหงาและอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ควรไป แล้วจะได้ไอเดีย ความคิดต่างๆ มาไม่มากก็น้อย
6) การเดินทางจากฝั่งศรีราชามาเกาะ มีเรือรับส่งตั้งแต่ 6 โมงเช้า และขากลับจากเกาะมาศรีราชามีถึงแค่ 6 โมงเย็น ออกตรงเวลาทุกชั่วโมงนะ ส่วนจากศรีราชามาเกาะ จะมีเที่ยวสุดท้ายถึง 2 ทุ่มตรง
คราวหน้าวางแผนจะไปเที่ยวที่ไหนต่อไปนั้น ติดตามชมตอนต่อไปนะครับ
จากคุณ :
Christian Chang
- [
1 มี.ค. 50 02:56:32
]