ความคิดเห็นที่ 1 ร้าน Clio นี้เป็นร้านของเชฟชื่อดัง คุณ Kenneth Oringer เชฟ Oringer นี่เค้าได้รับรางวัลมาหลายอย่าง รวมถึงได้รับการ nominate ให้ได้รางวัล James Beard Best Chef Northeast ตั้งสามปีติดกัน จนกระทั่งได้รับรางวัลนี้ไปจากการ nominate ครั้งที่สี่ในปี  2001 นอกจากนี้การที่เชฟ Oringer ได้รับเชิญไปเข้าแข่งขันในรายการ Iron Chef America แล้วสามารถเอาชนะ Iron Chef Cat Cora ในปี 2008 ได้ก็ทำให้เชฟ Oringer เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้น ประวัติของเชฟ Oringer น่าสนใจมากทีเดียว เริ่มต้นตั้งแต่การเป็นเด็กล้างจานในร้านอาหารตอนวัยรุ่น ก่อนที่จะค่อยๆฝึกปรือฝีมือจนเป็นเชฟดังอย่างทุกวันนี้ เชฟ Oringer ได้มีโอกาสทำงานกับเชฟใหญ่ๆหลายคนไม่ว่าจะเป็น กับ David Burke ที่ร้าน River Café ใน New York ตามด้วยการเป็น pastry chef ที่ร้าน Al Forno ร้านดังที่ Providence จากนั้นจึงมาเป็น  sous chef ให้กับเชฟระดับตำนาน Jean Georges Vongerichten ที่ Marquis de Lafayette ใน Boston (Mneme แอบไปชิมร้าน Market ของ Jean Georges มาแล้วค่ะ อร่อยมาก ไว้จะเอารีวิวมาลงให้นะคะ) จากการฝึกฝนกับเชฟหลากหลายสไตล์ และการท่องโลกเพื่อไปชิมอาหารของประเทศต่างๆ เชฟ Oringer ได้นำสิ่งที่เรียนรู้มาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกันอย่างผสมกลมกลืน ลักษณะเด่นของอาหารเชฟ Oringer นั้นจึงเป็นแนว Asian-inspired French Food ซึ่งเป็นแนวหลักของร้าน  Clio นั่นเอง จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 00:43:22

ความคิดเห็นที่ 2 โอ อิจฉามากครับ :) จากคุณ : L-Nets เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 00:44:56

ความคิดเห็นที่ 3 ร้าน Clio นั้นตั้งขั้นเมื่อปี 1997 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากชาวบอสตัน นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องไอเดียสร้างสรรค์ในการนำรสชาติแบบเอเชียมาใช้ในการทำอาหารฝรั่งเศสแล้ว ยังขึ้นชื่อในเรื่องการนำวัตถุดิบที่ไม่ธรรมดามาใช้ในการทำอาหารและการจัดเรียงจานอย่างมีสีสันและมีศิลปะด้วย หลังจากร้าน Clio โด่งดัง เชฟ Oringer ก็เปิดร้านอาหารเพิ่มอีกสี่แห่งด้วยกันคือ Toro ร้านอาหารแนว Spanish Tapas เคยรีวิวไว้ให้ในบล็อกแล้วค่ะ Tapas @ Small Plates & Toro จานเล็กๆ อร่อยกันใหญ่ Uni ซึ่งเป็น อาหารญี่ปุ่นแนว Fusion ตั้งอยู่ที่เดียวกับ Clio เคยรีวิวในบล็อกแล้วเหมือนกันค่ะ Uni Sashimi Bar @ Clio ร้านอร่อยของ Chef ดัง Ken Oringer La Verdad ซึ่งแหวกแนวไปเป็นอาหารเม็กซิกันแบบหรู แล้วก็ KO Prime ซึ่งงานนี้มากเป็นแบบ steak house (แน่นอนว่ามี เนื้อ Wagyu เอย เนื้อ Kobe เอย เต็มเมนู) แต่ยังไง อาหารฝรั่งเศสกับร้านที่ตกแต่งแบบโมเดิร์นปารีเชียง ดูดีแบบสบายๆ อย่าง Clio ก็ยังทำให้ Clio เป็นร้านที่ทุกคนนึงถึงเมื่อพูดถึงเชฟ Oringer อยู่ดี แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 13:14:33 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 01:02:28

ความคิดเห็นที่ 4 หลังจากด้อมๆมองๆมานาน ในที่สุดเราก็ได้มาลองชิมร้าน Clio กับเค้าบ้างเสียที จ้องๆเมนูอยู่พักหนึ่ง ก็ตัดสินใจเลือก 10-Course Tasting Menu คิดว่าน่าจะกำลังพอดีๆ เมื่อเทียบกับตัวเลือกที่มีคือ 7-Course สนนราคา 115$ เพิ่ม wine pairing บวกอีก 75$ 10-Course สนนราคา 135$ เพิ่ม wine pairing บวกอีก 95$ 14-Course สนนราคา155$ เพิ่ม wine pairing บวกอีก 105$ เราไม่กินแอลกอฮอล์อยู่แล้ว และก็แบบว่า ไหนๆมาทั้งที อยากลองดีว่าหมัดเด็ดๆมีอะไรบ้าง จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 01:13:58

ความคิดเห็นที่ 5 เลือกได้แล้วก็นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ ชมบรรยากาศร้านสวยๆไปพลาง แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 54 01:18:14 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 01:16:51

ความคิดเห็นที่ 6 Dining Table จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 01:23:05

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่นานบริกรนำขนมปังร้อนๆกรอบๆมาเสิร์ฟให้ทานแก้หิวไปพลางๆ มีทั้งโรลกรอบนอกนุ่มใน และ Sourdough นุ่มๆ รสเปรี้ยวนิดๆ แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 54 01:25:22 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 01:23:55

ความคิดเห็นที่ 8 French Bread Roll & Sourdough จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 01:26:05

ความคิดเห็นที่ 9 เพลิดเพลินไปกับขนมปังกรอบๆ  เนยหอมๆ แล้วก็ได้ฤกษ์เริ่ม Tasting Menu อย่างจริงจังเสียที ที่ Clio ก็เหมือนร้านอาหารฝรั่งเศสทั่วๆไป อาหารจานแรกที่เสิร์ฟนั้นจะเป็น Amuse-bouche ภาษาฝรั่งเศสสำหรับ "mouth amuser" Amuse-bouche นั้นเป็นของกำนัลจากเชฟ เชฟจะเลือกสรรเป็นพิเศษให้เข้ากับอาหารที่จะตามๆมา โดยจะมาเล็กๆพอคำ มากระตุ้นต่อมรับรสที่ลิ้น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางสู่สวรรค์นักชิมในค่ำคืนนี้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 01:33:26

ความคิดเห็นที่ 10 Amuse-bouche : Spinach & cottage cheese almond financier จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 01:37:43

ความคิดเห็นที่ 11 อันต่อมานี่มาแปลก มาในแก้วมาร์ตินี่ มีมะกอกมาในแก้วด้วย วิธีการเสิร์ฟก็คือเอาแก้วเปล่าที่มีมะกอกอยู่มาให้ก่อน แล้วเอาถ้วยผสมค็อกเทลแบบที่บาร์เทนเดอร์ใช้กันมาเขย่าและเทให้ข้างโต๊ะเลย ตบด้วยการหยดซอสสีเขียวสดใสลงไปในถ้วย ดูสวยงามน่าตื่นตา เราก็คิดในใจว่าเอ๊ะ ไม่ได้สั่งแอลกอฮอล์นี่นา สาวเสิร์ฟเหมือนจะรู้ใจ รีบบอกว่า เมนูนี้คือ Tomato Martini เป็นน้ำมะเขือเทศที่ผ่านกระบวนการกรองค้างคืนจนได้แต่น้ำออกมาก แม้แต่สีแดงของมะเขือเทศก็จะหายไปด้วย ส่วนซอสสีเขียวสดนั้นคือซอสโหระพา ถ้วยไม่มีแอลกอฮอล์เลยแม้แต่น้อย พร้อมนะนำให้ซดจนหมดเลยทันทีก่อนจะหายเย็น แล้วตามติดด้วย tomato popsicle ที่เห็นเป็นเจ้าก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆที่เสิร์ฟมาข้างๆถ้วย ไอเดียบรรเจิดจริงๆนะนี่ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 01:49:27

ความคิดเห็นที่ 12 Tomato martini with Olive and Basil sause served with tomato popsicle จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 01:50:18

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นภาพเห็นเมนูแล้วคงงงๆกันว่าจะออกมาเป็นยังไง คนชิมเองก็กล้าๆกลัวๆ แต่ปรากฏว่าอร่อย ไม่ได้รสชาติเหมือนซอสมะเขือเทศ หรือเป็นน้ำผักแบบ V8 ออกมาจริงๆ รสเหมือนเป็นซุปมะเขือเทศ มีรสเค็มนิดๆ สมเป็น Savory dish มีกลิ่นหอมอ่อนๆ แค่เปลี่ยนจากแนวซุปร้อนมาเป็นซุปเย็นเท่านั้นเอง ตัว tomato popsicle ก็เหมือนเป็นแตงโมเย็นๆ ที่ไม่กล้ากินคือมะกอก เพราะปกติไม่ชอบมะกอกอยู่แล้ว เลยไม่กล้าสู้ จานนี้ชนะเลิศที่ความสวยงามเป็นหลัก โดยเฉพาะซอสสีเขียวที่หยดลงกระจายเป็นวงกลมๆในน้ำสีขาว ดูดีมีระดับจริงๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 07:04:01

ความคิดเห็นที่ 14 ซดน้ำมะเขือเทศไปแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดลุ้นอีกครั้ง ก็อย่างที่บอกว่าเราเลือกเป็น Tasting Menu เราก็เลยไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง ตอนสั่งก็ลองถามๆบริกรดู ว่ามีอะไรแนวไหนบ้าง เค้าก็ยังบอกเลยว่าเป็น Chef’s Whim จริงๆ คือตามใจเชฟ อยู่ในอารมณ์ไหนก็จะออกมาอย่างนั้น จานต่อมา ตะเกียบนำมาก่อนเลย เลยเดาๆว่าจะเป็นแนวเอเชี่ยนจ๋าๆ ปรากฏว่าออกมาเป็น ซาชิมิ ปลาคันปาจิ ปรุงรสมาด้วย Vinaigrette อร่อยสดชื่นมากๆ เนื้อปลาสด ไม่เสียชื่อที่อุตส่าห์มีร้านซาชิมิ บาร์ ไฮโซอย่าง  Uni อยู่ข้างๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 07:28:53

ความคิดเห็นที่ 15 Kanpachi belly with Yellow chive, Vinaigrette  & Leek จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 07:37:26

ความคิดเห็นที่ 16 น่าทานทั้งนั้นเลยค่ะ จากคุณ : BROWN STITCH เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 09:51:26

ความคิดเห็นที่ 17 ทำไมติดไฟแดง??? จากคุณ : เพราะเชื่อในทางเดินแห่งรัก... เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 13:42:27

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณที่หลังไมค์มาอธิบายนะคะ ได้แก้ไขส่วนที่พูดถึงบล็อกออกแล้วค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 13:15:39 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 17:20:43

ความคิดเห็นที่ 19 เกิดอะไรขึ้น ไฟแดงคืออะไร รอดูอยู่อ่ะ จากคุณ : dsnaz เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 20:35:07

ความคิดเห็นที่ 20 กำลังดูเพลินๆ อ่าวหมดซะงั้น สงสัยจะติด โฆษณาแผง ในรูป ครับ แถวนี้ บางที เค้า ซ๊เรียส กัน ถ้า บริสุทธิ์ใจ  ผมก็  เอาใจช่วย จขกท.ครับ จากคุณ : บ้านนี้มีแต่รัก เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 21:49:25

ความคิดเห็นที่ 21 เผอิญเนตที่โรงแรมที่อยู่เมื่อวานช้าเลยลงไม่เสร็จก่อนบินกลับเมื่อคืนก็อยู่บนเครื่องบินหกชมรวด ต้องขอโทษจริงๆที่กะเวลาผิดทำให้ลงขาดตอนนะคะ ขอบคุณคุณบ้านนี้มีแต่รัก ที่ช่วยคาดเดาแล้วก็อธิบายให้นะคะ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 13:16:33 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 23:56:33

ความคิดเห็นที่ 22 ง่า กำลังเพลินเลยค่ะ แต่ละจานสร้างสรรค์มาก จากคุณ : ploybabe เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 01:04:37

ความคิดเห็นที่ 23 มาที่จานต่อไปกันดีกว่า สงสัยวันนี้คนไม่มากนัก เชฟเลยส่งจานถัดๆมาออกมาอย่างรวดเร็ว เรียกว่าไม่ให้ขาดตอนเลยทีเดียว จานต่อไปสีสันสวยงามตระการตาอีกแล้ว เป็นหอยนางรมตัวโต เสิร์ฟพร้อมฝา มาบนน้ำแข็ง เชฟปรุงรสด้วยน้ำกระเจี๊ยบ แถมโปรยกลีบดอกสีสันสวยงามไว้ด้านบนอีกด้วย หอยสดมาก รสชาติก็สดชื่น เป็นการผสมผสานที่ลงตัวจริงๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 09:40:21

ความคิดเห็นที่ 24 Kushi Oysters from Washington State with Hisbiscus juice and petals จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 09:41:12

ความคิดเห็นที่ 25 ตามมาติดๆด้วยซุปปลาป่นหรือดาชิแบบญี่ปุ่น จานนี้มาเป็นซุปน้ำใส ตัวผักกับเห็ดนำมาก่อน แล้วเอาซุปใส่กาตามมาเทให้ข้างโต๊ะอีกแล้ว รสชาติหอมๆบางๆ รสไม่จัดนักแต่กลมกล่อม ความเค็มนิดๆได้มาจากผงเบคอนป่นล้วนๆ น้ำใสๆตัดกันกับความเข้มข้นออกครีมๆของชีสจากนมแพะ ความกรอบของผงเบคอนก็ตัดกันดีกับสัมผัสกรุบๆหนึบๆของเห็ดกับกลิ่นเขียวนิดๆของผักสด Textural Balance ของเชฟนี่ยอดจริงๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 09:53:11

ความคิดเห็นที่ 26 จานนี้เล็กๆ ชิมๆ ไม่หนักท้อง เป็นจานคั่นที่ดีสำหรับการเดินทางจากของสดๆดิบๆไปรายการถัดไป House made bacon dashi broth with goat cheese จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 09:54:08

ความคิดเห็นที่ 27 จานถัดมาเป็น ปลาหมึก เสิร์ฟกับแครอท และ ซอสหัวหอม ใส่มาในจานสุดเท่ เป็นหลุมเล็กๆตื้นๆที่ความโค้งไม่เท่ากัน อธิบายไม่ค่อยถูก เอาเป็นว่าคล้ายๆหมวกที่เอียงกระเท่เร่ ปลาหมึกนี่นุ่มมาก ไม่เหนียวเลย ซอสหัวหอมก็ออกหวานนิดๆ แครอทนี่ทำมาไม่สุกมากยังออกกลิ่นส้มๆอยู่เลยแต่กรอบดี รายการนี้เชฟเค้าโชว์ฝีมือใช้เทคนิคเหนือชั้นเข้าช่วย เพื่อนๆอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับ molecular gastronomy ที่กำลังอินเทรนด์เป็นอย่างมากกันแล้วบ้าง ว่าง่ายๆก็คือการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพ มาดัดแปลงปรับปรุงวัตถุดิบและกระบวนการทำอาหาร ที่เห็นได้บ่อยๆก็พวกการนำไนโตรเจนเหลวมาทำอาหาร หรือการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาทำเป็นฟองโฟมให้ได้สัมผัสนุ่มและดูสวยงาม และอื่นๆอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นการใช้เอนไซม์ ใช้อิมัลซิไฟเออร์ หรือ การใช้กลิ่นปรุงแต่งด้วยเทคนิคพิเศษ อย่างจานนี้ อันที่แปลกคือผงขาวๆที่เห็นคล้ายๆไอซ์ซิ่ง ตอนเค้ามาเสิร์ฟก็บอกแค่ว่าเป็น Argan oil powder แต่พอเรากินแล้วมันมีสัมผัสที่แปลกอยู่ เป็นผงนุ่มๆ ละลาย แต่ไม่ได้หวานเป็นน้ำตาล ตอนเค้าเก็บจานเลยถามซ้ำอีกที จึงได้ความว่าผงๆนั้นเป็น Argan oil ที่ผ่านกระบวนการซับซ้อน Argan นั้นเป็นถั่วชนิดหนึ่งที่พบได้ในเฉพาะประเทศโมรอคโค มีสรรพคุณทางยาและคุณค่าทางอาหารสูง เชฟนั้นนอกจากจะนำถั่วนี้มาทำเป็นน้ำมัน Argan แล้ว ยังเอาน้ำมันนี้ไปแปรรูปจงเป็นผงอีกรอบหนึ่ง ฟังแล้วอึ้งไปเลยทีเดียว เป็นไงคะ ไอเดียกระฉูด พร้อมเทคนิคอลังการ ผงๆนี่มันเสริมรสนุ่มเนียนและเพิ่มสัมผัสให้กับอาหารจานนี้จริงๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 10:20:31

ความคิดเห็นที่ 28 Hay roasted heirloom carrots, Calamares a la plancha, Sweet onion consume, Argan oil แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 10:38:57 แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 10:28:06 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 10:23:02

ความคิดเห็นที่ 29 ตามมาติดๆด้วยฟลานรากคื่นฉ่าย (แปลไทยแล้วแปลกจัง) มันคือ celery root flan อันนี้ดึ๋งๆเหมือนเยลลี่มากกว่าจะนุ่มนวลแนวคัสตาร์ดไข่แบบฟลานอื่นๆที่เคยทาน เครื่องเคียงมี trumpet mushrooms ใบอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็อุ้งตีนหมู (pig feet) ที่บริกรบอกว่าแกะมาแต่เนื้อมาปั้นเป็นก้อนให้ทาน อันนี้ทานได้เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ปลื้มอะไรมากมาย อาจเป็นเพราะไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์เตะตาเหมือนจานก่อนๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 10:48:41

ความคิดเห็นที่ 30 Local harvested celery root “Flan”, Trumpet mushrooms, pig feet, Nyon olive oil จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 10:50:36

ความคิดเห็นที่ 31 รูปไม่ไป เอาใหม่ๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 10:52:39

ความคิดเห็นที่ 32 รู้สึกเหมือนฟาดไปหลายจาน แต่อาหารก็ยังลำเลียงมา จานแล้วจานเล่า จานถัดมาก็มาแนวเดิม (เริ่มชินแล้ว) คือมีจานซุปตื้นๆมาพร้อมเครื่องยุ่บยั่บ แล้วบริกรสาวค่อยเดินตามมาบริการเทซุปให้ถึงข้างโต๊ะ งานนี้เป็นซุปครีม หอมละมุนรสนุ่มมมมมม เนื้อบางๆคล้ายโฟม ไม่รู้ไปแอบใส่อากาศมาหรือเปล่าถึงนุ่มได้ขนาดนั้น สอบถามได้ความว่าเป็น Salsify แถมมี citrus caviar ด้วย หรูอะไรอย่างนั้น นอกจากนี้เครื่องก็ยังมีเห็ดและใบต่างๆประดับตกแต่งและเพิ่มกลิ่นสมุนไพร เป็นคนปลื้มซุปครีมๆทุกชนิดอยู่แล้วพอดี จานนี้โปรดมากๆๆๆ เพิ่มเติม : อ่านเพิ่มจากวิกิ เจอว่า veloute นั้นเป็นหนึ่งในสี่ mother sauces ของอาหารฝรั่งเศส ตัวซุปจากการต้มไก่หรือเนื้อลูกวัวหรือปลานั้นจะถูกนำไปผสมกับน้ำแป้งเพื่อทำให้ข้น ส่วน Salsify นั้นเป็นพืชดอกชนิดหนึ่ง จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 11:07:33

ความคิดเห็นที่ 33 White salsify veloute, Osetra caviar, Parmesan แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 11:10:37 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 11:09:55

ความคิดเห็นที่ 34 พอเริ่มสงสัยว่าเมื่อไหร่จะถึง Main course เสียที Main course ก็ลอยมาเสิร์ฟ งานนี้จ้องจนตาเป็นมันเพราะเป็นลอบสเตอร์ของโปรด แกะเปลือกมาเรียบร้อย มาเต็มตัวอวบอ้วน นอนอวดโฉมอยู่บนจาน ลอบสเตอร์ตัวนี้อบเนยมาอย่างดี เนยชุ่มเยิ้ม หอมมัน เห็ดที่มาด้วยก็รสชาติเข้ากันดี๊ดี แล้วก็มีถั่วแระญี่ปุ่นมาให้เคี้ยวเพลินๆ เล่นให้ลอบสเตอร์มาเต็มตัวอย่างนี้ มื้อนี้คุ้มราคาแล้วล่ะ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 11:16:01

ความคิดเห็นที่ 35 Sweet butter basted maine lobster, hedgehog mushrooms, fresh soy beans, “vin jaune d’arbois” แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 11:16:51 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 11:16:33

ความคิดเห็นที่ 36 เขมือบกุ้งไปทั้งตัวทำเอาเริ่มอิ่ม แต่เห็นจานต่อมาแล้วก็ต้องควักเอากระเพาะที่สี่มาใช้งานทันใด จานนี้เด็ดอีกแล้ว เป็น Venison เนื้อมาแบบชมพู มีเดียมค่อนไปทางมีเดียมแรร์ ข้างๆมี Foie gras สุดที่เลิฟ sear มาอย่างเกรียมถูกใจ วางบน white asparagus ประดับแต่งด้วยสีเขียวของ bok choi สีขาวขอบแดงของ radish และสีส้มสดของ carrot puree เนื้อ Venison นั้น มีผงๆเปรี้ยวอมหวานแปะมาข้างบน คล้ายๆผงบ๊วยญี่ปุ่น ช่วยชูรสตัวเนื้อที่รสค่อนไปทางจืดได้มาก แต่เรากินได้แค่ครึ่งก็ต้องขอบาย เชฟคงตั้งใจเสิร์ฟแบบชมพูเลยไม่มีถามก่อน ส่วนตัวไม่ถัดแบบแดงๆชมพูๆ คนข้างๆเลยได้อานิสงส์ ได้กินเพิ่ม แต่เราก็ไม่น้อยหน้า แย่ง Foie gras คนข้างๆมาครึ่งชิ้นแลกกัน ใครที่ตามอ่านรีวิวอาจจะจำได้ว่าเจ้าของกระทู้รัก Foie gras เป็นชีวิตจิตใจ แบบว่าไปร้านฝรั่งเศสทีไรเป็นต้องชิมอย่างไม่กลัวคอเลสเตอรอล Foie gras ที่นี่สุดยอดมากๆ เทียบกับที่กินมาก็ยังให้คะแนนเต็มไปเลย (ร้านท็อปๆมีได้คะแนนเต็มเท่าๆกันจากเราไปสามสี่ร้าน) แต่ถ้าจัดแข่งที่ขนาด ตอนนี้จขกทได้ไปทาน Foie gras ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็นในชีวิตมาแล้ว ที่ร้าน La Folie อันมีดีกรีหนึ่งดาวมิชเชลลินเป็นประกัน นอกจากตัวหลักๆคือเนื้อแล้ว สิ่งที่ได้ใจไปเต็มๆอีกอย่างบนจานนี้ก็คือ Carrot puree เป็นครีมแครอทที่หวานหอม รสดีมากๆ เสริมรสกันกับ Venison ได้อย่างกลมกลืน ว่าแล้วก็ต้องชมอีกที ว่าร้านนี้เค้า Balance ทั้งสัมผัสและรสชาติขององค์ประกอบทุกอย่างในจานได้ดีจริงๆ ก่อนออกจากร้านแอบไปเปิดเมนูหน้าร้านดูตอนรอโค้ท เห็นเมนู venison เหมือนที่กินเลย แต่ไม่มี Foie gras อยู่ในรายการนี้ สงสัยว่างานนี้โชคดีได้ชิมเพราะพูดดักคอไว้ คือตอนแรกที่สั่งสิบคอร์สบริกรถามว่ากินอะไรได้หรือไม่ได้เป็นพิเศษหรือไม่ เราก็ตอบไปทีเล่นทีจริงว่าอะไรก็ได้ ขอให้มีเมนูฟัวกราส์ด้วยเป็นพอ บริกรอาจไปบอกเชฟจริงๆก็ได้ เลยมีใจดีแถมมาให้ ปลื้มๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 11:44:06 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 11:34:38

ความคิดเห็นที่ 37 บนเมนูวันนั้นเขียนไว้ว่า Cervena venison cooked in pine ash, red miso, mitake mushrooms, rosehip, chestnut “soil” ของเราต้องเพิ่ม bok choi, carrot puree, white asparagus & foie gras เข้าไปด้วยถึงจะครบถ้วนตามจริง จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 11:45:36

ความคิดเห็นที่ 38 น่าหม่ำไปหมดทุกจานเลยค่ะ จากคุณ : Hathi เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 11:47:42

ความคิดเห็นที่ 39 ขึ้นสวรรค์กับ Foie gras ไปเรียบร้อยแล้วก็มาถึง cheese plate จัดจานมาสวยงามอีกเช่นเคยกับชีสสี่ชนิด มีทั้ง Fourme d'Ambert อันเป็นบลูชีสแบบมีราเขียวอื๋อ อีกทั้ง Goat cheese แล้วก็  Blue cheese fondant อีกอันจำไม่ได้แล้ว ชื่อฝรั่งเศสเกิน เครื่องเคียงที่จัดมากับชีสก็มี Huckleberry เอย apricot เอย candied walnut เอย ที่เด่นหน่อยก็ plum gelee (ถ้าจำไม่ผิด) รสหวานๆตัดกับรสเค็มเข้มข้นของชีส ทำให้กินชีสกลิ่นแรงๆ พวกนี้ได้ กินไปได้สักครึ่งก็ต้องยอมแพ้ ชีสนี่คล้ายๆไวน์ เป็น acquired taste เอามากๆ เราซึ่งยังไม่ acquired กะเค้าก็เลยทานได้ไม่มาก จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:00:35

ความคิดเห็นที่ 40 Plateau de Fromages Assorted cheese with apricot, huckleberry, candied walnut and plum gelee แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 12:06:52 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:01:45

ความคิดเห็นที่ 41 ในที่สุดการเดินทางอันยาวนานก็มาถึงจุดสิ้นสุด คือถึงเวลาของหวาน คราวนี้แงะกระเพาะที่ห้าออกมาทำการได้ทันท่วงที ของหวานวันนี้มาจานเล็กๆ เลยไม่ต้องหนักอกหนักใจ แต่งมาสวยเช่นเคย รายการของหวานวันนี้คือไอติมกล้วยกับช็อกโกแลตมูส หวานๆเย็นๆ รสกล้วยนั้นเข้ากันกับช็อกโกแลตอยู่แล้ว เลยอร่อยไม่ต้องลุ้น ถ้าเป็นปกติของหวานมาจานแค่นี้คงมีเคือง แต่ว่าวันนี้อิ่มจัดเลยกลายเป็นว่ากำลังพอดี จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:06:14

ความคิดเห็นที่ 42 ลอกเมนูนี้มาจากเวปร้าน เพราะจานนี้ตอนเสิร์ฟไม่ได้ถามมาก Miso dark chocolate cremeux with banana ice cream, golden miso and cashew butter จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:09:58

ความคิดเห็นที่ 43 ประสบการณ์ 10-course tasting ของเราก็จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ ด้วยราคาราวๆ 170$ ต่อคน ถ้าเทียบกับบริการ ความสวยงาม รสชาติ และคุณภาพของวัตถุดิบแล้วถือว่าคุ้มมากๆเลยล่ะค่ะ เป็นอีกร้านที่บอสตันที่อยากแนะนำใครที่มีโอกาสบินมาเที่ยวแถวนี้ให้มาลิ้มลอง ขอบคุณทุกๆคนสำหรับการติดตามและคอมเมนท์นะคะ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:15:26

ความคิดเห็นที่ 44 เอารูปของหวานของร้าน Uni ที่อยู่ติดกัน (เชฟของหวานเดียวกัน) มาลงให้ดูเล่นค่ะ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:19:03

ความคิดเห็นที่ 45 อีกจานจาก uni ค่ะ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:20:49

ความคิดเห็นที่ 46 อันนี้ก็สวย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:22:58

ความคิดเห็นที่ 47 สุดท้ายแล้วค่ะ ดูแล้วหลับฝันดี อิอิ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:25:32

ความคิดเห็นที่ 48 ตามมาอ่านต่อครับ น่ากินโฮกกกกกกกกกก จากคุณ : L-Nets เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:59:37

ความคิดเห็นที่ 49 ของหวานน่าทานอ่ะ TT จากคุณ : BOPI เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 13:31:45

ความคิดเห็นที่ 50 น่าทานมากค่ะ จากคุณ : BROWN STITCH เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 13:55:27

ความคิดเห็นที่ 51 ขอถามแบบไม่รู้จิงๆครับ 10 คอร์ส เราสามารถเลือกรายการอาหารได้รึเปล่าครับ จากคุณ : taotjsl (taotjsl) เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 14:26:26

ความคิดเห็นที่ 52 น่าทานทุกอย่างเลยค่ะ จากคุณ : scuba734 เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 18:49:07

ความคิดเห็นที่ 53 บางร้านจะมีเมนูให้แล้วมีตัวเลือกคอร์สละสองสามอย่างค่ะ แต่ร้านนี้ตามใจเชฟล้วนๆค่ะ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 21:20:58

ความคิดเห็นที่ 54 อ่านต่อๆ โอ้ย ใช้ มิโซะกับดาร์คชอคหรอ จินตนาการรถชาติไม่ถูกเลยอะ จากคุณ : ploybabe เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 54 13:11:16

ความคิดเห็นที่ 55 น่าทานจังเลยค่ะ จากคุณ : awepawep เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 54 16:04:51

ความคิดเห็นที่ 56 หรูหราน่าทานจริงๆเลยครับ แอบแลบลิ้นแพร่บๆ จากคุณ : =Zakk= เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 54 18:14:11

ความคิดเห็นที่ 58 สุดยอด รีวิวได้ใจมากๆคะ จากคุณ : chery (cherydnk) เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 19:25:22

ความคิดเห็นที่ 59 7-Course สนนราคา 115$ เพิ่ม wine pairing บวกอีก 75$ 10-Course สนนราคา 135$ เพิ่ม wine pairing บวกอีก 95$ 14-Course สนนราคา155$ เพิ่ม wine pairing บวกอีก 105$ ราคานี้ต่อท่านหรอครับ จากคุณ : taotjsl (taotjsl) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 11:25:44

ความคิดเห็นที่ 60 น่าทานเป็นที่สุดเลยค่ะ....สุดยอดเลยค่ะ..... จากคุณ : auau_py เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 08:35:25

ความคิดเห็นที่ 61 น่ากินมากเลยค่ะ อยากมีโอกาสไปลองอย่างนี้บ้างจัง ^^ จากคุณ : Assorted เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 54 11:54:46