ความคิดเห็นที่ 1 ปลาบึก เป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับสมญานามว่า เจ้าพ่อแห่งลุ่มน้ำโขง เพราะมีถิ่นอาศัยแหล่งเดียว ณ ที่นั้น ชาวไทยและชาวลาวรู้จักปลาชนิดนี้มาแต่ดึกดำบรรพ์ในชื่อ “บึก” คำว่า “บึก” เพี้ยนมาจากคำว่า “หึก” ซึ่งเป็นคำในภาษาของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณสองฝั่งโขง ได้แก่ ไทยเหนือ ไทยอีสาน และลาว หมายถึง ใหญ่ ดังนั้นจึงเรียกปลาที่มีขนาดมหึมาชนิดนี้ว่า “ปลาหึก” นาน ๆ ไปเสียงเพี้ยนกลายเป็น “ปลาบึก” จนทุกวันนี้ ชาวตะวันตกเรียกปลาชนิดนี้ว่า huge fish หรือ Mekong giant catfish ชาวเขมรเรียก “เตร-เร-อัค” จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 22:32:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มีตำนานเล่าขานสืบต่อมาเป็นเวลาร้อยปี ชาวเขมร และลาว เชื่อกันว่า ปลาบึกตัวเมียอาศัยอยู่เฉพาะในทะเลสาบเขมรเท่านั้น เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จะเดินทางขึ้นไปตามลำน้ำโขง ผ่านประเทศลาว ไทย พม่า ขึ้นถึงทะเลสาบตาลีในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อผสมกับตัวผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบดังกล่าว โดยปลาบึกตัวผู้มีลักษณะพิสดารกว่าตัวเมีย คือจะมีเกล็ดสีทอง อันนี้ตำนานน๊ะครับ เฮียก็ลอกเค้ามาอีกที อ่านเล่นๆก็แล้วกัน จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 22:37:31 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ20-30ปีก่อน ปลาบึกก็มีอาการอยากจะหายไปจากโลกของเรา อันเนื่องมาจากการสร้างเขื่อนในจีน ตัวเมียไปหาตัวผู้ที่เมืองจีนไม่ได้ เฮียก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องไปขัดขวางความรักของปลาด้วย แถมลูกหลานที่พอจะมี ก็โดนจับกันตลอดลำน้ำโขง เฮียล่ะไม่อยากเกิดเป็นปลาบึกเลยตอนนั้น จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 22:50:02 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เข้ามาดูครับ... จากคุณ : L-Nets - [ 30 มี.ค. 52 23:00:51 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ว๊าววววว พี่บึ๊ก!!! ^^ (เอิ่ม............. พี่บึก ) จากคุณ : Ab Psy ReinDEAR++ - [ 30 มี.ค. 52 23:00:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แต่ก็มีคนมาช่วยขงเบ้งของเราจนได้ครับ ไม่ได้ช่วยไปทุบเขื่อนที่จีนให้พังน๊ะ แต่ช่วยทำให้การผสมพันธุ์ปลาบึกเกิดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์เป็นครั้งแรกในโลกได้ แต่ก็ทำอยู่นานตั้งแต่ปี2526จนถึงปี2547น่ะแหละครับ เค้าคนนั้นคือผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เสน่ห์ ผลประสิทธิ์ แห่งกรมประมง เอ้า....ชาวก้นครัวปรบมือให้หน่อยครับ จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:01:40 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แอบเข้ามาสูบ ความรู้ของปลา น้ำจืด คัรบ จากคุณ : สีฟ้าของน้ำทะเล - [ 30 มี.ค. 52 23:02:51 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ทีมงานกรมประมงก็พัฒนากันมาเรื่อยจนถึงปัจจุบัน ก็มีการนำปลาบึกไปปล่อยตามแหล่งน้ำธรรมชาติหลายแห่ง ขายให้เอกชนก็หลายที่ ตามบ่อตกปลาบางแห่งก็ยังมี แต่ก็ครับโลกเรามีสุขก็มีเศร้า การปล่อยปลาบึกลงแหล่งน้ำเกิดเรื่องเศร้าขึ้นครับ เศร้ายังไงมาติดตามกัน เฮียขอตัวไปเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาก่อน เพราะมันเศร้าจริงๆ จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:06:55 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตั่วเฮียครับ  ผมอยากจะให้ Gift จังเลย  .... เสียดาย... บทความดีๆ  ชอบครับ  ขอตามอ่านนะครับ ตั่วเฮีย จากคุณ : NuyPond - [ 30 มี.ค. 52 23:12:18 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ก่อนถึงเรื่องเศร้า เพื่อเป็นการยืนยันว่าสมัยนี้ ปลาบึกแพร่หลายจริงๆ เพราะในบ่อตกปลาก็ยังมีให้เห็นกัน จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:13:11 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตามชมค่ะ จากคุณ : ceacar salad - [ 30 มี.ค. 52 23:19:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ปล่อยพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไปตามเขื่อนต่างๆมากมาย ก็โดนจับมาเป็นอาหารของเราน่ะแหละครับ แต่ไอ้การปล่อยไปตามแหล่งน้ำธรรมชาตินี่แหละ ต้นเหตุของเรื่องเศร้าครับ รูปนี้เป็นปลาบึกที่เขื่อนรัชชประภาครับ ของเค้าเยอะจริงๆ จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แถมที่เขื่อนรัชชประภาอีกรูปน๊ะครับ ส่วนเพื่อนๆน้องๆที่ตามชม รอเฉลยเรื่องเศร้าๆแป๊บน๊ะครับ เฮียทำใจอยู่......ก็เฮียสงสารมันจริงๆครับ จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:22:40 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เคยไปเที่ยวแถบที่เค้าจับปลาแบบนี้ตัวใหญ่ๆได้อ่ะ แล้วเค้าพาไปเลี้ยงอาหารมื้อนั้นได้ไอ้เจ้าตัวนี้มาต้มโคล้ง เห็นหนังมันหนาๆ ไม่กล้ากินเลย ได้แต่ลองน้ำต้มโคล้ง สัญญากับตัวเองเลยว่าไอ้เจ้าปลาประเภทนี้จะไม่แตะมันอีกเลยเห็นแล้วสงสาร ยิ่งมาอ่านประวัติที่เฮียเอามาให้อ่านแล้วยิ่งสงสารอ่านแล้วเศร้าคอดๆ จากคุณ : พูษรี - [ 30 มี.ค. 52 23:23:14 ]

ความคิดเห็นที่ 15 หูยยเฮีย เขื่อนรัชชประภามันมีมากมายขนาดนี้เลยหรอคะ เพิ่งได้รู้เพิ่งได้เห็น เพราะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ เคยไปที่นี่ มีปลาน้ำจืดตัวโตๆมากมายหลายชนิด  แต่พอลองทานแล้วทั้งเหม็นดินเหม็นคาว ไม่ชอบเล้ย จริงๆนะ ขอเป็นพวกไข่เจียว ต้มยำกุ้งธรรมดาๆจะดีกั่ว จากคุณ : พูษรี - [ 30 มี.ค. 52 23:29:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เชียงของ  เชียงแสน เยอะครับ ปลาบึก  เค้าเรียก  หมูน้ำ   แต่ผมว่า  หนังมันยังไงก็คาว  ทานไม่ค่อยอร่อย ผมไม่ชอบทานปลาน้ำจืดครับ  กลิ่นโคลน  กลิ่นคาว  ทานไม่ได้จริงๆ ยกเว้นปลาทอด    และ พวกต้มๆที่ทางร้าน ทำดีๆ ไม่มีกลิ่นคาว ครับ จากคุณ : NuyPond - [ 30 มี.ค. 52 23:31:10 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มาเข้าเรื่องเศร้าของเราดีกว่า สถานที่เกิดเหตุ .................ทะเลสาบสงขลาครับ............................ จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:31:57 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ทานได้ แต่ว่า ต้องหารุ่นใหม่มาทดแทนครับ ไม่รู้ว่า พวกพี่ที่เค้าจับมันกัน เค้าเคยทดแทน อะไร บ้างไหม .. ?? .. อ้อ ถ้าอยากจะออกตัวว่าเคย ช่วย รบกวน ยืนยัน จากคุณ : ยสินทร์ - [ 30 มี.ค. 52 23:35:08 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ชมภาพสถานที่เกิดเรื่องเศร้าอีกรูปครับ แต่เรื่องเศร้าที่ว่าไม่ใช่เกิดการกินปลาบึกหรือปลาโดนจับจนหมดน๊ะครับ เป็นเรื่องอะไรเดี๋ยวมาชมกันต่อ ชมมุมสวยๆของทะเลสาบสงขลา ที่เกิดเหตุเรื่องเศร้าไปก่อนครับ จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:39:50 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ปลาบึก เคยทานครั้งนึงอ่ะค่ะ แต่รู้สึกว่ามันไม่อร่อยอ่ะ ค่อนข้างมันแล้วคาวด้วย คนที่บ้านชอบกันจัง จากคุณ : prinzessin - [ 30 มี.ค. 52 23:42:16 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ที่มาเรื่องเศร้าครับ เอาเป็นข่าวเลยดีกว่า พบโลมาอิรวดีตายกว่าครึ่ง จ่อประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ วานนี้ (4 ก.พ.) นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า ได้รับรายงานจากศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง สถาบันวิจัย และพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าระวังโลมาอิรวดีในบริเวณทะเลสาบสงขลา โดยหลังจากช่วงปีงบประมาณ 2551 ที่ผ่านมา พบว่า โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาลดจำนวนลงอย่างมาก โดยพบว่ามีการตายมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนโลมาอิรวดีทั้งหมดที่มีราว 30 ตัว ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการใช้อวนปลาบึกของชาวประมงในพื้นที่ที่มีมากขึ้น จนเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรของโลมาอิรวดีในพื้นที่ทะเลสาบสงขลาในอนาคตอันใกล้นี้ ด้านนายสุพจน์ จันทราภรณ์ศิริ หัวหน้าศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง กล่าวว่า ล่าสุดจากการเฝ้าติดตามโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา ระหว่างเดือนตุลาคม 2551 - มกราคม 2552 พบการตายของโลมาอิรวดีในพื้นที่ไปแล้ว 4 ตัว ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ยังถือว่าน้อยมาก แต่หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ต่อไป อาจจะส่งผลให้โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาสูญพันธุ์อย่างแน่นอน หัวหน้าศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางการจัดการนั้น ในเบื้องต้นทางศูนย์ฯ ได้นำทุ่นกันพื้นที่ราว 100 ตารางกิโลเมตร ในทะเลสาบสงขลา จ.พัทลุง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโลมาอิรวดี เพื่อให้ชาวประมงระมัดระวังการทำประมงในบริเวณดังกล่าวมากขึ้น และป้องกันอวนปลาบึกของชาวประมง พร้อมประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อนุรักษ์โลมาอิรวดี ขณะเดียวกัน ยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกตรวจตราพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเฝ้าระวังการใช้เครื่องมือประมงผิดประเภทด้วย จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:48:10 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ครับ.....ก็อย่างที่ว่า เอาปลาบึกไปปล่อยผิดที่ แทนที่จะเป็นผลดีแต่กลายเป็นผลเสีย ไม่ใช่แค่ปลาโลมาน๊ะครับที่ตาย ปลาเล็กปลาน้อยก็โดนปลาบึกกิน ระบบนิเวศเสียหมด ก็เมื่อก่อนทะเลสาบสงขลามีปลาบึกซ๊ะที่ไหน เวรกรรม...เวรกรรมครับ แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 52 01:07:01 แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 52 23:54:10 จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เฮ้อจบเรื่องเศร้า มาดูปลาบึกกันต่อดีกว่า ไม่รู้จะสงสาร หรืออยากกินดี จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:56:52 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ก็ว่ากันไปตามธรรมชาติครับ อาหารของมนุษย์ จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 30 มี.ค. 52 23:57:57 ]

ความคิดเห็นที่ 25 พอปลงได้ก็กินซ๊ะ เมนูนี้เรียก"ยำท้องรากทรายปลาบึก"ครับ เฮียขอขอบคุณเจ้าของรูปอีกครั้งครับ ไม่รู้ใครเหมือนกัน 555 จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 31 มี.ค. 52 00:00:27 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อันนี้ปลาบึกลวกจิ้มครับ จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 31 มี.ค. 52 00:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จบแล้วครับ ขอบคุณที่ชมครับ เฮียขอน้อมรับคำติชมทุกประการครับ ผิดพลาดข้อมูลหรือรูปภาพใดไปขออภัยด้วยครับ ขอบคุณแหล่งข้อมูลและรูปภาพอีกครั้งครับ แล้วเจอกันใหม่กระทู้ต่อไปน๊ะครับ จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 31 มี.ค. 52 00:06:38 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เฮียครับ ปลาบึกนี่มันอยู่น้ำจืด ไม่ใช่หรือครับ มันคงไม่ไปทะเลสาป สงลาหรอกครับ ตายลูกเดียว เพราะน้ำกร่อย ค่อนข้างเค็ม ส่วนเจ้าโลมาที่ตาย คงเป็นเพราะถูกอวนที่ใช้จับปลาบึก มั้งครับ จากคุณ : สีฟ้าของน้ำทะเล - [ 31 มี.ค. 52 00:31:26 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ปลาบึกกินพืชนะหรือว่าเราจำผิด จากคุณ : comestar - [ 31 มี.ค. 52 00:38:15 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณ คุณสีฟ้าของน้ำทะเลและคุณcomestarครับ แต่ข้อมูลจากแหล่งข่าว มีการปล่อยปลาบึกลงทะเลสาบสงขลาจริงๆครับ และปลาบึกบางช่วงอายุก็กินสัตว์น้ำตัวเล็กจริงๆครับ(เดี๋ยวค่อยมาอธิบายเรื่องนี้น๊ะครับ) ยังไงก็ขอขอบคุณที่ทักท้วงครับ จะได้มีที่มาที่ไปกัน เนื้อข่าวครับ ตื่นตัวแก้ "โลมาอิรวดี" ใกล้สูญพันธุ์ เหตุชาวประมงไม่สนใจยอม "ตัดหาง" ทิ้งดีกว่าเสียอวน สลด! "โลมาอิรวดี" ในทะเลสาบสงขลาใกล้สูญพันธุ์ เผยเหตุกรมประมงปล่อยพันธุ์ปลาบึกลงในทะเลสาบสงขลา ชาวประมงลงอวนลากติดโลมา เลือกตัดหางทิ้งไม่ยอมเสียอวน ส.ส.พัทลุงร้องรัฐช่วยก่อนสูญพันธุ์ แนะตั้งกองทุนแลกเปลี่ยนอวน-ค่าซ่อม เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม นายนริศ ขำนุรักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พัทลุง และคณะทำงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้เกิดสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงในทะเลสาบสงขลา โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.พัทลุง พบว่าเฉลี่ยทุกๆ 3 เดือน จะพบโลมาอิรวดีตายในทะเลสาบสงขลาอย่างน้อย 1 ตัว โดยซากโลมาที่พบนั้นมีสภาพหางขาด จากการสอบถามชาวประมงในพื้นที่พบว่าเกิดจากโลมาอิรวดีเหล่านี้ว่ายน้ำไปติดอวนดักปลาบึกของชาวประมง และชาวประมงเลือกที่จะใช้วิธีตัดหางโลมาทิ้งมากกว่าการตัดอวน เนื่องจากอวนมีราคาสูง และปีที่ผ่านมา ราคาอวนสูงขึ้นมากจากกิโลกรัมละ 60-70 บาท เป็น 110-120 บาท ทั้งนี้ พฤติกรรมดังกล่าวทำให้จำนวนโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาที่มีน้อยมากลดลงเรื่อยๆ ทุกปี และอยู่ในสภาพใกล้จะสูญพันธุ์ โดยจากการสำรวจล่าสุดพบว่าเหลือแค่ 30 ตัวเท่านั้น นายนริศกล่าวว่า สาเหตุที่เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว เพราะหน่วยงานของกรมประมงได้นำปลาบึกไปปล่อยในทะเลสาบสงขลา โดยไม่ได้มีการสำรวจความเหมาะสมด้านระบบนิเวศ เนื่องจากปลาบึกเป็นปลาน้ำจืดที่เหมาะจะอยู่ในน้ำไหล เช่น แม่น้ำโขง ซึ่งจะทำให้ปลาสามารถว่ายน้ำไปมา ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงไม่มีไขมัน เนื้อมีรสชาติดี แต่ทะเลสาบสงขลาน้ำนิ่ง ปลามีไขมันมากเพราะไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อ ที่สำคัญพบว่าลูกปลา และสัตว์น้ำท้องถิ่นขนาดเล็กถูกปลาบึกกินจนหายไปจำนวนมาก ทั้งนี้ ปลาบึกในทะเลสาบสงขลาถือเป็นเอเลี่ยนสปีชีร์ หรือชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ที่จะกินและทำลายสัตว์ท้องถิ่นทำให้ความสมดุลในพื้นที่เสียไป "ที่น่าสลดใจคือ ยังไม่มีหน่วยงานรัฐที่รับผิดเรื่องนี้ออกมาดำเนินการใดๆ เรื่องนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลานั้นถือเป็นสัตว์น้ำจืดชนิดพิเศษที่อยู่ในสภาวะที่ใกล้สูญพันธุ์เต็มที" นายนริศกล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนี้ จ.พัทลุง จะดำเนินการอย่างไร นายนริศกล่าวว่า ขณะนี้มีการเรียกร้องให้ตั้งกองทุนแลกเปลี่ยนอวน หรือขึ้นเงินเพื่อนำไปเป็นค่าซ่อมอวน โดยมีคณะกรรมการพิจารณาลักษณะความเสียหายของอวนว่าเกิดจากการตัดออกเพราะต้องการช่วยโลมาอิรวดี หรือเกิดจากปัญหาอื่น และให้มีการให้ความรู้เรื่องโลมาอิรวดี เพื่อปลูกฝังให้รักโลมาอิรวดีเหมือนกับรักพะยูน แหล่งข่าว...มติชนออนไลน์ครับ ขอบคุณที่สนใจชมอีกครั้งครับมีอะไรก็ทักท้วงกันได้ครับผม แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 52 01:36:03 แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 52 01:09:35 แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 52 01:06:29 จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 31 มี.ค. 52 00:51:03 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เฮียก็เอามาจากข่าวอ่ะครับ เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยมาบอกกล่าวกัน ผิดถูกยังไงก็โทษ นายนริศ ขำนุรักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พัทลุง และคณะทำงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พรรคประชาธิปัตย์ ก็แล้วกัน เพราะเค้ายืนยันว่ามีการปล่อยปลาบึกตามข่าวครับ เค้าว่ามาแบบนั้น เฮียก็ว่าตามเค้า เห็นเป็นคนใหญ่คนโต 55555 ว่าแล้วก็เอารูปนายนริศ ขำนุรักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พัทลุง มาลงซ๊ะเลย เฮียจะโดนพี่แกว่ามั๊ยเนี่ย(ขอฮาอีกที55555) แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 52 01:37:59 จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 31 มี.ค. 52 00:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อันนี้ตอบคุณcomestarครับว่าปลาบึกกินอะไรครับ ปลาบึกการกินมีสามระยะของอายุขัยครับ ช่วงแรกตามธรรมชาติปลาบึกนั้น เมื่อยังเล็กอยู่จะกินพวกสัตว์น้ำขนาดเล็ก ตั้งแต่โรติเฟอร์ (โรติเฟอร์เป็นแพลงตอนสัตว์ชนิดหนึ่งครับ)ไรน้ำ หนอนแดงแมลงในน้ำ โตมาหน่อยก็กินลูกกุ้ง ลูกปลา (ช่วงนี้แหละที่เกิดปัญหา) ช่วงสุดท้ายพอความยาวประมาณ 45-50 เซนติเมตรและจนกว่าจะโดนจับหรือแก่ตาย ปลาบึกจะเริ่มเปลี่ยนนิสัยการกินครับ เพราะฟันในปากเริ่มหายไป(สงสัยจะเริ่มแก่) เลยหันมากินพืชในน้ำพวกสาหร่ายเป็นอาหารหลักครับ แต่เฮียยังกินเนื้ออยู่น๊ะครับเพราะฟันยังอยู่ครบ 555 ขอบคุณอีกครั้งที่ทักท้วงทั้งคุณสีฟ้าของน้ำทะเลและคุณcomestar มีข้อมูลยังไงก็บอกกล่าวกันได้ครับ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 52 01:41:05 แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 52 01:33:10 แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 52 01:32:22 จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 31 มี.ค. 52 01:22:32 ]

ความคิดเห็นที่ 33 Great Topic! Thanks! จากคุณ : pocco - [ 31 มี.ค. 52 01:35:53 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ... สวัสดีครับเฮีย ... มาเก็บเกี่ยวความรู้ครับ  ขอบคุณครับ จากคุณ : ชายกาง... (OverEat) - [ 31 มี.ค. 52 07:21:03 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณมากครับเฮีย เพิ่งทราบประวัติเหมือนกันนะครับนี่ จากคุณ : Spinnecker - [ 31 มี.ค. 52 09:27:04 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ยังงงๆอยู่ครับเฮีย ว่าสาเหตุใด ที่กรมประมง นำปลาบึกมาปล่อยในทะเลสาป ทั้งๆที่ สภาพการดำรงค์ชีวิตของปลาบึกในน้ำกร่อยนั้น ไม่เคยเป็นที่ทราบกันมาก่อน กรอปกับพื้นที่ทะเลสาปสงขลานั้น มีความลึกไม่มาก ปลาใหญ่จะอาศัยได้อย่างไร? ทีแรกเข้าใจว่า คงมีผู้เลี้ยงปลาบึกไว้เพื่อความสวยงาม เมื่อมันโตไม่มีที่อยู่ก็นำไปปล่อยในแหล่งน้ำ  หรือหลุดจากการเลี้ยงในบ่อดินและกระชัง แต่พอเฮียบอกว่า กรมประมง นำพันธ์มาปล่อย จึงคิดต่อไปอีกว่า กรมประมงหรือสถาบันเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งและอีกหลายหน่วบงานของประมงได้มีการทดลองหรือยัง เพราะปลาบึกอาศัยในน้ำจืดเท่านั้น ขอคุณข้อมูลครับเฮีย จากคุณ : สีฟ้าของน้ำทะเล - [ 31 มี.ค. 52 10:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เอาข้อมูมาฝากคุณ "สีฟ้าของน้ำทะเล"อีกทีเรื่องน้ำของทะเลสาบสงขลาจืดหรือกร่อยหรือเค็มกันแน่ สนใจก็ตามข้อมูลข้างล่างครับ ทะเลสาบสงขลา สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ตอนใหญ่ ๆ ได้ดังนี้    ท ะเลสาบสงขลามีสภาพทางนิเวศวิทยาที่หลากหลาย เนื่องจากเป็นที่ไหลรวมจากต้นน้ำลำคลองเล็ก ๆ มากมายและยังมีทางออกสู่ทะเลอ่าวไทย       ปริมาณและสภาพน้ำในทะเลสาบขึ้นอยู่กับน้ำจืดที่ไหลลงมาและน้ำเค็มจากทะเลหนุนเข้ามา ซึ่งในฤดูน้ำหลากประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมจะมีน้ำจืดไหลลงสู่ทะเลสาบจำนวนมาก จึงไปผลักดันน้ำเค็มออกสู่อ่าวไทย ในช่วงนี้น้ำในทะเลสาบจะขุ่นและเป็นน้ำจืด แต่เมื่อถึงฤดูแล้งปริมาณน้ำจืดที่ไหลลงสู่ทะเลสาบจะมีน้อย น้ำเค็มจะไหลเข้ามาแทนที่ในช่วงนี้ น้ำในทะเลสาบจะกร่อย สามารถแบ่งทะเลสาบสงขลาออกได้เป็น 4 ตอนใหญ่ ๆ ได้ดังนี้ 1. ทะเลน้อย       อยู่ตอนบนสุดมีพื้นที่ประมาณ 28 ตารางกิโลเมตร ความลึกเฉลี่ยประมาณ 1.5 เมตร เป็นทะเลสาบน้ำจืดโดยแยกส่วนกับทะเลสาบ โดยมีคลองนางเรียมเชื่อมต่อระหว่างทะเลน้อยกับทะเลหลวง ทิศตะวันตกของทะเลน้อยเป็นส่วนของจังหวัดพัทลุง ทิศเหนือเป็นส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราชและทิศตะวันออกจรดอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ทะเลน้อยเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีพืชน้ำนานาชนิดขึ้นอยู่โดยรอบ มีป่าพรุขนาดใหญ่ มีวัชพืชพวกผักตบชวา กกจูด และยังเป็นแหล่งของนกน้ำนานาพันธุ์ทั้งที่ประจำถิ่นและที่อพยพมาจากแหล่งอื่น 2. ทะเลหลวง (ทะเลสาบสงขลาตอนบน)      เป็นส่วนของทะเลสาบสงขลาถัดจากทะเลน้อยลงมาจนถึงเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์ เป็นห้วงน้ำกว้างใหญ่ที่สุดมีพื้นที่ประมาณ 458.80 ตร.กม. ความลึกประมาณ 2 เมตร ในอดีตเป็นท้องน้ำจืดขนาดใหญ่ แต่ในบางปีมีการรุกตัวของน้ำเค็มค่อนข้างสูงในช่วงฤดูแล้ง 3. ทะเลสาบ (ทะเลสาบตอนกลาง)     อยู่ถัดจากทะเลหลวงลงมา ตั้งแต่บริเวณแนวเกาะใหญ่ทางใต้ไปบรรจบกับเขตอำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง อำเภอสทิงพระจนถึงบริเวณปากรอ อำเภอสิงหนครจังหวัดสงขลามีพื้นที่ประมาณ 377.20 ตร.กม. ความลึกประมาณ 2 เมตร เป็นส่วนของทะเลสาบที่มีเกาะมากมาย เช่น เกาะสี่ เกาะห้า เกาะหมาก เกาะนางคำ       พื้นที่ส่วนนี้เป็นการผสมผสานของน้ำเค็มและน้ำจืดจึงทำให้มีสภาพเป็นทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย ในช่วงที่เป็นน้ำจืดจะมีพืชปกคลุมโดยทั่วไป 4. ทะเลสาบสงขลา (ทะเลสาบสงขลาตอนล่าง)      เป็นส่วนของทะเลสาบตอนนอกสุดที่เชื่อมต่อกับอ่าวไทย มีพื้นที่ประมาณ 182 ตร.กม. ความลึกประมาณ 1.5 เมตร ยกเว้นช่องแคบที่ติดต่อกับทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นช่องเดินเรือมีความลึกประมาณ 12-14 เมตร ทะเลสาบส่วนนี้เป็นบริเวณที่มีน้ำเค็ม แต่บางส่วนในช่วงฤดูฝนจะเป็นน้ำกร่อย และได้รับอิทธิพลจากน้ำขึ้น น้ำลง บริเวณทางตอนใต้มีพื้นที่ป่าชายเลนปกคลุมโดยทั่วไป แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนไปเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เพาะเลี้ยงกุ้ง จะเห็นว่าทะเลสาบสงขลาก็มีพื้นที่ที่เป็นน้ำจืดแท้ๆ เพราะฉะนั้นเฮียก็ยืนยันได้ว่าปลาบึกอาศัยอยู่ได้แน่นอนครับผม ขอบคุณที่เข้ามาชมครับ แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 52 10:52:12 จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 31 มี.ค. 52 10:51:24 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เฮียมีเรื่องแถมท้ายครับว่า เชื่อหรือไม่ว่าในสมัยก่อนไม่มี “ทะเลสาบสงขลา”?     จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งได้จากบันทึกการเดินเรือของชาวต่างชาติ ที่เข้ามาค้าขายในเมืองสยามในอดีตระบุว่า ลักษณะภูมิประเทศในสมัยเมื่อ 200-300 ปีก่อนหน้านี้ ยังไม่มีทะเลสาบสงขลาอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน พื้นที่บริเวณนี้เป็นเพียงร่องน้ำทะเลระหว่างแผนดินใหญ่กับแนวสันทรายยาวเป็นเกาะชื่อ “แทนทาลัม” หรือแนวสันทรายระโนด-สทิงพระ ต่อมาภายหลังได้มีการทับถมของโคลนตะกอนและทรายที่เกิดจากการกระทำของคลื่นลมมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้เกาะดังกล่าวขยายใหญ่ขึ้น มีแผ่นดินยื่นไปเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ทางตอนบนจนกลายเป็นทะเลปิดที่เกือบจะปิดที่เรียกว่า "ทะเลสาบ" น่าแปลกน๊ะครับพื้นที่ออกใหญ่โตแต่เพิ่งเกิดทะเลสาบสงขลาเมื่อไม่เกิน300ปีมานี่เอง แล้วทะเลสาบสงขลายังเป็นทะเลสาบแบบลากูน หนึ่งเดียวของประเทศไทย และหนึ่งใน 117 แห่งทั่วโลก ลากูน (Lagoon) คือ แหล่งน้ำตื้น พบในบริเวณชายฝั่งทะเลที่แยกจากทะเลโดยการกั้นของเนินทรายซึ่งอาจจะเปิดออกสู่ทะเลเป็นระยะๆ ลากูลสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อแม่น้ำไหลลงสู่ทะเลโดยที่บางส่วนเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ (Estuary lagoon) หรือไม่มีผลจากแม่น้ำก็ได้ครับ เฮียลอกข้อมูลเค้าอีกที5555 แต่เชื่อถือได้ครับผม โดยจากรูปจะเห็นว่ามีแนวชายฝั่งกั้นชัดเจน แปลกดีครับว่างๆก็ไปเที่ยวกันได้ จากคุณ : เฮียโอฬาร - [ 31 มี.ค. 52 11:18:03 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เคยกินทีนึงที่ร้านอาหารป่าที่หัวหิน แต่กินแบบทอดกระเทียม ขนาดทอดมาจนแห้งเหลือง หนังยังโคตรเหนียว กินแค่ครั้งเดียว ไม่คิดอยากกินอีกคับ จากคุณ : benz47 - [ 31 มี.ค. 52 12:14:50 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ความผิดพลาดครั้งนี้ จะโทษใครดีครับ ระหว่าง กรมประมง   ที่ปล่อยพันธ์ปลาโดยไม่มีการศึกษาเสียก่อนว่า ผลกระทบจะเกิดขึ้น แต่ยังไงเสียก็ไม่น่า นำมาอยู่ในทะเลสาปทั้งตอนบน ตอนกลาง และตอนล่างน้ำตื้นแค่2เมตร ยังไงเสียก็ไม่รอดหรอกครับ หากโตเต็มที่ ชาวประมง   ที่ทำร้ายโลมาโดยไม่ตั้งใจ ไม่เกรงว่าจะสูญพันธ์ เหมือนพะยูน ที่อยากจะฝากไว้ก็คือ ถ้าหากมีการปล่อยพันธ์ปลาบึก ลงทะเลสาปจริง ก็จงหยุดเถอะครับ เพราะนั่นคือ การทำร้ายปลาบึกชนิดที่คาดไม่ถึง และยังมีผลที่เกิดขึ้นในแง่ลบอีกหลายเรื่อง หากยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอ เรายังมีที่ มีทางที่จะสงวนพันธ์ปลาบึกนี้ อีกแยะในเมืองไทย นอกเหนือจากทะเลสาป เขื่อนต่างๆ ก็ยังพอมีที่มีทางให้ปลาบึกได้อาศัยแบบสบายๆ  ไม่เดือดร้อน   หรือ กรมประมงพัทลุง ได้อ่านกระทู้นี้แล้ว http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/05/E6595228/E6595228.html จึงคิดปล่อยปลาบึกลงไป เพื่ออนุรักษ์ปลาให้เต็มทะเลสาปสงขลา แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 52 15:38:04 จากคุณ : สีฟ้าของน้ำทะเล - [ 31 มี.ค. 52 15:34:57 ]