PANTIP.COM : D5757683 ซอสหอยนางรมยี่ห้อนี้อร่อยมากครับ [การทำอาหาร]

ความคิดเห็นที่ 2

ลองหาในเน็ตดู หูย ยี่ห้อเก่าแก่ 70 ปีแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินเลย

อุตสาหกรรมไทยปรีดาฯรุกตลาดเปิดตัวซอสหอยนางรมราชาสูตรฮ่องกง ชู3จุดเด่น"ครั้งแรกของไทย-รสชาติฮ่องกงแท้-ปรุงง่าย"เจาะตลาดบน

เตรียมอัดงบกว่า 30 ล้านบาทโปรโมท-คาดยอดขายปี 49 โตกว่า 25 %
นายประภากร วีระพงษ์ ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท อุตสาหกรรมไทยปรีดา จำกัด ผู้ผลิตน้ำปลาและซอสปรุงรส..ตราราชา.... ซึ่งเปิดดำเนินการมานานกว่า 60 ปี เปิดเผยว่า ภายใต้ความเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจมานานกว่า 60 ปี บริษัทจึงมีความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภค ทำให้มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทได้นำเสนอ...ผลิตภัณฑ์ซอสหอยนางรม ตราราชา สูตรฮ่องกง....ออกสู่ตลาด โดยมีจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ซอสหอยนางรมทั่วไป ซึ่งผู้บริโภคจะสามารถสัมผัสได้ทันทีเมื่อได้นำ..ผลิตภัณฑ์ซอสหอยนางรม ตราราชา สูตรฮ่องกง...ไปใช้ประกอบอาหาร ซึ่งบริษัทมั่นใจว่า..ผลิตภัณฑ์ซอสหอยนางรม ตราราชา สูตรฮ่องกง...จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบอาหารสไตล์ฮ่องกงได้เป็นอย่างดี และจะส่งผลให้บริษัทมียอดขายเติบโตตามแผนที่วางไว้โดยมีอัตราเติบโตจากปี 2548 ประมาณ 25 %

นายประภากร กล่าวว่า บริษัท อุตสาหกรรมไทยปรีดา จำกัด ก่อตั้งก่อนปี 2490 ที่จังหวัดชลบุรี เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตน้ำปลาแท้ และเป็นบริษัทกลุ่มแรก ๆ ที่เป็นผู้ผลิตน้ำปลาของประเทศไทย และด้วยนโยบายการดำเนินธุรกิจที่ซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมีรสชาติแบบที่ผู้บริโภคต้องการ พร้อมทั้งเน้นย้ำเรื่องบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยมจึงทำให้ บริษัทเป็นที่ไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด จึงทำให้บริษัทขยายการดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิต(แบบ OEM ) ให้กับผู้ค้ารายอื่นๆ ควบคู่ไปกับการผลิตน้ำปลาและซอสปรุงรส ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทเอง คือ เครื่องหมายการค้าตรา...ราชา...โดยสัดส่วนการรับจ้างผลิตจะมีสูงถึง 60 % เมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทเองซึ่งมีเพียง 40 % ซึ่งสัดส่วนการดำเนินธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงไปโดยในปี 2550 บริษัทคาดว่าการผลิตแบบ OEM จะลดลงเหลือ 40 % และการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทเองจะเพิ่มขึ้นเป็น 60 % ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ.....ราชา.....สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ ผลิตภัณฑ์น้ำปลา ผลิตภัณฑ์ซอสหอยนางรม ผลิตภัณฑ์ซอสพริก และผลิตภัณฑ์น้ำจิ้มไก่ โดยมีกำลังการผลิตประมาณ 9 ล้านลิตรต่อปี

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2549 นายประภากร กล่าวว่า บริษัทจะให้ความสำคัญของการดำเนินธุรกิจ 3 แนวทางคือ แนวทางแรกคือเน้นการรักษามาตราฐานผลิตภัณฑ์ แม้ว่าในปัจจุบันบริษัทจะได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP และมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหาร HALAL แล้ว บริษัทยังขอรับรองมาตรฐาน HACCP เพิ่มอีก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ทุกผลิตภัณฑ์ที่บริษัทผลิตขึ้น พร้อมการวิเคราะห์ผลผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ สำหรับแนวทางที่สองคือการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด โดยทำการศึกษาความต้องการของตลาดก่อน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นสามารถตอบสนองความต้องการ

ของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง เช่น การแนะนำผลิตภัณฑ์ซอสหอยนางรม สูตรฮ่องกง ซึ่งเน้นความแปลกของ รสชาติ สไตล์ฮ่องกงแท้ ส่วนแนวทางที่สาม คือการขยายจุดจำหน่ายเพิ่มขึ้น โดยในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีการจัดจำหน่าย 2 รูปแบบ คือจำหน่ายตรงกับผู้ผลิตอาหาร หรือภัตราคารชั้นนำ และจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป เช่น ท็อป ซุปเปอร์มาร์เก็ต เดอะ มอลล์ ฟู้ดแลนด์ และจัสโก้ ฯลฯ โดยคาดว่าภายใต้แนวทางการดำเนินธุรกิจทั้ง 3 ประการนี้บริษัทจะมียอดขายเติบโตกว่า 25 % และมีผลประกอบการในสิ้นปี 2549 ประมาณ 150 ล้านบาท

นายวีระพงษ์ เหล่าวานิช รองประธานกรรมการ บริษัท อุตสาหกรรมไทยปรีดา จำกัด กล่าวในฐานะผู้ดูแลการตลาดว่า ผลิตภัณฑ์ซอสหอยนางรมตราราชา สูตรฮ่องกง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัททำการแนะนำสู่ตลาด บริษัทเน้นจุดเด่น 3 ประการคือ เป็นผลิตภัณฑ์แรกของตลาดซอสหอยนางรมไทย ที่มีรสชาติแปลกใหม่ หรือแตกต่างจากรสชาติเดิมที่มีอยู่โดยสิ้นเชิง ประการที่สองคือรสชาติฮ่องกงแท้ ซึ่งผู้บริโภคสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารรับประทานได้ทันที โดยไม่ต้องผสมกับเครื่องปรุงรสชนิดอื่น ๆ และประการที่สาม คือ เน้นการปรุงที่ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ปรุงอาหารไม่เก่งแต่ต้องการรับประทานอาหารอร่อย หรือต้องการรับประทานอาหารอร่อยโดยไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับวิถีชีวิตของคนเมืองในปัจจุบันที่ต้องการคุณภาพชีวิตในเวลาที่ค่อนข้างจำกัด โดยบริษัท มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ซอสหอยนางรม สูตรฮ่องกงนี้จะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี

สำหรับแผนการตลาดของผลิตภัณฑ์ซอสหอยนางรม สูตรฮ่องกง นายวีระพงษ์ กล่าวว่า เนื่องจากความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ว่ามีรสชาติที่แตกต่างจนผู้บริโภคสัมผัสได้ บริษัทจึงเตรียมจัดโปรโมชั่นแบบ 1 แถม 1 สำหรับการแนะนำตลาดในช่วงแรก นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมแจกชิม ณ จุดจำหน่ายด้วย โดยจะทำควบคู่ไปกับเคมเปญโฆษณาต่าง ๆ ซึ่งจะครอบคลุมทั้งสื่อทีวี วิทยุ และสิ่งพิมพ์ สำหรับงบประมาณด้านการตลาดที่จะใช้ประมาณ 30 ล้านบาท สำหรับครึ่งปีหลังของปีนี้ ส่วนงบประมาณในปี 2550 จะมีการพิจารณาอีกครั้งในช่วงปลายปี โดยผลิตภัณฑ์ที่จะวางจำหน่ายจะมี 2 ขนาดคือขนาด 700 กรัม จำหน่ายราคาขวดละ 40 บาท เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก หรือ ผู้บริโภคทั่วไป และขนาด 5,000 กรัม จำหน่ายในราคาแกลลอนละ 190 บาท เหมาะสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร ภัตตาคาร ผู้ประกอบธุรกิจผลิตอาหาร หรือห้องครัวของบริษัทที่ต้องปรุงอาหารสำหรับพนักงานจำนวนมาก

จากคุณ : วี - [ 27 ส.ค. 50 15:55:57 ]

ความคิดเห็นที่ 3

http://www.dip.go.th/News/NewsPrint.asp?NewsID=3881
''ราชา'' พลิกฟื้นมรดกรุ่นปู่ ต่อจิ๊กซอว์เครื่องปรุงรส

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 พฤศจิกายน 2549 17:35 น.

"ราชา" น้ำปลายี่ห้อดังใดอดีตที่ตีคู่มากับยี่ห้อดังในปัจจุบัน กลับมาเคลื่อนไหวครั้งใหญ่หลังจากแช่แข็งธุรกิจมานาน เมื่อได้คนรุ่นที่ 3 เข้ามารับช่วงพลิกฟื้นธุรกิจ มรดกที่ตกทอดมา เป้าหมายที่ตั้งใจไว้คือการมุ่งไปในธุรกิจเครื่องปรุงรส เดินหน้าต่อจิ๊กซอว์ใหม่ เจาะเข้าไปในครัวไม่ใช่แค่ในประเทศไทยที่แคบๆ แค่นี้ แต่คิดและเตรียมพร้อมจะไปไกลในโลกกว้าง

ประภากร วีระพงษ์

ประภากร วีระพงษ์ ประธานกรรมการ กับ วีระพงษ์ เหล่าวานิช รองประธานกรรมการ บริษัท อุตสาหกรรมไทยปรีดา จำกัด ผู้ผลิตน้ำปลาและซอสปรุงรส "ราชา" ก่อตั้งมานานกว่า 60 ปี กล่าวถึงการเข้ามาช่วยกันพลิกฟื้นธุรกิจของทายาทรุ่นที่ 3 หลังจากการทำธุรกิจน้ำปลาซึ่งมีโรงงานออยู่ที่ชลบุรี สะดุดไปถึง 20 ปีว่า มาจากความตั้งใจตั้งแต่เด็กและความพร้อมจึงเกิดการตั้งหลักใหม่อีกครั้ง

๐ มั่นใจจุดแข็งพร้อมรุก สร้างลอยัลตี้อุดจุดอ่อน

ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เรียนรู้ทฤษฎีทางการบริหารจัดการมาอย่างดีวิเคราะห์ธุรกิจเครื่องปรุงรสของ "ไทยปรีดา" ในปัจจุบันและให้ภาพการเติบโตในอนาคตด้วย SWOT Analysis ว่า สำหรับจุดแข็ง (Strengths) ข้อแรกคือ "คุณภาพสินค้า" ซึ่งมาจากการเริ่มเข้าสู่ธุรกิจด้วยการรับจ้างผลิตทั้งในสินค้าที่มีแบรนด์แข็งแกร่งอยู่แล้ว เช่น คนอร์ และสามแม่ครัว รวมทั้งผลิตให้กับโมเดิร์นเทรด เช่น โฮมเฟรชมาร์ท คาร์ฟูร์ บิ๊กซี และโลตัส

"การทำอย่างนี้ในช่วงแรกเมื่อ 7-8 ปีก่อน เพราะต้องการให้มีปริมาณการผลิตที่สม่ำเสมอทำให้โรงงานผลิตไปได้อย่างราบรื่น เมื่อวอลุ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นโอกาสให้พัฒนาคน และยังช่วยลดความเสี่ยงในหลายๆ เรื่อง เช่น หากทำธุรกิจกับรายเล็กอาจจะเกิดปัญหาลูกค้าไม่ชำระเงิน หรือปัญหาปริมาณการผลิตไม่ชัดเจน และการรับจ้างผลิตทำให้เราได้เรียนรู้วิธีการค้าขายไปพร้อมๆ กัน จนมาถึงวันที่เราพัฒนาคุณภาพได้มาตรฐานไม่ผิดเพี้ยน"

นอกจากนี้ การเข้าสู่ช่องทางแคเทอริ่ง ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และโรงพยาบาล ทำให้มีฐานลูกค้าสำคัญหลายร้อยราย ซึ่งช่วยตอกย้ำเรื่องคุณภาพของสินค้า เพราะเป็นกลุ่มที่มีการทดสอบสินค้าตลอดเวลา และสื่อสารกลับมาให้รู้อย่างทันทีทันการณ์ ซึ่งช่วยให้ได้พัฒนาคุณภาพและเป็นตัวช่วยให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อสินค้านำไปขยายผลยังกลุ่มลูกค้าอื่นๆ ได้ในอนาคต

จุดแข็งอีกข้อหนึ่ง คือ "รสชาติที่แตกต่าง" โดยเฉพาะซอสหอยนางรม ซึ่งสินค้าอยู่ในท้องตลาดทั่วไปมีรสชาติไม่แตกต่างกัน "ราชา" จึงนำสูตรฮ่องกงมาเป็นจุดขายที่โดดเด่นเพราะไม่มีใครทำ และการมีโรงงานก็เหมือนการมีห้องแล็ปสำหรับพัฒนาสินค้าของตัวเองได้สะดวก

"ถ้าทำแค่น้ำปลา ก็จะมีน้ำปลาแบบเดียว แต่ถ้าเป็นซอสปรุงรส มันสนุกกว่ากันมาก เพราะสามารถแตกออกไปได้อีกเยอะ เช่น ซอสผัดนานาชนิด ซอสจิ้ม มีได้หลายรสหลายแบบ มองอนาคตการขยายตลาดซอสปรุงรสจะไปได้ไกลกว่าน้ำปลามาก และการมีสินค้าหลายตัวทำให้ลูกค้าเลือกได้มาก โอกาสที่จะขายได้ก็มากขึ้น" ผู้บริหารรุ่นใหม่ บอกถึงวิธีคิดในการทำธุรกิจ

"ความยืดหยุ่น" เป็นจุดแข็งอีกข้อในการบริหารจัดการทำให้การทำงานปรับตัวเร็วเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และดูความต้องการของผู้บริโภคก่อนว่าต้องการอะไร ด้วยความที่ขนาดโรงงานยังไม่ใหญ่ เช่น ผลิตซอสหอยนางรมแค่ 2.5 หมื่นขวดต่อกะต่อวัน และน้ำปลาประมาณ 6 หมื่นขวดต่อกะต่อวัน ทำให้ปรับได้ง่าย

ในขณะที่ "บริการหลังการขาย" ทำได้ดี เพราะสำหรับลูกค้าบางกลุ่ม โดยเฉพาะแคเทอริ่งต้องการความสะดวกรวดเร็วและราคาไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด

รวมทั้ง "การเน้นบุคลากรสายตรง" โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหารและโภชนาการ (food science) ซึ่งมีถึง 10 คน เพราะจะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตกับการเติบโตของธุรกิจ เพื่อรองรับกฎเกณฑ์การใช้มาตรฐานต่างๆ ที่จะมากขึ้น

"เมื่อมีการตรวจเช็คคุณภาพสินค้าหรือการผลิต ฝ่ายที่ตรวจพาฟู้ดไซน์มาด้วย เรามีคนที่คุยภาษาเดียวกันรู้เรื่องทำให้เข้าใจกันง่าย การจัดการง่ายขึ้นตามไปด้วย"

นอกจาก วีระพงษ์ จะเรียนจบปริญญาตรี ด้านฟู้ดไซน์จากหมาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒแล้ว เขายังจบปริญญาโทด้านการบริหาร จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียสเตท อีกด้วย

จุดแข็ง ข้อสุดท้ายคือ "ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า" ซึ่งผู้บริหารรุ่นใหม่บอกว่ายึดถือมาตั้งแต่รุ่นแรก สิ่งที่บอกเอาไว้ต้องเป็นไปตามที่บอกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพสินค้าที่ดูแลตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงราคาที่คุ้มค่าไม่เอาเปรียบผู้บริโภค เพราะเชื่อว่าชื่อเสียงที่เสียไปไม่ใช่สิ่งที่จะกอบกู้กลับมาได้ง่ายๆ

สำหรับ จุดอ่อน (Weaknesses)ของ "ราชา" ที่เห็นได้ชัดคือ "ลอยัลตี้" (loyalty) ความภักดีต่อยี่ห้อ ซึ่งสำคัญมาก แต่ยังต้องใช้เวลาสร้าง เพราะปัจจุบันตลาดหลักเป็นกลุ่มเฉพาะ (niche market) ซึ่งแนวทางที่จะสร้างจะทำโดยการสร้าง "ความแตกต่างด้วยรสชาติ" และการเข้าถึงผู้บริโภคด้วย "โฆษณา" หรือ "การทำตลาด" ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดการทดลองใช้จนถึงขั้นซื้อซ้ำ แต่กว่าจะเดินไปตามแผนได้เชื่อว่าต้องในเวลาประมาณ 1 ปีในช่วงแรกจึงจะวิเคราะห์ผล เพื่อดำเนินการขั้นต่อไป

๐ คว้าโอกาสโชว์ทีเด็ด ชี้อุปสรรคสกัดดาวรุ่ง

มาถึงเรื่องของโอกาส (Opportunities) ของธุรกิจเครื่องปรุงรส เนื่องจาก “พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม” ในปัจจุบันต้องการความสำเร็จรูปมากขึ้น ทำให้เห็นโอกาสในการพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับความต้องการ ยกตัวอย่าง การพัฒนาสูตรเครื่องปรุงรสต่างๆ เช่น ซอสหอยนางรมสูตรอร่อยได้ง่ายในขวดเดียว ทำให้ไม่ต้องใช้ซอสหลายๆ แบบเพื่อปรุงเมนูชนิดเดียว

ความนิยมอาหารจีนที่เพิ่มขึ้น แต่ความยากที่จะทำให้อร่อยกลายเป็นโอกาส ในขณะที่พฤติกรรมการใช้ซอสหอยนางรมในการปรุงอาหารกลายเป็นความคุ้นเคยและเห็นว่าสามารถนำไปปรุงกับอาหารต่างๆ ได้มากมายต่างจากเมื่อก่อน เป็นเหตุให้ "ราชา" ผลิตซอสหอยนางรมสูตรฮ่องกง แล้วบอกว่าสูตรนี้สามารถใช้ทำอาหารจีนได้รสชาติอร่อยเหมือนกับภัตตาคารจีนชื่อดัง หรือตามโรงแรมหรู

นอกจากนี้ การเจาะเข้าตลาดเป็นรายแรกสำหรับ "สูตรฮ่องกง" โดยสามารถทำให้ผู้บริโภครู้และยอมรับได้จะเป็นโอกาสให้เติบโตได้ดี เพราะจะทำให้เกิดการจดจำได้ก่อนและจำได้ดีที่สุด

ธุรกิจเครื่องปรุงรส ไม่เพียงการมองเห็นโอกาสของตลาดในประเทศ การขยายตลาดไปต่างประเทศยังมีความเป็นไปได้มาก ในแง่ของการผลิตก็มีโรงงานที่ได้รับการรับรอง GMP และ HACCP ไปแล้ว ซึ่งต่อไปเตรียมขยับทำ ไอเอสโอ 22000 เป็นมาตรฐานคุณภาพใหม่ที่เพิ่งจะออกมา โดยสามารถครอบคลุมทุกด้าน ทั้งมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่ออกมาทุกชิ้นต้องมีคุณภาพเท่ากันและปลอดภัยในการบริโภค

สำหรับอุปสรรค (Threats) เป็นส่วนที่มีต้นเหตุมาจากภายนอก จากการที่ผู้ผลิตรายต่างๆ ที่ "ไม่ซื่อสัตย์" ทำสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ไม่เป็นไปตามที่บอกกับผู้บริโภคหรือตามที่ระบุไว้ซึ่งมักจะเกิดกับน้ำปลามากกว่าซอสฯ เพราะผลิตง่ายกว่า และเน้นตลาดราคาถูก มาแย่งส่วนแบ่งตลาดรวมไป จึงเป็นอุปสรรคกับผู้ผลิตที่ดี ไม่สามารถแทรกหรือเบียดตลาดสินค้าที่ไม่ซื่อสัตย์กับผู้บริโภคออกไปได้ง่ายนัก

รวมทั้ง "ต้นทุนต่างๆ" โดยเฉพาะน้ำมันที่ส่งผลกระทบไปทั่ว และ "การหาแหล่งวัตถุดิบ" ยังไม่สามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกเพราะจำนวนที่สั่งไม่ใหญ่มากพอ เช่น พริก กระเทียม ซึ่งไม่สามารถซื้อตุนเอาไว้

การวิเคราะห์เพื่อรู้จักตัวเองทำให้ประเมินและกำหนดทิศทางได้รอบคอบมากขึ้น

แผนการรุกตลาดแมสก้าวสำคัญจึงทุ่มไปที่ซอสหอยนางรมสูตรฮ่องกง ประกาศ 3 จุดเด่น คือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นครั้งแรกของไทย-รสชาติฮ่องกงแท้ และปรุงได้ง่าย และคาดว่าจะมียอดขายโดยรวมจากผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 กลุ่ม คือ น้ำปลา ซอสหอยนางรม ซอสพริก น้ำจิ้มไก่ ในปี 2549 อยู่ที่ 150 ล้านบาท เติบโตจากปี 2548 ที่ทำได้ 120 ล้านบาท ขณะที่การผลิตโดยรวมจะเปลี่ยนแปลงสัดส่วนจากปัจจุบันที่รับจ้างผลิต 60% เป็น 40% ในปี2550 สลับกับการผลิตภายใต้ยี่ห้อราชา

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่ต้องการไปถึงให้เร็วที่สุดในตอนนี้ คือ การใช้ต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพราะนั่นหมายถึงกำไร และแสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการ ส่วนมิติด้านผู้บริโภคต่อภาพลักษณ์ "ราชา" มีกลิ่นอายของคนรุ่นเก่าแต่แฝงไว้ด้วยรสชาติของคนรุ่นใหม่ และการเป็นแบรนด์คุณภาพคุ้มราคา

จากคุณ : วี - [ 27 ส.ค. 50 15:57:09 ]