ความคิดเห็นที่ 42
เจ้าของเดิม ร่ำรวยจากการขายหุ้น จึงไม่ได้หวังความร่ำรวยจากกำไรการขายอาหาร และการบริการลูกค้า
เพราะฉะนั้น ใครอยากกินก็กิน ไม่อยากกิน ก็ไม่ต้องกิน
ลองอ่านนี่หน่อย เป็นวิชาการหนักนิดนึง
มกรา 2549
การขายหุ้นบิ๊กล็อตในลักษณะ friendly take over ของโออิชิกรุ๊ป (ปี 2549) ให้แก่กลุ่มบริษัทเบียร์ช้าง จำนวน 103,125,000 หุ้น (55%) โดยทำการซื้อขายผ่านบริษัทนครชื่น จำกัด และ Bengena International Ltd (จัดตั้งที่ British Virgin Island) ในราคา 32.50 บาท รายย่อยคิดว่าจะต้องมีการทำ tender offer และตนเองก็ขายได้ในราคา 32.50 เช่นกัน
แต่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหุ้นที่ขายไป 55% คือส่วนของคุณตันและพรรคพวกเท่านั้น หุ้นของนายตัน ภาสกรนที และครอบครัว ที่เสนอขายรวมทั้งสิ้นจำนวน 47,541,550 หุ้น (25.36%) การถือหุ้นของนายตัน ภาสกรนที และครอบครัว คงเหลืออยู่ 10.67%
ด้วยเงินทุนเพียง 100 ล้านบาท (ก่อนเข้าตลาด SET) เพียง 1 ปี ให้หลัง คุณตันก็สามารถ cash out จากการขายหุ้นบิ๊กล็อตครั้งนี้ถึง 3,000 ล้านบาท โดยได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับ capital gains ตามนัยข้อ 2(23) แห่งกฎกระทรวง # 126 ทำนองเดียวกับกรณีของการซื้อขายหุ้น SHIN (เรียกว่าเป็น net take home money ที่สูงสุดยอดจริงๆ ! )
ประเด็นที่น่าสนใจคือมีการตั้งบริษัท Bengena International Ltd ใน BVI ซึ่งเป็น tax haven country มาเป็นผู้ซื้อหุ้นบิ๊กล็อตดังกล่าวนั้น จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพราะถูกเก็บเพียงภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินปันผล (10%) และ capital gains (15%) เท่านั้น (ถ้ายังไม่ขายต่อให้ใครก็ไม่ต้องจ่าย) และจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (25 ถึง 30%)
บริษัทโออิชิเทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าและเครื่องดื่มเพื่อป้อนแก่ OISHI GROUP ได้รับ BOI สำหรับกิจการผลิตน้ำพืชผัก ผลไม้บรรจุภาชนะผนึก ทำให้ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้ปันผลเป็นเวลา 8 ปี
มีการส่งออกสินค้าเครื่องดื่ม (โออิชิกรีนที) ไปยัง ลาว, กัมพูชา, ออสเตรเลีย, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, สวีเดน, ฮังการี ฯลฯ
จากคุณ :
คุณแม่ลูกสอง
- [
27 พ.ค. 51 17:33:33
A:58.8.88.205 X: TicketID:174330
]
|
|
|