ความคิดเห็นที่ 1 -วัดโลกโมฬี เป็นวัดเก่าแก่โบราณ มีสถาปัตยกรรมงดงามมากมาย อาทิ เจดีย์ของวัดโลกโมฬีในปัจจุบันเป็นเจดีย์ที่สร้างปลาย พุทธศตวรรษที่ 21 ตำนานระบุว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระเมืองเกษเกล้า เมื่อ พ.ศ. 2071 เป็นเจดีย์ทรงปราสาท ภายในองค์เจดีย์ก็ได้ประดิษฐานอัฐิของพระองค์ด้วย วิหาร สร้างขึ้นด้วยไม้สักทั้งหลังซึ่งเป็นเอกลักษณ์สถาปัตยกรรม แบบล้านนาโบราณและโดดเด่นที่รูปปั้นนาคาบริเวณทางขึ้นวิหาร ทำให้ดูน่าเกรงขาม  ทั้งส่วนหน้าบันของวิหารได้ประดับไปด้วยกระจกสี หลังคาลงพื้นด้วยสีดำทำให้ขับกับแสงสะท้อนของกระจกดูสวยงามเป็นอย่างยิ่ง   ส่วนด้านหลังของวิหารเป็นที่พำนักและกุฏิของสงฆ์ ซึ่งเป็นการสร้างขึ้นในแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:32:15

ความคิดเห็นที่ 2 -วัดโลกโมฬี ก่อตั้งมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19 ส่วนรูปแบบทางสถาปัตยกรรมองค์เจดีย์มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 แต่ไม่หลักฐานชัดเจนว่าสร้างขึ้นในปีใด แต่มีชื่อปรากฏในตำนานของวัดพระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งอยู่ในปีพุทธศักราช 1910 ช่วงการครองราชย์ของสมัยพระเจ้ากือนาธรรมมิกราช กษัตริย์ล้านนาองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย และเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ทรงโปรดให้คณะสงฆ์ของพระมหาอุทุมพรบุปผา มหาสวามี จำนวน 10 รูป จำพรรษาอยู่ที่วัดโลก และสมัยพระเมืองแก้วในปี พ.ศ.2070 โปรดให้สร้างวิหารและมหาเจดีย์ ในปี พ.ศ.2088 ช่วงปลายราชวงศ์มังรายในรัชสมัยของพระนางวิสุทธิราชเทวี กษัตรย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์มังราย ได้ทรงทำนุบำรุงในพระศาสนา จวบจนพระนางเสด็จทิวงคต ในปี พ.ศ.2121 ได้มีการถวายพระเพลิงพระนางวิสุทธิราชเทวีและบรรจุพระอัฐิไว้ภายในบริเวณพระ อารามหลวงโลกโมฬี  หลังจากการบูรณะครั้งใหญ่ ในปี พ.ศ.2545 ได้มีการเททองหล่อรูปเหมือนพระนางจิรประภามหาเทวี และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เศียรพระประธานในวิหารวัดโลกโมฬี ที่มา : iamfreestyle.com/travel-attraction/chiangmai/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9% 82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%AC%E0%B8%B5.html จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:32:49

ความคิดเห็นที่ 3 ต้นไม้เงินและต้นไม้ทองที่ทางเข้าวิหารด้านหน้า จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:33:15

ความคิดเห็นที่ 4 วิหารอยู่ระหว่างการซ่อมแซมบางส่วนแต่สามารถเข้ากราบพระประธานในวิหารได้ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:33:41

ความคิดเห็นที่ 5 จากนั้นเดินไปชมมหาเจดีย์หลังวิหาร จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:34:10

ความคิดเห็นที่ 6 ประวัติวัดโลกโมฬีในบริเวณมหาเจดีย์ แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 52 00:34:45 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:34:32

ความคิดเห็นที่ 7 . จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:35:13

ความคิดเห็นที่ 8 ตุงแกะสลักจากไม้ที่ 2 ข้างมหาเจดีย์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:35:37

ความคิดเห็นที่ 9 จังหวะดีมีการให้เขียนชื่อบนผ้าที่จะนำไปห่มองค์มหาเจดีย์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:36:06

ความคิดเห็นที่ 10   มีอะไรให้หนูป้ายแยมสตอเบอร์รี่กินมั๊ยคะอาสาม  คิคิ หนูพกแยมมาด้วย จากคุณ : 2แบ๊ว (CooKie&MaRooM) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:36:27

ความคิดเห็นที่ 11 หน้ามหาเจดีย์มีรูปปั้นจำลองมหาเจดีย์พระธาตุของแต่ละปีนักษัตร เช่น พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ที่เป็นเจดีย์พระธาตุสำหรับคนที่เกิดปีมะเมีย เป็นเจดีย์พระธาตุเพียงแห่งเดียวที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:36:33

ความคิดเห็นที่ 12 2แบ๊ว (CooKie&MaRooM) ...มีแคบหมูจ๊ะ แต่ต้องแย่งกับลัคกี้ตอนท้ายนะ ............................................................................................... เหลือบไปเห็นซุ้มกำแพงแกะสลักจากไม้ที่ข้างมหาเจดีย์จึงเดินเข้าไปดู จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:38:01

ความคิดเห็นที่ 13 จึงได้พบว่าที่ด้านหลังของพระมหาเจดีย์ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาสล่าเมือง เป็นอาคารชั้นเดียวรูปตัว L จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:38:30

ความคิดเห็นที่ 14 ภายในจัดแสดงนิทรรศการศิลปกรรมของสล่าเมือง อาทิเช่น งานจิตรกรรม งานประติมากรรม งานแกะสลักหิน งานปั้นและงานภาพพิมพ์ “สล่า” เป็นคำสรรพนามที่ใช้เรียกขานกันในภาษาท้องถิ่นภาคเหนือ ความหมายเหมือนกับคำว่า “ช่าง” หมายถึงผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสาขาอาชีพ ตามแขนงงานของตนอันได้แก่ สล่าจ่างไม้ สล่าจ่างปูน สล่าจ่างปั้น เป็นต้น จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:39:02

ความคิดเห็นที่ 15 ก่อนออกจากมหาเจดีย์ มีป้ายเชิญชวนบริจาคสมทบทุนสร้างอุโบสถเงินของวัดศรีสุพรรณซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนวัวลาย เสียดายที่ไม่มีเวลา คงต้องยกยอดไว้ครั้งหน้า จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:39:28

ความคิดเห็นที่ 16 ซุ้มประตูทางเข้ามหาเจดีย์ที่สร้างอย่างวิจิตรสวยงาม จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:39:55

ความคิดเห็นที่ 17 กลับมาที่รถซึ่งจอดอยูใกล้ประตูวัด มีอาคาร 2 ชั้นที่เมื่อเข้าประตูวัดมาจะอยู่ทางด้านซ้ายมือติดกับศาลาจำหน่ายวัตถุมงคล สร้างไว้สวยงามมากแต่ไม่ได้เข้าไปชม เนื่องจากมีการประชุมของพระสงฆ์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:40:23

ความคิดเห็นที่ 18 ซ้ายมือของอาคาร 2 ชั้น มีรูปปั้นพระโพธิสัตวอวโลกิเตศวรปางพันกร ในรูปแบบศิลปผสมจีนและล้านนา จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:40:52

ความคิดเห็นที่ 19 ศาลพระนางจิรประภามหาเทวี อยู่ติดริมรั้วของวัดก่อนถึงอาคาร 2 ชั้น ตรงข้ามกับวัดโลกโมฬีที่อีกฝั่งของถนนรอบคูเมืองชื่อถนนศรีภูมิ ยังมีวัดอีกวัดหนึ่งซึ่งสวยมากชื่อวัดมณเฑียร ติดกันเป็นวัดเล็กๆชื่อวัดควรค่าม้า มีรูปปั้นม้าที่ประตูทางเข้าวัด ไม่น่าจะเหมาะกับคนเกิดปีมะเมีย เนื่องจากเสียงพ้องกับคำว่า"ฆ่า" แต่ไม่ได้แวะที่ทั้ง 2 วัดนี้ โทรฯหาเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่ง ที่ทำงานอยู่ที่ลำปางแต่มีบ้านอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งจะไปรับแฟนกลับจากยุโรปกลับมาเชียงใหม่วันนี้ ปรากฏว่าเครื่องบินจะมาถึงเชียงใหม่หลัง 6 โมงเย็นเล็กน้อย จึงนัดไปทานข้าวเย็นด้วยกัน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:41:21

ความคิดเห็นที่ 20 วัดสุดท้ายที่จะแวะเพราะอยู่ใกล้ตลาดต้นพยอมคือวัดสวนดอก หรือชื่อเดิมว่าวัดบุปผาราม -วัดสวนดอกตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ เลขที่ 139 ถนนสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากประตูสวนดอกไปทางทิศตะวันตก 1 กิโลเมตร กินเนื้อที่ 35 ไร่ 2 งาน 44 ตารางวา ทิศเหนือยาว 183 เมตร ทิศใต้ยาว 193 เมตร ทิศตะวันออกยาว 176 เมตร และทิศตะวันตกยาว 176 เมตร ที่มา : วิกิ 15.25 ถึงวัดสวนดอก ตรงไปที่พระอุโบสถท้ายวัดสวนดอก เพื่อแวะวัดเก้าตื้อ วัดเล็กๆที่ต่อมาถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของวัดสวนดอก จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:42:17

ความคิดเห็นที่ 21   แงบๆๆๆ เด๋วจับลักกี้ไปทำแคบหมาเลยนี่ คิคิ บอกลักกี้เหลือให้หนูด้วยนะอาสาม จากคุณ : 2แบ๊ว (CooKie&MaRooM) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:42:52

ความคิดเห็นที่ 22 ต้นพิกุลซึ่งพลตรีสมเด็จพระเทพฯ ทรงปลูกเมื่อเสด็จนำคระนักเรียนนายร้อย จปร.มาทัศนศึกษาที่วัดสวนดอก เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2532 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 52 00:43:20 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:42:52

ความคิดเห็นที่ 23 2แบ๊ว (CooKie&MaRooM)...ยังพอมีเหลืออีกนิดหน่อย แย่งหมากินยังไม่พอ ยังจะกินแคบหมาอีก ชิชะมาสิหร่อน .............................................................................................. -พระเจ้าเก้าตื้อ เป็นพระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่ สร้างด้วยโลหะหนัก 9 โกฏิตำลึง ("ตื้อ" เป็นคำในภาษาไทยเหนือ แปลว่า หนักพันชั่ง) พระญาเมืองแก้ว กษัตริย์องค์ที่ 13 แห่ง ราชวงศ์เม็งราย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2047 "พระเจ้าเก้าตื้อ" เป็นพระพุทธรูปแบบเชียงแสนฝีมือช่างล้านนาและสุโขทัย หน้าตักกว้าง 8 ศอก หรือ 3 เมตร สูง 4.70 เมตร เพื่อเป็นพระองค์ประธานใน วัดพระสิงห์ แต่เนื่องมีน้ำหนักมากไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ จึงได้ถวายเรือนหลวงของพระองค์เป็นพระวิหาร พระราชทานชื่อว่า "วัดเก้าตื้อ" แทน ซึ่งต่อมาภายหลังได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ในสมัย ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ในปี พ.ศ. 2475 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2478 ที่มา : วิกิ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:45:48

ความคิดเห็นที่ 24 พระเจ้าเก้าตื้อเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงาม ประดิษฐานอยู่ในซุ้มลายเทพนม -พระเจ้าเก้าตื้อ ในอดีตถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดของล้านนา แม้ปัจจุบันก็ยังเป็นที่ยอมรับว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่โตและงดงามที่สุด พระเจ้าเก้าตื้อ ชาวล้านนาร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นศูนย์รวมจิตใจ ศูนย์รวมศรัทธาที่แสดงถึงความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมืองในสมัยนั้น และในวันขึ้น 8 ค่ำ ของทุกเดือน จะมีการเฉลิมฉลองพระเจ้าเก้าตื้อ ซึ่งวันนั้นจะมีพิธีทำบุญตักบาตร และมีชาวบ้านมาร่วมทำบุญเป็นจำนวนมาก ที่มา : amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=19 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:46:59

ความคิดเห็นที่ 25 นักท่องเที่ยวหลายคนที่ไม่ทราบว่ามีพระพุทธรูปองค์นี้อยู่ที่ท้ายวัด แต่จะแวะกราบพระประธานในพระวิหารหลวงซึ่งอยู่ด้านหน้าแทน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:47:38

ความคิดเห็นที่ 26 -วัดสวนดอกในอดีตนั้นป็นสวนดอกไม้ (ต้นพยอม) ของเจ้านายฝ่ายเหนือใน ราชวงศ์เม็งราย โดยในปี พ.ศ. 1914 (ศักราชนี้ถือตามหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ของพระรัตนปัญญาเกตุ) พระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่ง ราชวงศ์เม็งราย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็น "พระอารามหลวง" เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของ "พระมหาเถระสุมน" ผู้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ในแผ่นดินล้านนา และสร้างองค์พระเจดีย์เพื่อประดิษฐาน "พระบรมสารีริกธาตุ" 1 ใน 2 องค์ ที่ "พระมหาเถระสุมน" อัญเชิญมาจากสุโขทัย ในปี พ.ศ. 1912 (องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์ ใน วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร) ที่มา : วิกิ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:48:05

ความคิดเห็นที่ 27 -พ.ศ. 2429 ในสมัย ราชวงศ์เม็งราย วัดสวนดอก มีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจากสิ้น ราชวงศ์เม็งราย บ้านเมืองตกอยู่ในอำนาจพม่า ทั้งเกิดจลาจลวุ่นวาย วัดนี้จึงกลายสภาพเป็นวัดร้างไป วัดสวนดอก ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่อีกครั้ง ในรัชสมัย พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ แห่ง ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) และได้รับการทำนุบำรุงจากเจ้านายฝ่ายเหนือ และประชาชนเชียงใหม่มาโดยตลอด วัดสวนดอกได้รับการบูรณะครั้งสำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2540 พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญรวบรวมพระอัฐิ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และ พระประยูรญาติ มาประดิษฐานรวมกัน และต่อมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2475 เป็นการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระวิหารโดย ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ที่มา : วิกิ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:48:41

ความคิดเห็นที่ 28 -พระประธานในพระวิหารหลวงคือพระพุทธปฏิมาค่าคิง พระพุทธปฏิมาค่าคิง (เท่าพระวรกาย) เป็นพระประธานในพระวิหารหลวง สร้างในสมัยพระเจ้ากือนา พ.ศ. 1916 หล่อด้วยทองสำริด ขนาดเท่าพระวรกายของพระเจ้ากือนา หน้าตักกว้างสองเมตร สูงสองเมตรครึ่ง เรียกชื่อตามภาษาถิ่นล้านนาว่า “พระเจ้าค่าคิง” ที่มา : วิกิ -ซ้ายขวาของพระเจ้าค่าคิง คือพุทธนฤมิตซึ่งจำลองแบบมาจากศิลปะพุกาม หรือพระทรงเครื่องศิลปะพม่าสร้างขึ้นราว พ.ศ.2474-2475 สมัยที่ครูบาศรีวิชัย สร้างพระวิหารใหญ่ประฏิมากรรมเหล่านี้เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้เข้าชมยิ่งนัก และนำไปเป็นแบบอย่างทางประฏิมากรรมอีกมากด้วย ที่มา : amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=19 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:49:08

ความคิดเห็นที่ 29 หลังพระเจ้าค่าคิงเป้นพระพุทธรูปยืน หันพระพักตร์ไปทางพระเจดีย์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:50:10

ความคิดเห็นที่ 30 หน้าพระพุทธรูปยืนเป็นตู้บรรจุพระเจดีย์จำลองแกะสลักจากหยกขาว จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:50:41

ความคิดเห็นที่ 31 อาสามจะให้แคบหมูจิ้มแยมพี่กิ๊บเหรอคะ  สร้างสรรค์จริงๆ 55+ ตามไปไหว้พระ + กิ๋นอาหารเหนือโตยคนเจ้า จากคุณ : หน่อมแน้มนิดหนมหนุกหนาน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:50:53

ความคิดเห็นที่ 32 ด้านหลังพระวิหารหลวงคือพระเจดีย์ใหญ่ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:51:09

ความคิดเห็นที่ 33 หน่อมแน้มนิดหนมหนุกหนาน ...เอ ? หรือจะให้จิ้มกับไส้อั่วดีหว่า ? ............................................................................................. -เป็นพระเจดีย์ใหญ่ทรงลังกาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:52:40

ความคิดเห็นที่ 34 -ได้รับการบูรณะใหม่และหุ้มแผ่นทองจังโก จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:53:18

ความคิดเห็นที่ 35 -สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1914 ในรัชกาลของพระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่ง ราชวงศ์เม็งราย โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "พระอารามหลวง" โดยโปรดเกล้าให้สร้าง "พระเจดีย์ทรงลังกา" ขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระมหาเถระสุมนได้อัญเชิญมาจากสุโขทัย ในปี พ.ศ. 1912 ซึ่งแต่เดิมมีเจดีย์แบบสุโขทัย (ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์) อยู่ทางทิศตะวันตกขององค์พระเจดีย์ใหญ่ แต่ได้ปรักหักพังลง พระเจดีย์องค์ใหญ่สูง 24 วา ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2478 ที่มา : วิกิ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:53:52

ความคิดเห็นที่ 36 รอบพระเจดีย์ใหญ่มีเจดีย์ขนาดเล็กหลายองค์ องค์หนึ่งประดิษฐานพระเจ้าทันใจที่ช่องด้านล่างของเจดีย์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:54:33

ความคิดเห็นที่ 37 ข้างพระเจดีย์ใหญ่คือกู่เจ้านายฝ่ายเหนือ -ในปี พ.ศ.2450 เจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้ายพร้อมด้วยพระราชชายาเจ้าดารารัศมี มีความดำริที่จะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดสวนดอก จึงได้อาราธนานิมนต์ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา มาเป็นประธานในการบูรณะวัดสวนดอก ในการบูรณะวัดสวนดอกครั้งนั้นพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ได้ทรงพิจารณาเห็นว่า กู่เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่และพระญาติวงศ์ทั้งหลายที่ตั้งอยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำปิงด้านตะวันตก เชิงสะพานนวรัฐ (ตลาดวโรรสปัจจุบัน) ไม่มีความเหมาะสมจึงได้ย้ายมาตั้งที่วัดบุปผารามสวนดอก รวมทั้งได้ประทานทรัพย์ให้การทำนุบำรุงมาโดยตลอดพระชนม์ชีพ หลังจาก พระราชชายา เจ้าดารารัศมี สิ้นพระชนม์ ได้มีการแบ่งพระอัฐิของพระองค์มาประดิษฐานไว้ ณ กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ แห่งนี้ (อีกส่วนหนึ่งแบ่งประดิษฐานไว้ใน สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร) ปัจจุบัน กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ แห่งนี้ ได้ถูกจดทะเบียนให้เป็นโบราณสถานสำคัญ ภายใต้การกำกับดูแลของกรมศิลปากร ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2478 ทุกปีในวันที่ 1 เมษายนจะมีการบวงสรวงดวงวิญญาณของเจ้านายฝ่ายเหนือที่บริเวณกู่บรรจุอัฐิในวัดสวนดอก เป็นการสักการะดวงวิญญาณของเจ้าผู้ครองนครและเชื้อพระวงศ์ในสายตระกูล ณ เชียงใหม่ โดยได้กระทำสืบต่อกันมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวจะตรงกับประเพณีปีใหม่เมืองในเดือนเมษายนด้วย ที่มา : chiangmainews.co.th/cmndc_open.php?nid=15 และ วิกิ ในวันที่อากาสดีจะสามารถมองเห็นวัดพระธาตุดอยสุเทพจากจุดนี้ นอกจากนี้เนื่องจากวัดสวนดอกอยู่ใกล้กับสนามบินเชียงใหม่ จึงมีเครื่องบินขึ้นลงให้เห็นอยู่เป็นระยะ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:55:01

ความคิดเห็นที่ 38 กู่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีในรัชกาลที่ 5 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:55:32

ความคิดเห็นที่ 39 ออกจากวัดสวนดอกเลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุเทพหลัง ม.เชียงใหม่ ผ่านถนนเข้ากองบิน 41 ทางซ้ายมือ ที่ครั้งนี้ไม่ได้แวะทานข้าวซอยที่ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านคุ้ม ในซอยขวามือหน้าทางเข้ากองบิน 41 แวะตลาดต้นพยอม ( ตลาดสุเทพ ) ตรงหัวมุมถนนสุเทพตัดกับถนนเลียบคลองชลประทาน ริมถนนสุเทพจอดรถไม่ได้ ที่จอดรถในซอยข้างตลาดต้นพยอมก็มักจะเต็ม จึงไปลงรถที่ทางเข้าตลาดด้านถนนเลียบคลองชลประทาน แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 52 17:43:08 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:56:03

ความคิดเห็นที่ 40 ป้าขายลูกกระบก แผงขายอ่องออ(สมองหมู) แอ๊บกุ้งฝอย และแอ๊บปลาซิว ลืมซื้อกลับมาด้วย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:56:45

ความคิดเห็นที่ 41 มาตลาดต้นพยอมก็เพื่อมาซื้อไส้อั่วและแคปหมูที่ร้านลาวัลย์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:57:42

ความคิดเห็นที่ 42 แคบหมูทอดกันใหม่ๆ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:58:13

ความคิดเห็นที่ 43 ไส้อั่วที่ย่างร้อนๆ ไส้อั่วขึ้นจากกิโลฯละ 220 บาทเมื่อ 3 ปีก่อนเป็น 250 บาท น้ำพริกหนุ่มกิโลฯละ 160 บาท แคบหมูติดมันกิโลฯละ 300 บาทปละแคบหมูไร้มันกิโลฯละ 250 บาท จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:58:47

ความคิดเห็นที่ 44 ระหว่างที่ทุกคนซื้อของกันอยู่ที่ร้านลาวัลย์ ออกมาถ่ายรูปทางเข้าตลาดต้นพยอมทางด้านถนนสุเทพ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:59:30

ความคิดเห็นที่ 45 ผลไม้ไม่มีอะไรน่าสนใจ สตรอเบอรี่ก็ลูกเล็กนิดเดียว จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:59:57

ความคิดเห็นที่ 46 กลับมาเริ่มเดินตั้งแต่ตรงข้ามร้านลาวัลย์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:00:39

ความคิดเห็นที่ 47 ร้านแคบหมูอัมพรซึ่งมี 2 ร้านใกล้กันคือร้านเจ้าเก่าและร้านแอน แวะซื้อแคบหมูติดมันที่ร้านเจ้าเก่าซึ่งซื้อประจำ โดยส่วนตัวชอบแคบหมูร้านอัมพร(เจ้าเก่า)มากกว่าร้านลาวัลย์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:01:11

ความคิดเห็นที่ 48 ข้าวเหนียวนึ่งสุกกิโลฯละ 25 บาท จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:02:23

ความคิดเห็นที่ 49 ข้าวซอยตัด จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:02:54

ความคิดเห็นที่ 50 ร้านส่วนใหญ่ขายของเหมือนๆกัน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:03:43

ความคิดเห็นที่ 51 ตามมาทานไส้อั่วครับ   แต่ไม่รับแบบจิ้มแยมนะ ครับ 555 จากคุณ : 311025 เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:04:05

ความคิดเห็นที่ 52 ไก่ทอด หมูทอด หมูยอทอด เนื้อทอด ปลาทูทอด รถด่วน(หนอนไม้ไผ่)ทอด ฯลฯ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:04:53

ความคิดเห็นที่ 53 311025...ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเป็นจิ้มน้ำจิ้มอีสานน้ำปลาพริกป่นบีบมะนาว .............................................................................................. สารพัดถั่วและมันกัลยา(อาลู)ที่ไม่เคยลอง จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:06:59

ความคิดเห็นที่ 54 มาตลาดนี้ทีไรต้องมาถ่ายแผงขายปลาทูที่ท้ายตลาด จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:07:32

ความคิดเห็นที่ 55 วันนี้วันเกิดแมว ปลาทูสำหรับแมวที่เกิดวันนี้เข่งละ 5 บาท ทุกร้านก็มีแบบเข่งละ 5 บาททั้งนั้นแหละครับ เพียงแต่ 2ร้านนี้รู้จักหาวิธีสร้างความสะดุดตาให้หยุดอ่าน บางคนอาจนึกว่าวันเกิดแมวจริงๆ ซื้อปลาทูเลี้ยงแมวทำบุญ การตลาดแบบชาวบ้านๆชาวเหนือ ไม่ต้องเสียเงินทำโปสเตอร์ ทำบิลบอร์ดให้เปลืองตัง มาคราวนี้ท่ทางแมวจะตัวใหญ่ขึ้น ร้านหนึ่งจึงมีปลาทูวันเกิดแมวแบบตัวใหญ่ถาดละ 10 บาทด้วย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:08:03

ความคิดเห็นที่ 56 เทียนสำหรับจุดโคมลอย 3 ปีที่แล้วซื้อกลับมา 10 ชุดยังลอยไม่หมดเลย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:08:31

ความคิดเห็นที่ 57 เนื่องจากตลาดต้นพยอมไม่มีมันบัวหิมะและพืชผักที่น่าสนใจเช่นต้นตังกุยสด จึงมุ่งหน้าไปที่กาดหลวงหรือตลาดวโรรส แวะเติมน้ำมันจนเต็มถังอีก 1,450 บาท ระหว่างผ่านถนนท่าแพ คนขับบอกให้สังเกตุถนนขวามือ(น่าจะเป็นถนนช่วงเมรุ)ที่กำลังจะเลี้ยวเข้า น่าจะเป็นถนนเดินรถ 2 ทางถนนเดียวในประเทศ ที่รถต้องขับชิดขวาแทนที่จะชิดซ้าย เลี้ยวขวาเข้าถนนเส้นนี้แล้วเลี้ยวซ้ายที่ 3 แยกก็ถึงตลาดวโรรสเมื่อเวลา 17.35 น. แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 52 22:33:26 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:09:02

ความคิดเห็นที่ 58 เข้าตลาดวโรรสทางประตูที่ 14 มาเชียงใหม่หลายครั้ง แต่ครั้งสุดท้ายที่เข้าตลาดนี้ก็เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:09:40

ความคิดเห็นที่ 59 แวะซื้อข้าวหลามข้าวเหนียวดำที่ใต้บันได จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:10:12

ความคิดเห็นที่ 60 ไม่ได้มานานจนรู้สึกว่าตลาดเล็กลง จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:10:40

ความคิดเห็นที่ 61 ของที่ขายส่วนใหญ่คล้ายกับที่ตลาดต้นพยอม จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:11:11

ความคิดเห็นที่ 62 ไม่ผิดหวังเพราะยังมีร้านขายพืชผักเปิดอยู่อีก 2 ร้าน ซื้อมันบัวหิมะถุงละ 2 ลูก 40 บาท 2 ถุง แต่ละถุงหนักกว่า 1 กิโลกรัมเล็กน้อย ซื้อโสมตังกุยสดติดใบ 1 ถุง 50 บาท ชอบซื้อแบบมีใบเอามาต้มไก่พร้อมกับราก หรือจะเอามาผัดกับเห็ดหอมสดก็อร่อยดี เสาวรสหวานก็น่าซื้อแต่แพงไปหน่อย สะดุดตากับตะกร้าเซียมท้อที่คนขายบอกว่ามาจากดอยอ่างขาง กิโลฯละ 120 บาท เห็นเหลืองๆอย่างนี้ยังทานไม่ได้ต้องรอให้นิ่มก่อน เลือกมา 3 ลูก 100 บาท พอเริ่มนิ่มปอกเปลือกมาทานปรากฏว่ายังไม่สุก แม้จะออกฝาดเล็กน้อยแต่ก็หอมหวาน ที่เหลือคงต้องรอให้นิ่มกว่านี้ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:11:40

ความคิดเห็นที่ 63 ส่วนมันบัวหิมะอร่อยมาก หวานฉ่ำและแทบไม่มีกลิ่นขิงเลย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:12:22

ความคิดเห็นที่ 64 ตอนที่มาถึงตลาดวโรรส ลงรถแล้วให้คนขับรถไปรอที่ร้านเจี่ยท้งเฮง เพราะแถวนี้หาที่จอดรถยากมาก ซื้อของเสร็จแล้วถ้ามีเวลาพอจะเดินไปกันเอง แต่ซื้อของก็เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว จึงเดินออกมาทางด้านตลาดต้นลำไย แล้วนั่งรถสองแถวแดงคนละ 15 บาทไปที่ร้านเจี่ยท้งเฮง เพื่อนคนหนึ่งลงที่แยกถนนช้างคลานตัดกับถนนศรีดอนไชย เพื่อเลี้ยวขวาไปซื้อหมูยอที่ร้านสุจินต์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:16:11

ความคิดเห็นที่ 65 18.05 ลงรถที่ลานจอดรถหลังร้านเจี่ยท้งเฮงซึ่งอยู่ติดกับตลาดอนุสารเพื่อเอาของไปเก็บที่รถ จากนั้นเข้าร้านเจี่ยท้งเฮงทางด้านประตูหลังที่ติดกับลานจอดรถของทางร้าน บริเวณนี้มีร้านขายของที่ระลึกและเสื้อผ้า ด้านขวาของประตูมีร้านขายผลไม้แห้ง ดูราคาแล้วพวกเราก็ได้แต่ยิ้ม ที่ซื้อมาจากร้าน Teck Sang ที่ Hong Kong Street ในสิงค์โปร์ยังทานกันไม่หมดเลย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:16:40

ความคิดเห็นที่ 66 เนื่องจากเพื่อนกับแฟนจะตามมาอีก 2 คนจึงต้องใช้โต๊ะใหญ่สำหรับ 12 คนที่ชั้น 2 ร้านเจี่ยท้งเฮงเป้นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี พศ.2500 โดยนายเปงท้ง แซ่เจี่ย อดีตพ่อครัวฝีมือดี เริ่มจากการเปิดเป็นแผงเล็กๆขายอาหารตามสั่งกลางตลาดนวรัฐ ด้วยรสชาติอาหารที่อร่อยและไม่แพง จึงมีลูกค้ามาอุดหนุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี พศ.2522 จึงย้ายเข้าตึก 3 ชั้นซึ่งสร้างบนแผงลอยเดิม ต่อมามีปัญหาเรื่องที่จอดรถ จึงเปิดร้านเจี่ยท้งเฮง 2 ที่ถนนศรีดอนไชยในปี พศ.2528 เมื่อปริมาณลูกค้าเพิ่มขึ้นเกินกว่าสถานที่เดิมจะรองรับไหว พศ.2536 จึงเปิดบริการในอาคารใหม่ พร้อมห้องจัดเลี้ยงหลายขนาด รวมถึงลานจอดรถขนาดใหญ่ ภายใต้ชื่อ"ภัตตาคารเจี่ยท้งเฮง" จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:17:24

ความคิดเห็นที่ 67 รายการอาหารส่วนหนึ่ง ที่เหลือพร้อมทั้งรายละเอียดของร้าน สามารถดูได้ที่เว็บไซท์ของทางร้าน jiarestaurant.com/ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:17:56

ความคิดเห็นที่ 68   ตามไปเที่ยว ไปทานด้วยคนนะครับอาสาม จากคุณ : Call_me_HerO เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:18:16

ความคิดเห็นที่ 69 น้ำจิ้ม จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:18:25

ความคิดเห็นที่ 70 Call_me_HerO ...มาทันมื้อสุดท้ายในเชียงใหม่พอดีครับ ...................................................................................... พริกหนุ่มในซีอิ๊ว อร่อยมาก จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:19:37

ความคิดเห็นที่ 71 สั่งอาหารไปคนละอย่างระหว่างรอเพื่อนมา อาหารจานใหญ่ เนื่องจากแสงต่ำแม้จะใช้ไอเอสโอสูงสุดของกล้องมือถือที่ 200 แล้ว ยังหาโฟกัสไม่ได้ จึงต้องใช้แฟลชแบบมีกระดาษขาวบังหน้าแฟลชช่วยในการถ่าย จานแรกหอยทรายหรือหอยกะพงหรือเป๊าะคักบี้ผัดพริกสด อร่อยจนต้องสั่งอีกจาน แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 52 01:22:08 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:20:09

ความคิดเห็นที่ 72 ไก่แช่เหล้าที่ใส่แมงกะพรุนดองมาด้วย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:20:48

ความคิดเห็นที่ 73 ข้าวเปล่าที่ทานไป 3 ถ้วย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:23:26

ความคิดเห็นที่ 74 เป็ดกรอบที่มีส่วนผสมของเผือก จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:24:14

ความคิดเห็นที่ 75 ผัดปวยเล้ง จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:24:50

ความคิดเห็นที่ 76 ฮ่อยจ๊อ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:25:26

ความคิดเห็นที่ 77 ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:25:52

ความคิดเห็นที่ 78 หัวปลาต้มเผือก ยอดเยี่ยมมากที่แม้ทอดปลาก่อนตามสูตรแต่น้ำแกงไม่มันเลย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:26:25

ความคิดเห็นที่ 79 เพื่อนกับแฟนตามมาสมทบจึงสั่งกับข้าวเพิ่ม ไก่ผัดน้ำพริกเผา จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:26:52

ความคิดเห็นที่ 80 ผัดหมูสับกับหนำเลี้ยบ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:27:20

ความคิดเห็นที่ 81 มารอกินชุดใหญ่ด้วยคนครับอาสาม เห็นแล้วหิวยามดึกมากๆครับ ไปเชียงใหม่หลายทีไม่เคยทานที่นี่เลย มัวแต่ทานอาหารเมือง ถ้ามีโอกาสได้ไปอีกไม่พลาดแน่ครับ จากคุณ : bam-NY เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:28:21

ความคิดเห็นที่ 82 ยำขาเป็ดที่ถ้าไม่นึกถึงวิธีเอากระดูกออกแล้วอร่อยมาก ค่าอาหารมื้อนี้รวมน้ำเก๊กฮวยและน้ำชา 2,150 บาท จ่ายเงินแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมสั่งซูฉ่าย ก่อนออกจากร้านเจอเพื่อนรุ่นเดียวกันอีก 2 คนที่เพิ่งมาถึงเชียงใหม่ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:28:27

ความคิดเห็นที่ 83 เพื่อนกับแฟนตามมาส่งมาคุยที่สนามบินด้วย ขากลับๆไม่พร้อมกันโดยเที่ยวบินห่างกัน 1 ชั่วโมงแต่เช็คอินพร้อมกัน 4 คนรวมถึงตัวเองกลับเที่ยวบินเวลา 22.15 น.ส่งกลุ่มแรกขึ้นเครื่องแล้วนั่งคุยกับเพื่อนต่อ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:29:04

ความคิดเห็นที่ 84 bam-NY ...ร้านนี้อร่อยและราคาไม่แพงครับ .............................................................................................. ป้ายโฆษณางานพืชสวนโลกที่เข้าชมฟรีซึ่งใช้งบจัดหลายสิบล้าน แต่จัดงานแค่ 11 วัน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:31:21

ความคิดเห็นที่ 85 ได้เวลาลาเพื่อนกับแฟนเพื่อเข้าสู่ส่วนของผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:32:05

ความคิดเห็นที่ 86 เครื่องขึ้นจากสนามบินตรงเวลาเมื่อ 22.15 น.และแตะรันเวย์ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อเวลา 23.22 น. จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:32:35

ความคิดเห็นที่ 87 รอรับกระเป๋าที่น้ำหนักไม่เกินเพราะซื้อของไม่มาก จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:33:07

ความคิดเห็นที่ 88 ใช้บริการแท็กซี่ขึ้นทางด่วนกลับบ้าน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:33:41

ความคิดเห็นที่ 89 แผนที่การท่องเที่ยวเชียงใหม่ครั้งนี้ ร้านอาหารรวมถึงร้านที่เคยทานแต่ครั้งนี้ไม่ได้แวะ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเที่ยวเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอนครั้งนี้คนละ 5,100 บาท จบภาค 4 ของชุด"เที่ยวไปกินไป @ เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน" หลังจากนี้จะได้เคลียร์อีกชุดที่ค้างไว้คือ"เที่ยวไปกินไป @ สิงคโปร์-มาเลเซีย"ที่ยังค้างอยู่อีก 7 ภาค รวมถึงภาคผนวกกของ"เที่ยวไปกินไป @ สะพานควาย 2 : ตลาดนัดออมสิน" ที่ดองไว้จนรายการตลาดสดสนามเป้าเอามาออกอากาศไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และ"เที่ยวไปกินไป @ วรจักร"ที่ยังไม่รู้ว่าจะแบ่งเป็นกี่ภาคดี แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 52 22:32:01 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:34:27

ความคิดเห็นที่ 90 วันพฤหัสฯที่ 26-11-09 ไปรับลัคกี้กลับบ้าน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:35:06

ความคิดเห็นที่ 91 กำลังรอพ่อมารับ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:35:37

ความคิดเห็นที่ 92 รอจนเริ่มจะหงุดหงิด จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 01:36:18