มาต่อกันจากครั้งที่แล้ว http://www.pantip.com/cafe/food/topic/D10202274/D10202274.html ว่าค้างกันที่ ชาผูจะแบ่งออกหลักๆเป็นชาสุกกับชาดิบ แล้วจะดื่มอันไหนล่ะ คำตอบคือ ดื่มได้ทั้งชาสุก(Ripe)และชาดิบ(Raw)ครับ ตามแต่รสนิยมการดื่ม ชาดิบนั้นไม่ผ่านกระบวนการหมักแบบเร่งรัด มีลักษณะเหมือนชาเขียว กลิ่นหอมลึก (หอมมาก) กลิ่นเฉพาะตัว รสชาติชาก็หอม เหมือนดอกไม้ป่า(กลิ่นของป่าตอนเช้าๆ) แต่รสชาจะเข้ม ฝาด ดื่มแล้วส่วนใหญ่จะปากคอแห้ง ขาดความกลมกล่อม แต่ถ้าชาดิบที่เก็บอย่างเหมาะสม รสชาดจะพัฒนาดีขึ้นปีต่อปี เก็บได้นาน ว่ากันถึงยี่สามสิบปีทีเดียว นี่เป็นเสน่ห์ของชาผูเออร์ และนี่ทำให้ชาผูยิ่งเก็บยิ่งแพง ชาบางตัวแค่4-5ปี ราคาก็ขึ้นเท่าตัวแล้ว ชาบางตัวมีเงินยังหามาดื่มยากเลย รสชาดที่พัฒนาขึ้น ปีต่อปีนั้นก็คือ ชาจะกลมกล่อม สัมผัสนุ่มลิ้น กลิ่นหอมจะพัฒนาสู่ความซับซ้อน(อันนี่บรรยายยาก ผู้เขียนก็ยังไม่มีโอกาสลองชาที่เก่ากว่าปี 2005 เลย) ความซับซ้อนของกลิ่น รส เริ่มตั้งแต่ตอนชงชา จิบแรกที่ดื่ม ขณะดื่ม และหลังการดื่ม ชาจะยังคงรสชาติความหวาน ความชุ่มคอ ทิ้งไว้ ชาผูดิบที่อายุยังน้อยๆนิยมซื้อมาเก็บเพื่อดื่มหรือเก็งกำไรในอนาคต ตามภาษิตที่ว่า ซื้อชาใหม่ ดื่มชาเก่า อีกสิ่งหนึ่งที่คนไม่นิยมดื่มชาผูดิบอายุน้อยๆเพราะ ความแรงของรสชาด บางคนมองว่าอายุที่น้อยไปดื่มแล้วโทษจะมากกว่าประโยชน์
ส่วนชาสุกนั้น ว่ากันตอนหน้าครับ
แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 54 21:42:19
จากคุณ |
:
นายลำพู
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ก.พ. 54 21:40:53
|
|
|
|