สมัยยังเด็ก น้องชายของกัสซี่มีเพื่อนคู่หูเป็นลูกพี่ลูกน้องอายุไล่เลี่ยกัน
ทั้งสองคนนี้ คลั่งไคล้และร่ำร้องแต่จะกินทองม้วน กันอยู่เรื่อย
ตอนนั้น อาสะใภ้ (แม่ของลูกพี่ลูกน้องคนนี้)ยังเป็นกุมารแพทย์อยู่โรงพยาบาลเด็ก
เลิกงานแล้ว นอกจากอาจะต้องซื้อหากับข้าวกับปลามาให้คนที่บ้านแล้ว
อายังมีภาระหนักที่จะ ต้องซื้อทองม้วนคราวละ 10 บาท ทุกคราวไป
(คิดเอาเองแล้วกันว่า การที่ซื้อทองม้วนคราวละ 10 บาทเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วนี่
แสดงว่า เจ้าสองคนนี้ กินทองม้วนกันเอาจริงเอาจังกันขนาดไหน )
ที่ว่ามันเป็นภาระหนัก ก็เพราะ ใคร ๆ ก็รู้ ทองม้วนเป็นขนมที่แสนจะบอบบาง
สมัยก่อนจึงมักนิยมบรรจุเป็นปี๊บ แต่ถึงจะอยู่ในปี๊บ แต่ซื้อมาแล้วต้องทะนุถนอมให้ดี
เวลาขึ้นรถเมล์กลับบ้าน จะแกว่งแขนหรือเหวี่ยงแขนแรง ๆ ก็ไม่ได้
ไม่อย่างนั้น ทองม้วนหลอดกลม ๆ ในปี๊บ อาจจะกลายเป็น เศษแป้ง ได้
ลองนึกภาพผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างอา ต้องกระเตงปี๊บใส่ทองม้วนขึ้นรถเมล์แทบทุกวันดูสิ
ว่ามันจะทุลักทุเลขนาดไหน
ทองม้วนเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน แป้งบาง ละลายได้ในปาก
ตัวแป้งมีความหอมเพราะนิยมอบควันเทียนให้หอมก่อนนำมาใช้
ส่วนใหญ่ ทองม้วนมักจะม้วนกันเป็นหลอดกลม ๆ โต ๆ ม้วนกันแบบง่าย ๆ นี่แหละ
ยุคนั้นยังไม่มีหรอก ทองม้วนที่ม้วนเป็นรูปดอกไม้ หรือม้วนเป็นทรงเหลี่ยม
ตอนเด็ก ๆจำได้ว่า กินแต่ทองม้วนรสหวาน มีงาดำโรยนิดหน่อยในตัวแป้ง
ทองม้วนรสเค็มเพิ่งจะมาได้กินตอนโตนี่เอง
(แบบหลอดเล็ก ๆ ที่ขายอยู่ที่ร้าน Golden Place หัวหิน อร่อยมาก)
ริอ่านทำทองม้วนกินเองหนแรก เพราะคิดถึงและเมืองที่อยู่นั้นหากินไม่ได้
พิมพ์ทองม้วนก็ไม่มีกับหรอก ละเลงเอากับกระทะ Non - Stick นี่แหละ
ตอนแรก ก็รอ ร๊อ รอ ว่าเมื่อไหร่ มันจะกรอบ ซะที
รอ ไป รอ มา จนขนมไหม้ไปหลายแผ่น ถึงได้เกิดปัญญาว่า
ถ้าเราใช้กระทะทำ มันคงทำได้แต่ทองม้วนสด เพราะความร้อนมันมาเพียงด้านเดียว
คิดได้ดังนั้น ก็เกิดปัญญาพวยพุ่ง ว่า ถึงพิมพ์ทองม้วนเมืองนี้ไม่มี
แต่พิมพ์สำหรับทำวาฟเฟิลแบบแผ่นบางที่ใช้ทำโคนใส่ไอศกรีม มีนี่นา
ว่าแล้วก็งัดออกมาใช้แทนเลย ปรากฏว่า สำเร็จดีมาก
อ้อ ! เวลาขนมสุกนั้น มันจะเหลือง แต่เนื้อขนมคงจะยังนิ่ม ๆ อยู่หน่อย
เพื่อที่ว่า จะได้ม้วนได้ แล้วเราก็ต้องรีบ ๆ ม้วน (หรือพับ) ก่อนที่ขนมจะแข็งตัว
ม้วน (หรือพับ) เสร็จแล้ว ก็ตั้งทิ้งไว้สักพัก ขนมมันถึงจะกรอบ
อ่า ฮ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
อยากลองทำดูไหมละ? ไม่ยากหรอก
สูตรแบบเดิมเขาใช้แป้งมันเป็นหลัก แล้วเติมแป้งข้าวเจ้าลงไปนิดหน่อย
แล้วก็นิยมใส่น้ำตาลปี๊บ เพื่อกลิ่นและสี
แต่เราพวกหาข้ออ้าง ว่า อยู่ต่างบ้านต่างเมืองมันหาลำบาก
ก็ใช้ของเท่าที่มีในตู้เก็บของนี่แหละ
เวลาผสมก็ทำแบบทำขนมฝรั่ง คือ แยกเป็นชามแห้ง กับ ชามเปียก เพราะสะดวกดี
ชามแห้ง - แป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อนแล้ว 500 กรัม (ถ้าอยากให้หอม ให้นำแป้งไปอบควันเทียนก่อน สัก 2 – 3 ครั้ง) ผสมกับน้ำตาลทรายเม็ดเล็ก 350 กรัม และ งาดำคั่ว 1 / 4 ถ้วยตวง คลุกเคล้าให้เข้ากัน
ชามเปียก - ไข่ไก่ 5 ฟอง หัวกะทิ 2 กับอีก 1/ 2 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/ 2 ช้อนชา น้ำปูนใส 10 ช้อนโต๊ะ (150 ซีซี) น้ำ 4 ช้อนโต๊ะ (60 ซีซี) ผสมให้เข้ากัน แล้วกรอง
ค่อย ๆ เทส่วนผสมในชามเปียก ลงในชามแห้ง ทีละน้อย ๆ คนให้น้ำตาลละลายและส่วนผสมเข้ากันดี พักส่วนผสมไว้สักครู่
ระหว่างพักแป้ง ใครที่มีพิมพ์ทองม้วน ก็ให้นำออกมาอังไฟ ใช้ไฟอ่อน อังจนพิมพ์ร้อนจัด จึงทาน้ำมันให้ทั่วพิมพ์ทั้งสองด้าน แล้วอังไฟให้ร้อนอีกครั้ง ตักแป้งหยอดลงไปบนพิมพ์ บีบพิมพ์ให้แน่น อังไฟสักครู่ พลิกกลับข้าง พอแป้งเหลือง โดยสังเกตดูจากแป้งที่เกาะอยู่นอกพิมพ์ จึงยกพิมพ์ออกจากเตา เปิดพิมพ์ ใช้ปลายมีดแซะขนมขึ้น ม้วนด้วยไม้แท่งกลม ๆ หรือพับเป็นรูปตามต้องการ ทันที อย่ามัวชักช้า รีบ ๆ ทำ ในขณะที่ขนมยังร้อนอยู่ แล้วพักไว้จนขนมเย็น จึงเก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท
ถ้าต้องการให้แป้งบาง ๆ ก็สามารถเติมน้ำเพิ่มจากส่วนผสมได้อีก และก่อนที่จะตักแป้งใส่พิมพ์แต่ละครั้ง จะต้องรอให้พิมพ์ร้อนจัดก่อนทุกครั้ง และต้องคนแป้งทุกครั้ง เพราะแป้งที่ผสมไว้จะนอนก้น
ขอให้มีความสุข สนุกกับการทำครัวกันถ้วนหน้า
บุญพระรักษาทุกคน
แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 50 16:10:44