ความคิดเห็นที่ 1 แป้งมัน นี่เป็น Potato starch หรือ Casava starch หรือครับ? ได้ลองดูคุณสมบัติของแป้งทั้งแป้งมัน แป้งข้าวโพด และแป้งสาลีเทียบ กับแป้งข้าวเจ้าปกติในทางวิทยาศาสตร์นะครับ จากเท่าที่ดูคุณสมบัติของ Amylose - Amylopectic พบว่าแป้งข้าวเจ้า จะคล้ายกับแป้งมันสำปะหลัง (Casava starch) มากครับ แต่คล้ายกับ แป้งสาลีมากกว่านะครับ ถ้าจะใส่แป้งมันสำปะหลัง อาจเพิ่มส่วนแป้งสาลี โดยอาจเพิ่มเป็น 250 กรัม ใช้แป้งมันและแป้งข้าวโพด อย่างละ 75 กรัม รวมให้ได้ 400 กรัมตามเดิมครับ แต่ทั้งนี้เนื้ออาจจะหยาบกว่าใช้แป้ง ข้าวเจ้าครับเพราะขนาดอนุภาคเม็ดแป้งใหญ่กว่าข้าวจ้าวมากครับ ดังนั้น จึงควรใช้เวลาให้ความร้อนที่นานกว่าปกตินะครับ ทั้งนี้อาจต้องเสริมน้ำมัน พืชเล็กน้อยในสูตรด้วยครับ (ประมาณ 1/2 - 1 ช้อนชา) จากคุณ : sivpeer - [ วันพ่อแห่งชาติ 20:05:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณคห1 ค่ะ จากคุณ : R_may - [ วันพ่อแห่งชาติ 20:20:19 ]

ความคิดเห็นที่ 3 โอ้โห คุณ sivpeerละเอียดมากเลยค่ะ แป้งที่มีเป็นแป้งมัน Tapioca (คือ casava ใช่มั้ย )ที่หิ้วมาจากเมืองไทยค่ะ ถ้ายังกลับมาอ่านอีกช่วยตอบทีค่ะว่าถ้าจะเติมน้ำมันพืชลงไปอย่างที่คุณบอก เปลี่ยนเป็นน้ำกะทิได้มั้ยคะ จะได้หอมๆ จากคุณ : Out of Africa - [ วันพ่อแห่งชาติ 23:52:41 ]

ความคิดเห็นที่ 4 โอ้โห คห 1 อธิบายละเอียดมากเลย จากคุณ : PiN.VE - [ 6 ธ.ค. 51 13:28:23 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ส่วนของแป้งข้าวเจ้า ใช้แป้งสาลี+แป้งมันแทนได้ค่ะ แต่อย่าคนนานจะเหนียวค่ะ ใช้กะทิหรือนมข้นจืดก็ได้ เพราะสูตรดั้งเดิมก็ใช้หัวกะทิอยู่แล้วค่ะ ไม่ได้ใช้น้ำ มะพร้าวอบแห้ง น่าจะเปนส่วนทดแทนมะพร้าวทึนทึกขูด สำหรับโรยหน้ามากกว่าค่ะ จะนึ่งหรือนำไปจี่ก็ได้อีกเช่นกัน จะให้กลิ่นหอมที่แตกต่างกันค่ะ จากคุณ : ราตรีสีนวล - [ 6 ธ.ค. 51 17:44:12 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ลองทำตามสูตรคุณsivpeerแล้วค่ะ เติมน้ำมันนิดนึง ขี้เกียจเปิดกะทิเพราะคงใช้ไม่หมด คุณราตรีสีนวลน่าจะเข้ามาเร็วกว่านี้นะคะ เราไม่รู้ว่าต้องนวดนานแค่ไหน เห็นสูตรข้าวเจ้าสูตรอื่นบอกนวดนานๆจะได้เหนียวๆ เราก็นวดซะ ทำออกมาแล้วก็ทานได้นะคะ แห้งไปหน่อย สามีชิมแล้ว บอกกลับไปทำเค้กกล้วยหอมเถอะเธอ..แป่ว ไม่มีถ้วยเล็กเลยใส่ชามนึ่งแล้วตัดเป็นชิ้นค่ะ เรากินเองซะครึ่ง ตอนร้อนๆอร่อยดี ที่เหลือก็แบ่งให้คนงานโมซัมบิกรับเคราะห์ไป เหอๆ จากคุณ : Out of Africa - [ 6 ธ.ค. 51 18:25:37 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แป่วววว....ขอโทษด้วยจ้า...เสียดายจังมาดูช้าไป... -/\- ที่จริงกะทิก็เป็นไขมันนี่เนาะ ดังนั้นใช้ได้ครับ แถมทำให้ชุ่มชื้นได้ดีกว่าน้ำมันพืชเสียอีก...ง่า...ขอโทษด้วยจ้า... สงสัยวันหลัง ต้องเอา 2 แป้งนี้ลดลงอีกนะครับ...เหลือน้อยๆหน่อย เพราะมันแห้ง... ...ขอโทษก๊าบบบบบ...ผิดไปแย้ว...งือๆ... จากคุณ : sivpeer - [ 6 ธ.ค. 51 23:11:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ sivpeer ไม่ต้องเสียใจ เราใจร้อนน่ะค่ะอยากลองของ คิดว่าคราวหน้าอาจจะต้องลองสูตรให้มันดีกว่านี้โดยเอาคนแอฟริกันเป็นหนูทดลอง ถ้าเป็นแค่แป้งสาลีกับแป้งข้าวโพดจะเวิร์คมั้ย ไม่เห็นแป้งมันขายเหมือนบ้านเราอ่ะ ส่วนใหญ่เค้าบดกันเองหยาบๆไว้กินตามบ้าน เผื่อจะสอนอาชีพให้เค้าได้น่ะค่ะ ฮ่ะๆ คิดการใหญ่ จากคุณ : Out of Africa - [ 7 ธ.ค. 51 13:38:55 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แป้งข้าวโพดกับแป้งสาลีมีคุณสมบัติคล้ายๆกันพอสมควรครับ...(ถ้าไม่ใช่ Waxy corn starch) ดังนั้นมันก็น่าจะคล้ายกับการใช้แป้งสาลีอย่างเดียวนะ ครับ ที่จริง แป้งข้าวโพดจะมีขนาดเม็ดแป้งที่ใหญ่นิดนึงนะครับ การกวน นานๆ อาจทำให้หนืดได้เหมือนตอนแป้งมันนะครับ แต่ความแห้งคงไม่เท่า ตอนแป้งมันครับ เพราะมีไขมันแทรกอยู่เล็กน้อย ถ้าจะเอาไปใช้ ผมคง แนะนำว่าให้เคี่ยวแป้งกับน้ำกะทิสัก 3-4 นาทีก่อนครับแล้วค่อยเอาไปทำ ขนม เพื่อให้ไขมันจากกะทิได้ซึมเข้าอนุภาคแป้งก่อนครับ... แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของแป้งข้าวโพดคือ ถ้ากวนไม่นานพอ ก็จะร่วนเสียอีก ถ้ากวนนานไป...ก็จะเหนียวเกินครับ...สำคัญที่สุดคือสูตรการใช้แป้ง ข้าวโพดในขนมยังไม่มีการคิดออกมา ถ้าถามว่าใช้ได้ไหม...คงบอกว่าใช้ได้ แต่ขนมอาจแห้งเกิน จึงควรเพิ่มกะทิ และกล้วยในสูตรครับ และทดลองกวน ด้วยเวลาต่างๆดูด้วยนะครับ เอาแค่แป้งพอหนืดๆนะครับ ระวังเหนียวเกิน เพราะถ้าเย็นมันจะเหนียว และแข็งขึ้นด้วยนะครับ จากคุณ : sivpeer - [ 7 ธ.ค. 51 14:12:42 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ลองปรับตามสูตรนี้ไหมคะ จากหนังสือ ตำรับขนมของไทย โดย ผศ.ทัศนีย์ โรจนไพบูลย์ ขนมกล้วย กล้วยน้ำว้าสุก ๘ ผล --> กล้วยหอมลูกใหญ่กว่าลดเหลือ ๕ - ๖ ผลโดยประมาณ แป้งข้าวเจ้า ๓/๔ ถ. แป้งท้าวยายม่อม ๑/๔ ถ. (Arrow Root) แป้งมันสำปะหลัง ๒ ช.ต. = แป้งทั้งหมด ๑ ถ.+ ๒ ช.ต. --> ลองแป้งสาลี ๓/๔ ถ. แป้งมัน ๑/๔ ถ. ถ้าแถวนั้นมีแป้ง Arrow Root ขาย ก็ตามสูตรค่ะ เปลี่ยนแป้งข้าวเจ้าเปนแป้งสาลี มะพร้าวทึนทึกขูด ๑/๔ ถ. --> มะพร้าวอบแห้ง พรมน้ำกะทิ/น้ำ นิดหน่อยพอชื้น เพื่อไม่ให้ดูดน้ำจากขนมค่ะ หัวกะทิ ๑ ถ. = กะทิ UHT 250 ml. ๑ กล่อง น้ำตาลทราย ๓/๔ ถ. เครื่องโรยหน้า มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย ๑/๒ ถ. --> มะพร้าวอบแห้ง พรมน้ำกะทิ/น้ำ พอชื้นเช่นกัน เกลือป่น ๑/๒ ช.ช. วิธีทำ ๑. ผสมแป้งทั้งหมดเข้าด้วยกัน นวดกับหัวกะทิ พักไว้ ๒๐ นาที --> แป้งสาลีมีกลูเต็นสูง อย่านวดนานจะเหนียว นวดแค่พอเข้ากันค่ะ ไม่ต้องเคี่ยวแป้งแบบที่คุณ sivpeer บอกนะคะ เพราะการพักแป้งๆจะดูดกะทิเข้าไปในแป้งเองค่ะ ๒. บี้เนื้อกล้วยให้แหลก ผสมแป้งที่พักไว้กับเนื้อกล้วย ใส่น้ำตาลทราย เนื้อมะพร้าว คนให้เข้ากัน ๓. เคล้ามะพร้าวกับเกลือให้เข้ากัน ใช้โรยหน้าก่อนนึ่ง ๔. ตักใส่ภาชนะ โรยหน้าด้วยมะพร้าว นึ่งในลังถึง น้ำเดือด นาน ๒๐ นาที หรือ นำไปจี่ก็ได้ค่ะ ทำให้เปนแผ่นหนาประมาณ ๑ ซม. ต้องบอกก่อนว่า สูตรที่ปรับให้ยังไม่ได้ลอง ใช้สัญชาตญานความน่าจะเป็นค่ะ จะรอชิมผลงานค่ะ ;) จากคุณ : ราตรีสีนวล - [ 7 ธ.ค. 51 15:14:17 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณทั้งคุณ sivpeer และคุณราตรีสีนวลค่ะ สูตรที่ทำเมื่อวานซืนค่อนข้างแห้งและพอทิ้งไว้ก็แข็งค่ะ ไม่รู้คนงานที่ให้ไปกล้ากินรึเปล่า ส่วนสูตรของคุณราตรีสีนวล ก็ติดที่ใช้แป้งท้าวยายม่อมนี่ล่ะค่ะ ทำเองคงไม่เท่าไหร่ซื้อมาจากเมืองไทยได้ ไม่แน่ใจที่นี่จะมีมั้ย  แต่พอดั๊นคิดพิเรนทร์จะฝึกอาชีพให้คนที่นี่คงคิดหนักหน่อยค่ะ คงต้องทดลองไปเรื่อย คิดเล่นๆไม่รู้จะเป็นจริงรึปล่าวค่ะ ที่นี่มีแต่กล้วยหอมน่ะค่ะ นานๆจะเจอกล้วยน้ำว้าซะที เผื่อเวลาชาวบ้านขายไม่ออก จะได้ลองแปรรูปเป็นอย่างอื่นบ้าง ถ้าโปรเจ็คสำเร็จจะเอามาโชว์นะคะ (สงสัยจะสำเร็จชาติหน้าตอนบ่ายๆ :P) จากคุณ : Out of Africa - [ 7 ธ.ค. 51 17:06:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ที่เกิดการแห้งและแข้งขนาดนั้นคงเป็นเพราะแป้งมันเกิดการสุกเรื่อยๆโดยไม่มีการควบคุมการสุกนั่นแหละครับ... ที่แนะนำเรื่องการใช้ไขมันกับแป้งมาเคี่ยวก่อนเอาไปทำขนมจริงก็เพราะจะทำให้เราสามารถควบคุมการสุก (Gelatinize) ได้นั่นแหละครับ ไม่ให้มันมากเกินไป เพราะจะทำให้ขนมเมื่อเย็นแล้วจะแห้ง แข็งและหยาบในที่สุดได้ครับ สุดท้ายถ้าลองแล้วไม่ Work มากจริงๆ ก็เอาแป้งสาลีนั่นแหละครับ มากวนกับกะทิก่อน แล้วเอาไปแทนการใช้เลย เพราะน่าจะควบคุมการสุกได้ดีกว่าแป้งข้าวโพดเยอะครับ ทำเป็นแป้งเดี่ยวก็ดีอย่างนะครับที่สามารถลดความแปลกลิ้นของการใช้แหล่งแป้งมากกว่า 1 ชนิดครับ งานนี้ผมว่าลองเพิ่มกล้วยดูนะครับ...สูตรคุณราตรีสีนวลก็น่าสนใจครับ ลองหา Arrow root ดูว่าทางโน้นมีหรือเปล่า เพราะดูแล้วน่าจะมีครับ ถ้าภูมิอากาศทางนั้นไม่ต่างจากทางนี้มากเกินไปครับ.. จากคุณ : sivpeer - [ 7 ธ.ค. 51 18:17:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ฝรั่งใช้ Arrow Root เปนแป้งกวนไส้ค่ะ แล้วก็คิดเหมือนคุณsivpeer ว่าทางนู้นน่าจะมีปลูก เรยคิดว่า น่าจะมีขาย ค่ะ เรื่องการควบคุมการสุกนี่ ไม่รู้จริงๆค่ะ อ่านแล้วก็ยังงงๆ แต่จะเข้าใจเรื่องความสมดุลระหว่าง ของแห้ง กะ ของเหลวมากกว่า อิอิ เพราะสูตรของจขกท.ไม่มีของเหลวเรยค่ะ ก็ต้องแห้ง กระด้างเปนธรรมดาใช่ป่าวคะ? ถ้าจะแปรรูปกล้วยเนี่ย ลอง กล้วยเบรคแตก จะง่ายกว่าไหมคะ เคยไปดูกลุ่มแม่บ้านทำขาย ตั้งกระทะ น้ำมันท่วม ใช้กล้วยห่ามๆ พอร้อนได้ที่ ฝานกล้วยลงกระทะเลยค่ะ กล้วยจะได้ไม่ดำ ใช้ที่ปอกผลไม้ก็ได้ ถ้าจะให้หนาหน่อยก็ต้องที่ปอกส้มตำของบ้านเราค่ะ พอสุกเหลืองสวย ตักขึ้น พักไว้ให้เย็น แล้วจะเคล้ากับ เกลือ , ปาปริก้า , คาราเมล , ฯ ได้ตามชอบเรยค่ะ ;p จากคุณ : ราตรีสีนวล - [ 8 ธ.ค. 51 00:22:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณคุณราตรีอีกครั้งค่ะ เราเอง มาแอฟริกาใหม่ๆก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าไม่คิดแปรรูปอาหารหรือผลไม้อย่างบ้านเรา ทั้งที่โดยพื้นฐานก็มีคล้ายเราบ้างพวกกล้วย เผือกมัน มะละกอ  แต่มะพร้าวมีแค่บางพื้นที่ ต้องนี่แบกหนังสือแปรรูปเผือกมาเลยนะ เผื่อสอนทำข้าวเกรียบขายหรือขนมจากเผือก(ทั้งที่ตัวเองทำไรไม่เป็นเลยค่ะ) แต่อยู่ไปก็รู้น่ะค่ะว่าบ้านเค้าไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนบ้านเรา ความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่ค่อยมีกัน ไหนจะเรื่องความสะอาดสุขอนามัย พวกเค้าจะกินยังไม่มีเลยค่ะ ครั้นจะทำมาค้าขายที่ต้องใช้น้ำมันเยอะๆ น้ำตาลเยอะๆเนี่ย ไม่มีทางเลย นอกจากมีเงินทุนจริงๆ ชาวบ้านก็ได้แต่ขายอะไรก๊อกๆแก๊กไปวันๆ นอกจากจะมี NGO ไปลงทุนให้น่ะค่ะ ส่วน arrow root คงต้องค้นเน็ตดูอีกที เพราะเราไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นไง ภาษาโปรตุเกสเรียกอะไรค่ะ ปล.คุณราตรีสีนวลอยู่เมืองนอกรึเปล่าคะ จากคุณ : ต้อง (Out of Africa) - [ 8 ธ.ค. 51 02:02:49 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Arrowroot ภาษาโปรตุเกสน่าจะเรียกว่า araruta นะครับ พี่ต้องครับ ทางโน้นหากะทิยากไหมครับ... แล้วพวกเตาอบแห้งต่างๆพอมีไหมครับ? เผื่อมีสูตรขนมพวกแป้งต่างๆที่ไม่ต้องใช้วัตถุดิบเยอะครับ... น่าแปลกใจหลายๆอย่างเหมือนกันครับจากที่เคยดูสารคดีมาบ้าง เลยพอทราบบ้างเกี่ยวกับวัฒนธรรมของเขา จะมีอะไรต่างจากเราพอสมควร เช่นเมื่อมีของเสีย เขาจะไม่ค่อยซ่อมกัน เวลาใช้งานของอะไรเขาก็ไม่ค่อยดูแลกัน และไม่ค่อยวางแผนอะไรล่วงหน้ากันนะครับ... จากคุณ : sivpeer - [ 8 ธ.ค. 51 11:45:59 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ค้นวิกิดูแล้วเหมือนกันแต่แฟนพี่เค้าไม่รู้จัก ต้องถามชาวบ้านอีกที ไม่เคยเห็นต้นนี้ที่นี่ด้วย อาจมีที่ South Africa กะทิพอหาได้นะ แต่พี่อยู่ใน อนช.กลางป่าเลยอาศัยกะทิกระป๋องกับกะทิผง ขี้เกียจมานั่งขูดกระต่ายค่ะ ชาวบ้านเค้าก็ไม่ปลูกมะพร้าวตามบ้านนะ แต่ถ้าจังหวัดชายทะเลน่ะมีเยอะ พี่มีเตาอบนะ มีสูตรไรให้ลองก็ส่งมาได้ จริงๆ NGO ที่สามีพี่ทำงานก็มีโปรเจ็คโรงงานอบผลไม้แห้งนะ ยังไม่เป็นรูปร่างเท่าไหร่ แต่ก็ทำพวกกล้วยกะมะม่วงมาให้ชิมแล้ว ยังไม่เคยเห็นเตาอบเหมือนกันว่าหน้าตาเป็นไง เรื่องของเสียไม่ซ่อมนี่ก็อาจมีหลายปัจจัยนะ อาจไม่มีเงินหรือซ่อมไม่เป็นก็ได้ เหมือนที่นี่หาคนซ่อมรถเกียร์ออโต้ไม่ได้ บริษัทซื้อเรือยนต์ให้ใช้ข้ามฟากแม่น้ำ วันเดียวมอเตอร์ไหม้ ไรเงี้ย เรื่องไม่ค่อยวางแผนนี่พี่ว่าเค้าใช้ชีวิตไปวันต่อวันมากกว่า หมายถึงชาวบ้านห่างความเจริญนะ ในเมืองก้อาจจะดีกว่าหน่อย มีอะไรคุยได้หลังไมค์นะคะ เดี๋ยวกระทู้เบี่ยงประเด็นและยาวเกิน ฮ่าๆ แต่เดี๋ยวพี่จะกลับไปเที่ยวเมืองไทยล่ะ จากคุณ : Out of Africa - [ 8 ธ.ค. 51 15:45:43 ]