|
ความคิดเห็นที่ 95 |
อาการของแต่ละคนคงไม่เหมือนกันนะ พี่ว่า
ของพี่เริ่มด้วยคืนวันที่ 8 พี่เริ่มมีเสมหะ แล้วก็เลยไอ เป็นการไอแบบคนที่เสมหะเยอะแล้วเสมหะพยายามจะออกมาน่ะค่ะ
พอกลางวันวันที่ 9 พี่บินกลับ ก็เริ่มเป็นไข้ช่วงประมาณบ่าย 3-4 เวลาตามประเทศไทยนะคะ ก็นอนไปตลอด จนถามแอร์ว่ามีหน้ากากไหม คุณแอร์ว่ามีพี่ก็เลยขอมาใส่ 1 อันค่ะ
จนเวลาเย็นที่ของที่นี่ ก็ราวๆ เที่ยงคืนเมืองไทย พี่ก็ถึงบ้าน คืนนั้นเป็นไข้อีกรอบ แต่ไม่ได้วัดไข้เพราะเทอร์โมมิเตอร์นั้น อยู่ในกระเป๋าเดินทางของกิ่งไผ่ ซึ่งกิ่งไผ่เองก็เพิ่งเดินทางมาจากบ้านคุณย่า กระเป๋าก็ยังไม่ได้รื้อ
จนเช้าของวันรุ่งขึ้น พี่ก็เป็นไข้อีกค่ะ ทีนี้กิ่งไผ่ตื่นแล้ว ก็เลยให้เจ้าตัวดีไปค้นหาเทอร์โมมิเตอร์มาวัดไข้ให้ ปรากฏว่า 39.5 C กินยาลดไข้ไปครึ่งชั่วโมง วัดไข้ก็ยังไม่ลด จนผ่านไปอีกชั่วโมงวัดไข้อีกที ปรากฏว่ายังเกิน 38 อยู่ค่ะ ก็เลยไปหาหมอ
กว่าจะไปหาหมอได้ พี่ก็เป็นตุ๊กตาล้มลุกอยู่หลายรอบค่ะ เพราะจะรู้สึกหนักหัวมาก คือหัวจะทิ่มและอยากนอนอยู่ตลอดเวลา มีอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดกระดูกไปทั่วทั้งตัว
โตนเช็คและสัมภาษณ์อยู่รวมๆกันเกือบ 2 ชั่วโมง (ไม่นับที่รอหมออีกประมาณชั่วโมงหนึ่ง) แล้วหมอก็โทรไปแจ้งสาธารณสุขเลยค่ะ สรุปที่ว่า อาการเข้าข่าย แม้ผลจะยังไม่ออกมาแน่นอน แต่เขาขอกักตัวพี่ไว้ที่โรงพยาบาลเลย
วันรุ่งตอนบ่ายๆขึ้นผลที่แน่นอนก็ออกมาค่ะ ปรากฏว่าเป็น โพสิทีฟ ทางเจ้าหน้าที่ก็เรียกแฟนพี่และกิ่งไผ่ให้มาตรวจโดยด่วน
ผู้ร่วมทางบนไฟล์ทเดียวกันก็ถูกโทรตามให้มาตรวจด้วยค่ะ อันนี้คอนเฟิร์มได้แน่ๆเพราะพี่เผอิญเจอคนเยอรมันที่รู้จักและเคยทำงานร่วมกันมานานคนหนึ่ง บินไฟล์ทเดียวกับพี่ เขาและภรรยาก็ถูกเจ้าหน้าที่โทรเรียกค่ะ
พยาบาลแจ้งว่า เรื่องของพี่นั้นลงข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เลยค่ะ เพราะถือเป็นคนไทยคนแรกที่เป็นที่นี่ (แถมเอาเชื้อมาจากเมืองไทยด้วย) เจ้าหน้าที่ที่นี่เรียกไข้หวัดใหญ่สายพันธุ้ใหม่ 2009 ว่า Schweinegrippe ค่ะ แปลง่ายๆก็ไข้หวัดระบาดหมู
จะว่าไปอาการที่ต้องไปพบแพทย์จะเป็นอย่างนี้นะคะ
1. มีไข้ 38 ํC ขึ้นไปร่วมกับ 2. อาการอย่างใดอย่างหนึ่งได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ, ไอ, หายใจผิด ปกติ (หอบ, ลำบาก), หรือแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม ร่วมกับ มีผู้สัมผัสร่วมบ้านหรือในที่ทำงานป่วยสงสัยไข้หวัดใหญ่หรือปอดอักเสบ ภายใน 1 สัปดาห์ก่อนวันเริ่มป่วย
จะเห็นว่า อาการของพี่อยู่ในข่ายที่เป็นหลายอย่าง เลยรีบไปหาหมอ ซึ่งเป็นการไปหาหมอที่ไม่ช้าเกินไปค่ะ ทำให้การรักษาไม่ยากเย็นและไม่มีโรคแทรกซ้อนมาด้วย
ที่สำคัญพี่ใส่หน้ากากตลอดเวลาทั้งยามหลับและยามตื่นเลยค่ะ และไม่สัมผัสกับบุคคลใดๆทั้งสิ้นแม้แต่แฟนและกิ่งไผ่ด้วย
อ้อ ไม่ทานอาหารร่วมกันด้วยนะคะ พี่กลับบ้านเย็นนั้น โยนพวกผักสดที่หอบไปจากเมืองไทยเข้าตู้เย็นอย่างเดียวแล้วก็อาบน้ำ เข้านอนเลย วันรุ่งขึ้น ก็มัวแต่หนักหัว นอนอย่างเดียว พ่อ-ลูกเขาก็จัดการอาหารเช้ากันไปเอง แล้วก็ออกไปหาหมอตอนก่อนเที่ยง โดยที่พี่ไม่ได้ทานอะไรเลย (จะว่าไปไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่อยู่บนไฟล์ทแล้วค่ะ เป็นไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัวและกระดูกและรู้สึกหนักหัวแล้วตอนนั้น)
พี่ออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว แต่ต้องไม่ไปใกล้ชิดกับคนอื่นๆไปอีก 2 อาทิตย์ นับจากวันนี้นะคะ ก็ถึงต้นเดือนหน้าแหละค่ะ
ที่เมืองไทยนั้น ถ้าเป็นไปได้ พยายามเลี่ยงสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันเยอะๆ เช่นห้างร้านที่ติดแอร์ ห้องใหญ่ๆที่ติดเครื่องปรับอากาศ รถเมล์ปรับอากาศ โรงหนัง ฯลฯ
พยายามๆอยู่ในที่โล่งๆ อากาศถ่ายเทได้ ใช้หน้ากาก ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ หรือก่อนที่จะขยี้ตา แคะจมูก หยิบอะไรเข้าปาก
ถ้าออกข้างนอกแล้วพอกลับเข้าบ้านก็ควรล้างมือหรืออาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรกเลยค่ะ
เรียกว่าเป็นสุขอนามันเบื้องต้นเลยค่ะ
พี่พลาดไปแล้ว ไม่รู้ไปเสร่อรับเชื้อมาจากไหน เลยไม่อยากให้ใครพลาดตามนะเนี่ย อิอิ
แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 03:57:28
จากคุณ |
:
Regenbogen ^_^
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ก.ค. 52 03:52:06
|
|
|
|
|