น้ำมันหมูอาจจะดีกว่าน้ำมันพืชเสียอีก
|
 |
สวัสดีค่ะพอดีเห็นคนไทยกำลังเดือดร้อนกับน้ำมันพืชขาดตลาดก็เลยลองหาข้อมูลดูค่ะ ขอออกตัวว่าไม่ได้อยู่เมืองไทยและไม่ได้มีปัญหาเรื่องน้ำมันแต่อย่างใด แต่ว่าสงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว พอดีได้ไปอ่านข้อเขียนที่พูดถึงคอลัมภ์ของคุณ คอร์บี้ คัมเมอร์ (Corby Kummer) ที่เขียนไว้ในนิวยอร์คไทม์ ที่ออกตัวสุดแรง ชักชวนคนให้หันมากินน้ำมันจากสัตว์กัน เขากล่าวว่ามันเป็นความเชื่อผิดๆ ที่ถูกปลูกฝังกันมานานว่าน้ำมันพืชดีกว่าน้ำมันจากสัตว์ ขอเอาข้อความภาษาอังกฤษมาลงก่อนนะคะ
This is where Corby Kummer jumped in with a suggestion: lard.
Mr. Kummer, a senior editor at US magazine The Atlantic Monthly, penned a recent New York Times op-ed piece in which he sang the praises of lard (rendered and clarified pig fat). And if that sounds less than appetising, Mr. Kummer points out that every baker knows that there is no oil that produces a flakier or tastier pie crust. Lard also produces delicious fried chicken and fish.
Obviously, a healthy diet would not include large amounts of pies and fried foods, but lard can be used in any number of ways. And for those who think that 'pure lard' means 'pure danger,' Mr. Kummer offers this breakdown of lard's fat profile:
* Lard is 40 percent saturated fat (compared to coconut oil's 85 percent and palm kernel oil's 80 percent)
* Lard contains 'a very respectable' 45 percent monounsaturated fat (for more on the benefits of monounsaturated fatty acids (MUFAs) see the e-alert 'Change your diet to avoid Parkinsons disease' 21/7/05)
Now, in spite of the MUFA content of lard, the medical mainstream might swoon at the thought of 40 percent saturated fat. After all, saturated fats will kill you, right? They'll clog your arteries and stop your heart, correct?
Answers: No and No.
Eat your animal fats
In a review of saturated fat studies that appeared last year in the American Journal of Clinical Nutrition, the authors (from the Department of Food Science and Technology at the University of California) noted that many mainstream researchers have narrowly focused on the hypothesis that saturated fat raises LDL cholesterol and the risk of coronary artery disease (CAD).
The UC authors write: 'The evidence is not strong, and, overall, dietary intervention by lowering saturated fat intake does not lower the incidence of nonfatal CAD; nor does such dietary intervention lower coronary disease or total mortality.'
Elsewhere in their review they state: 'The conclusion of an analysis of the history and politics behind the diet-heart hypothesis was that after 50 years of research, there was no evidence that a diet low in saturated fat prolongs life.'
And similar observations have been voiced many times by US physician Dr William Campbell Douglass II. Late last year Dr. Douglass wrote: 'Countless studies show that the MORE animal fats people eat, the better their heart health. Need some proof from the real world? The African Masai, North American Eskimos, Japanese, Greeks, Okinawans, and our good friends the French all consume diets that are extremely high (by mainstream American standards) in saturated animal fats. Yet these people enjoy astonishingly low rates of heart disease, hypertension, and coronary events.'
So don't fear the lard. Or - as Dr. Douglass puts it in his typically direct style: 'Eat your animal fats!'
ตัดมาจาก http://www.ricekiller.com/forums/showthread.php?t=99752
ห้าสิบปีก่อนเนี่ยมีการวิจัยว่าน้ำมันหมูมีไขมันอิ่มตัวสูงมาก และไขมันอิ่มตัวนี้จะก่อให้เกิด คอเลสเตอรอลแบบร้าย LDL แล้วไขมันจะไปเกาะผนังหลอดเลือดแล้วทำให้หลอดเลือดตีบตัน นำมาซึ่งหัวใจวายได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้มีคนวิจัยแล้วว่าข้อกล่าวหานี้เลื่อนลอยและไม่มีน้ำหนัก อีกทั้งยังไม่มีใครวิจัยว่าคนที่กินน้ำมันพืช ไขมันไม่อิ่มตัวเนี่ย ตายน้อยกว่าคนกินน้ำมันหมู
คุณคัมเมอร์ บอกว่าน้ำมันหมูเนี่ยประกอบไปด้วย ไขมันอิ่มตัวแค่ 40 เปอร์เซนต์เอง ในขณะที่ น้ำมันมะพร้าวมีสูงถึง 85 เปอร์เซนต์ และ น้ำมันปาล์มที่ขาดแคลนอย่างหนักตอนนี้นี้มีอยู่ถึง 80 เปอร์เซนต์ ก็คือถ้าพูดถึงหลอดเลือดตีบตันนี่ก็ไม่ต้องบอกว่าอันไหนตายก่อน
ยังไม่พอ น้ำมันหมูยังมี monounsaturated fat ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อยู่ถึง 45 เปอร์เซนต์ (เขาแนะนำให้ search 'Change your diet to avoid Parkinsons disease' )
เขายังกล่าวอีกว่าเรื่องน้ำมันพืชเนี่ยมันมี politics เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเนี่ยสิ มันเป็นธุรกิจรายได้มหาศาลซะด้วย
มีคนอเมริกันคนหนึ่ง commented ในอินเตอร์เนตว่า เธอเลิกใช้น้ำมันพืชมานานแล้วไม่ใช่เพราะอ่านคอลัมภ์หรือถูกชักชวนจากใครทั้งนั้น แต่ว่าจากประสบการณ์ที่บ้าน ที่มีเตาแก๊สอยู่ติดกับตู้เย็นแล้วผัดทอดมานานจนน้ำมันพืชเกาะติดตู้เย็นหนาจนเหมือน เรซิ่น (resin) ขัดก็ไม่ออก ล้างก็ไม่ออก จนต้องเอาแผ่นเหล็ก (scrapper) มาแซะสีตู้เย็นน่ะถึงจะออก เธอก็เลยเปลี่ยนมาใช้น้ำมันหมู แล้วปรากฏณ์ว่ามันเป็นคราบนุ่มเช็ดออกง่ายมาก ก็ถึงบางอ้อว่าถ้ากลัวน้ำมันหมูเกาะหลอดเลื่อด แล้วไอ้เรซื่นนี้มันจะเกาะติดหลอดเลือดแน่นขนาดไหน
แล้วก็ประสบการณ์ตรงจากคนรอบข้าง คือทางบ้านคุณปู่คุณย่าเนี่ยยังเจียวน้ำมันหมูกินมาจนถึงปัจจุบัน คุณปู่ 93 คุณย่า 87 ค่ะ
สรุปสุดท้ายนี้อย่าเพิ่งเชื่อนะคะ แต่อยากให้ช่วยกันพิสูจน์ อยากให้ช่วยกันวิเคราะห์ วิจัย อยากให้นักวิชาการ ทั้งหลาย หาเวลามาวิจัยอะไรที่มันใกล้ปากใกล้ท้องกันหน่อย
อยากจะหาความรู้เรื่อง transfat ด้วยค่ะ เรื่องน้ำมัน hydrogenated มันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องน้ำมันพืชนี้ด้วยแล่ะ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
ยาวมากขออภัยด้วยค่ะ
| จากคุณ |
:
คนหน้ามัน
|
| เขียนเมื่อ |
:
23 ก.พ. 54 02:18:15
A:83.110.195.219 X:86.96.228.93 TicketID:307385
|
|
|
|
