ความคิดเห็นที่ 1   โดยโรงเรียนมีข้อตกลงที่ว่าเก็บส่วนแบ่งจากรายได้ของแต่ละร้าน จำนวน20%ต่อวัน คิดแล้วคงเป็นรายได้ของโรงเรียนวันละหลายพันบาทเพราะเด็กๆจะถูกล่อหลอกจากคนขายด้วยสินค้าสีสวยต่างๆ โดยปราศจากการช่วยเหลือปกป้องของโรงเรียนเลย จนบางครั้งผมได้มีโอกาสคุยกับครูประจำชั้นของหลานเรื่องของที่ขายในโรงเรียนว่ามีการเลือกสรรอย่างไร ก็ได้คำตอบว่า แรกๆ ก็มีการตั้งคณะกรรมการดูแลอย่างดี แต่เมื่อเวลานานไป ก็ไม่มีการติดตามผล ปล่อยให้คนใหม่ๆที่เสนอค่าตอบแทนสูงๆทำอะไรก็ได้ พวกที่ทำดีๆเด็กก็ไม่ซื้อเลยเลิกรากันไปเรื่อยๆ จากคุณ : มองต่างมุม เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:01:38 A:117.47.42.87 X: TicketID:242349

ความคิดเห็นที่ 2   ครูแต่ละคนไม่มีใครสนใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้เพราะไม่อยากไปเปลืองตัวทะเลาะกับแม่ค้า ผลเสียจึงตกอยู่กับเด็ก ผู้ปกครองของเด็กแต่ละคนก็สมควรดูแลลูกหลานของตนเอง ทำให้ผมรู้สึกว่าสมควรแล้วหรือที่เราจะเห็นเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่มีสาระ และปล่อยผ่านเลยไป จึงมาขอความเห็นจากเพื่อนๆผู้มีความรู้ในห้องก้นครัวแห่งนี้ครับ เผื่อว่าจะช่วยกันแก้ปัญหาได้ มุมมองเรื่องนี้อาจไปถึง ท่าน ผอ.ให้รับทราบเลย จากคุณ : มองต่างมุม เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:02:38 A:117.47.42.87 X: TicketID:242349

ความคิดเห็นที่ 3   ผมขอยกตัวอย่างสินค้าที่เห็นนะครับ มันฝรั่งแผ่นทอดแบบทอดเอง มีซอสราดขายเป็นถ้วยๆ มีเด็กๆไปรุมซื้อกันมากมาย ทั้งๆที่เป็นตัวเพิ่มน้ำหนักทั้งนั้น ไม่รู้อนุญาตให้มาขายในโรงเรียนประถมได้ยังไง น้ำหวานสีต่างๆ แบบที่ชงมาจากบ้าน มาใส่แก้ว ใส่น้ำแข็งกันบนโต๊ะเลย น้ำแข็งก็ใส่ถุงกระสอบมาตักกันตรงนั้น ขายตรงนั้น จะปนจะเปื้อนยังไงไม่มีใครสน มีชาเย็นสีส้ม สีเขียวมาขายเด็กๆตั้งแต่ระดับอนุบาล1อีกตะหาก ลูกอมชนิดต่างๆ ใส่ซองพลาสติกมาแบ่งขาย 3เม็ดบ้าง4เม็ดบ้าง 5บาท เด็กเล็กๆชอบ เยลลี่ สาหร่าย ของแม่สาย จากเมืองจีนทั้งนั้น มีเด็กไปรุมแย่งกันซื้อ น้ำหวานเข็มข้น ทำคล้ายน้ำแข็งใส รองก้นแก้วด้วยวุ้นมะพร้าวสีสวยๆ ที่ใส่เป็นถุงๆมาจากเมืองจีน มาตักแบ่งใส่แก้ว ตักน้ำแข็ง ราดน้ำหวานสีแดงสีเขียว ราดนมข้นหวานอีก ไม่อ้วนก็ไม่รู้จะว่าไง วันๆขายได้เป็นพันแก้วมั้ง เครื่องดื่มเกร็ดหิมะ ตอนขายก็บอกเด็กๆว่าเป็นน้ำส้มคั้น ขายแก้วละ5บาท สีสวยดี มีหลายรส ทั้งฝรั้งโกโก้ องุ่น มะพร้าว ฯลฯ เห็นมี อย.อยู่แค่ส้มตัวเดียว แล้วอีก5-6รส เอามาขายได้ยังไง จากคุณ : มองต่างมุม เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:17:55 A:117.47.42.87 X: TicketID:242349

ความคิดเห็นที่ 4   ที่ผมมาเล่าให้ฟังที่นี่ ก็เพราะอยากทราบมุมมองจากเพื่อนๆ ว่าการที่ผมเห็นว่าเรื่องแบบนี้เป็นอันตรายแก่เด็กๆ ทุกๆคน จะเห็นด้วยหรือไม่ หากเพื่อนท่านใดมีความรู้ ความเห็นเกี่ยวกับอันตรายจากการไม่ได้รับความรู้ทางโภชนาการ ของเด็กช่วยแสดงความเห็นด้วยนะครับ ยิ่งใครมีข้อมูลสนับสนุนเกี่ยวกับ อันตรายจากการบริโภคสิ่งเหล่านี้ ช่วยนำมาแสดงด้วยยิ่งดี เผื่อว่าข้อมูลสนับสนุนของท่าน จะไปถึงผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ แต่ขาดความสนใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นนี้ก็ได้ ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาติดตามนะครับ สวัสดี จากคุณ : มองต่างมุม เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:24:04 A:117.47.42.87 X: TicketID:242349

ความคิดเห็นที่ 5   สงสารเด็ก ๆ นะครับ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่ให้ รร หาผลประโยชน์จนไม่คำนึงถึงเด็ก จากคุณ : Mao Chang Lioa เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 12:27:31 A:192.18.17.40 X: TicketID:241378

ความคิดเห็นที่ 6 ทำหนังสือเเจ้งทางผู้บริหารโรงเรียนดูไหมค่ะ โดยหาผู้สนับสนุนซึ่งก็คือพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กๆนั่นเหละค่ะ เเต่ถ้าทำอะไรมากไม่ได้ ก็ดูเเลลูกหลานตัวเองให้มากก็เเล้วกันค่ะ จากคุณ : himawari_dpu เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:07:33

ความคิดเห็นที่ 7 เหอๆๆ  น่าสงสารเด็กๆ จะกินอะไรที ก็ไม่ดีต่อสุขภาพไปซะทุกอย่างเลย จากคุณ : จบไปแล้วเรื่องนั้น เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:09:25

ความคิดเห็นที่ 8 โรงเรียนของลูกชายไม่ให้ขายพวกขนมถุงๆ ในโรงเรียน ดังนั้นขนมแบบที่จขกท.ว่านี่ขายได้ เรื่องแบบนี้มันก็พูดยากนะคะ รายได้ของพ่อค้า แม่ค้า และโรงเรียน เรื่องผลประโยชน์...แก้ยากค่ะ ทางที่ดีก็คือ ควรสอนลูก สอนหลานเราให้รู้จักเลือกกินของที่มีประโยชน์ ฉลาดเลือก ฉลาดกินดีกว่า ของที่ไม่มีประโยชน์หรือมีน้อย ก็กินน้อยหน่อย จะให้ห้ามไม่ให้กินเลยก็ดูโหดไปค่ะ นึกถึงตอนตัวเอง เป็นเด็ก พวกขนมหวานแสบไส้ ท้อฟฟี่ ลูกชิ้นทอด เยลลี่หลอดสีๆ ก็ยังชอบกินเลย จากคุณ : Minutius Hora เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:14:54

ความคิดเห็นที่ 9 อ่านแล้วก็เศร้าใจค่ะ T_T จากคุณ : ดีพอหรือยัง เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:19:54

ความคิดเห็นที่ 10 เคยคิดเหมือน จขกท. เลยค่ะ ที่สำคัญคือ เห็นน้ำมันที่แม่ค้าใช้ทอดไหมคะ ดำมาก ประมาณว่าใช้มานานแล้ว ไม่ยอมเปลี่ยนเลย คงจะแก้กันยาก เพราะไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องสำคัญ อยากให้โรงเรียนเป็นเหมือนที่เราเคยเรียนจัง เป็นโรงเรียนอนุบาล - ป.6 ค่ะ เป็นเอกชนอยู่ต่างจังหวัด ทางโรงเรียนจะห้ามนักเรียนทุกระดับชั้น พกเงินมาโรงเรียน และห้ามแม่ค้ามาขายของหน้าโรงเรียนเด็ดขาด จากคุณ : มี่ (AmeiNa G) เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:23:47

ความคิดเห็นที่ 11 ของแบบนั้น เขาเรียกขนมหลอกเด็ก ซึ่งมันขายได้จริง ใครลองเอาของที่ดีต่อสุขภาพไปขายสิ เจ๊งทุกราย ต่อให้ทาง รร. บังคับว่าต้องขายของดี มีคุณภาพก็เถอะ ถ้าของมันไม่ดึงดูดเด็ก เด็กก็ไม่ซื้อ พาลจะออกไปซื้อในโซนที่นอกเหนือการควบคุมซะอีก อันนี้เป็นทุก รร. จริง ๆ ไม่รู้จะแก้ยังไง ที่เลวร้ายไปกว่าของกินหรือขนมหลอกเด็ก ก็คือของเล่นหลอกเด็ก พวกที่เป็นกล่อง ๆ ละ 5-10 บาท ข้างในมีลูกอม เยลลี่อันเท่าเหรียญสลึง ซึ่งพอเด็กแกะกล่องแล้วก็จะโยนขนมทิ้งไปเด็ก ที่เด็กสนใจคือไพ่ หรือสติกเกร์สะสม แปะลงสมุดสะสม หากซ้ำกับที่มีแล้ว ก็โยนทิ้งไปอีกซื้อใหม่ เด็กอยาจะสะสมให้เต็มเล่มเพื่อแลกของล่อใจมูลค่าไม่กี่บาท แต่เงินที่ลงทุนไปนั้น หากครบจริง ๆ ก็หลายร้อยล่ะ ..เฮ้อ ไหนจะรูปถ่ายศิลปินแผ่นละ 5-10 บาทอีก จะซื้อไปทำไมเนี่ย มอมเมากันตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก .. อ่อ ช่วงคมแฝกฮิต มีขายคมแฝกด้วย อันละ 35-40 ช่วงนี้หน้ากากอะไรไม่รู้ ที่เป็นตัวร้ายในละครช่อง 7  เฮ้อ(อีกที) จากคุณ : คุณแหวะ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:40:46

ความคิดเห็นที่ 12 สงสารเด็ก ๆ จากคุณ : thakoop เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:57:30

ความคิดเห็นที่ 13 ลองให้ค่าขนนมเด็ก 3 บาท แบบบ้านเราสมัยก่อนดิ เด็ก ก็ไม่มีตังค์ซื้อ ไม่มีปัญญากินแร่ะ ประหยัดด้วย หรือไม่ถ้าคุณน้ามารับกลับ แล้วหลานอ้อนกินขนม ก็ต้องผ่านอนุมัติจากคุณน้าก่อนถึงซื้อให้ จากคุณ : fairport เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:58:06

ความคิดเห็นที่ 14 โรงเรียนควรดูแลเด็กมากกว่าต้องการส่วนแบ่งรายได้ เดี๋ยวนี้มีขนมและของหลอกเด็กเยอะ ทำให้เด็กทานของที่ไม่มีประโยชน์ ทำให้เกิดโรคอ้วน ฯลฯ จากคุณ : Whereabouts เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 14:02:34

ความคิดเห็นที่ 15 แต่ทำไมผมรุ้สึกว่าเด็กสมัยนี้ตัวมันช่างสูงใหญ่ บึกบึนกันจัง ทั้งๆที่ของขายหน้าโรงเรียนมันก็อีแบบเดียวกับที่สมัยผมเรียนนั่นล่ะ (ม.3 สูงเลยผมไปเยอะแล้วอ่ะเด็กสมัยนี้ - -") จากคุณ : ปลาวาฬภูเขา เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 14:16:53

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นด้วยกับจขกท.ค่ะ ที่โรงเรียนลูกเราหนักกว่าอีกค่ะ  ครูในโรงเรีัยนซื้อมาขายเองเลย เราต้องคอยบอกลูกๆเองค่ะว่าอย่าซื้อพวกขนมถุงๆ ขนมกรอบๆ อธิบายให้แกรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ไม่รู้จะเข้าใจแ่ค่ไหนนะ แต่ก็พูดทุกวันค่ะ แกขอตังค์ไปร.ร.วันละ 5.- แต่มีข้อแม้กลับมาบ้านให้หยอดออมสินด้วย บางวันก็เหลือหยอด บางวันก็หมดค่ะ ที่บ้านเราก็เตรียมของว่างให้เด็กๆด้วย บอกแกว่าเลิกเรียนอย่าซื้อขนม แม่ทำของอร่อยๆรออยู่ จากคุณ : เด็กแหนม เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 14:20:42

ความคิดเห็นที่ 17   ขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับ แต่ที่ต้องการตอนนี้ คือข้อมูลของ อาหารที่เป็นอันตรายต่อเด็กๆ เช่น ภัยจากน้ำแข็งหลอดที่ปนเปื้อน อันตรายของภาวะโภชนาการที่เกิน ภัยของโรคอ้วนในเด็ก รูปและข้อมูลของอาหาร ขนม ที่มาจากเมืองจีน(ที่เป็นรูปโรงงาน สกปรกๆ) และอื่นๆตามที่เพื่อนๆเห็นสมควร เพื่อรวบรวมนำเสนอ ผอ.ผ่าน ครูประจำชั้นของหลานชายครับ รบกวนเพื่อนๆที่มีความรู้ช่วยค้นหาข้อมูลมาเพิ่มด้วยนะครับ เพื่อเด็กประถมตาดำๆซัก3พันคน จะได้มีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้นซักนิด จากคุณ : มองต่างมุม เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 14:47:33 A:222.123.210.145 X: TicketID:242349

ความคิดเห็นที่ 18 อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับทางครอบครัวของเด็กด้วย  ที่จะต้องคอยชี้ถึงภัยจากการบริโภคของเหล่านั้น   อีกอย่างหนึ่ง  นิสัยการบริโภคของพ่อแม่  หรือคนที่เลี้ยงดูเด็ก  ก็มีผลอย่างมาก หากพ่อแม่กินอาหารเช่นนั้นเป็นประจำ  ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กก็จะไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปรกติแต่อย่างใด  และนิสัยก็จะติดมาจนโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่แต่ประเทศไทยประเทศเดียวที่ประสบปัญหาเหล่านี้  ที่อังกฤษเอง  เชฟชือดัง  เจมี่ โอลิเวอร์  ได้พยายามปฏิวัติอาหารกลางวันที่เด็กบริโภค  โดยเข้าไปช่วยเหลือ แนะนำ สอนวิธีทำอาหารที่มีประโยชน์และไม่อันตรายต่อสุขภาพเด็ก ได้รับการต่อต้านมากมาย  แม้จะพยายามแค่ไหน  แต่ก็เป็นเรื่องยาก  เพราะเด็กไม่ชอบ ที่บ้านถือเอาสะดวกเข้าว่า  อาหารขยะก็ซื้อหาได้ง่าย ไม่ต้องมานั่งทำตั้งแต่หั่นผัก หั่นเนื้อ ฯลฯ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  ไม่สามารถทำได้ในส่วนไหนส่วนเดียว  ต้องร่วมมือกันทั้งทางครอบครัว โรงเรียนและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง แต่เท่าที่ผ่านมา  ก็ไม่เห็นรัฐบาลไหนได้เข้ามาดูเรื่องนี้ซักที จากคุณ : Amber n the Gang เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 15:02:13

ความคิดเห็นที่ 19 ขอยกตัวอย่างโรงเรียนพ่อเรานะคะ เป็นโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม โรงเรียนมีตู้น้ำดื่มให้ แต่รณรงค์การเอาน้ำดื่มส่วนตัวมาจากบ้าน ที่โรงเรียนมีน้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะพร้าว น้ำส้ม และน้ำเฉาก๊วย หากเด็กต้องการดื่มเครื่องดื่มหวานๆ สดชื่นๆ ไม่มีขนมกรุบกรอบ มีแต่ผลไม้สด (ชมพู่ ฝรั่ง แตงโม สัปปะรด มะม่วง) กับแซนด์วิชไส้ทูน่ากับผัก (ทำน้อย ขายวันต่อวัน) กับข้าวในโรงเรียนไม่เคยมีหมูมัน หนังหมู หนังไก่ กับน้ำมันหมู เพราะสั่งห้ามไว้ และมีผักลวกกับผักสด พร้อมน้ำพริกกะปิให้นักเรียนหยิบไม่อั้นฟรี ส่วนร้านค้ารอบโรงเรียน โรงเรียนดูแลตั้งแต่เรื่องขนมไปจนถึงของเล่นเด็ก ขอความร่วมมือร้านค้า เรื่องขนมสีสันฉูดฉาด ไม่มี อย. ไม่มาตรฐาน และเคยมีร้านค้าบางร้านเอาของเล่นอันตรายมาขาย (วุ้นโพลิเมอร์ที่แช่น้ำแล้วพองหลายเท่า ไม้บรรทัดแบบที่งอเป็นกำไลได้แต่คมกริบ) ทางโรงเรียนต้องเข้าไปสั่งห้ามเลยค่ะ พร้อมอธิบายว่ามันอันตรายยังไง ซึ่งร้านค้าก็เข้าใจนะคะ เพราะลูกๆ เค้าก็เรียนที่นี่เหมือนกัน แต่ตอนที่ขายนั่นไม่ทันคิด เห็นมันแปลกใหม่ขายดีก็เลยขาย จริงๆ แล้วโรงเรียนต้องร่วมมือกับร้านค้าเรื่องควบคุมขนมนะคะ เอามาขายได้ แต่ต้องปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเด็ก โรงเรียนไม่ควรเลยค่ะที่จะมาหาผลประโยชน์จากร้านค้าแบบนี้อีกที ที่สำคัญต้องปลูกฝังสั่งสอนเด็กให้รู้จักเลือกสิ่งมีประโยชน์ใส่ตัว และโทษของอาหารอันตรายด้วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 15:18:29 จากคุณ : ตรามาร~ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 15:15:15

ความคิดเห็นที่ 20 ตอนเราเด็กมันเคยมีหนังสือเรียนเล่มหนึ่งที่สอนเรื่องอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้เราไม่ค่อยกว่ากินขนมกรุบกรอบบ่อยเท่าไหร่ ไม่รู้สมัยนี้จะมีหนังสือเรียนที่สอนเด็กเรื่องนี้มั่งหรือเปล่านะคะ จากคุณ : เสียงจากบ้านนา เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 15:16:47

ความคิดเห็นที่ 21 เห็นด้วยกับ จขกท. และหลายๆท่านอย่างยิ่งค่ะ แต่อย่างว่าแหละ เดี๋ยวนี้ควบคุมยากมากค่ะ ต่อให้ห้ามร้านค้ามาขายรอบโรงเรียน หรือในโรงเรียน เด็กๆก็หาได้จากที่อื่น... ยิ่งพวกโรงเรียนในเมือง เลยไปนิดมีร้านเซเว่นฯ ซึ่งมีเกือบจะทุกอย่าง ทั้งน้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ ... ทางที่ดีที่สุด คือ ควบคุมที่ตัวลูกของเราเองนั่นแหละค่ะ ถ้าพ่อแม่ใส่ใจ ก็ต้องทำให้เด็กรู้ให้ได้ว่า ขนมพวกนี้ทานมากๆมีโทษกับร่างกายอย่างไร เราเองก็ไม่ได้ถึงกับห้ามลูกไม่ให้ทานนะคะ แต่สอนให้เขารู้ว่า ควรทาน พอสมควร เช่น มันฝรั่งทอด นานๆทานทีก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้ถึงกับ ติด ต้องทานทุกวัน ส่วนน้ำอัดลมก็ได้ความรู้จากโรงเรียนศิลปะครู แหลมค่ะ(ขอยกเครดิตให้เลย) ครูแหลมสอนเด็กๆเรื่องน้ำกระดูกพรุน จนเด็กๆหลายคนขยาด ไม่กล้าทาน รวมทั้งลูกเราด้วย ตอนลูกอยู่อนุบาลโรงเรียนหนึ่ง เราเคยเขียนจดหมายไปขอร้อง ผู้อำนวยการให้เลิกแจกน้ำอัดลมในโรงเรียนให้เด็กเวลามีงานเลี้ยง ท่านก็ให้ความร่วมมือดีค่ะ ตอนหลังๆเห็นว่าเป็นน้ำหวานธรรมดา ก็ยังดีกว่าน้ำอัดลมค่ะ จากคุณ : กุ๊กกลาง เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 15:25:26

ความคิดเห็นที่ 22 หวังพึงแค่ทางรัฐบาลไม่ได้หรอกค่ะ เพราะโรงเรียนหลานจขกท. มีการได้รับผลประโยชน์จากแม่ค้า ร.ร.ประถมของทางจังหวัดดิฉันซึ่งอยู่ทางใต้ ไม่ได้เป็นจังหวัดที่ใหญ่โต แต่ไม่ได้รับผลกระทบกับเรื่องต่อไปนี้เลย เพราะ มีการจัดประชุมผู้ปกครองด้วยกันเอง ผู้ปกครองมีการสอดส่องดูความประพฤติของร.ร.ว่าเหมาะสมหรือไม่(เหมือนที่จขกท. ได้มีการสอดส่องเห็น) ถ้าหากโรงเรียนมีความประพฤติไม่เหมาะสม เห็นแก่กำไรจากร้านค้าแบบกรณีนี้ จะต้องโดนเหล่าผู้ปกครองยื่นจดหมายต่อว่า เทา่่ที่ดู ร.ร.ของหลานจขกท.นี่มีเด็กฐานะปานกลาง-ดี เยอะทีเดียว สามารถซื้อขนมกินได้เยอะแยะขนาดนี้ น่าจะจัดคณะกรรมการผู้ปกครองเด็กเพื่อเป็นตัวแทนเสนอความคิดเห็นกับทางโรงเรียน ส่วนตอนนี้ แนะนำใ้ห้ รวมกลุ่มผู้ปกครอง แล้วชี้แจงปัญหากดังกล่าว หลังจากนั้นก็ยื่นเรื่องกับทางโรงเรียน ให้ทางโรงเรียนมีการคัดเลือกอาหารที่เหมาะสมภาวะโภชนาการเด็ก   คิดว่าคงไม่ถึงขนาดต้องยื่นเรื่องเป็นหนังสือทางราชการ ใช้การบอกกล่าวกับครูประจำชั้นเด็กก็ได้ค่ะ ถ้ามีผู้ปกครองเสนอความคิดเห็นนี้เยอะๆ ก็ต้องเอาเข้าที่ประชุมอยู่ดี จากคุณ : WhiTe_WinG เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 16:31:48

ความคิดเห็นที่ 23 เห็นด้วยกับกับคุณแอมเบอร์ คุณกุ๊กกลางค่ะ พ่อ-แม่คือส่วนสำคัญค่ะ ต้องสอนให้เขารู้ในเรื่องโภชนาการ วันละเล็กวันละน้อย นานๆไปเขาก็จะชิน ยกตัวอย่างลูกชายตัวเองค่ะ ตั้งแต่เล็กๆทานอาหารเสร็จต้องทานผลไม้ด้วยเพราะมีวิตามินมากและวิตามินจำเป็นสำหรับร่างกาย นานๆถึงจะให้เลือกขนมหวานจำพวกพุดดิ้ง ชอคโกแลตสอดไส้นมสำหรับเด็กเสียที จริงๆแล้ว ขนมกับเด็กมันแยกจากกันลำบากค่ะ ตึงเกินไปก็ไม่ดี หย่อยเกินไปก็หมดงาม น้ำอัดลมนานๆได้ดื่มที ถือเป็นรางวัลสำหรับเด็กดี ให้เขาได้ลิ้มรสบ้าง ห้ามขาดเลยก็ไม่ดีอีก คุณครูพี่เลี้ยงเขาก็จะสอนเรื่องผัก-ผลไม้ นมไขมันต่ำ ชีสไขมันต่ำ แม่ฟังแล้วชื่นใจเวลาเขากลับมาเล่าเสียงแจ๋วๆ และยิ่งชื่นใจที่เวลาไปจ่ายของกัน ลูกจะหยิบสินค้ามาแล้วเปรียบเทียบปริมาณไขมันดู แถมมันสอนแม่มันกลับอีก ให้เงินติดกระเป๋า อยากซื้ออะไรก็ได้ตามใจ แต่จะหลอกล่อจูงใจเขาว่าถ้าหยอดกระปุก พออายุครบ 18 จะได้มีเงินไปทำใบขับขี่นะ (เขาชอบเล่นรถมาก หนังสือเล่มโปรดตอนนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับรถสำหรับผู้ใหญ่ O_o) อายุเพิ่ง 6 ขวบแต่อยากขับรถ เลยต้องบอกว่าก่อนขับรถได้ต้องทำใบขับขี่ ลูกชายดิฉันฟังแล้วหยอดเงินลงกระปุกครบถ้วนทุก Cent เลยค่ะ หมดหนทางไปซื้อขนมไม่มีประโยชน์ไปอีกทาง สิ่งที่โชคดีที่สุดคือโรงเรียนที่ประเทศเยอรมันีนี่ ไม่มีร้านขายขนม ขายอาหารในโรงเรียนค่ะ หากเทียบกับประเทศไทยแล้ว เด็กๆที่นี่เลยจะอ่อนซ้อมในเรื่องการใช้เงินมากๆ กว่าจะใช้เงินเป็นกันก็โน่นเลยค่ะ เข้าวัยหนุ่มน้อยสาวน้อยโน่นแหละ ทุกวันนี้ดิฉันหัดให้ลุกพยายามซื้อของและจ่ายเงินเองบ้าง เวลาไปซื้อไอศครีมตามปาร์ค ฯลฯ จากคุณ : Regenbogen ^_^ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 17:27:04

ความคิดเห็นที่ 24 ตอนเราเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนเราห้ามนักเรียนซื้อขนม อาหารของร้านหาบเร่แผงลอยหน้าโรงเรียนเด็ดขาด  แม้ว่าร้านพวกนั้นพอตอนเย็นก็จะมาตั้งที่ฟุตบาทหน้าโรงเรียนก็ตาม นักเรียนก็เชื่อฟังนะคะ ไม่มีคนซื้อเลยทั้งๆ ที่คุณครูก็ยืนส่งนักเรียนอยู่ที่ประตูเท่านั้นไม่ได้ออกมาตามดูข้างนอก แต่ทุกๆ เช้าหน้าเสาธงและในห้องเรียนคุณครูจะบอกเสมอค่ะว่าห้ามซื้ออาหารเหล่านั้นเพราะอะไร รวมทั้งทางโรงเรียนยังขอความร่วมมือผู้ปกครองที่มารับลูกด้วยว่าอย่าซื้ออาหารรถเข็นให้เด็กกิน  ส่วนพวกเราที่กลับรถโรงเรียนก็ไม่มีใครซื้อเลยสักคน เราเห็นว่าเรื่องนี้แก้ไขได้หากผู้ปกครอง โรงเรียนดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง สอนให้เด็กรู้จักเลือกรับประทานและเลือกอาหารที่มีคุณค่าให้เด็ก   อย่างเราสมัยเด็กๆ ที่บ้านห้ามกินมาม่า เป๊บซี่ โคล่า พวกนี้ไม่ได้กินเลยค่ะ   ก็เลยทำให้เราไม่ชอบทานอาหารพวกนี้ไปเลย จากคุณ : Bt vista เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 18:28:46

ความคิดเห็นที่ 25 ลูกสาว 5 ขวบ  เราสร้างภูมิคุ้มกันเรื่องขนม ของหวานให้ มีเงินให้เขาไปทุกวัน ที่โรงเรียนก็มีขนมขาย แต่เราคอยบอกว่าอะไรดีไม่ดี อย่ากินน้ำอัดลมเลยลูก กินนมดีกว่าไหม กินปลาเส้นดีกว่ามันฝรั่งนะ ไปรับลูกที่โรงเรียน ก็ซื้อกล้วย ซื้อส้มติดมือไปด้วย ถ้าหนูทานผลไม้ที่แม่เอามา หนูเก็บตังค์ที่เหลือหยอดกระปุก เดี๋ยวปีใหม่ เราจะซื้อกล้องกัน เรียกว่า ทั้งสั่งสอน ทั้งติดสินบน ปากเปียก ปากแฉะ แต่ผลคุ้มค่า ลูกแทบจะเป็นคนเดียวในชั้นที่ฟันไม่ผุเลย ครูอ่อน โรงเรียนอ่อน แม่ต้องแกร่ง อ้อ กระทู้น่าสนใจ ขอลิงค์ไปห้องชานเรือนนะค่ะ ที่นั่นมีผู้ปกครองเยอะ คงได้ความเห็นที่หลากหลาย แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 19:03:14 จากคุณ : แม่น้องหยง เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 18:59:55

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านของคุณแม่น้องหยงแล้วนึกได้ค่ะ ลูกชายดิฉันก็ไม่มีฟันผุด้วยเหมือนกัน (แต่เขาต้องแปรงฟันทุกครั้งหลังอาหารมื้อหลักด้วยค่ะ) จากคุณ : Regenbogen ^_^ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 19:06:46

ความคิดเห็นที่ 27 เห็นกระทู้นี้แล้วนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ... ขนมดอกโสน  กล้วยแขก  ถั่วเขียวต้มน้ำตาล  มันเชื่อม ทั้งที่ ยายทำให้กิน และแวะกินตอนกลับจากโรงเรียนบ่อยๆ..... จากคุณ : TOMCAT (ต้อม ตื่นตูม) เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 19:47:38

ความคิดเห็นที่ 28 แม่น้องหยง เอา หัวใจไปเลย 1 ดอก........... ลุงหมี เด็กๆ อยู่ รร สาติ๊ด ..... ลุงหมี ยัง จนปัญญา เลย..... บอกตรงๆ ... ... ... เห็นด้วย กับ จขกท.... มาก ถึง มากที่สุด........... จากคุณ : The Polar Bear เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 20:08:56

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจครับ ปัญหานี้ ในด้านความรู้ไม่ค่อยมี ช่วยได้แต่ขยายเรื่องราว ขอนำไปบอกต่อในห้องอื่นๆนะครับ ช่วยๆกัน จากคุณ : nautica_407 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 21:43:59

ความคิดเห็นที่ 30 อันนี้ น่าสนใจเหมือนกันครับ เลิกทานอาหารขยะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า by : จิตติมา จันทนะมาฬะกะ โรคเบาหวานเป็นปัญหาท้าทายที่สำคัญในประเทศกำลังพัฒนาหลาย ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอินเดีย ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังดูเหมือนว่าเรายังคงปิดตาของเราต่อมหันตภัยเงียบนี้ จำนวน เด็ก เยาวชนและวัยรุ่น ที่เป็นโรคเบาหวานมีเพิ่มมากขึ้น และโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตกำลังจะเพิ่มสูงขึ้นจนเกินกว่างบประมาณ ที่ใช้ในการดูแลสุขภาพจะดูแลได้อย่างทั่วถึง จากการที่อินเดียเป็นประเทศที่มีสถานการณ์ของโรคอ้วนรุนแรง โรคดื้ออินซูลิน และเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กและเยาวชน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง ต่อการป้องกันพื้นฐานของโรคอ้วนและ การลดน้ำหนักอย่างถูกสุขลักษณะ โดยเริ่มจากวัยเด็ก เด็กและเยาวชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทต่าง ได้รับความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นในการที่จะป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ไม่ได้ออกกำลัง หรือมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายตามที่วัยของพวกเขาต้องการ ดร.มาร์ติน ศิลิงค์ ประธานสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation - IDF) กล่าวว่า โรงเรียนไม่ได้สนับสนุนให้นักเรียนได้เล่นกีฬาและออกกำลังกายเท่าที่ควร และในขณะเดียวกันคอมพิวเตอร์ ก็เข้ามาแทนที่สนามเด็กเล่น เขาอยากเห็นผู้คนกลับไปใช้ชีวิต เหมือนอย่างเมื่อก่อนและเด็กๆ หันหลังให้กับอาหารขยะ และวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย กลับไปเดิน ปั่นจักรยาน วิ่ง เล่นกันอย่างสนุกสนาน มากกว่าที่จะนั่งเป็นเวลานานๆ อยู่หน้าโทรทัศน์ หรือจอคอมพิวเตอร์ มิเช่นนั้นแล้วโรคเบาหวาน และโรคที่ไม่ติดต่ออื่นๆ จะส่งผลกระทบร้ายแรง ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศอินเดีย นอกจากนี้เขายังสนับสนุนเรื่องการตรวจสุขภาพของเด็กๆ ในระดับโรงเรียน ซึ่งประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่นเองก็พบว่า มีจำนวนเด็กที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มมากขึ้น และได้มีการดำเนินการดังกล่าวเช่นเดียวกัน ยังได้เน้นในเรื่องความสำคัญของการเรียนการสอนโยคะ สำหรับเด็ก เนื่องจากประโยชน์ที่เด็กๆ จะได้รับต่อสุขภาพทั้งด้าน ร่างกายและจิตใจ การเริ่มต้นดูแลสุขภาพโดยเริ่มตั้งแต่ระดับครอบครัวและชุมชน จะสร้างศักยภาพในการส่งเสริมการเคลื่อนไหวประเด็นหลักๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพในสังคม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ ผู้ปกครอง ชุมชน โรงเรียน และครู ต่างก็เป็นบุคคลที่มีบทบาท ที่จะนำไปสู่ความร่วมมือในเรื่องของสุขภาพระดับชาติซึ่งมีความ สำคัญอย่างยิ่ง จากคุณ : nautica_407 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 22:02:20

ความคิดเห็นที่ 31   น่าเศร้านะคะ ชีวิตเด็กไทย จากคุณ : Schnuggy (ชนุ๊กกี้) เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 22:53:39 A:84.177.82.174 X: TicketID:241208

ความคิดเห็นที่ 32 เห็นด้วยมากๆค่ะ ตามมาจากห้องแป้ง ขวัญเองยังไม่มีลูกหรอกแต่เมื่อก่อนได้เลี้ยงหลาน 2 คน พี่ให้ไปช่วยดูเพราะไม่ไว้ใจจ้างใคร ขวัญไปรับไปส่งที่โรงเรียน หลานไม่สบายบ่อยจะเจ็บคอ จะไอ สาเหตุมาจากกินของทอด น้ำมันที่ทอดแล้วทอดอีก พพี่สาวขวัญแม่ของเด็กๆก็บอกเด็กๆน่ะ แต่เด็กก็คือเด็ก เค้าอยากกิน เค้าเลิกแล้วหิว น้ำแข็งไสนี่ห้ามเลยเพราะกินแล้วเป็นหวัด แต่เด็กก็ไม่เชื่อ ขวัญไปรับแล้วเห็นเค้ากินพอดี เค้าตกใจรีบทิ้งเลย กลัวขวัญฟ้องแม่ หลังจากวันนั้นมาขวัญแก้ปัญหาโดยไปรับหลานเร็วขึ้น นั่งรอก่อนเลิกเลยไม่ให้เงินซื้อขนมตอนเย็น ขวัญไปรับและจะพาหลานๆซื้อขนม ขวัญจะเลือกให้เอง เป็นแบบนั้นนานเลย จนหลานโต ธุรกิจพี่เริ่มอยู่ตัว พี่ดูแลลูกเองได้  ขวัญก็ออกมาไปทำงานของขวัญ หลานก็ขึ้นมัธยม เราไม่เจอกันนานเลย เพราะอยู่คนล่ะจังหวัด พอเจออีกที ตกใจค่ะ หลานตัวใหญ่กว่าขวัญอีก ในเวลาแค่ปีเดียวเปลี่ยนไปมากหลังจากที่ขวัญไม่ได้อยู่ ตอนนี้ก็อ้วนเลยหล่ะ เกินคำว่าอวบเลย นี่คงกลับไปกินแบบเดิมอีก หลานจะดื้อค่ะ กินจุมากๆด้วย กลุ้มใจแทนพี่สาวจัง จากคุณ : กล่องของขวัญ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 23:27:07

ความคิดเห็นที่ 33 เป็นแม่ลูกสอง คนโต ป.3 คนเล็ก อ.1 ค่ะ เรื่องการซื้อขนม น้ำอัดลม บอกไปสอนไปเถอะค่ะ ถึงเวลาแม่ไปรับก็เห็นซื้อกินทุกที จนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วค่ะ ทั้งสองคนเรียนโรงเรียนเอกชน(เพราะความสะดวกหลายประการ) โรงเรียนลูกสาวคนโต เป็นกิจการลักษณะครอบครัว ในโรงเรียนก็จะมีร้านค้าสหกรณ์(เรียกว่าสหกรณ์ แต่ไม่มีปันผล เข้าใจว่าเป็นกิจการของส่วนกลางของโรงเรียน) ร้านค้าของครูผู้จัดการ ครูที่เป็นเครือญาติ  +โรงอาหาร  ขนมที่ขายก็เหมือนทั่ว ๆ ไป  น้ำอัดลม ขนมกรอบ มันฝรั่งทอด ไก่ทอด ลูกชิ้น ผัดมาม่า ฯลฯ  ที่เด็ดสุด มีขนมที่ไม่มีอย. หลากหลายประเภท เช่น แผ่นเจลเหมือนเจลดับกลิ่นปากของผู้ใหญ่ สเปรย์น้ำหวาน เวลาประชุมผู้ปกครอง ดิฉันจะเขียนข้อเสนอแนะทุกครั้ง เรื่องขนมที่ขายในโรงเรียน ขอให้งดขายน้ำอัดลม ขนมทอด ขนมกรอบทั้งหลาย ดิฉันเข้าใจว่าเด็กกับขนมเป็นของคู่กัน แต่ถ้าเราเลือกขนมที่จะมาขาย ถึงแม้จะมีแค่ 10 อย่าง เด็กเค้าก็กินได้ แต่ผ่านมา 3 ปี ไม่มีผลอะไร ปีนี้ก็เลยเลิกไปประชุมผู้ปกครองค่ะ ส่วนหน้าโรงเรียนก็สารพัดขนมค่ะ แม่ค้าส่วนใหญ่จะจูงใจ เช่น ขายน้ำอัดลม นมสารพัดสีใส่ในขวดน้ำอัดลมพลาสติก เทขาย เข้าใจว่าจะเป็นนมผงมาชงแล้วจะมีพวกเยลลี วุ้นสี ๆ สาคูสี ให้เด็กตักใส่ โรงเรียนลูกชายคนเล็กก็เหมือนกัน รับเด็กเนอสเซอรี ถึง อ.3 จริง ๆ แล้วเป็นโรงเรียนที่ดีมากในแบบของเรา แต่เวลาโรงเรียนมีงาน จะแจกน้ำอัดลมเสมอ ลูกชายก็ชอบมาก เพราะปกติอยู่ที่บ้านแม่จะไม่อนุญาตให้ดื่มน้ำอัดลม ต่างกับโรงเรียนหลานสาว ดาราวิทยาลัย เชียงใหม่ เค้าบอกว่าไม่ขายน้ำอัดลม ของทอด จะเป็นขนมประเภทนึ่ง ผลไม้ ฯลฯ แทน และทราบว่ามีมาตรการ หรือระเบียบห้ามขายน้ำอัดลมในโรงเรียน แต่ส่วนใหญ่ก็ยังขายกันอยู่ โรงเรียนมัธยมบางแห่ง ผูกขาดเป็นปี ๆ เพราะบริษัทน้ำอัดลมสนับสนุนรถยนต์ให้ใช้ฟรี 1 คัน จากคุณ : เอื้ออารี เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 00:41:36

ความคิดเห็นที่ 34 เรื่องนี้ป้องกันยากค่ะ  ดิฉันก็เป็นเด็กที่เป็นเหยื่อของอาหารหลังเลิกเรียนอันเย้ายวนเหมือนกัน  ดิฉันเป็นเด็กกินเก่งตัั้งแต่เกิดค่ะ  ไม่ว่าจะนมแม่หรืออะไร  คุณยายเป็นคนชอบกินของหวาน และทำกับข้าวเก่ง  ทุกคนไม่แปลกใจที่ดิฉันเป็นเด็กเจริญอาหาร ที่ติดของหวาน  ตอนดิฉันอยู่ ป.6 ดิฉันน้ำหนัก 61 กิโลกรัมค่ะ  แล้วก็ไม่เคยน้อยกว่านั้นอีกเลย จริง ๆ ในโรงเรียนของดิฉันมีอาหารหลากหลายค่ะ  แต่ดิฉันไม่เคยเลือกรับประทานผลไม้อย่าง ชมพู่ ฝรั่ง  แต่กลับซื้อเกี๊ยวทอด  ไก่ทอด  บะหมี่หมูสับ เพื่อน ๆ ในกลุ่มเดียวกันจบ ม.6 ด้วยน้ำหนัก 60-85 กิโลกรัม  ดิฉันรู้ว่าตัวเองค่อนข้างอ้วนแต่น้ำหนัก 72 กิโลกรัมถือว่าเป็นน้ำหนักกลาง ๆ ของกลุ่มเพื่อน การเลือกรับประทานอาหารของเด็กก็เหมือนการเลือกคบเพื่อนค่ะ  ถ้าที่บ้านเรียบร้อยเด็กก็คบเพื่อนเรียบร้อย  ดังนั้น ถ้าที่บ้านช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของน้อง ให้ในบ้านไร้อาหารขบเคี้ยวอุดมไขมัน  เน้นผลไม้  และการรับประทานอาหารตรงเวลา  ดิฉันมั่นใจว่านั่นจะเป็นภูมิคุ้มกันให้เด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดีค่ะ จากคุณ : Irishcream เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 01:53:12

ความคิดเห็นที่ 35 ของขายหน้าโรงเรียนสมัยนี้ต่างกับสมัยก่อนเยอะ (สักสิบสามสิบสี่ปีที่แล้ว) แต่ของสมัยนั้นก็ไม่ถูกโภชนาการเท่าไรหรอก เพียงแต่น่าจะดูปลอดภัยกว่าสมัยนี้นะ (กินเองทุกวัน อิอิ) ด้วยค่าครองชีพสมัยนั้นทางบ้านให้เงินใช้วันละ 20-30 บาท (โรงเรียนในกรุงเทพเน้อ) กินได้อย่างมากก็ลูกชิ้นปิ้ง มั่ง ทอดมั่ง ขนมโตเกียว โรตีอันสองอัน แต่มาอ่านบทความก็นึกขึ้นได้ว่าบางบ้านฐานะดีเพื่อนเด็กก็มีกินกันกระจุยเหมือนกัน เพียงแต่ไอ้ที่ต่างคือ... เพิ่งรู้ว่าสมัยนี้มีการประมูลขายของแบบนี้หน้าโรงเรียนด้วยเหรอ แต่ก่อนอาจารย์ออกมาทีผู้ค้าพวกนี้แทบจะหนีกันเลยทีเดียวนะสมัยผมเนี่ย จากคุณ : KippO เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 02:11:53

ความคิดเห็นที่ 36 เป็นปัญหาระดับชาติค่ะ แต่ไม่มีคนสนใจ คุณ จขกท เริ่มเห็นปัญหานี้ ขอสนับสนุนค่ะ ข้อมูลจากหนังสือ ลูกอ้วน พ่อแม่ควรทำอย่างไร : มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (ซื้อมาจากร้านนายอินทร์ ถ้าจำไม่ผิด) เด็กอ้วนกับปัญหาสุขภาพ 1. ระบบหัวใจและหลอดเลือด  พบว่าในเด็กอ้วนพบไขมันเกาะผนังหัวใจได้ตั้งแต่อายุเพียง 2  ขวบ ทำให้หลอดเลือดแข็ง ความดันโลหิตและระดับไตรกลีเซอไรด์สูง เสี่ยงต่อปัญหาระบบหัวใจและหลอดเลือด 2. ระบบหายใจ ไขมันสะสมในผนังช่องอก ช่องท้อง กะบังลม และเนื้อเยื่อรอบทางเดินหายใจ เด็กอ้วนร้อยละ 30 มีความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ ร้อยละ 5.7-7 เป็นมากถึงขั้นหยุดหายใจ 3.กระดูกและข้อ มักพบความผิดปกติของข้อเข่า ทำให้ขาโก่งหรือกางผิดปกติ อันตรายต่อหัวกระดูกโคนขา 4. นิ่วในถุงน้ำดี เสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี 4.2 เท่าของคนปกติ 5.เกิดภาวะดื้ออินซูลิน นำไปสู่การเกิดโรคเบาหวาน นอกจากนี้จะมีปัญหาความสามารถในการเรียนรู้ เพราะออกซิเจนในเลือดตอนหลับต่ำ ปวดหัวตอนเช้า ง่วงซึมกลางวัน หงุดหงิดง่าย สมาธิสั้น ผลการเรียนตก เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่มีอัตราตายเทียบกับประชากรทั่วไป 1.6-1.8 เท่า ขอสรุปง่ายๆว่า อาหารเลวๆ ที่ผู้ใหญ่ยัดเยียดทางอ้อมให้เด็กโดยไร้ความรับผิดชอบนั้นทำให้เค้าตายเร็วขึ้น แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 02:14:24 จากคุณ : maemeepooh เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 02:12:16

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้าเรามีลูก  เราจะสอนเขาค่ะ  ให้เงินไปโรงเรียนในราคาที่เหมาะสม แล้วก้อจะไปติดต่อพ่อค้าแม่ค้า  เรื่องการฝากเงินให้กินข้าวเลย อาทิตย์ต่ออาทิตย์  ไม่ต้องให้ลูกจ่ายเงินแล้ว   ส่วนเรื่องขนม  จะต้องขู่ต้องห้ามเลย  ว่าอย่ากินของที่มันไม่มี ประโยชน์ต่อร่างกาย  เดี๋ยวจะโง่  ไม่ฉลาด  สู้คนอึ่นเขาไม่ได้ และจะต้องมีเงินมาหยอดกระปุกทุกวันค่ะ  วันละเท่าไหร่ก้อได้ ถ้าวันไหนไม่มีมาหยอด  เป็นเรื่องแน่ ๆ ค่ะ ถ้าเป็นไปได้จะสอนให้ลูกกินนม  แทนน้ำไปเลยค่ะ  พวกน้ำผลไม้ ยังไม่ค่อยอยากจะให้กินเลย  สีอันตรายก้อเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าไม่มีนมจิง ๆ เราต้องเตรียมไปให้ค่ะ  แต่ก้อทำได้แค่นั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาเรา  เขาจะทำอะไรจะกินอะไรก้อได้ ผู้ใหญ่เองก้อต้องปรับนิสัยการกินให้เด็กเห็นด้วยนะคะ  เดี๋ยวเด็กมัน จะว่าเอา  ทีพ่อแม่ยังกินได้เลย  เอาละสิ  แล้วจะเถียงไม่ออก ต้องเข้าใจค่ะ  เด็กต้องตามเพื่อนอยู่แล้วนะคะ  เราต้องใกล้ชิด เด็กและเข้าถึงเด็กให้มากที่สุดค่ะ   อย่างเรา  สมัยเราเป็นเด็ก ๆ พ่อแม่ไม่ได้สนใจนะคะ  ว่าจะกินอะไร บ้าง  ขนมให้กินตามใจเลยค่ะ  อยากกินอะไร  ก้อซื้อ  ตามงบที่ให้ บางทีเราอยากได้่ของเล่น  มันอันละ 10 บาท เราตังไม่พอ เราจะเก็บไว้ซื้อในวันต่อไปค่ะ  วันนี้ขออด  แต่พรุ่งนี้ำได้ของเล่น  อิอิ เลยเสียนิสัย  ทุกวันนี้เลยติดนิสัยการกินแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก   เพราะว่าผู้ปกครองไม่ใส่ใจ  เราเลยเป็นโรคอ้วนนะ  ประกวดอะไร กับเขาก้อไม่ได้  นางงามก้อไม่ได้  มิสทีนก้อไม่ได้  นางแบบก้อไม่ได้ แถมยังโดนดูถูกเหยียบย่ำ  ว่าอ้วน  มีผลต่อการทำงานตอนเรียนจบ ไม่ว่าจะจบสูงแค่ไหนก้อตาม    เขาำไม่ค่อยจะรับคนอ้วนเข้าทำงานหรอกนะ   ทำให้เราเสียสุขภาพจิตไปด้วยนะคะ  ต้องมานั่งเครียดหางานอีกเรื่อย ๆ เป็นไปได้  ถ้ามีลูก  เราจะทำให้ดีที่สุด  ถึงแม้ว่ามันจะไม่ที่สุด ในสายตาของใคร ๆ ก้่อตาม...ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 04:08:22 จากคุณ : เจ้าสาวไร้งานแต่ง (satarwee) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 04:05:06

ความคิดเห็นที่ 38   เด็กกับขนมเป็นของคู่กันแก้ยากครับ ของผมใช้วิธีไหนๆ ก็ชอบกินอะไรเล่นๆ ก่อนกินข้าวอยู่แล้ว ก็ไปซื้อ โอวัลติน แบบแผงมาแขวนไว้ซะเลย อยากกินเล่นกีซอง ก็ฉีกเอาไป จะเทกินเล่นที่ รร ฤ กินเล่นก่อนกินข้าวก็ตามสบายครับ 666 จากคุณ : monsungja เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 08:36:41

ความคิดเห็นที่ 39   ส่วนเรื่องน้ำ ก็พาไปซื้อเอง จะเอานมสด นมเปรี้ยว โยเกิร์ต น้ำผลไม้ รสอะไร ก็หยิบเป็นแพ็คๆ มาเลย  ส่วนขนม ก็ไปเลือกซื้อด้วยกัน จะเป็นป๊อกกี้ มันฝรั่ง นมอัดเม็ด ฯ ถ้าคิดว่า พอรับได้ก็โอเคหยิบเลย แต่จำกัดจำนวน ต่างจากโอวัลติน มีสแปร์ตลอด วันนี้อารมณ์อยากกินอะไรก็พกไปด้วย  ถึงแม้บางอย่างจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ควบคุมได้นะครับ 666 จากคุณ : monsungja เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 08:45:36

ความคิดเห็นที่ 40 เราว่าโรงเรียนก็มีส่วนที่ช่วยกรองขนมที่นำมาขาย แต่บอกได้เลยว่าที่เด็กอ้วนนั้น ไม่ใช่แค่เค้ากินขนมพวกนี้ตอนเย็นๆหรอกค่ะ เพราะสมัยเราอยู่โรงเรียน เราว่าของพวกนี้ก็มีขายมานานแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งมี หรือถ้าโรงเรียนไม่ได้จัดที่ไว้ขาย เค้าก็ไปขายกันข้างโรงเรียน ริมถนนใกล้ๆโรงเรียน ซึ่งมันก็ไม่ต่างกันกับแต่ก่อน แต่ทำไมเด็กสมัยนี้อ้วนกว่า? ขอพูดตรงๆนะคะ เราว่ามันเป็นเรื่องของพ่อแม่ที่สั่งสอนลูก หรือมีการเลี้ยงลูกยังไงมากกว่า พ่อแม่จะบอกไม๊ว่า น้ำหวานพวกนั้นน่ากลัวจังนะ ลองพ่อแม่พูด มีหรือคะว่าเด็กจะไม่คิดตาม หรือบอกว่า รถเข็นพวกนั้น น่ากลัวไม่สะอาดนะ นอกจากนั้น พ่อแม่ก็ไม่เคยจะบอกลูกว่า กินขนมเยอะๆมันไม่ดีนะลูก อย่ากินขนมก่อนกินข้าวนะลูก เพราะอะไรก็ว่ากันไป ที่เราเห็นคนรอบข้างที่มีลูกอ้วน ก็เพราะว่าตามใจกัน ไม่เคยบอกลูกด้วยเหตุผลว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำเพราะอะไร หรือเด็กอีกพวกหนึ่งก็อ้วนมาตั้งแต่แบเบาะ ก็เพราะว่าเห็นลูกกินก็ปลาบปลื้ม ไม่คิดว่าลูกกินเยอะไปแล้วหรือเปล่า ไม่เคยคิดเรื่องอาหารและโภชนาการที่จำเป็นสำหรับเด็ก ที่เคยเห็นคนรอบตัว มีลูกก็อ้วนปี๋ เรียกว่าเป็นเจ้ามิชิลินน้อย จนทำให้มีปัญหาเรื่องผิวหนังอับชื้นตามซอกแขนขา ขนาดนั้นยังบอกว่า "หมอบอกว่าปกติ ไม่ได้อ้วนเกิน".....อันนี้น่ากลัวนะคะ เพราะเซลล์ไขมันนี่ถ้าสร้างกันแต่เด็ก มันจะลดไม่ได้นะคะ คนโตๆที่อ้วนแล้วมาผอม มันเป็นเพียงแค่เซลล์ไขมันหดตัว ไม่ใช่ว่าเซลล์ไขมันลดจำนวนลงแต่อย่างใด จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 08:59:23

ความคิดเห็นที่ 41 อ่านกระทู้นี้แล้วนึกถึงโรงเรียนสมัยมัธยมเลยค่ะ พอเลิกเรียนด้านนอกจะมีร้านขายของกินเต็มไปหมด คล้ายๆที่ จขกท เล่ามาเลยค่ะ มาม่าผัด น้ำหลากสี ของทอด นักเรียนก็เฮออกไปซื้อกันเยอะแยะ จนวันนึงอาจารย์ปกครอง สุดเฮี๊ยบท่านนึง ด้วยความที่ไม่อยากให้เด็กๆออกไปข้างนอก กลัวข้ามถนนอันตราย แล้วอยากให้เด็กรับประทานอาหารที่ดีกว่า อาจารย์เลยส่งกระดาษมาใบนึง ให้เด็กๆเขียนเลยค่ะว่าชอบกินอะไร ที่ขายอยู่นอกโรงเรียน พอรวมรายการได้ก็ส่งให้ร้านในโรงเรียนนี่ล่ะ จัดเมนูพวกนั้นมา แน่นอนว่าร้านในโรงเรียนทำได้สะอาดกว่าและน่ากินกว่า พวกเราเลยไม่ต้องออกไปซื้อกินข้างนอกเลยค่ะ มาถึงตอนนี้ยังนึกขอบคุณอาจารย์ท่านนั้นไม่หาย ถึงจะเข้มงวด แต่ก็มีความตั้งใจจริงในการดูแลนักเรียน ตอนนี้อาจารย์เกษียณไปแล้ว แต่รุ่นๆเดียวกันคงไม่มีใครลืมอาจารย์ท่านนี้แน่ๆ อาจารย์ธเนศ โรงเรียนบดินทรเดชา สิงห์ สิงหเสนี   :) จากคุณ : ลูกสน เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 09:28:50

ความคิดเห็นที่ 42 อันที่จริงผู้ปกครองควรจะศึกษา และปลูกฝังลักษณะนิสัยการรับประทานอาหารให้กับแต่ยังเล็กครับ ว่าไม่ควรรับประทานอะไรจุบจิบ และหมั่นออกกำลังกายน่าจะดีกว่า และแก้ที่ต้นเหตุครับ นึกถึงสมัยเด็กๆ วันเสาร์อาทิตย์พ่อแม่ก็จะพาไป Supermarket แล้วให้พวกผมกับน้องๆเลือกขนม พอวันธรรมดา แต่ละวันพ่อแม่ก็จะเอาขนมของแต่ละคนมาวางไว้ ส่วนที่เหลือก็จะเก็บไว้ เพื่อให้พวกผมรู้ว่าไม่ควรทานมากเกินไป จำกัดการทานในแต่ละวันครับ ขอบคุณพ่อแม่ที่สร้างนิสัยดีๆให้ จากคุณ : SealLoVer เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 10:20:47

ความคิดเห็นที่ 43 ขอแนะนำประสบการณ์ส่วนตัวหน่อยน่ะครับ เพื่อจะเป็นแนวทางให้คุณแม่หลายๆคนได้บ้าง ตอนเด็กหน้าโรงเรียนผมก็มีน่ะขนมและน้ำอัดลมพวกนี้ ตอนเด็กพอเลิกเรียนเสร็จ ก็รีบวิ่งไปซื้อเลย โค้กบ้าง ไอติมบ้าง ขนมถุงบ้าง มีสิบบาทก็ซื้อกันไปเท่าทีมี ตังไม่เคยเหลือเก็บถึงบ้านเลย ซื้อมาแล้วก็มานั่งเล่นลูกแก้วกับเพื่อนรอแม่หรือรอรถโรงเรียนมารับก็ว่ากันไป คุณแม่ก็สอนน่ะครับ ว่าอย่ากินนู็้น นั่น นี่ มันไม่ดีน่ะ เก็บตังดีกว่า เดี๋ยวคุณแม่จะได้พาไปเที่ยว พอหลังๆคุณแม่เริ่มเห็นว่าอ้วนขึ้น เวลาแม่มารับก็แม่ถามถึงอาหารกลางวันที่โรงเรียนให้กินวันนี้ แต่ก็เป็นอาหารธรรมดาไม่ได้อ้วนอะไร หลังแม่เริ่มถามใหม่ว่า วันนี้กินอะไรบ้าง แม่เลยรู้เลยครับว่าที่อ้วนนี่เพราะขนมหลังเลิกเรียนนี่เอง ทีนี้ได้เรื่องเลยคุณแม่ปฎิวัติเลยครับ ปฎิวัติกับผมน่ะครับ ไม่ได้ไปวีนกับโรงเรียน คือ คุณแม่จะรีบมาเลยกะให้ตรงเวลาผมเลิกเรียน แล้วหิ้วอาหารมาสารพัด เป็นตระกร้าเลยครับ อาหารก็แบบที่มีประโยชน์หน่อยน่ะครับ แบบผลไม้ กล้วย แตงโม ส้ม หรือไม่ก็ขนมแบบไทยๆอ่ะครับ ขนมตาลบ้าง ขนมถ้วยบ้าง แต่แบบหวานๆนี่จะแบบอาทิตย์ละครั้งประมาณนี้อ่ะครับ ส่วนน้ำก็มีสารพัด แม่รู้ว่าชอบกินน้ำเย็น ก็มีกระติกน้ำแข็งมาเลยน้ำเปล่า น้ำส้ม น้ำมะพร้าว ลำไย ที่ของโปรดผมเลยคือน้ำแอปเปิ้ลครับ ทำให้ติดมาถึงทุกวันนี้ ที่เด็ดสุดคือ แม่มีขนมมาสำหรับเพื่อนผมทั้งแก๊งค์เลยครับ แม่กลัวว่าแม่มีกล้วย มีน้ำส้มให้ผม แต่เพื่อนมีโค้ก มีขนมถุง มันผมจะไม่อยากกินขนมของแม่ แม่ก้เลยมีขนมมาให้เพื่อนๆผมกินด้วย ที่นี้เพื่อนผมก็ติดแม่ผมใหญ่เลยครับ แล้วก็แบบทำให้ผมไม่ต้องใช้ตังค์มีตังค์ไปหยอดกระปุกอีกด้วยอ่ะคับ แล้วที ่น่ารักที่สุดคือแม่จะให้เวลา วิ่งเล่นกับเพื่อนก่อนกลับบ้านด้วย คือแบบ โรงเรียนเลิกสามโมงครึ่ง แม่ก็จะมาเตรียมขนมปิกนิกมาเลย แล้วก็ให้กินขนมวิ่งเล่นกลับเพื่อนๆ ราวสี่โมงกว่าๆถึงสี่โมงครึ่งก็ค่อยกลับบ้านอะครับ หลังแม่เพื่อนก็เอาบ้างเลยครับ ที่นี้หลายๆแม่ก็เอาขนมมาให้ลูกกินกันเองเลย ไปๆมาๆแชร์ขนมกันเลย แม่ๆคุยกันลูกๆเล่นกันอยู่ในสายตาพ่อแม่ คิ๊ดถึงงง คิดถึงช่วงเวลาเด็กๆจัง ตอนนี้มาอยู่ไกลบ้านไม่มีคุณแม่ทำอาหารให้กินแล้วว ฮือ ฮือ อยากกลับบ้าน ยังไงก็ฝากไว้น่ะครับ เพื่อคุณแม่คนไหนมีเวลา อยากทำบ้างก็ไม่ว่ากันครับ จากคุณ : ibayou เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 11:07:07

ความคิดเห็นที่ 44 ถ้าจะไปบังคับเด็กไม่ให้ซื้อขนม หรือของเล่น ที่ขายเกลื่อนกลาดล่อใจแบบนั้น  พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า  ถ้าไม่ได้อยู่ในสายตา..  คงเป็นไปไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์เต็ม..  คือโรงเรียนควรจะออกกฎระเบียบ ควบคุมร้านค้าให้เรียบร้อย  โรงเรียนดีๆบางแห่ง  บริเวณรั้วรอบโรงเรียน จะไม่มีร้านหรือแผงขายของให้เห็น ..แม้แต่ร้านเดียว!!!  ทำไมทำกันได้ล่ะ แล้วเวลาเกิดเรื่องขึ้นมา  ไอพวกลูกอมปีศาจ  ลูกบอลเยลลี่ที่พองน้ำ พวกอันตรายต่างๆ  เด็กที่ไหนมันจะไปทันเรื่องพวกนี้  แล้วค่อยออกมาแก้ไขทีหลัง  มันก็สายเกินไปแล้วทุกที... เรื่องนี้มันมีมานานมากๆแล้ว  แต่ที่นี่ประเทศไทยน่ะ..  ทำใจแล้วกันนะ.. จากคุณ : nai_aoum เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 11:13:05

ความคิดเห็นที่ 45   อืมครับ เห็นด้วยกับความเห็นที่บอกให้แก้ที่ต้นเหตุครับ ถ้าคุณปิดร้านขายของพวกนี้ไป คุณคิดว่าจะได้อะไร เด็กก็สรรหาของกินเหล่านี้จากที่อื่นได้อยู่ดีครับ แต่ถ้าผู้ปกครองแต่ละคนหันมาเอาใจใส่ดูแลบุตรหลานของตนเองให้ดี ก็คงจะไม่มีปัญหาเช่นนี้มากอย่างทุกวันนี้หรอกครับ จากคุณ : Ar-Dieu เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 11:15:06

ความคิดเห็นที่ 46 ผมเคยตั้งกระทู้ว่า น่าจะให้ โรงเรียนประถม เป็นเขตปลอดน้ำอัดลม แปลกอ่ะ โดนด่าซะเปิง หาว่าทำไมเรื่องมากนักเอะอะก็จะห้ามนู่นห้ามนี่ เป็นซะงั้น อ้อ นมเปรี้ยวUHT ก็เป็นอีกหนึ่งความไร้สาระนะครับ เพราะโปรตีนในนมถูกย่อยสลายไปหมด เชื้อจูลินทรีที่เป็นprebioticก็ไม่มี เพราะโดนทำลายด้วยความร้อนไปหมดตอนทำสเตอริไลส์ เหลือแค่กากนม น้ำตาล และ แลคติคเอซิด จากคุณ : apotheker เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 11:15:38

ความคิดเห็นที่ 47 โหมีแบบนี้ด้วย โรงเรียนไม่สนใจเลยเหรอคะเนี่ย ขอเล่าหน่อยนะคะสมัยเรียนอยู่อัมพรไพศาล ไม่มีขนมพวกนี้เลยค่ะ หมากฝรั่ง ลูกอม ขนมขบเคี้ยวพวกเลย์อะไรไม่มีเลยเพราะคุณยายหญิง(ท่านผู้อำนวยการ) ไม่ให้นำมาขายค่ะ จะมีก็แซนด์วิชทำใหม่สดๆ ขนมก็ขาไก่ - -* ขนมปังรสต่างๆ ซอฟท์เคก อะไรแบบนั้นอ่าค่ะ แล้วก็มีไอศครีม ที่มีแค่ 4 รส รสสตรอเบอรี่ รสวนิลา รสช๊อคแล๊ตชิพ และก็ รสช๊อตแล๊ต น้ำอัดลมบังคับขายแก้วละ 5 กับ 7 บาท แล้วก็มีน้ำผลไม้ปั่นแก้วละ 5 บาท มีสลัดที่ผู้ปกครองเอามาขาย แค่นี้อ่าค่ะ นอกนั้นห้ามหมดเลยเพาะคุณยายหญฺงบอกอาหารโรงเรียนก็มี ขนมไม่มีประโยชน์ เคยเอาขนมไปทานตอนอยู่ ป.6 ยังโดนครูดุเลย - -* จะได้ทานแบบไม่มีปัญหาก็ตอนวันจัดงานปีใหม่ค่ะ นอกนั้นเอาไปโดนเพ่งเล็งตลอด ลืมบอกว่าที่สำคัญเค้าจำกัดเวลาการขายด้วยค่ะ ตอนเช้าขายตั้งแต่ 7 โมง ถึงก่อนจะเข้าแถวค่ะ กลางวันขายตอนพักทานอาหารกลางวันมาเลิกก่อนเวลาเข้าเรียน ตอนเย็นเริ่มขายตอนเลิกเรียนคือ 4 โมงเย็นค่ะ เลิกขายตอน 5 หรือ 6 โมงก่อนเด็กประจำขึ้นหอ จากคุณ : { { Arisa Love Tanabodi } } (AnCk-Su-NaMuN) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 11:41:56

ความคิดเห็นที่ 48 สมัยเด็กๆเคยเป็นเหมือนกันนะครับ อารมณ์ว่าติดของกินพวกนี้ พวกลูกชิ้นทอด ขนมถุงๆ น้ำแข็งไสหรือแม้แต่น้ำอะไรอ่ะที่กินแล้วลิ้นจะติดสีม่วงๆมาอ่ะ จนกระทั่งโรงเรียนออกกฎมาว่าห้ามขายของพวกนี้บริเวณโรงเรียน และห้ามขายขนมถุงๆในโรงเรียน ตอนนั้นก็โกรธพวกอาจารย์ที่ออกกฎนะว่าทำไมอ่ะ ก็มันอร่อยนี่นา ทำไมต้องมาห้ามด้วย พอโตขึ้นมาถึงเข้าใจว่าไอ้ที่กินๆไปน่ะ อันตรายทั้งน้านนน จากคุณ : Chonsoki เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 11:57:25

ความคิดเห็นที่ 49   สมัยผมเรียนประถมครูจะไม่อนุญาตให้พกเงินไปเรียนครับ ถ้าตรวจเจอจะโดนริบ (แต่ผมก็แอบเอาไว้ในถุงเท้า) ขนมก๊อบแก๊บมันมีขายหน้าโรงเรียนนานหลายยุคหลายสมัยแล้วล่ะครับ แล้วแต่ว่าแต่ละโรงเรียนจะจัดการกันยังไง ผมเองไม่ค่อยซื้อขนมพวกนี้เท่าไร เลิกเรียนก็ดิ่งกลับบ้านเลย ลำพังอาหารที่โรงเรียนมีให้มันก็เพียงพอสำหรับผมแล้วล่ะ จากคุณ : Furusato เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 12:15:05

ความคิดเห็นที่ 50   โรงเรียนของลูกสาวเราเป็นโรงเรียนปลอดอาหารและขนมที่ไม่มีประโยชน์ค่ะ ถ้าใครเอามาจะถูกคุณครูริบ หรือถ้าเพื่อนๆ เห็นเค้าก็จะเอามาฟ้องคุณครูกันค่ะ สมัยตอนเราเรียนประถม คุณครูก็เอามาแอบขายเองเหมือนกันค่ะ พวกลูกอม น้ำตาลหวานๆ เด็กๆ ชอบนักหล่ะ จากคุณ : สตอร์เบอรี่จิ้มเกลือ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 13:01:18

ความคิดเห็นที่ 51 มุมที่มองต่าง ดีครับ โหวตครับ จากคุณ : pakma_13 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 13:28:55

ความคิดเห็นที่ 52 ตอนเราเด็กๆ ในโรงเรียนมีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ที่ขายเฟร้นช์ฟรายส์ ไก่ทอด ขายด้วยค่ะ กินประจำเลย -*- แล้วก็บางโรงเรียนมีซุ้มขายน้ำอัดลม ที่ขายตลอดเวลา (พวกร้านข้าว ขนม น้ำอื่น ๆ จะได้รับอนุญาตให้ขายแค่ตอนเที่ยงเท่านั้น) เด็กๆ เวลาบ่าย ๆ ไม่มีอะไรกิน ก็ต้องมาซื้อแต่น้ำอัดลมกินกัน อย่างเวลาเรียนพละเสร็จเหนื่อย ๆ เนี่ยก็มาซื้อกินกันทุกคน พี่เรา กินจนเป็นโรคกระเพาะเลย ดีนะเราไม่ชอบกินน้ำอัดลมอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยได้กิน พอโตแล้วมาคิด...ทำไมโรงเรียนถึงทำอย่างงี้นะเนี่ย จากคุณ : ranmachan เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 14:34:30

ความคิดเห็นที่ 53 เราคงต้องสอนลูกเราอย่างที่หลายๆท่านว่าไว้ค่ะ ตรงนี้ก็สอน ติดสินบน ปากเปียกปากแฉะ เป็นแม่ใจร้ายมาพอดูค่ะ ตอนนี้เธอเป็นสาวแล้ว กลายเป็นสาวรักสุขภาพมาก พกแต่น้ำดื่มสะอาดเท่านั้น ผัก ผลไม้เป็นของชอบเลยค่ะ คนเป็นพ่อแม่ต้องยอมลำบากหน่อยค่ะ เงินเป็นสิ่งที่หลายๆคนชอบน่ะ พูดไปบางทีคนไม่ชอบเราอีก ฝากทุกคนอดทนในการเลี้ยงลูกค่ะ จากคุณ : MAE FAI เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 15:08:19

ความคิดเห็นที่ 54 เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในความคิดเรราเลยค่ะ ถ้าลูกต้องเข้ารร. รร.ที่ลูกจะเรียนต้องไม่มีของพวกนี้ค่ะ เราเจอรร.นึงถูกใจมากๆ แต่เค้าขายมันฝรั่งแท่งๆทอด(เฟรนชฟราย) ตอนไปเยี่ยมชมรร. กลับมาคิดหนักเลยค่ะ จากคุณ : janistar เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 15:19:09

ความคิดเห็นที่ 55 แค่เห็นตรงนั้นก็เครียดกันแวหรือ อันนั้นเรื่องเล็กมาก มีสิ่งล่ออีกตั้งมากมายทีใครๆก็เห็น ทางที่ดีสร้างให้เขาคิดเป็น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ จะดีกว่าตั้งเยอะ เด็กมีปัญหาแล้วโทษสิ่งแวดล้อมว่าไม่ดี จากคุณ : Salib เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 17:50:07

ความคิดเห็นที่ 56 ต่อให้พ่อแม่ดูแลยังไง .. ถ้าครูยังเห็น"เงิน"สำคัญกว่า"จรรยาบรรณ"อันนั้นมันก็แก้ยากครับ เราอยู่กับเค้ากี่ชั่วโมง(ไม่รวมเวลาหลับ) .. เค้าอยู่"โรงเรียน"กี่ชั่วโมง? จากคุณ : Top27 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 18:04:03

ความคิดเห็นที่ 57 แค่เห็นตรงนั้นก็เครียดกันแวหรือ อันนั้นเรื่องเล็กมาก มีสิ่งล่ออีกตั้งมากมายทีใครๆก็เห็น ทางที่ดีสร้างให้เขาคิดเป็น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ จะดีกว่าตั้งเยอะ เด็กมีปัญหาแล้วโทษสิ่งแวดล้อมว่าไม่ดี จากคุณ : อิอิ (Salib) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 18:19:30

ความคิดเห็นที่ 58   คุณแม่ของคห.43 เป็นคุณแม่ที่แก้ปัญหาได้ตรงใจมาก ส่วนตัวแล้วคิดว่าสาเหตุหลักๆที่เด็กออกไปซื้อของกินนั้น ไม่ใช่เพราะหิว แต่เพราะเพื่อน เพราะของที่กินแล้วอิ่มน่ะในโรงเรียนมีเยอะแยะ แต่ที่ๆมีเด็กมามุงเยอะๆก็ดึงดูดใจเด็กได้มาก ไม่นับของล่อใจไร้สาระอีกด้วย ในขณะเดียวกัน เด็กก็ต้องการสังคม ถ้าแยกเด็กออกมาซักคนเพียงเพราะเชื่อว่าของไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะให้เหตุผลว่าสิ่งที่เด็กเลือกซื้อจะไม่มีประโยชน์ สกปรก อันตราย หรือของที่นำมาจะสะอาดปลอดเชื้อ มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย (ซึ่งบางที่ก็มากไปด้วยซ้ำ) เด็กจะรู้สึกแปลกแยกได้ ดูแลมากไปก็กลายเป็นดาบสองคมทำร้ายลูกตัวเองไม่รู้ตัวก็บ่อยไป อาหารนอกโรงเรียนอาจมีของล่อลวงหรือสารอันตราย แต่เด็กที่ไม่รู้จักโลกภายนอกก็ซื่อเกินปัองกันตัวเองได้ อาหารที่เตรียมให้ หรือนำมาขายเอง อาจสะอาด ปลอดภัย แต่สำหรับบางบ้านแล้วของพวกนั้นอาจไม่ได้ดีกว่าน้ำอัดลมเลยก็ได้ ก็นี่แหละนะ ไม่งั้นเลี้ยงลูกจะยากกว่าปลอกกล้วยเหรอ... ทำอะไรแต่พอดีย่อมดีที่สุดนะ จากคุณ : abstract เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 20:59:06 A:124.122.251.38 X: TicketID:071021

ความคิดเห็นที่ 59 โรงเรียนเรา (ม.ปลาย) ไม่ให้ร้านค้าเอาขนมมาขายเลย - -" ยิ่งน้ำอัดลมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนพักทีนี่ แทบ ไม่มีของกินเล่น แต่คิดไปคิดมาแบบนี้มันก็ดีแหะ 55+ จากคุณ : shinkyo เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 21:01:58

ความคิดเห็นที่ 60 คห.47 ศิษย์อพศ เหมือนกันค่า จากคุณ : pattyny เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 23:30:08

ความคิดเห็นที่ 61 สมัยเราอยู่ประถม (ไม่นานนะคะ แค่ประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว 555+) โรงเรียนของเราไม่มีขนมซองๆขายเลยค่ะ ที่หน้าโรงเรียนก็ไม่มีร้านมาตั้งเลย แต่จะมีร้านนมในโรงเรียน (เป็นร้านขายนมเปรี้ยวค่ะ) แล้วก็มีพวกน้ำส้มปั่น ลิ้นจี่ปั่น บางวันก็ขายข้าวเหนียวไก่ (ขายดีมากกกก 9 ปีที่เราเรียนที่นั่นกินข้าวเหนียวไก่ไม่ถึง 100 ครั้งเลยอ่ะ 555+) แล้วรร.จะจัดนมถุงให้กินทุกวันด้วยค่ะ (ไม่รู้สมัยนี้ยังมีอยู่รึเปล่านะคะ) แต่พอไปเปรียบเทียบกะรร.ของน้องเรา (อยู่กันคนละรร.ค่ะ) ที่หน้ารร.น้องมีร้านขายของกินแบบที่จขกท.เล่าเลยค่ะ น้ำแข็งไส มันฝรั่งทอด ขนมกรอบๆ แล้วน้องเราซื้อกินทุกวัน (ส่วนเรื่องอาหารการกินที่นั่นจะเป็นไงบ้างเราก็ไม่ทราบค่ะเพราะไม่เคยเข้าไปเลย - -) ตอนน้องจบป.6 (เราอยู่ม.3) น้องน้ำหนักตัวมากกว่าเราอีกค่ะ -*- ตอนนี้หมอสั่งให้ควบคุมอาหารแล้วเพราะอ้วนเกินไป คงอยู่ที่การดูแลของรร.น่ะแหละค่ะ เพราะของเราเป็นรร.เอกชนเล็กๆเลยดูแลได้อย่างทั่วถึง แต่น้องเรียนรร.อนุบาลประจำจังหวัด คงมีเรื่องให้คิดมากมายเกินกว่าที่จะมานั่งคิดถึงเรื่องสำคัญๆอย่างการบริโภคของเด็กๆน่ะค่ะ PS. รร.มัธยมของเราเคยขายน้ำอัดลมอยู่พักนึงค่ะ แล้วอ.แนะแนวก็สั่งไม่ให้ขาย... หลังจากนั้น 1 ปีต่อมา อ.แนะแนวคนนั้นก็ให้เรากะเพื่อนไปซื้อน้ำที่ซุ้มน้ำให้ โดยสั่งว่า "เอาโค้กนะ" แม่ค้าที่ซุ้มก็บอกว่า "อ.เป็นคนไม่ให้ขายเองนะแล้วยังจะมาซื้ออีก" +++ จากคุณ : disordered เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 02:13:17

ความคิดเห็นที่ 62 เด็กสมัยนี้อ้วนง่ายนิ กินแค่นี้ก้้อ้วนกันแว้ว ตอนผมเป็นเด็กกินก๋วยเตี๊ยวหลังเลิกเรียนทีละโหล กินข้าวเที่ยงอยู่โรงเรียนทีละ 5 จาน ตอนค่ำกินข้าวเย็นที่บ้านอีกเป็นหม้อไม่เห็นจะอ้วนออกจะแห้งด้วยซ้ำ น้ำอัดลมซัดวันเป็นลิตร ไม่นับขนมกินตามทางอีก งิงิ ถ้าไม่เกิดเป็นลูกแม่สงสัย ผมอดข้าวตายแน่ ฮา จากคุณ : Poximus เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 02:44:23

ความคิดเห็นที่ 63 สุดท้าย ทางออกที่ดีที่สุด คือสอนลูกหลานไม่ให้ทานขนมพวกนี้ ไอ้ตัวเล้กที่บ้านไม่ทานลูกอม และน้ำอัดลมค่ะ แล้วให้ออกไปวิ่งเล่นที่สนามบอลทุกวัน....เอาเหงื่อออก(แต่ก็ยังอวบๆ อยู่) ที่น่าโมโห คือ ครูชอบให้รางวัลเด็กๆ เป็นลูกอม ไอ้ตัวเล็กก็เก็บใส่กระเป๋ากลับมา เกือบทุกวัน....แต่กินไม่เป็น แต่จะมาอ้วนกะ นม เนย ชีส เพราะชอบทานชีสสติ๊กเล่นๆ จากคุณ : mondhi เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 07:45:15

ความคิดเห็นที่ 64 จำได้ว่าตอนเรียนอยู่ประถม คุณครูสั่งห้ามซื้อขนมรถเข็นหน้าโรงเรียน ใครซื้อโดนจดชื่อด้วย นี่คงเป็นวิธีหนึ่งของโรงเรียนเราที่จะไม่ให้เด็กซื้อโดยขาดความยั้งคิดมั๊ง จากคุณ : i_am_fah เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 12:51:50

ความคิดเห็นที่ 65 เรื่องนี้จริงๆโรงเรียนนั่นแหละต้องจัดการพวกแผงลอยขายของ แต่ถ้ารร.ทำไม่ได้ก็คงเป็นภาระของพ่อแม่แล้วล่ะค่ะ มันอยู่ที่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วยนะ ที่บ้านเราเข้มงวดเรื่องกิน มันก็สร้างนิสัยมาจนโต ปัจจุบันนี้ เราไม่กินน้ำอัดลม ขนมซอง น้ำเเข็ง ของทอดเลย รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เพื่อนๆชอบดื่มกันด้วย คราวก่อนไปกินกุ้งทอดกะพี่สาว เราลอกส่วนแป้งที่มันๆกรอบๆออกหมดเหลือแต่เนื้อกุ้ง พี่สาวเราอุทานเลยอ่ะว่าridiculous! ก็ของทอดมันไม่ดีต่อสุขภาพนี่่นา ไม่รู้เอาน้ำมันอะไรมาทอดนี่ กินเข้าไปก็มีแต่สารพิษเข้าร่างกายเปล่าๆ เวลาไปกินข้าวกับคนอื่นที่ไม่ใช่ที่บ้านหรือเพื่อนสนิท เราจะต้องเจอกับสายตาประหลาดใจทุกครั้ง เพราะการระวังเรื่องของกินของเรานี่แหละ เขาอาจจะขำนะ แต่เรื่องกินเนี่ย มันจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เราถึงระวัง  กินของแย่ๆไปตอนนี้ไม่เห็นผลหรอก แก่ตัวไปน่ะ แย่แน่ๆ เรื่องแบบนี้ถ้ารร.ไม่ปลูกฝังก็คงเป็นหน้าที่พ่อแม่แล้วล่ะค่ะที่ต้องเข้มงวดและปลูกฝังเพราะเป็นการสร้างนิสัยการกินที่ดีกับเด็กไปจนโต จากคุณ : กอหญ้าพาฝัน เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 14:18:56

ความคิดเห็นที่ 66 กรรมการเครือข่ายโรงเรียน ไปอยู่ใหนกันหมด? แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ  ผมก็เคยเป็นเหมือนกัน  ท้ายสุด ไปสะดุดขาครู  เลยต้องถอยออกมาอยู่ห่างๆ  เวลาที่โรงเรียนมีงานจริงๆ จึงจะเข้าไปช่วย อย่าว่าแต่ขนมเลยครับ ไพ่ทาโร่  ลูกข่างเบเบลด  รูปถ่ายนักร้อง ดารา  กิ๊ฟช็อป ฯลฯ  ราคามีตั้งแต่ สิบกว่าบาท ถึง เกือบร้อยบาท ที่ว่ามานี่คือโรงเรียนประถม อยู่ข้างๆ สลัม  ในกทม.นะครับ  แต่ขอโทษ  เด็กแต่ละคน พกใบแดง ใบม่วงกันหลายคนเลยเชียว วินัย ในการใช้เงิน  เริ่มต้นที่บ้าน  ไม่ใช่ที่โรงเรียนครับ  วิชาการใช้เงิน ไม่มีในระบบการศึกษาของคนไทย  พ่อแม่ต้องสอนลูกเอง หากขนมที่ไร้สาระ  สามารถทำให้ลูกคุณอดใจไม่ได้  นั่นก็หมายถึงในอนาคต เค้าก็คงไม่สามารถที่จะ อดทนต่อสิ่งที่ยั่วยวนใจทั้งหลายได้เช่นกัน นี่คือโอกาส ที่จะได้ฝึกความอดทน  อดออม  และฝึกวินัยในการใช้เงิน ให้กับเด็ก  ลองดูครับ  เพราะผมลองมาแล้ว  ได้ผล 100% จากคุณ : สมาคมช่างกิโลขาย เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 23:27:46

ความคิดเห็นที่ 67 โอย เห็นด้วยกับ จขกท. มากๆ เลยค่ะ แต่ที่สำคัญกว่าคือการอบรมจากที่บ้านค่ะ เดี๋ยวนี้ภัยอันตรายมีอยู่รอบตัวค่ะ นอกจากขนมเด็กที่เห็นกันชัดๆ ก็มีอีกทั่วไป ผู้ใหญ่อย่างเราเองยังต้องระวังเลยค่ะ กินผลไม้รถเข็นก็ไม่สะอาด พริกกะเกลือแบบที่ไม่ใส่น้ำตาลนี่พอส่องดูมีผงชูรสเยอะกว่าเกลือซะอีก (เพื่อความนัว อิอิ) กินน้ำผลไม้คั้นสดยังต้องระวังเรื่องความสะอาดกับยาฆ่าแมลง (แม่ค้าไม่ล้างส้มก่อนอ่ะ พวกผักในร้าอาหารตามสั่งก็เหมือนกัน) พวกน้ำผักผลไม้บรรจุกล่อง คุณค่าที่ถ้าจะมีอยู่ก็เป็นของสังเคราะห์ แม้แต่เกล็ดส้มยังทำเอาได้เลย น้ำอุตสาหกรรมทั้งหลาย โฆษณาว่าชาเขียวดีต่อสุขภาพงั้นงี้ เห็นด้วยไม่เถียง แต่ที่เค้าใส่ขวดมาขายเรามันไม่ใช่ชาเขียวซะหน่อย ภัยรอบตัวเยอะอย่างนี้เราต้องระวังลูกหลานเราให้ดี สอนให้เค้าเข้าใจ จะได้มีภูมิคุ้มกันดูแลตัวเอง ไม่มีใครห่วงลูกเราเท่าตัวเราเองหรอกค่ะ (ง่ะ พูดยังกะมีลูกเลย O_o) #43 คุณ ibayou แม่คุณเจ๋งอ่ะค่ะ เป็นคุณแม่ในอุดมคติเลยค่ะ เราเคยคิดนะว่าถ้ามีลูกจะทำแบบนั้น แต่ไม่เคยนึกไปถึงว่าจะต้องทำเผื่อเพื่อนลูกให้ช่วยกันสร้างแรงจูงใจเลย คนมีลูกนี่คิดอะไรได้ลึกซึ้งกว่าคนไม่มีจริงๆนะ เป็นสมาคมแม่บ้านที่น่ารักมากๆ เลยค่ะ แต่ถ้าต้องทำงานนอกบ้านด้วยคงไม่มีเวลาไปรอลูก คงได้แต่สอนเอาไว้ จะรอให้มากินที่บ้านเด็กคงหิว เห็นเพื่อนๆ ซื้อกิน ต้องทนไม่ไหวแน่ๆ อย่างเก่งก็คงซื้อของที่อันตรายน้อยที่สุดมากิน ซึ่งขนมนั่นก็อาจไม่ดีเท่าไหร่ อืม....ไม่ใช่ว่าไม่เห็นความสำคัญต่อความพยายามเรียกร้องต่อทางโรงเรียนนะคะ เราเห็นด้วย อยากให้ตราเป็นกฏกระทรวงด้วยซ้ำ ทั้งศึกษาธิการและสาธารณะสุข แต่เราเห็นว่ายากค่ะ เรื่องใหญ่กว่านี้ยังแก้ไม่ได้ เรื่องเล็กกว่านี้ก็ยังแก้ไม่ได้ ถ้าคนเราทุกคนยอมเลือกสิ่งที่ถูกมากกว่าผลประโยชน์ล่ะก็ ป่านนี้ประเทศไทยไปไกลกว่านี้เยอะแล้วค่ะ จากคุณ : *~KingFisho~* เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 00:15:23

ความคิดเห็นที่ 68   ใช่เลยค่ะ แต่ของโรงเรียนเราทั้งนอกทั้งในโรงเรียนเลยค่ะมีขายกันเกลื่อนไปหมด แถมของยังแพงมากๆๆๆๆอีกด้วยน่ะค่ะ โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนเอกชนค่ะ พวกแม่ค้าเลยขายของให้อย่างแพงค่ะ อย่างไอติมบีบๆคล้ายของเคเอฟซีค่ะ แต่รสชาติห่วยแตกกว่ามากๆค่ะ ละลายง่ายกว่าอีกด้วยค่ะ ให้น้อยกว่ามากๆด้วยค่ะ โคนก็รสชาติห่วย โคนละตั้ง 10 บาทค่ะ สำหรับเราแพงมากๆค่ะ ถ้าโรยท๊อปปิ้งห่วยๆอีกนิดหน่อยก็15 บาทค่ะ ถึงเราจะไม่ได้บ่นเรื่องความอ้วน แต่เราเซ็งกับราคาและคุณภาพมากค่ะ โรงเรียนไม่คำนึงถึงเด็กเลยค่ะ ถึงพ่อแม่จะให้ตังค์มาจนเหลือเก็บเหลือใช้ แต่เขาไม่น่าทำกับเด็กแบบนี้อ่ะค่ะ ของห่วยๆไร้คุณภาพไม่ควรขายแพงน่ะค่ะ หรือเอาของดีๆมาขายให้สมกับราคาจะดีมากเลยน่ะค่ะ ตอนที่เพิ่งขายใหม่ๆนักเรียนมุงเยอะมากค่ะ เราเลยอยากลองกินบ้างค่ะ กินทีนึงไม่อยากกินตลอดชาติเลยค่ะ แพงและห่วยค่ะ จากคุณ : มิคุริ เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 20:12:47

ความคิดเห็นที่ 69 โรงเรียนเรา (แถวปากครองตลาด) ห้ามซื้อขนมหน้าโรงเรียนเด็ดขาด รู้สึกขอบคุณขึ้นมาทันใด จากคุณ : กลางเมษา เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 00:47:43

ความคิดเห็นที่ 70 เป็นเรื่องที่น่าปวดใจสำหรับประเทศด้อยพัฒนาอย่างเราครับ ผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจตัดสินใจเรื่องต่างๆ มักมาก่อนเรื่องอื่นๆเสมอ อย่าวาแต่โรงเรียนประถมเลย ขนาด "วัด" บางแห่ง เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ยังทำให้พระเณรในวัดออกมาประท้วงกันเย้วๆๆ เลย จากคุณ : เด็กข้างห้างฯ เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 23:21:08

ความคิดเห็นที่ 71 เข้าใจว่าการห้ามเด็กๆให้ซื้อสินค้า อาหารพวกนี้ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงอยากแนะนำโรงเรียนคือ อย่างน้อย การเลือกสินค้าแต่ละชนิดที่อนุญาตให้เข้ามาขาย ควรจะสามารถมีคำตอบให้กับผู้ปกครองได้ว่า การที่เด็กๆแต่ละคนได้ซื้อสินค้าชนิดนั้นๆไปแล้ว จะเกิดประโยชน์อย่างไรต่อตัวเด็กบ้างไม่ใช่ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าสินค้า ประเภท น้ำหวานใส่สี น้ำแข็งไส มันฝรั่งทอด ลูกอมต่างๆ ล้วนแต่มีโทษกับร่างกายเด็ก แต่ในเมื่อทางโรงเรียนไม่ใส่ใจ ผลจึงตกอยู่กับเด็กๆที่ไม่รู้อะไรก็ต้องได้รับการยั่วยุให้บริโภคสิ่งเหล่านี้ ต่อไป แล้วค่อยได้รับผลจากการสะสม เมื่อมีอายุที่มากขึ้นแล้ว แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 52 13:16:17 จากคุณ : มองต่างมุม (nautica_407) เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 13:15:00