ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องคุ้มไม่คุ้มเนี่ย พิมไม่ขอออกความเห็นนะคะ แต่โดยความรู้สึก พิมว่า .... มันไม่ค่อยเหมาะสมเลยอ่ะค่ะ ลองคิดสภาพ .... พระนั่งรถตู้ หรือรถแท๊กซี่ หรือรถส่วนตัวของ จขกท. ไปที่ร้าน แล้วเดินเข้าไปในร้าน ท่ามกลางลูกค้าเยอะ ๆ   ....... คนที่นั่งอยู่ในร้านจะคิดยังไง จะมองยังไง  พระท่านจะรู้สึกยังไง   และพิมว่าตัวพระท่านเองก็คงจะไม่รับนิมนต์ด้วยอ่ะนะคะ จากคุณ : @ - ENYA - @ เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 53 23:59:31

ความคิดเห็นที่ 2 มันจะเหมาะหรือครับ   นิมนต์บุฟเฟต์ นึกภาพแล้วคงดูแปลกนะครับ  สมมุติซัก 9รูป นั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่น  ฉันท์ซูชิ ข้าวปั้น ไม่รู้ตอน วาซาบิ ขึ้นสมอง จะสำรวมทันไหม ....คิดได้ไง จากคุณ : นายสำนึกดี เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:00:38

ความคิดเห็นที่ 3 ลืมบอกนิมนต์พระ 5 รูปค่ะ จากคุณ : สี่ขากัลยาณมิตร เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:01:34

ความคิดเห็นที่ 4 คือว่าจองเป็นห้องส่วนตัวค่ะ แล้วเป็น a la carte บุฟเฟต์น่ะค่ะ ไม่ต้องเดินไปตักเอง ...........และพระก็รับนิมนต์นะคะ เพราะไม่ได้ไปนั่งรวมกับ ฆราวาส ค่ะ จากคุณ : สี่ขากัลยาณมิตร เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:04:19

ความคิดเห็นที่ 5 ..... ไม่แน่ใจนะคะ แต่เหมือนเคยได้ยินว่า ห้ามฉันของดิบ..... จากคุณ : เมอร์คิวรี่ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:16:26

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าชาวบ้านเค้าว่าไม่เวิร์คเเล้วยังไงอ่ะครับ นิมนต์ท่านเเล้วมิใช่รึ   เเต่ว่าส่วนตัวนะครับมันไม่ค่อยเหมาะยังไงก็ไม่รู้น่ะครับ รึว่าสมัยนี้อะไรอะไรมันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา อุ้ย!!!รึว่าเราเเก่เเล้ว จากคุณ : someblythe เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:22:06

ความคิดเห็นที่ 7 ดูแล้วไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะคะ จากคุณ : หมูสู้มีด เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:22:16

ความคิดเห็นที่ 8 คิดได้ไงอะครับ -*- จากคุณ : แกงค์เป็ดน้อย (แกงค์เป็ดน้อย) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:27:25

ความคิดเห็นที่ 9 พระท่านต้องรับกิจนิมนต์อยู่แล้วครับ เหมือนกับเวลาเราตักบาตรท่านก็ต้องรับไม่มีสิทธิเลือกว่าอาหารนี้อาตมาชอบหรือไม่ชอบ แต่ทำไปเพื่ออะไร และเหมาะสมมั๊ย นี่สิสำคัญ จากคุณ : blackhawk เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:30:39 A:58.8.143.13 X: TicketID:229031

ความคิดเห็นที่ 10 แปลกจัง คิดว่ายังไงก็ไม่เหมาะ อ่ะ ถ้าพระท่านฉันเสร็จ จะมีสวดให้สินให้พร กวดน้ำไหมอ่ะ มันทะ:-) ทะ:-)ๆ ยังไงก็ไม่รุ้  ผมว่า คิดเป็นเงิน 2500 บาท ไปซื้อของแล้วไปที่วัดจะเวิคกว่าม่ะ จากคุณ : เฮียดริฟ (เฮียดริฟ) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:30:55

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าเพื่อนๆว่ามันไม่สมควร เราก็ขอคิดใหม่ดีกว่าค่ะ จะเปลี่ยนเป็นฉันที่บ้าน แล้วสั่งอาหารมาแทนดีมั้ยคะ ขอบคุณมากนะคะ ปล...คืออยากให้พระท่านได้ฉันอาหารที่ที่านเคยชอบก่อนบวชน่ะค่ะ จากคุณ : สี่ขากัลยาณมิตร เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:33:47

ความคิดเห็นที่ 12 โดยส่วนตัวผมเป็นชาวพุทธ และถ้าจะนิมนต์พระมาทำบุญ คงเป็นที่บ้านหรือที่วัดน่าจะดูดีกว่า ไม่ลำบากใจพระท่านด้วย ได้บุญและไม่เป็นบาปในใจเราหรือให้ใครว่าเราลับหลังได้ด้วย จากคุณ : blackhawk เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:35:27 A:58.8.143.13 X: TicketID:229031

ความคิดเห็นที่ 13 การฉันภัตตาหารของพระสงฆ์ตามพระธรรมวินัยนั้น ก็เพื่อการดำรงอยู่แห่งสมณเพศ เพื่อการปฏิบัติธรรม ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ กล่าวคือ "กินเพื่ออยู่" มิใช่ "อยู่เพื่อกิน" การที่เราไปคาดหวังให้พระท่านชอบหรือไม่ชอบในรสชาติของอาหาร แม้เป็นความหวังดี แต่ให้กลับเป็นการบั่นทอนต่อการปฏิบัติธรรมตามสมควรแห่งสมณฐานานุรูป เพราะทำให้ติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง โผฐฐัพพะ และธรรมารมณ์ อันเป็นกิเลสที่พระสงฆ์พึงสละทิ้งไป ดังนั้น การที่ท่านประสงค์บำเพ็ญทานบารมี ย่อมเป็นบุญกุศลอยู่ในตัวเอง แต่ก็ต้องสอดคล้องกับพระธรรมวินัยตามที่สมเด็จพระบรมศาสดามีพระบรมพุทธานุญาตไว้ รวมทั้งควรคำนึงถึงขนบวัฒนธรรมประเพณีอันงดงามของประเทศไทยด้วย ว่า "การใดควร การใดไม่ควร" ซึ่ง พุทธศาสนิกชนทั่วไปพึงคิดไตร่ตรองอย่างมีเหตุ มีผลนะครับ จากคุณ : รอยยิ้มอิ่มละมุน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 00:48:42

ความคิดเห็นที่ 14 เข้าใจว่าพระท่านคงเป็นญาติทางใดทางหนึ่ง ตอนนี้ท่านบำเพ็ญบุญอยู่ อย่าเอากิเลสให้ท่านในช่วงนี้จะดีกว่ามั้ยคะ  ถ้าอยากให้ท่านได้ฉันสิ่งที่ท่านเคยชอบก่อนบวช รอท่านสึกออกมาก่อนค่อยไปทานกันเต็มที่น่าจะอิ่มเอมกว่านะคะ จากคุณ : iamcheng53 เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 01:01:31

ความคิดเห็นที่ 15 เอ่อ  แล้วท่านบวชทำไมเหรอคะ...  ไม่บวชจะสบายกว่ามั้ยอ่า จากคุณ : ครีมชีส เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 01:38:35

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่แนะนำเพราะเคยบวชนะฮะ จริงๆแล้วฏ้ทำได้ แต่ไม่สะดวกเท่าไหร่เพราะ อะไรก็ตามที่ไม่ได้ประเคนจะฉันไม่ได้ ถ้าพระสงฆ์ไปแตะต้องอาหารที่ยังไม่ได้ประเคยก็จะประเคนไม่ขึ้น คือรับประเคนไม่ได้ ส่วนตัวเคยรับนิมานต์ไปนั่งร้านอาหารอยู่ครั้งนึง จำได้ว่าคนมองเยอะ อายเค้าด้วยแหละ แหะๆ จากคุณ : EnvymasK เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 03:33:02

ความคิดเห็นที่ 17 เอ่อ คิดว่าไม่เหมาะสมค่ะ แต่ถ้าคุณจขกท. นำไปถวายท่านที่วัด น่าจะดูดีกว่านะคะ สถานที่บางสถานที่ ไม่เหมาะที่จะนิมนต์ท่านไปค่ะ จากคุณ : ป้าตัวกลม เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 04:06:59

ความคิดเห็นที่ 18 ครั้งนึงแม่เคยคิดว่าพระคงอยากกินข้าวมันไก่ ข้าวหมูกรอบ ขนมจีนซาวน้ำ ราดหน้า หอยทอด ไรงี้ เลยไปซื้อจากร้านดังมาถวายเพลที่วัด....ไม่เห็นต้องนิมนต์ท่านไปทานที่ร้านเลย ถึงจะนั่งรวมหรือไม่รวมกับฆาราวาส แต่ก็ไม่สมควรนะคะ เอาเป็นว่าสั่งเป็นชุด ๆ แล้วนิมนต์ท่านมาฉันที่บ้านหรือถวายที่วัดดีกว่าคะ จะดูดีกว่า....อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ จากคุณ : เด็กหลังส้วม เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 04:07:34

ความคิดเห็นที่ 19 ดิฉันคิดว่าไม่เหมาะอย่างยิ่งค่ะ การอยู่ในสมณเพศเห็นว่าควรต้องหนักไปทางการมุ่งปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องความอยากอาหารโน่นนี่ จากที่คุณเจ้าของกระทู้บอกว่า "ปล...คืออยากให้พระท่านได้ฉันอาหารที่ที่านเคยชอบก่อนบวชน่ะค่ะ" ดิฉันว่าเราเองก็อย่าได้ไปคิดแทนพระเลยค่ะว่าพระท่านอาจจะอยากทานเพราะเคยชอบ ท่านอาจจะอาจจะกำลังฝึกพระธรรมวินัยและฝึกตัวให้กินเพื่ออยู่ ขืนเอาถวายอาหารที่ท่านชอบบ่อยๆประเดี๋ยวท่านจะไม่สบายตัวร้องหาเอาได้เวลาไม่มีของที่ท่านชอบ เอาเป็นว่าทำให้พอดี ธรรมดาดีกว่านะคะ แฟนซีแบบนี้เห็นแล้วน่าตกใจค่ะ (พูดกันตามจริงว่าตัวดิฉันเห็นพระเดินเข้าร้านอาหารแล้วสั่งอาหารมาทานเองเห็นทีจะไม่ศรัทธาละค่ะ อีกอย่างก็พระเดินห้างคุยมือถือ) อันที่จริงถึงพระไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธกิจนิมนต์แต่เข้าใจว่าพระเองก็น่าจะสามารถชี้ข้อปฏิบัติอันเหมาะสมให้ผู้เชิญนิมนต์ได้รับทราบได้ไม่ใช่เหรอคะ (อันนี้คิดเอาเองเพราะเป็นผู้หญิงไม่เคยบวช) หวังว่าคงเข้าใจเจตนาดีของดิฉันนะคะ จากคุณ : กระต่าย เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 04:09:45 A:71.252.253.100 X: TicketID:166635

ความคิดเห็นที่ 20 คุ้มหรือไม่คุ้มไม่แน่ใจนะครับ แต่คิดว่าไม่น่าจะเหมาะสมครับ จากคุณ : naroktak55 เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 05:36:42

ความคิดเห็นที่ 21 ตัดเรื่องความไม่เหมาะสมออกไป ก็สงสัยอยู่ดีว่าจะมาอะไรกับความคุ้มไม่คุ้ม จะทำบุญเลึ้ยงพระไม่ใช่หรอคะ คุ้มอะไร คุ้มกับปริมาณบุญที่จะได้รับหรอ จากคุณ : Kissy Kiss เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 06:44:19

ความคิดเห็นที่ 22 เข้าใจว่าคงจะเป็นญาติ     แต่การไปกินบุฟเฟต์แล้วอยู่กับผู้หญิงในห้องส่วนตัวด้วย   ถึงแม้จะหลายคนก็เถอะ    คิดได้ไงครับเนี่ย จากคุณ : สริตา เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 07:50:27

ความคิดเห็นที่ 23 ทำไม จขกท ไม่สั่งอาหารญี่ปุ่นไปถวายที่วัดละค่ะ ที่เค้าทำไว้เป็นเซ็ตก็ได้   แต่ไปทานที่ร้านอาหารแม้ว่าเป็นห้องแยก ก็ไม่เหมาะค่ะ   เพราะไปทานที่ร้านก็ต้องประเคน  เป็นชุด ไม่ใช่ว่า เป็นบุฟเฟ่แล้วจะเดินไปตักเองได้  แล้วถ้าคนอื่นจับโดนอาหารชุดนั้น ก็ต้องประเคนใหม่อีก  มีหลายอย่างนะ  เราว่า ถ้าอยากถวายจริง จัดเป็นชุดแล้วไปถวายที่วัด หรือ ที่บ้านก็ได้ค่ะ จากคุณ : คุณนายก้อ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 07:52:45

ความคิดเห็นที่ 24 แค่คิดก็ผิดแล้ว เข้าใจว่าหวังดีแต่ท่านมาบวชคงไม่หวังสบายหรอกคับ จากคุณ : wow_hell เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 08:10:54

ความคิดเห็นที่ 25 คนจำนวนมาก บอกว่านับถือศาสนาพุทธ แต่หารู้จักแก่นแท้ของศาสนาไม่ หลักธรรมอันประเสริฐ มุ่งสอนให้ละกิเลศ ตัณหา ไม่รู้เรื่อง รู้จักแต่กระพี้ พิธีกรรมต่างๆ ที่มีการอุปโลก หลอกลวง ให้ลุ่มหลงงมงาย เพื่อหลอกเอาทรัพย์ โดยเอาความบันเทิงเข้าล่อ แทนที่จะฉลาด เลยกลับโง่ หนักกว่าเดิม อะไรควร อะไรไม่ควร แค่ไหน อย่างไร คิดไม่ออก คิดไม่เป็น น่าอนาจ จากคุณ : เฮฮา เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 08:30:15 A:58.9.176.20 X: TicketID:011396

ความคิดเห็นที่ 26 ส่วนตัวแล้วคิดว่า ไม่เหมาะสม อะคะ จากคุณ : BROWN STITCH เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 08:40:42

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่เหมาะอย่างแรง ยิ่งเป็นห้องส่วนตัวยิ่งแล้วใหญ่ เอาของไปถวายวัดยังจะดีกว่า เอาความคิดนี้มาจากไหนกัน ไม่ไหวจริงๆ จากคุณ : ชาย เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 08:45:35 A:192.168.4.80 X:58.8.59.133 TicketID:150126

ความคิดเห็นที่ 28 คือว่า ไม่ได้ไปแล้วค่ะ เพราะฟังจากทุกๆความเห็นในนี้คงจะไม่เหมาะสมจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำนะคะ แล้วก็ขอโทษเพื่อนๆชาวก้นครัวทุกคนด้วยนะคะที่ทำให้ขุ่นข้องหมองใจกัน แต่เราไม่ไ้มีเจตนาจริงๆค่ะ ที่ทำไปหรือถามไปเพราะไม่ทราบถึงความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ขอโทษทุกคนอีกครั่งนะคะ จากคุณ : สี่ขากัลยาณมิตร เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 09:02:20

ความคิดเห็นที่ 29 ของดิบ พระฉันท์ไม่ได้นะครับ จากคุณ : armany@gmail.com (armany) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 09:04:30

ความคิดเห็นที่ 30 จขกท ก็แค่ถามเพราะไม่รู้ ทำไมบางท่าน ต้องไปว่า ต้องไปตำหนิด้วยครับ ให้คำแนะนำที่ดี ที่ถูกต้อง จะดีกว่าไม๊ ผมว่า จขกท จัดเป็นชุดๆแล้วนิมนต์มาที่บ้านดีกว่าครับ ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า ไปจนถึงเป็ดปักกิ่ง ถวายได้หมด แต่ถ้า จขกท พาไปฉันที่ร้าน มันก็อาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่คิดไปคิดมา ถ้าอย่างที่หลายๆท่านบอกว่าไม่เหมาะสม แม้แต่อยู่ในห้องส่วนตัว แล้วถ้าผมเป็นเจ้าของฟูจิสาขาใหม่ แล้วนิมนต์พระท่านไปทำบุญสาขา อย่างนี้ มันแตกต่างกันอย่างไร? อันนี้ ถามจริงๆครับ อยากรู้ จากคุณ : LAPD21 เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 09:17:30

ความคิดเห็นที่ 31 แล้วที่สำคัญ เวลาทำบุญพระท่านต้องฉันก่อน ไม่ใช่เหรอครับ เราจะฉันก่อนพระไม่ได้ แล้วถ้าไปร้านอาหาร คุณจะทานร่วมกับพระฉันเหรอครับ เห็นบอกเป็นห้องพิเศษ จากคุณ : ramaset เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 09:19:22

ความคิดเห็นที่ 32 ตอบคุณ LAPD21 ครับ ทำบุณสาขาจะต้องมีการสวดมนต์ มีการประเคนของ มีพนักงานร่วมงาน แล้วที่สำคัญคือวันนั้นต้องปิดร้าน และอาหารก็ต้องมีการเลือกอย่างดีแล้วสำหรับที่จะประเคนให้พระฉัน จึงเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับการทำบุญบ้านไงครับ จากคุณ : ramaset เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 09:23:54

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่น่าดูเลย นึกภาพพระ ดูเมนูแล้วสั่งสิคะ จากคุณ : NoKKo@InLovE เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 10:20:56

ความคิดเห็นที่ 34 สงสารเจ้าของกระทู้ จากคุณ : good night story เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 10:58:43

ความคิดเห็นที่ 35 จขกท เค้าคงเปลี่ยนใจแล้วละ แต่ก้อเป็นอีกเรื่องที่ ต่อไปอาจจะเป็นปกติก้อได้ แสดงว่าจขกท  เนี้ยเป็นคนแรกๆ ที่คิดต่างนะเนี้ย ต่อไปอาจจะนิยมการ นิมนต์พระไปร้านอาหารก้อได้ สะดวก สบาย ไม่ผิดกติกา ....... จากคุณ : nano&bible เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 11:09:38

ความคิดเห็นที่ 36 ถ้าท่านบวชด้วยจิตกุศล คิดว่าท่านคงต้องรักษาพระวินัยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอาหารเพียงแค่ให้พอยังชีพ ไม่ใช่ให้สัมผัสถึงรสชาติ  เราจึงไม่ควรนำท่านกลับไปหากิเลส นำอาหารพื้นๆไปถวายท่านเถอะครับในช่วงที่ท่านถือครองสมณเพศ  หลังจากท่านลาสิกขาแล้วค่อยพากันไปทานก็ไม่สายเกินไปนะผมว่า  อย่าปล่อยให้ค่านิยมส่วนตัวและความคิดต่าง ที่อยากทำอะไรใหม่ๆโดยไม่พิจารณาให้เหมาะสม มาทำลายศาสนาเลยครับ  ไปดูในประเทศที่เขาเคร่งๆกันเช่นอินเดีย  เนปาล ภูฏาน ศรีลังกา หรือแม้แต่ในจีน เขาจะยึดถือพระวินัย พระไตรปิฎก พระวจนะ กันอย่างเดร่งครัดทั้งนั้น  ช่วยๆกันจรรโลงพระพุทธศาสนากันเถอะครับ จากคุณ : wilson_sam เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 11:31:23

ความคิดเห็นที่ 37 แนะนำเจ้าของกระทู้และเพื่อนๆ สมาชิกห้องก้นครัว   กรุณาอ่านหนังสือวินัยสงฆ์ที่ประชาชนควรทราบ  เพื่อจะได้ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามหลักคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ http://board.พลังจิต.com/f10/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A-147436.html จากคุณ : kaoim เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 12:04:54

ความคิดเห็นที่ 38 เจ้าของกระทู้คงได้คำตอบแล้ว เราว่าถ้าจะทำบุญเลี้ยงพระ ก็สั่งอาหารมาที่บ้านดีกว่าค่ะ อาหารอะไรที่ท่านชอบก็สั่งมา เรื่องการเข้าวัดเข้าวา หรือการปฏิบัติกับพระสงฆ์ บอกตรง ๆ ว่าแต่ก่อนเราก็ไม่รู้ค่ะ ตอนน้องเราบวช บ้านเราสั่งอาหารญี่ปุ่นมาตั้งบูธเลี้ยงคนที่มางาน แล้วก็มีเอาไปถวายพระด้วย แต่ดันมีปลาดิบ ซึ่งบ้านเราไม่รู้จริง ๆ ค่ะว่าพระห้ามฉันของดิบ แต่ก็ทำไปเพราะไม่รู้ เข้าใจเจตนาดีของเจ้าของกระทู้นะคะ เป็นบทเรียนให้เราได้ศึกษา ได้เข้าถึงความเป็นพุทธศาสนิกชนมากขึ้นเนอะ จากคุณ : แบ๊น แบน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 12:36:09

ความคิดเห็นที่ 39 ไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวงที่กล่าวมาค่ะ จากคุณ : Mamperjer เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 12:41:55

ความคิดเห็นที่ 40 พระมีเวลาฉันท์อาหารที่จำกัดเวลามาก เวลาเราทำบุญก็จะนำไปถวายให้ที่วัดเลย จากคุณ : tagoya เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 13:54:24

ความคิดเห็นที่ 41 ไม่แปลกหรอก   เราได้ปราวาณตัว เป็นศิษย์แล้ว  และท่านเรียกใช้เราได้ตลอด (ไม่ผิดวินัย) เรายังนิมนต์ไปฉัน โออิชิ , ซิสเลอร์ บ่อยๆ เด็กเสิร์ฟ ในร้านเห็นพระดีใจ   ช่วยกันประเคนของกันใหญ่ โดยท่านนั่งในห้องเป็นสัดส่วน อนุโมทนาบุญ จขกท น่ะค่ะ อย่าจิตตกเลย จากคุณ : GIRAFEE เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 14:38:08

ความคิดเห็นที่ 42 แต่พระทานปลาดิบไม่ได้นะค่ะ เท่าที่ได้ยินมา แค่นี้ศาสนาก็จะเสื่อมอยู่แล้วอย่าทำให้มันเสื่อมมากไปกว่านี้เลยค่ะ ไม่ได้มีเจตนาว่านะค่ะแต่สาเหตุที่เสื่อมก็เพราะความหวังดีของฆาราวาสนี่แหล่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 53 17:16:12 จากคุณ : ladynula เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 17:13:41

ความคิดเห็นที่ 43 ได้เคยถามพระว่าอยากไปป่าวละ จากคุณ : วิ่งไล่เป็ด เจ็ดทุ่งนา เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 17:50:17

ความคิดเห็นที่ 44 เอ่อ คุณ GIRAEEE แค่สงสัยว่านิมนต์ท่านไปฉันซิซเลอร์ห้างเปิด10:00หรือ10:30 ท่านฉันทันหรือครับเพราะจะ11:00 นาฬิกาแล้ว เสร็จแล้วสวดให้พรกันในซิซเลอร์เลยหรือครับ คงดูแปลกๆ จากคุณ : Sand (econdpu) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 18:53:37

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้าเป็นกลุ่ม หลวงพี่เท่ง คงได้มั้ง จากคุณ : nukkid เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 19:37:14

ความคิดเห็นที่ 46 เวลาพระท่านฉัน เขาให้เอาของกินทุกอย่างที่มีคลุกรวมกัน เพื่อให้ระลึกว่ากินเพื่อทำความดี ไม่ได้กินเพื่อรสชาติ ความอร่อยลิ้น คุณไม่รู้หรอคะ ว่ารูป รส กลิ่น ก็เป็นกิเลส จากคุณ : คุลาล่า เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 20:52:29

ความคิดเห็นที่ 47 อือ คนถวายอยาก หรือหลวงพี่อยากละ โฮ่ง โฮ่ง จากคุณ : fatty เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 21:15:56 A:124.121.35.158 X: TicketID:281416

ความคิดเห็นที่ 48 ไม่แปลกใจที่มีบาง คห มาเสียดสี  เค้าคงจำ จขกท ได้จากกระทู้ที่แปะรูปโดนัทในกล่อง KK ให้หมากินน่ะ  ไม่ได้ว่าอะไร แค่มาบอก เผื่อมีคนสงสัย   แล้วที่บาง คห ว่า จขกท ด้วยแทนที่จะบอกเฉยๆ เพราะมันเป็นความคิดที่ "ไม่น่าจะคิดแล้วทำจริงๆจนกระทั่งมาตั้งกระทู้ถาม" น่ะสิคะ ไม่ได้โดนด่าแรงๆเราก็ว่าดีแล้วนะ จากคุณ : ทังโคริริน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 23:17:58

ความคิดเห็นที่ 49 คิดว่าคุณเจ้าของกระทู้คงเปลี่ยนใจแล้ว แต่ขอยกกรณีตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมขึ้นอีกนิดนะคะ เพราะเมื่อนานมาแล้วเคยคิดจะถวายเพลด้วยสุกี้ฯ (เห็นว่าเป็นช่วงฤดูหนาวอยากให้ได้ฉันอาหารร้อนๆ) โดยจะยกหม้อไฟฟ้าไปตั้งที่โต๊ะในกุฏิ และเตรียมของสดไปให้เหมือนอย่างที่ร้านเขาขายกันเลย นิมนต์พระไว้ 5 รูปเช่นกัน แต่ผู้ใหญ่ที่บ้านท้วงมาว่า การจะให้พระมานั่งเลือกสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วลวกฉันเองนั้น ทำไม่ได้ เพราะโลกจะติเตียน ดังที่เรียกว่า โลกะวัชชะ พอถามต่อว่า งั้นนำวัตถุดิบใส่ในหม้อไปเลย แล้วให้ทุกรูปตักฉันเองได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ได้ เพราะท่านจะต้องไปเลือกเองอีก คนที่ผ่านไปมาจะเห็นว่า ท่านนั่งเลือกตักฉันด้วยตัวเอง โลกติเตียนได้เช่นกัน ว่าไม่ประพฤติตนเป็นผู้กินง่ายอยู่ง่าย ตามหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า สิ่งที่ได้รับการแนะนำมา หากต้องการถวายสุกี้ฯ จริงๆ คือ นำทุกอย่างมาต้มให้สุก ถ้าต้องการให้ร้อน ก็นำหม้อไปตั้งอุ่นไว้ใกล้ๆ เมื่อเดือดจึงตักใส่ชามแยกถวายเป็นรูปๆ ไป พร้อมกับน้ำจิ้ม หากท่านจะฉันเพิ่มก็ค่อยตักถวายเพิ่ม ทำเช่นนี้ พระท่านจะไม่ถูกโลกติเตียนด้วยเจตนาดีของผู้เป็นฆราวาสอย่างเราๆ ในโลกปัจจุบันการที่ศาสนาพุทธจะดำรงอยู่ได้ นอกจากหลักธรรมคำสอนแล้ว ก็อยู่ได้ด้วยพระสงฆ์สาวกขององค์พระศาสดาที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และต้องมีฆราวาส เป็นผู้สนับสนุนให้พระสงฆ์ดำรงอยู่ได้ในทางที่สอดคล้องกับพระวินัยและคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้นการจะทำสิ่งใด แม้ว่าจะมีเจตนาที่ดีก็ตาม อยากขอให้ลองนึกภาพดูก่อนว่า หากเราไม่ใช่ผู้กระทำสิ่งนั้นด้วยตนเอง เราจะมองภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าว่าเป็นอย่างไร ในกรณีของการฉันบุฟเฟ่ท์นั้น ถ้าเราไม่ได้เป็นผู้นิมนต์เอง จะมีคำถามในใจหรือไม่ ในยามที่ได้เห็นพระทั้ง 5 รูปเดินผ่านเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัวของร้านอาหาร ถ้าเรามองว่าเป็นสิ่งไม่สมควร ผู้อื่นที่ไม่เข้าใจเหตุผลในการกระทำนั้นก็ย่อมเห็นว่าเป็นสิ่งไม่สมควรเช่นกันค่ะ ไม่ว่าคุณเจ้าของกระทู้จะตัดสินใจถวายเพลด้วยวิธีไหน ก็ขออนุโมทนานะคะ เพราะอย่างน้อยก็เป็นความตั้งใจที่ดีในการช่วยทำนุบำรุงพระศาสนา ด้วยภัตตาหารแก่สาวกของพระศาสดา จากคุณ : L@st love เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 01:15:08

ความคิดเห็นที่ 50 ตั้งแต่เกิดมาเรายังไม่เคยคิดพิเรนท์ พิเรนท์แบบนี้เลย นี่ขนาดเราไม่ค่อยได้เข้าวัดเข้าวานะเนี่ย  ยังมีสติสัมปชัญญะกว่าคนบางคนเลย... จากคุณ : blue-garcia เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 09:02:29

ความคิดเห็นที่ 51 เอ่อ คห บน คะ v v ความคิดเห็นที่ 28 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน คือว่า ไม่ได้ไปแล้วค่ะ เพราะฟังจากทุกๆความเห็นในนี้คงจะไม่เหมาะสมจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำนะคะ แล้วก็ขอโทษเพื่อนๆชาวก้นครัวทุกคนด้วยนะคะที่ทำให้ขุ่นข้องหมองใจกัน แต่เราไม่ไ้มีเจตนาจริงๆค่ะ ที่ทำไปหรือถามไปเพราะไม่ทราบถึงความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ขอโทษทุกคนอีกครั่งนะคะ จากคุณ : สี่ขากัลยาณมิตร เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 53 09:02:20 [แก้ไข] จากคุณ : สี่ขากัลยาณมิตร เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 09:55:45

ความคิดเห็นที่ 52 คห 49 ครับ แล้วการถวายอาหารเป็นสำรับนี่ ก็แยกอาหารเหมือนกัน เช่น ผัด แกง ทอด ยำ หรือน้ำพริก พระก็เลือกตักฉันด้วยตัวเอง "โลกจะติเตียน ดังที่เรียกว่า โลกะวัชชะ" มั้ยครับ จากคุณ : Jung@jipp เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 16:06:10

ความคิดเห็นที่ 53 แอบสงสัยว่ะ คนที่ออกมาตำหนิเจ้าของกระทู้ถือศาสนาอะไรกัน........ คนที่ออกมาด่าเจ้าของกระทู้มีความรู้ในเรื่องพุทธศาสนา โดยเฉพาะ วินัย และ ธรรม มากแค่ไหน............ คนที่ออกมาด่ามีข้อเท็จจริงหรือไม่........ (นอกจากคำว่า "เค้่าว่า" หรือคำว่า "ไม่ใช่เหรอ") เจ้าของกระทู้จะนิมนต์พระไปฉันที่ไหนก็เรื่องของเขา ขอให้ไม่ใช่เป็นที่อโคจร 6 สถาน เป็นใช้ได้ ถ้าคนเขามองว่าจะถวายของปราณีต จะนิมนต์พระไปฉันที่ไหนมันก็เหมาะสมทั้งนั้น +++++++++++++++ ฉันในบ้านสิไม่เหมาะสม..................... ++++++++++++ มีกันอยู่ผู้หญิงพี่น้องสองคน พระอาบัติ หนักกว่าเดิมอีก (ฉันปลาดิบแค่ทุกกฏ แต่อยู่กับสีกานี่อนิยต) เรื่องควรคิดไม่คิด........... เรื่องควรมองไม่มอง........... เรื่องควรศึกษาไม่ศึกษา................... แต่เวลา่จะด่า เชอะแห่มากันใหญ่ พวกคนรกโลกเอ๋ย............ เอาเวลาไปพัฒนาตนเองเป็นคนดีเถอะ.........นะ แค่ไอ้ที่พิมพ์ข้อความกันมาเนี่ย ก็พอจะเดาออกได้ว่า............... บุพการีสั่งสอนศีลธรรมกันมาหรือไม่........ มีศาสนากันหรือไม่................... ทำบุญบ่อย หรือ ห่างวัดมาก แค่ไหน................ มีเหตุและผลกันมากแค่ไหน......... ระดับการศึกษาเป็นยังไง.................. เข้าใจธรรมและวินัยเพียงใด................. ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้นะ ตั้งใจทำความดีต่อไป อยากจะถวายอะไรด้วยกุศลจิต ก็ถวายไปเถอะนะ... ฉันไม่ฉันแล้วแต่พระท่าน เราตั้งมั่นด้วยเจตนาดีก็พอ เพราะถ้าเป็นประโยชน์จริง ไม่เป็นอันตราย หรือเป็นยา ต่อให้เป็นเลือดสดๆ เนื้อดิบๆ พระก็ฉันได้ เราไม่ได้ถวาย วิสกี้ บุหรี่ กัญชา หรือ หนังโป๊ ซะเมื่อไร จากใจ คนที่ชอบถวายอาหารอันปราณีตกับพระ ตามร้านดังๆราคาแพงๆ จากคุณ : รำคาญว่ะ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 23:22:03 A:180.210.216.74 X: TicketID:280679

ความคิดเห็นที่ 54 คุณ Jung@jipp เรามาลองดูเหตุผลของการแยกอาหารในสำรับแบบง่ายๆ กันก่อนดีกว่าค่ะ ประการแรก พระท่านไม่ได้เลือกที่จะฉัน หากแต่ฆราวาสเป็นผู้เลือกอาหารใส่สำรับมาให้ฉันตั้งแต่แรก ประการที่สอง ที่พระท่านต้องตักแบ่งออกมาใส่จานฉันนั้น เพราะท่านคงไม่สามารถฉันทุกอย่างได้หมดทั้งสำรับ ประการสำคัญที่สุด คงไม่มีฆราวาสคนใดสามารถถวายภัตตาหาร โดยการนำเอาอาหารทุกอย่างที่ปรุง ไม่ว่าจะผัด แกง ทอด ยำ ฯลฯ มารวมอยู่ในชามเดียวกันแล้วถวายได้ ดังนั้นการที่พระท่านตักอาหารที่จัดเป็นสำรับแบ่งออกมาฉันในบาตรหรือจานส่วนตัว จึงไม่มีโลกไหนจะมาติเตียนท่านได้ ขณะที่หากถวายสุกี้หรือสิ่งที่พระท่านต้องตักออกมาจากส่วนกลางเอง ปรุงเอง (จิ้มน้ำจิ้ม ทาซ้อส และอื่นๆ) ท่านจะต้องนำตะกร้อ ช้อน หรือ ทัพพีมาแกว่ง กวน คนในหม้อก่อนที่จะตักแยกไปจิ้มน้ำจิ้มฉันได้นั้น คนอาจจะมองได้ว่า ท่านปรุงอาหารนั้นเองซึ่งไม่เป็นการสมควร ยิ่งถ้านำของดิบไปให้ท่านตักลวกเอง นั่นยิ่งไม่สมควรมากขึ้น เพราะพระฉันได้เพียงอาหารที่ผ่านการปรุงสุกแล้วเท่านั้น เหตุผลของพระวินัยข้อนี้ คือ ต้องการให้พระได้ฝึกสำรวมลิ้น ไม่ปรุงอาหารที่รับมา มาว่ากันถึงคำว่า "โลกะวัชชะ" คำนี้มีไว้เพื่อให้เราได้ใช้สามัญสำนึกในการพิจารณา ประพฤติปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดๆ ในทางที่ถูกที่ควร โดยไม่จำเป็นต้องนำกฎเกณฑ์ วินัย หรือกฎหมายใดๆ มาบังคับ เหตุที่พระพุทธเจ้าท่านได้กำหนดคำนี้ขึ้น ก็เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนาไม่ให้ต้องเสื่อมไปด้วยความไม่รู้ของคน การใดที่จะนำมาซึ่งคำตำหนิติเตียนแก่สาวกของท่าน อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ท่านจึงได้กำหนดให้ละไว้ โดยสามารถใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรองได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ก่อน ในกรณีนี้ คือ การฉันภัตตาหาร ลองมองภาพในมุมกลับกัน ว่า ขณะที่เห็นภาพพระท่านตักอาหารจากสำรับมาฉันแล้ว รู้สึกอย่างไร มีสิ่งใดขัดสายตา รู้สึกไม่ดีหรือไม่ ลองเทียบกับการที่ได้เห็นพระท่านนั่งล้อมวง เอาช้อน ทัพพีหรือตะกร้อมาแกว่ง กวน คน เลือกอาหารจากหม้อสุกี้ ก่อนจะตักมาจิ้มน้ำจิ้มแล้วใส่บาตรหรือจานส่วนตัวท่าน ผู้ที่เห็นรู้สึกอย่างไร ขอยกตัวอย่างบางเรื่อง ที่คนภายนอกเห็นว่า ผิดวินัยแน่นอน เพราะพระไม่สามารถสัมผัสโดนสีกาได้ แต่พระบางรูปก็นำมารดาที่ชรา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และไม่มีใครดูแล มาอุปการะ โดยต้องเช็ดตัว ป้อนอาหาร ป้อนยา เช็ดก้น อาบน้ำให้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ฯลฯ แต่กลับไม่สามารถนับได้ว่าเป็นความผิด เพราะสิ่งที่ท่านประพฤติ คือ เป็นผู้มีกตัญญุตาแก่บุพการี ขณะที่บางเรื่อง คนจำนวนมากมองว่าไม่ผิดต่อกฎหมาย ข้อบังคับ กฎเกณฑ์ ฯลฯ อย่างการที่บางคนเบิกของใช้ของบริษัทกลับบ้านมาเพื่อใช้ส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน บางคนก็มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ใครๆ ก็ทำกัน จนไม่ทันได้เห็นด้วยซ้ำว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นการนำทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตน โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผิดศีลข้อ 2 อย่างชัดเจน ในทางศาสนาพุทธ เราถือเจตนาเป็นสำคัญ แต่กระนั้นการร่วมกันปกป้องไม่ให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นต่อองค์พระศาสดา คำสอน หรือ สาวกของท่านก็ถือเป็นหน้าที่ที่สำีคัญมากเช่นกัน ศาสนาจะอยู่รอดได้ด้วยการที่เราร่วมกันรักษาในทุกทาง โดยเฉพาะในส่วนของพระสงฆ์ ที่ต้องอาศัยการดูแล สนับสนุน และใกล้กับฆราวาสมากที่สุด โอกาสที่ความไม่รู้ของเราจะไปทำให้ท่านต้องผิดต่อพระวินัยหรือถูกโลกติเตียนได้นั้นมีอยู่มากทีเดียว ดังนั้นแม้ว่าเราจะมีเจตนาที่ดีในการทำสิ่งใดก็ตาม เราก็จำเป็นที่จะต้องใช้ปัญญาและสามัญสำนึกในการพิจารณาให้มากด้วยเช่นกัน เพื่อให้ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายยังดำรงคงอยู่ตลอดไป จากคุณ : L@st love เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 23:33:10

ความคิดเห็นที่ 55 แอบสงสัย ความเห็น 49 ฝากไปบอกผู้ใหญ่ที่แสนไร้สาระของคุณด้วยนะว่า ถ้ากระบวนการคิดที่ผู้ใหญ่ของคุณตัดสิน "โลกวชฺช" ตามข้างต้น พระก็คงจะต้องอาบัติ กันอุตลุดตั้งแต่ยังไม่ได้ฉันอะไรเลย แค่คุณวางกับข้าวไว้ก็ไม่มีพระรูปไหนกล้าตักฉันหรอกครับ ถ้าคิดตามตรรกกะของผู้ใหญ่คุณน่ะ เพราะพระต้องเริ่ม ""เลือก"" ตั้งแต่แรกแล้วว่า.................... จะตักกับข้าวอันไหน ก็ โลกวชฺช สมมติ ถ้าเลือกได้ว่าจะตักแกงไก่ จะตักเนื้อ ตักน้ำ ตักมะเขือ จากชาม ก็โลกวชฺช แค่เปลี่ยนภาชนะจากชามเป็นหม้อมันต่างกันตรงไหน ต่อให้ ให้เป็นต้มยำหม้อไฟ กุ้งอบวุ้นเล้น หรือผัดผักรวม ก็ตาม มัน ก็โลกวชฺช ถ้าคิดตามตรรกกะของผู้ใหญ่คุณน่ะ......................................... บริบท ของ โลกวชฺช มันต่างกันอย่างไร แค่พระตักข้าวเข้าปากก็ต้องเลือกทั้งนั้น.................... ถึงแม้ว่า โลกวชฺช แปลว่า โลกติเตียนก็จริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความโต้งๆ ว่าอย่างนั้นหรอกนะคุณ ตัวคุณเองต่างหาก........... ที่กำลังติเตียนพระ คนที่อยู่รอบหม้อสุกี้นั่นแหละ............ ที่กำลังติเตียนพระ ไม่ใช่คนทั้งโลกติเตียน อย่างที่ผู้ใหญ่ของคุณ อนุมานแบบส่งเดช เพราะแค่พระนั่งล้อมวงฉันก็ต้องอาบัติแล้ว (ยกเว้นพระเก่า ที่ได้อานิสงส์กฐิน หรือ เข้าพรรษา) ถ้าไม่ทำบุญด้วยกุศลจิตจะมีความสุขได้ยังไงกันล่ะคุณ ผมไม่เข้าใจ จากคุณ : รำคาญว่ะ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 53 23:49:19 A:180.210.216.74 X: TicketID:280679

ความคิดเห็นที่ 56 ความคิดเห็นที่ 54 ๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘ ขณะที่หากถวายสุกี้หรือสิ่งที่พระท่านต้องตักออกมาจากส่วนกลางเอง ปรุงเอง (จิ้มน้ำจิ้ม ทาซ้อส และอื่นๆ) ท่านจะต้องนำตะกร้อ ช้อน หรือ ทัพพีมาแกว่ง กวน คนในหม้อก่อนที่จะตักแยกไปจิ้มน้ำจิ้มฉันได้นั้น ๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘ เพราะพระฉันได้เพียงอาหารที่ผ่านการปรุงสุกแล้วเท่านั้น เหตุผลของพระวินัยข้อนี้ คือ ต้องการให้พระได้ฝึกสำรวมลิ้น ไม่ปรุงอาหารที่รับมา ๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘ งงงงงงงงงงงงงงงง อย่างแรงครับ การสำรวมลิ้นไม่ไมีได้อยู่ที่ปรุงอาหารให้ร้อนหรอกครับ แต่คุณ และผู้ใหญ่ของคุณ ก็ ""พลาด"" ตั้งแต่น้ำจิ้มและเครื่องปรุงรสแล้วครับ ถ้าอยากให้พระสำรวมลิ้นจะถวายเครื่องปรุงรสไปทำไมมิทราบ............ ไร้สาระ + แถ ครับ ถ้าคุณอยากจะถวายสุกี้ให้พระ แบบ """ปลอดภัยผู้ให้ ไร้อาบัติผู้รับ"" ละก็ ก็ปรุงทุกอย่างให้เสร็จในหม้อ แม้กระทั่ง"น้ำจิ้ม" แล้วก็ยกประเคนไปทั้งหม้อเนี่ยแหละครับ แค่นั้นพอ ก็จะถูกต้อง ตามธรรมแล้ววินัยทุกประการ แล้วก็ปล่้อยให้พระทำภัตตากิจของท่านเอง ++++++++++++อย่าไปรู้ดีกว่าพระพุทธเจ้า อย่าก้าวล่วงธรรมวินัย+++++++++++++ จากคุณ : รำคาญว่ะ เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 00:01:17 A:180.210.216.74 X: TicketID:280679

ความคิดเห็นที่ 57 ถ้าคุณรำคาญว่ะ ลองกลับไปอ่านทั้งความเห็นที่ 49 และ 54 ให้ละเอียดอีกครั้ง อาจจะเข้าใจความหมายที่ดิฉันพยายามสื่อไป การที่บอกว่าผู้ใหญ่ของดิฉันไร้สาระ ก็อาจจะเป็นไปได้นะคะ ขึ้นกับว่าสาระของคุณคืออะไร หากสาระของคุณคือ การทำบุญอย่างตั้งใจ ด้วยอะไรก็ได้ที่คิดว่าดีที่สุดที่คุณหาได้ เหตุผลที่ผู้ใหญ่ของดิฉันให้มา คงเป็นเรื่องไร้สาระแน่นอน เพราะคุณมองเพียงสิ่งที่ถวาย ไม่ได้มองถึงผลของมัน ก็คงไม่ยังประโยชน์อะไรที่จะถกกันต่อ เพราะรังแต่จะเสริมให้โทสะของคุณสูงขึ้นไปอีก พาลจะเป็นกรรมติดแก่ตัวดิฉันเปล่าๆ ค่ะ ก็คงไม่จำเป็นต้องอ่านข้อความด้านล่างต่อ แต่หากสาระของคุณ คือ การทำบุญด้วยเจตนาที่จะทำนุบำรุงพระศาสนา ไม่ให้พระสงฆ์ท่านด่างพร้อยโดยไม่จำเป็น บางทีถ้าได้อ่านความเห็นของดิฉันอย่างละเอียดอีกครั้ง อาจจะทำให้คุณเข้าใจความหมายที่สื่อได้มากขึ้นบ้าง แน่นอนว่า ทุกคนย่อมทำบุญด้วยกุศลจิตทั้งสิ้น หากแต่การจะเป็นกุศลได้เต็มที่นั้น ไม่ควรที่จะนำมาซึ่งการทำให้พระสงฆ์ต้องรับคำตำหนิติเตียนของคนอื่นด้วย เหตุที่พูดเรื่องโลกติเตีียนขึ้นมานั้น เพราะปัจจุบันความศรัทธาที่ผู้คนมีต่อพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้มั่นคง แข็งแรงเหมือนดังที่เคยเป็น และนับวันยิ่งจะมีแต่เสื่อมถอยลงไป ดังนั้นการป้องกันความเสื่อมศรัทธาใดๆ ไม่ว่าเกิดจากเหตุทางกาย วาจา หรือ ใจ ในฐานะพุทธศาสนิกชนก็ควรร่วมกันทำ การที่โลกจะติเตียนหรือไม่ หากใช้สามัญสำนึก ปัญญาและสติมาดู ก็จะรู้ได้ไม่ยากว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร (ยกตัวอย่างไปมากแล้วในความเห็นบนๆ) ส่วนเรื่องสำรวมลิ้น ไม่มีตรงไหนที่ดิฉันเขียนถึงว่าเป็นอาหารร้อนเลยแม้แต่น้อย (ที่เขียนในความเห็น 49 คือ อยากถวายอาหารร้อนๆ เนื่องจากช่วงนั้นเป็นฤดูหนาว) หากแต่การสำรวมลิ้นที่หมายถึง คือ การปรุงสุก ไม่มีการปรุงรสโดยพระสงฆ์เอง เหตุผลในการที่มีน้ำจิ้มไปให้ แน่นอนว่าไม่ถูกต้องนักตามหลัก แต่เพราะสุกี้ฯ เป็นอาหารที่มีน้ำจิ้ม เมื่อไม่มีน้ำจิ้ม มันก็คือ แกงจืด และสำคัญที่สุด การที่ไม่ใส่น้ำจิ้มลงไปเลยก่อนถวาย ก็เพราะพระแต่ละรูป ฉันอาหารรสจัดได้ไม่เท่ากัน บางรูปที่ชราแล้วก็ฉันเผ็ดไม่ได้เลย บางรูปเป็นเบาหวานฉันเครื่องปรุงที่มีน้ำตาลผสมไม่ได้ จึงได้จัดน้ำจิ้มแยกไปต่างหาก ไม่ใช่สักแต่ว่าจะปรุงสิ่งใดไปถวาย ก็ถวายไปตามนั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงผู้รับว่าจะอยู่ในสภาวะเช่นไร ฉันไปแ้ล้วเกิดประโยชน์หรือโทษอย่างไร และยังต้องคำนึงถึงความควรและไม่ควรด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่านำหม้อสุกี้ไปตั้งบนโต๊ะให้ท่านฉัน ฆราวาสที่เดินผ่านไปมาหน้ากุฏิเห็นเข้า (เพราะกุฏิเปิดโล่ง) เขาไม่ได้มารู้มาเข้าใจอะไรด้วย อาจจะนำไปพูดได้ว่า พระวัดนี้นั่งลวกสุกี้ฉันเอง ผลที่เกิดขึ้น ผู้ที่ถวาย (คิดว่า) ได้บุญ แต่พระท่านถูกคนอื่นนำไปตำหนิ พอเรื่องกระจายออกไป คนไม่รู้ก็อาจจะเกิดความเสื่อมศรัทธาได้ ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ผู้ที่ถวายก็ไม่ได้ผิดเหมือนกัน แต่ผลของสุกี้หม้อนั้นอาจจะทำให้คนหลายคนเสื่อมศรัทธากับพระในกุฏินั้นได้ ซึ่งแน่นอนผู้ถวายสุกี้ได้รับบุญจากทานนั้นไปแล้ว แต่ผลที่ตามมา พระกลับต้องรับแทน ยิ่งคนเริ่มไกลวัดมากเท่าไหร่ คนที่มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะหรือใกล้วัดมากกว่านั้น ควรจะเป็นผู้ที่ช่วยกันสร้างให้เกิดศรัทธาแก่พระพุทธศาสนาให้มากขึ้นในทุกโอกาสที่มี หาไม่แล้วพระพุทธศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อมีแต่คนเดินออกไปด้วยความเสื่อมในศรัทธา ถ้าการถวายภัตตาหารเป็นแค่เพียงการนำของดีๆ (ในความคิดฆราวาส) ไปถวาย พระท่านคงจะได้ฉันแต่ประเภทหมูหัน เป็ดปักกิ่ง หูฉลาม พระกระโดดกำแพง เค้ก ขาหมูหมั่นโถว สเต็คเนื้อแบบ Medium rare (เพราะสุกไปเดี๋ยวจะเหนียวอีก) แกงเขียวหวานแตกมันข้นคลั่ก หรือ พะโล้หมูสามชั้นที่คัดมาอย่างดี ผลที่ตามมาก็คือ การอาพาธ โดยเฉพาะปัจจุบันพระสงฆ์ส่วนมากจะมีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง เก๊าท์ และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะเหตุที่ผู้คนใส่แต่อาหารที่ตัวเองชอบ และคิดว่าดีที่สุดเท่านั้น พระท่านก็ไม่มีทางเลือก หากมีแต่อาหารแบบนี้ท่านก็ต้องฉันไป เมื่อพระสงฆ์ไม่แข็งแรงทั้งร่างกาย และศรัทธาที่ฆราวาสมีให้ ศาสนาจะแข็งแรงได้อย่างไร สุดท้าย... แน่นอนว่าดิฉันไม่เคยมีเจตนาใดที่จะแสดงตนว่ารู้ดีกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือคิดบังอาจไปก้าวล่วงต่อพระธรรมวินัย ตรงกันข้าม ทุกสิ่งที่คิด พูด หรือ กระทำมาตลอด ก็ตั้งใจที่จะให้ตัวเองเดินอยู่ภายใต้คำสอนของท่านให้มากที่สุด สิ่งใดก็ตาม หากแสดงออกไปแล้ว ไม่ว่าด้วยกาย วาจา หรือใจ ถ้าจะนำมาซึ่งความเสื่อมในศรัทธาที่คนจะมีต่อพระพุทธศาสนาได้ ดิฉันจะไม่ทำ เพราะถือว่าการเป็นตัวอย่างที่ดี หรือช่วยชี้แจงข้อมูลต่างๆ ตามแต่ปัญญาจะมีนั้น เป็นหน้าที่หนึ่งในฐานะพุทธศาสนิกชนศาสนาด้วยเช่นกัน จากคุณ : L@st love เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 01:07:02

ความคิดเห็นที่ 58 พระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่ต้องเอาอะไรที่ปราณีตมาถวายหรอก กินอะไร ก็ถวายแบบนั้น ถ้าไปยึดติดว่าต้องปราณีต นั่นก็กิเลส ทำให้พระเสียนิสัยไปด้วย เอ่อ บางความเห็น ไอ้ที่ว่า รำคาญว่ะ อะไรนั่นน่ะ บางทีคนรู้เรื่องศีลธรรม มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนดีหรอกนะ กัดๆแบบนี้ รู้ไปก็เท่านั้น จากคุณ : paefah เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 53 20:13:58