|
@@@ข้อความดีๆเอาฝากเพื่อนสมาชิกครับ ผักและผลไม้ ล้างพิษ@@@
|
|
20 อันดับผักผลไม้ล้างพิษ (ที่หาได้ง่าย ๆ)
1. กล้วยน้ำว้า
มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรง แก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย
2. แอปเปิ้ล
ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิ้ลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็กและไมเกรนในผู้ใหญ่ได้
3. ผักตำลึง
ผักตำลึงเป็นผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพง ตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย
4. กระหล่ำ
เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย
5. กระเทียม
คุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป อาจก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย
6. ส้มโอ
เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียมและฟอสฟอรัส มีสรรพคุณในการแก้อาการเมาค้าง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด มีกรดอินทรีย์ ขับลมในกระเพาะอาหาร รสขมของส้มโอให้สารเพคตินสูงช่วยในการขจัดไขมันสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง
7. มะเขือพวง
มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย
8. แครอท
เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน (Alpha and Beta-carotene) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น
9. ถั่วต่าง ๆ
(เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมาก
10. ทับทิม
การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
11. กระเจี๊ยบ
น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้
12. มะนาว
เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษ และทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย
13. หัวหอม
ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวาน โดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่
14. สาหร่าย
เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่าง ๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก
15. มะเขือเทศ
ในมะเขือเทศมีส่วนประกอบสำคัญคือ lycopene ซึ่งเป็น carotenoid ที่ไม่มี provitamin A activity มะเขือเทศช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจได้ ช่วยเสริมฤทธิ์ต้านมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจเชื่อว่าเกิดจากการมี lycopene ไปปรับการทำงานของระบบฮอร์โมน และภูมิคุ้มกัน ตลอดจนกระบวนการ เมตาบอลิสั่มภายในร่างกาย ในคนสุขภาพดีที่บริโภค lycopene ในรูปของน้ำมะเขือเทศและซอสมะเขือเทศเป็นเวลา 1 สัปดาห์ พบว่ามีระดับ oxidized LDL ต่ำลง มีคุณสมบัติลดระดับ cholesterol ในเลือด การบริโภคมะเขือเทศลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น มะเร็งในช่องปากและกล่องเสียง, หลอดอาหาร, ลำไส้, เต้านม และรังไข่ และมีการศึกษาหลายการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการบริโภคมะเขือเทศลดการทำลาย DNA ในเม็ดเลือดขาวและต่อมลูกหมากได้
16. ข้าวโพดหวาน
ข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษ มีสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ ข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิกอันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้น กรดเฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดที่สุก จึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น.
17. ผักคะน้า
เป็นผักที่มีวิตามินหลายชนิดเช่น เบต้า-แคโรทีนถึง 186.92ไมโครกรัม/100 กรัม ซึ่งเป็นสารตัวหนึ่งของวิตามินเอ มีคุณสมบัติ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากจะมีเบต้า-แคโรทีนแล้ว ผักคะน้ายังมีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคมีความแข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีแคลเซี่ยมช่วยเสริมสร้างกระดูกอีกด้วย
18. ฝรั่ง
เป็นผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซี เหนือกว่าส้ม 5 เท่า มีแคลเซียมเป็นปริมาณสูง อีกทั้งยังเป็นแหล่งของวิตามินเอและบี กรดนิโคตินิก ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม เหล็ก โฟเลต และให้ปริมาณกากใยสูง โดยที่มีไขมันต่ำและให้พลังงานแค่เพียงผลละ 25 แคลอรีเท่านั้น น้ำฝรั่งคั้นยังมีสรรพคุณทางยาช่วยบรรเทาการอักเสบ และที่เหมาะกับท่านหญิงทั่วไป ก็คือ เป็นตัวหลักช่วยให้ลดน้ำหนักลงได้มาก.
19. ใบบัวบก
ใบบัวบกมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาและมีสารแคลเซี่ยมมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิด ใบบัวบกมีสรรพคุณทางยา ในการแก้ช้ำใน ทำให้หายฟกช้ำได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศรีษะข้างเดียว บำรุงสมอง แก้ความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะ นอกจากนี้ ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่า สารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วยเร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็ว
ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่
1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง 2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ 3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก 4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ 5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น
20. ผักกาดหอม
เป็นผักสุขภาพแนวหน้า เพราะมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามินซีสูง ยังให้ฮีโมโกลบิน จึงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญหาโลหิตจาง โดยเฉพาะในสตรีมีครรภ์จะช่วยป้องกันโรคโลหิตจางได้อย่างดี ผักกาดหอมมีแคลอรี่ต่ำมาก ขณะเดียวกันก็มีเลซิทินสูงซึ่งช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย
จากคุณ |
:
Hero11147
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ส.ค. 53 17:49:18
|
|
|
| |