ก่อนกินเจปีนี้จะหมดไป คิดถึงใครคนหนึ่ง
|
 |
บ้านผมเป็นจีนแท้ๆ อาม่าอากงมาจากซัวเถา เหล่าม่าเล่ากง เหล่าอี้ที่เมืองจีนก็มีอยู่ แต่ไม่มีเทศกาลกินเจเป็นแฟชั่นที่โน่น อาม่าเล่าว่า แค่ผักกวางตุ้งผัดกับเกลือก็ หอเจี๊ยะแล้ว
สมัยเรียน อาม่าบอกเสมอว่า ช่วงกินเจ พวกลื้อไม่ต้องกินเป็นเด็กๆเดี๋ยวเรียนหนังสือไม่เก่ง เดี๋ยวไม่สบาย หากินลำบาก อย่าไปอดข้าว ถ้าไม่ลำบากก็กิน ช่วงกินเจของทุกปี บ้านอาม่าจะเนื้อหอมมาก เพราะอาม่าทำของเจอร่อยมาก และทำทีหม้อใหญ่ๆ เช่น ขาหมูเจ ผัดเห็ดหอมที่ไม่เคยทานที่ไหน จับฉ่าย ข้าวอบเผือก ของกินเก่าๆแก่ๆ ลูกๆหลานจะขยันมากันกินของเจบ้านอาม่า เพราะมันไม่มีรสชาติแบบนี้ขายที่ไหนในร้านเจนอกบ้าน ของกินแบบแฟชั่น
อาม่าไม่เคยต้องซื้อหม้อใหม่ แต่พูดเสมอว่า สมัยโน้นถ้ากินเจของแท้ต้อง หม้อใหม่ ตะหลิวใหม่ จานชามใหม่หมด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นประจำในช่วงกินเจ คือ อาม่าจะสวดมนต์ นับลูกประคำในช่วงกินเจ ซึ่งผมมองว่าเป็นการเจริญอานาปนสติแบบหนึ่ง สวดแล้วจะจดไว้ว่าได้กี่จบๆ หลังออกเจ จะเอากระดาษแผ่นนั้นไปเผาที่ศาลเจ้าพร้อมกระดาษเงินกระดาษทองเพื่อให้อาเนี๊ยว (เจ้าแม่กวนอิม) เป็นความเชื่อของอาม่า
ส่วนลูกหลาน อาม่าไม่เคยพูดหรือบังคับให้ใครกิน และมักพูดเสมอว่า พวกลื้อเด็กๆ ไม่ต้องกินหรอก มันลำบากอยู่นอกบ้าน อยากกินก็มากินที่บ้านอั๊ว ตอนเย็นๆ
ผมเฝ้ามองอาม่าตั้งแต่จำความได้จนถึงตอนนี้ อาม่ายังคงทำอาหารเจอยู่จนถึงปีนี้ แม้จะบ่นเหนื่อยทุกครั้งเพราะความชราและโรคเบาหวาน โรคไตที่รุกเร้าอาม่าอยู่ตอนนี้ แต่อาม่าก็ยังขยันที่จะทำอาหารเจเองทุกปี เพราะเคยซื้อมาให้อาม่ากิน แกบอกว่า เจี๊ยะบ่อเล๊าะ แปลว่า กินไม่ลง ไม่ใช่อาม่าระแวงว่าจะ ชอ แต่ตามร้านที่ขายตามแฟชั่นหรือเทศกาลเค้าไม่มีความรู้เรื่องการปรุงรสของเจดีพอมากกว่า (ผมเห็นด้วยกับความคิดของอาม่าในข้อนี้เพราะรสชาติร้านเจมันแตกต่างกันกับของกินตามบ้านเหลือเกิน)
ผมมองว่าคงเป็นวัฒนธรรมของคนจีนในตัวอาม่าที่ยืนอยู่หลังหม้อหลังกะทะมาจนถึงวัยแปดสิบกว่าปี จึงทำให้อาม่าค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องรสชาติอาหาร และเท่าที่ผมรู้ สมัยก่อนแทบทุกบ้านช่วงกินเจ ก็จะทำทานเองทั้งนั้นหากเบื่ออาหารของบ้านตัวเองวันรุ่งขึ้นจะทำหม้อใหญ่ๆจะแบ่งใส่ปิ่นโตไปแจกเพื่อนบ้านที่กินเจด้วยกัน พรุ่งนี้เราก็จะมีอาหารเจรสชาติใหม่ๆมาให้ชิมกัน เป็นรสประจำบ้านใครบ้านมัน
แต่ตอนนี้ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เพราะอาม่า อาเหล่าอี้ กลับบ้านเก่ากันหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็ชราภาพมากเต็มที อาม่าอากงของผม ก็เหงาสิ เพื่อนๆทยอยกลับบ้านเก่ากันหมด ทิ้งแกนั่งดูทีวีกันสองคน
กลับมาเรื่องเจ สิ่งที่ผมค่อยๆได้เรียนรู้มาตลอดชั่วอายุของผมจากอาม่าก็คือ กินที่จิตใจ ไม่ใช่อาหารที่ตักใส่ปาก สวดมนต์ทำสมาธิในช่วงเวลานี้ต่างหากที่อาม่าให้ความสำคัญ อันไหนเลี่ยงได้ก็เลี่ยงอันไหนปลงได้ก็ปลง กินเจกินให้ใจสะอาด
คำพูดของอาม่าที่ติดหูและผมนึกถึงตลอดในช่วงกินเจ "กินได้ครบก็ดี แต่ถ้าลำบากก็ไม่ต้องกิน" ไม่มีเรื่องเคร่งโน่นนี่นั้นให้เป็นดราม่าในบ้านนอกบ้าน ปีนี้ผมไม่ได้อยู่กับอาม่าและคงอดทานขาหมูเจ ผัดเห็ดหอม ข้าวอบเผือกของอาม่าและผมไม่ได้ทานเจ สุดท้ายขอบคุณอาม่าครับที่สอนให้ผมได้รู้ว่า เทศกาลกินเจคืออะไรอย่างแท้จริง ผมรักอาม่าที่สุด
จากคุณ |
:
zypherus
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ต.ค. 54 21:36:48
|
|
|
|