PANTIP.COM : D5939821 ขอวิธีทำฟองนมในคาปูชิโนค่ะ [การทำอาหาร]

ความคิดเห็นที่ 5

เคยใช้เป็นบางครั้งอ่ะค่ะ กับเครื่องตีโฟมมือถือ เวลาที่ขี้เกียจใช้ก้านสตีมนมจากเครื่องชงต่ออ่ะ หุหุ เช่น... บางครั้งลูกค้าสั่ง คาปูร้อน 1 คาปูเย็น 1 แล้วเราใช้ฟองนมที่สตีมกับก้านสตีมไอน้ำ หมดไปกับคาปูร้อนแล้ว แต่ฟองนมที่เราจะใช้ปิดหน้าคาปูเย็นมันหมด ก็ใช้เครื่องตีโฟมนมมือถือนี่แหละค่ะ มาใช้...

เทคนิค ไม่ยากค่ะ ใช้นมร้อนที่เหลือในพิชเชอร์ จุ่มเครื่องตีมือถือเข้าไป ลึกไปประมาณครึ่งนึงของพิชเชอร์....แล้วปั่นเลยค่ะ ระวังกระเด็นด้วย ถ้าอยู่ตรงผิวหน้านมมากเกินไป...แล้วก็ค่อยๆ ยกเครื่องตีมือถือขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ในระดับผิวหน้านม ปั่นให้เห็นขดลวดเพื่อจะนำอากาศจากข้างนอก เข้าสู่น้ำนมค่ะ

ทำไปเรื่อยๆ ค่อยๆพยายามยกขึ้นๆลงๆ ค่ะ อย่าใจร้อน...ถ้ารู้สึกว่า ฟองมันเยอะๆขึ้นเรื่อยๆ หรือเริ่มๆกระเด็นก็ให้จุ่มลึกลง ถ้ายังรู้สึกว่า ยังไม่มีฟองก็ให้ยกเครื่องตีมือถือขึ้นมาอีก... อากาศจะเข้าไปในนมเอง แล้วจะทำให้มีโฟมนมขึ้นมา แต่ลักษณะของโฟมนมที่ได้จะเหมือนที่ คห. ข้างบนกล่าวมาอ่ะค่ะ ว่ามันไม่ละเอียดเท่ากับใช้ก้านสตีม มันจะมีเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง... เพราะฉะนั้น เราต้องกระแทกค่ะ กระแทกพิชเชอร์เบาๆ สัก 3-4 ครั้ง เพื่อให้โฟมนมใหญ่ๆ มันลงไปข้างล่าง เหลือแค่ฟองนมนุ่มๆ ละเอียดๆ ไว้ โฟมนมก็จะอยู่ข้างบน ส่วนน้ำนมก็จะอยู่ด้านล่าง แยกชั้นกัน...

แล้วก็ค่อยๆ ช้อนฟองนมขึ้นมาโป๊ะ บนคาปูเย็น หรือถ้าจะทำคาปูร้อนต่อ ก็เอาช้อนกั้นฟองนมตรงปากพิชเชอร์ไว้ก่อน รินน้ำนมบนช็อตเอสเพรสโซแล้วก็เอาโฟมนมโป๊ะลงไปค่ะ :) ส่วนการทำความสะอาดก็ไม่ยากเหมือนกันค่ะ แค่เอาไปปั่นในน้ำร้อน เอานิ้วรูดๆ ตรงก้านปั่นนิดหน่อย ก็จะล้างคราบนมหรือไขมันนมออกไปค่ะ

อ้อ... ถ้ามีเครื่องชงเอสเพรสโซ ก็แนะนำสตีมกับก้านสตีมไอน้ำจะดีกว่านะคะ จะได้ลักษณะโฟมนมที่หนานุ่ม เนียนละเอียด อยู่ในลักษณะไมโครโฟม หรือนาโนโฟม (จิ๋วกว่าไมโคร) ไปเลยค่ะ อิอิ

เทคนิค คือ...ใช้พิชเชอร์ที่เย็น แล้วก็นมจืดที่เย็นด้วยค่ะ ใช้เมจิฝาน้ำเงินนะคะ เวลาเป่าจะได้โฟมนมเนียนกิ๊ก โดยการเป่าฟองนม หรือที่เรียกว่า สตีมนมนี้ แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคนชง (บาริสต้า) ค่ะ ต้องใช้เทอโมมิเตอร์วัดอุณหภูมินมด้วย (แต่ถ้าบาริสต้ามือเก๋าๆ หรือทนความร้อนได้ถึง 65-70 องศา ก็ไม่ต้องค่ะ เอามือจับวัดอุณหภูมิเองที่พิชเชอร์โลด เหอๆๆ)

เทคนิค(ส่วนตัวนะคะ) คือ เปิดหัวสตีมก่อนจนสุด เพื่อไล่น้ำหรือน้ำนมบูดที่ค้างอยู่ในหัวสตีม จุ่มก้านสตีมให้มิดในน้ำนม เปิดหัวสตีมให้สุด เวลานี้จะมีไอน้ำออกมาเป่านมให้ร้อน พอถึงอุณหภูมิที่ 40 องศา ก็ให้ลดพิชเชอร์ต่ำลง จนเห็นหัวสตีมนมแค่ 1 ใน 4 เพื่อให้อากาศข้างนอกเข้าไปในน้ำนม ให้มีเสียงซิ๊ดๆๆๆ ซึ๊ดๆๆๆๆ ตลอดค่ะ เอียงพิชเชอร์นิดหน่อยนะคะ เพื่อให้อากาศเข้าไปง่ายๆ ....

พอถึงอุณหภูมิ 60 ไม่เกิน 70 องศา ก็ให้ปิดหัวสตีมทันที เพราะถ้าเป่าต่อจนนมร้อนเกินไป หรือเดือด ไขมันในนมจะแตกตัวค่ะ ทำให้นมไม่หวาน เวลาไปทำคาปูหรือลาเต้ นมก็จะลวกปาก เสียอรรถรสไปได้... (ส่วนตัวไม่ชอบเติมน้ำตาลลงไปในคาปูร้อนหรือลาเต้ร้อนอีกค่ะ เพราะนมที่เราสตีมในอุณหภูมิที่พอเหมาะ มันจะหวานอยู่แล้ว)....แล้วสุดท้ายก็ใช้เทคนิกกระแทกเหมือนเดิมค่ะ ถ้ายังเห็นว่ามีโฟมนมใหญ่ๆ ค้างอยู่

เอ่อ... เกือบลืมค่ะ หลังจากที่สตีมจากก้านสตีมไอน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมทำความสะอาดด้วยนะคะ โดยใช้ผ้าเปียกถูๆ เช็ดๆ ตรงหัวสตีม เอาคราบนมออกให้หมด แล้วเปิดหัวสตีมไล่ไอน้ำ+คราบนมออกด้วยค่ะ

หรือถ้าใครอยากดูคลิปหรือรูปเทคนิคการสตีมนมที่ถูกต้องและมีรายละเอียดมากกว่านี้ ดูได้ที่ www.roytawan.com ค่ะ ^^
แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 50 23:56:46

จากคุณ : mymelody_oil - [ 21 ต.ค. 50 23:51:37 ]

ความคิดเห็นที่ 15

^
^
^
ขออนุญาต จขกท. นะคะ.... ขอบคุณทุกคห.มากๆค่ะ ที่กล่าวชม หุหุ ดีใจจังเยย @^^@

จริงๆ ไม่ถึงกับเซียนอะไรหรอกค่ะ ความรู้เรื่องกาแฟของดิชั้นยังต้องศึกษาและใฝ่เรียนรู้ +ประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ตัวดิชั้นเองเรียนรู้เรื่องเทคนิคเหล่านี้จากประสบการณ์ตรงก็จริง แต่เรื่องเครื่องชง เรื่องเมล็ด ฯลฯ ยังหางอึ่งอยู่มากโขค่ะ

อ้อ... เข้าเรื่องนะคะ เห็นคห.10 แนะนำ French Press... ซึ่งสามารถใช้ได้เหมือนกันค่ะ แต่ต้องใช้"นมเย็น"เท่านั้น... เคยเขย่าๆ รูดก้านฟิลเตอร์ ขึ้นๆลงๆ กับนมร้อนแล้วค่ะ ดับอนาจ...

ถ้าจขกท. จะซื้อ... งืมมม ในกรุงเทพ ไม่แน่ใจนะคะ ว่าจะมีที่วีรสุ เคทู หรือที่บอนคาเฟ่ หรือเปล่า (คิดว่ามีแน่นอนนะคะ) หรือตามห้างสรรพสินค้าดังๆ ใหญ่ๆ น่าจะหาได้ไม่ยาก เช่น เอ็มโพเรียม เซ็นทรัลลาดฯ เซ็นทรัลชิดลม เป็นต้น อ่าาา....ลองไปดูที่ตาร์บัก แพงหน่อย ของยี่ห้อ Bodum เลือกฟิลเตอร์ที่ละเอียดๆ หน่อยแล้วกันนะคะ.... ฟองนมจะได้ออกมาเนียนๆ แล้วก็ทรงตัวอยู่ได้นานหน่อยค่ะ บอกคนขายว่า ซื้อ French Press หน่อยค่ะ แนะนำวิธีใช้ด้วยจะเอาไปทำฟองนม แค่นี้ค่ะ ไม่ยากๆ

อื้อ... แล้วแถมเกร็ดเล็กๆ+วิธีการดื่มคาปูร้อนและลาเต้ร้อนที่ถูกวิธีมาให้ค่ะ ดังนี้

คาปูชิโน่... มาจากชื่อหมวกสีขาวของนักบวชนิกายคาปูชิน ในประเทศอิตาลี และหมวกของกาแฟคาปูชิโน่ ก็คือฟองนมสีขาวที่ปิดอุณหภูมิของช็อตเอสเพรสโซไว้ เพราะฉะนั้นก็เปรียบเหมือนหมวกคลุมศีรษะของนักบวชนิกายนี้เช่นเดียวกันค่ะ

และเคยสังเกตุมั้ยคะ ว่าทำไมเวลาสั่งคาปูร้อน หรือว่าคาปูเย็นที่ตาร์บัก ทำไมเค้าไม่โรยผงซินนามอน หรือผงเครื่องเทศต่างๆ หรือผงโกโก้ มาให้เราไปเลย ให้เราไปเติมที่เคาน์เตอร์เอง..

เพราะบางคนก็ไม่ชอบกลิ่นค่ะ (ก็ไม่ต้องโรย) บางคนก็ชอบกลิ่นของโกโก้แทน บางคนชอบกลิ่นของ nutmeg (ลูกจันทน์ป่น) แทน... และจะบอกว่า กลิ่นเหล่านี้ เค้าไม่ได้รับประทานหรือคนผสมเข้าไปในกาแฟนะคะ เค้าเอาไว้ดมค่ะ เพราะ..... เวลาดื่มคาปูชิโน่ ให้ดื่มเป็นเลเยอร์ เป็นชั้นๆ ไปค่ะ.... เริ่มจากจมูกของเราที่ดมกลิ่นของผงเครื่องเทศที่โรยลงบนโฟมนมก่อน ความร้อนของโฟมนมจะทำให้ผงเครื่องเทศมีกลิ่นค่ะ... แล้วก็ยกแก้วดูดฟองนมเข้าไป (ต้องดูดเข้าไปจริงๆ ค่ะ) ตามด้วยชั้นของนมร้อนที่ผสมกับช็อตเอสเพรสโซ มันก็จะนุ่มๆ ฟองนม+ความหวานของนม.. ละเมียดลิ้นมากเลยค่ะ >_< (กิ๊ดดด ขอจั๊กแก้วน๊อออ!!)

ถ้าใครดื่มคาปูร้อนแล้ว มีฟองนมติดอยู่ที่ริมฝีปากบนและเหลือเศษผงเครื่องเทศเอาไว้ก้นถ้วยกาแฟแล้วล่ะก็ นั่นแหละค่ะ...แฟนคาปูตัวจริง!!

และที่ตาร์บักไม่มีคาปูเย็นนะคะ ดูที่บอร์ดเมนูได้ (ถึงแม้ว่าเวลาเราสั่ง จะได้ทุกทีก็เหอะ - -" ) เค้าก็แค่เอาฟองนมมาโป๊ะบนกาแฟเย็นของเราธรรมดาๆ เท่านั้นเองค่ะ เพราะว่า เวลากินคาปูเย็น มันไม่จำเป็นที่จะต้องสูดดมกลิ่นหอมของเครื่องเทศค่ะ.. กาแฟเย็น มันไม่มีปฏิกริยากับผงเครื่องเทศอยู่แล้ว เพราะมันเย็นนั่นเอง!!

ส่วนลาเต้ร้อน... ลาเต้เฉยๆ ในอิตาลี แปลว่า นม ค่ะ ถ้าจะสั่งกาแฟลาเต้ในอิตาลี ต้องพูดว่า "คาเฟ่ ลาเต้" จะได้กาแฟใส่นมร้อนมา แต่ถ้าพูดคำว่า "ลาเต้" จะได้นมร้อนเฉยๆ มาแทนค่ะ.....ลาเต้ จะมีฟองนมน้อยกว่าคาปูร้อนค่ะ และส่วนของนมร้อนจะเยอะกว่า .... แต่ลาเต้ร้อนบางแก้ว ก็จะมีลายบ้าง ไม่มีลายบ้าง.... ที่มีลาย เค้าเรียกว่า ลาเต้อาร์ทค่ะ (Latte Art)

Latte Art เป็นการบ่งบอกถึงเทคนิคการสตีมนมและความชำนาญในการสบัดพิชเชอร์ เพื่อเทนมบนช็อตเอสเพรสโซของคนชงหรือบาริสต้าผู้นั้นค่ะ ว่ามีความชำนาญมากแค่ไหน... อย่างที่กล่าวไปค่ะ ถ้าอุณหภูมิของนมที่สตีมพอเหมาะ เทคนิคการสบัดพิชเชอร์เทนมร้อนอย่างถูกต้องและรวดเร็วแล้ว ก็ทำลาเต้อาร์ทก็ไม่ยากจนเกินไปค่ะ (แต่กว่าดิชั้นจะทำได้ ตั้งเกือบ 2 ปี แหน่ะ - -")

และวิธีการดื่มก็คล้ายๆกับคาปูค่ะ คือ การดูดเข้าไป ไม่ต้องเติมน้ำตาลใดๆนะคะ ขอย้ำ... ถ้าเหลือลายลาเต้อาร์ทไว้ก้นถ้วยของกาแฟ ก็แหล่มเรยยค่ะ หุหุ แต่ถ้าลาเต้แก้วนั้นอร่อยจัด ก็ไม่ต้องค่ะ... ฟาดโลด อิอิ ^^

ขอบคุณมากๆๆๆๆนะคะ รบกวนจขกท. แค่นี้ค่ะ...:)
แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 50 02:06:32

จากคุณ : mymelody_oil - [ วันปิยมหาราช 02:00:17 ]