ความคิดเห็นที่ 8 |
ถึงแม้ชื่อ Slow Food จะมีนัยยะบ่งว่า "ช้า" แต่เป็นความช้าที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่อง "เวลา" มาเป็นประเด็นหลักนะคะ
แนวคิดแบบ Slow Food นี่ เกี่ยวข้องกับการ ต่อต้านชีวิตชาวกรุง หรือชาวเมืองใหญ่ ๆ ในยุคใหม่ ทีชีวิตมีแต่ความเร่งรีบ ด่วน ด่วน ด่วน แล้วก็ด่วน ในทุกซอกมุมของ Lifestyle แล้วละเลยกับรายละเอียดปลีกย่อยในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การทำงาน การกิน อยู่ หลับ นอน คนในยุคใหม่ก็เลยค่อนข้างขาดสุนทรีย์ในการดำรงชีวิตประจำวัน
อย่างในเรื่องของอาหารการกิน คนสมัยก่อน เขาจะใส่ใจอย่างมากในเรื่อง การคัดเลือกวัตถุดิบ โดยเฉพาะเน้นการกินอาหารตามท้องถิ่นและฤดูกาล (ปลายฝนต้นหนาวต้องกินแกงส้มดอกแค แก้ไข้หัวลม เป็นอาทิ) การเตรียมอาหาร และ การปรุงอย่างมีศิลปะ ปรุงเสร็จ ก็ค่อย ๆ กำซาบกับรสชาติของอาหารจานนั้นอย่างเพลิดเพลินกับสมาชิกในบ้าน
แต่คนสมัยปัจจุบัน จำนวนไม่น้อย ถูกกระแสแห่งความเร่งรีบ ทำให้เราต้องพึ่งพาอาหารนอกบ้านกันมากขึ้น (บางครอบครัวที่รู้จัก ไม่ทำกับข้าวกินที่บ้านเลยก็มี ซื้อกินอย่างเดียว) และบางครั้งวิถีชีิวิตปัจจุบัน ทำให้คนเราต้องยกจานข้าวมากินหน้าคอมพิวเตอร์บ้าง ทีวีบ้าง แทนที่จะได้นั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหาร แล้วดื่มด่ำกับ รูป รส กลิ่น ของอาหารจานที่อยุ่ตรงหน้า
แนวคิดแบบ Slow Food เริ่มเป็นครั้งแรกในประเทศอิตาลี เมื่อปี 1986 (พ.ศ.2529) โดย Carlo Petrini เขาเป็น นักเีขียนเกี่ียวกับอาหารและไวน์ เขารู้สึกรังเกียจวิธีการทำธุรกิจของบริษัทอาหาร Fastfood เจ้าใหญ่อย่าง McDonald มาก เขามองว่า บริษัทเหล่านี้เป็นตัวการในการบ่อนทำลายวัฒนธรรมการกินการอยู่ของชาวอิตาเลียน ในเบื่องแรก เขาเขียนบทความเพื่อสนับสนุนให้คนในอิตาลี หันมากินอาหารและไวน์ประจำท้องถิ่นกันให้มาก ๆ และเลือกกินอาหารตามฤดูกาล เพราะพืชผักผลไม้จำนวนไม่น้อย ได้สูญหายไปจากตลาด เพราะถูกค่านิยมแบบ Fast Food และ Supermarket เข้ามา ทำให้ พืชผักผลไม้บางตัว ถูกตราหน้าว่า ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด (ยกตัวอย่าง มะเขือเทศลูกหงิก ๆ บาน ๆ เหมือนจานข้าว เป็นต้น) เมื่อเป็นอย่างนั้น ปั๊บ พวกเกษตรกร ก็เลยบ้าจี้ พาลเลิกปลูกพืชผักผลไม้ประจำท้องถิ่นไป เพราะว่า กลัวจะขายไม่ได้ ก็เลยทำให้ พืชท้องถิ่น ต้องสูญหายไปจากวงการ แล้ว คนสมัยนี้ เลยกินผักเป็นกันอยู่ไม่กี่อย่าง เป้นผักที่เหมือนถูกบังคับให้ซื้อกันใน Supermarket และพืชผักผลไม้ ที่กินกันอยู่ ก็เป็นพื่ชผักผลไม้ที่ผ่านการถูกกระทำชำเราทางพันธุวิศวกรรมกันแทบทั้งนั้น
Petrini ยังสนับสนุนใช้ผู้คน ใช้เวลาในการกินอย่างสร้างสรรค์ อย่าเร่งรีบ จะได้มีเวลาอิ่มเอิมกับอาหารตรงหน้า หรือ บทสนทนากับผู้ร่วมอุดมกินด้วย
เมืื่อแนวคิดนี้แพร่หลายไป ก็เริ่มมีการจัดตั้งกลุ่ม Slow Food ขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ เริ่มมีการต่อต้าน กฎ ระเบียบ ที่ทาง supermarket ยักษ์ใหญ่ต่าง ๆใช้เพื่อกำหนด ชนิด สี ขนาด กลิ่น ของสินค้าที่จะเข้าไปขายในซุปเปอรฺ์มาเก็ตได้ กลุ่ม Slow Food พยายามอย่างยิ่งในการสนับสนุนให้เกษตรกร และ ผู้บริโภค ใส่ใจในเรื่องความหลากหลายของพืข ผัก ผลไม้่ ที่บริโภคกันอยู่ทุกวันนี้ หลาย ๆ ประเทศ ก็เลยจัดให้มีตลาดเกษตร ที่เรียกว่า Farmer's Market ขึ้น เพื่อที่ผู้ผลิต จะพบเจอกับผู้บริโภค (คอเดียวกัน) ได้โดยตรง เมื่อมี demand และ มี supply มารองรับ พืชผักที่เป้นพันธุ์พื้นถิ่น ก้จะดำรงอยุ่ถึงลูกหลายเราได้ ไม่สูญหายสูญพันธุ์ไปกลางทางเสียหมด
แนวคิดแบบ Slow food ไม่ได้ต้องการให้คนเราปรับเปลี่ยนแค่เรื่องอาหารการกินเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนให้ปรับเปลี่ยนค่านิยม เจตคติ ให้ไปในแนวทางรักษาสมดุลให้ชีิวิต สิ่งแวดล้อม และ โลกด้วย
ว่ากันตามจริง ในฐานะคนชอบทำอาหาร การทำอาหารแบบ Slow food ไม่ได้ยาก และไม่จำเป็นต้องเป็นของแพง ๆ เสมอไป อาทิ ฤดูกาลนี้ แทนที่จะกิน แอปเปิ้ลนำเข้าจากจีน หรือ อเมริกา ลองเปลี่ยนไปกิน หมอนทองจันทบุรี หรือ ลำใยจากลำพูนแทน หรือ แทนที่จะกินสเต๊กปลาแซลมอนจากนอร์เวย์ กินข้าวผัดปลาทูจากแม่กลอง แกล้มต้มจืดตำลึงแทน เลือกอาหารที่เรารู้แหล่งที่มา ว่า มันไม่ได้เดินทางมาไกล ๆ เป็นเดือน ๆ กว่าจะถึงมือเรา แล้วก็อย่าไปเชื่อถือมากนัก กับไอ้ป้ายที่มันเขียนว่า "ORGANICS:" โลกใบนี้ มันมีพื้นดินที่ไหนบ้าง ไม่ปนเปื้อน แล้วถ้ามันไม่มี ORGANICS ของแท้ ๆ มันจะไปมีได้ยังไงกันเล่า บางครั้ง ป้ายว่า "อาหารปลอดภัย" "อาหารปลอดสาร" "เกษตรอินทรีย์" มันก็อาจจะเป็นแค่ ป้ายที่บอกความหมายเป็นนัย ๆ ว่า "แพงกว่าปกติ" เท่านั้นเอง
จากคุณ |
:
Guzzie
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ก.ค. 52 16:58:01
|
|
|
|