ความคิดเห็นที่ 1 ผมเริ่มต้นการเดินทางที่สุวรรณภูมิเหมือนเคย กับเที่ยวบินเวลาเที่ยงคืนครึ่งของวันใหม่ มุ่งหน้าสู่ซูริก เมืองศูนย์กลางธุรกิจของดินแดนในฝันของใครต่อใครหลายๆ คนอย่างสวิตเซอร์แลนด์ แต่เพียงแค่มื้อแรกของผมบนเครื่องก็ต้องฝันสลาย เพราะเป็นอาหารมื้อเดียวกับเที่ยวบินสู่ลอนดอนเมื่อ 3 ปีก่อน อาหารหน้าตาเหมือนกันทั้งข้าวสวยกับมัสมั่นไก่ หรือจะทานหมูอบกับซอสแอ๊ปเปิ้ล ส่วนของหวานนั้นเล่าก็เป็นเค้กโอเปร่าเหมือนเคย  เช่นเดียวกับอาหารเรียกน้ำย่อยที่เป็นแซลมอนรมควัน ดังนั้น ผมพยายามทำตัวให้แตกต่าง ไม่ให้ซ้ำรอยเดิมกับ 3 ปีที่แล้ว โดยการสั่งหมูอบมาทาน รสชาติพูดได้คำเดียวว่า ไม่ได้เรื่อง หมูเนื้อแข็งสุดๆ ทานไปได้ครึ่งจานก็วางครับ ในการเดินทางทุกกครั้ง ผมเป็นคนที่หลับยากมาก ไม่ว่าจะบินคลาสไหนก็ตาม วันนี้แม้จะนั่งที่นั่งชั้นประยัดตรงทางออกฉุกเฉินที่ประจำของผม แต่ 12 ชั่วโมงบนเส้นทางอากาศ ก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกง่วงเหงาหาวหนอนแต่อย่างใด ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ไปจนถึงฝึกภาษาเยอรมันก็แล้วก็ยังไม่ช่วยอะไรได้ครับ สิ่งเดียวที่จะช่วยได้คืออาหารเช้าครับ หนนี้เลือกไม่ซ้ำรอยเดิมเมื่อ 3 ปีก่อนเช่นกัน ปรากฏว่าออมเลตกับนักเกตผักรสชาติดีผิดคาด ทานอาหารเสร็จไม่ถึงชั่วโมงดี เครื่องก็แล่นลงที่ท่าอากาศยานซูริคคลอตเทนโดยสวัสดิภาพ เป็นอันว่าการเดินทางวันแรกกับประเทศแรกของผมได้เริ่มต้นขึ้นแล้วครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:01:13

ความคิดเห็นที่ 2 ช่วงแรกสุดของการเดินทางหลังจากรับกระเป๋าก็คือซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมืองไปซูริก มี 2 ท่านที่เอาสวิสพาสไปวาลิเดต รถไฟเข้าเมืองในชั่วโมงเร่งด่วนค่อนข้างแน่นพอควร แต่พวกเรา 6 คนก็ทุลักทุเลมาจนถึงกลางนครซูริกจนได้ ฝากกระเป๋า 7 ใบไว้ที่สถานีรถไฟเรียบร้อย อิสรภาพในการเดินทางก็กลับมาอีกครั้งครับ ผมขออนุญาตเริ่มต้นประเทศแรกที่ประเทศเล็กๆซึ่งมีพรมแดนติดกับสวิตเซอร์แลนด์ นั่นก็คือ ลิกเตนสไตน์ ความจริงไม่ได้ตั้งใจมาหรอกครับ แต่ดูจากการเดินทางที่สะดวกสบายจากซูริก โดยนั่งรถไฟยาวถึง Sargans ก่อนเปลี่ยนไปขึ้นรถประจำทางสาย 12 แล่นยาวถึงใจกลางเมืองหลวงที่ชื่อวาดุซ ประกอบกับผมต้องการทำยอดประเทศที่เคยเดินทางไปให้มากขึ้น ดังนั้นมาวาดุซสักครึ่งวันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ถนนในวาดุซหลักๆ มี 2 เส้นในแนวขนานคู่กันไป และตัวเมืองก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก รกเมล์อะไรไม่ต้องคิดนั่งให้ยุ่งยาก ขอให้มีสองเท้าที่แข็งแรงกับรองเท้านุ่มๆ สักคู่ ก็สามารถสำรวจวาดุซได้รอบแล้วครับ รูปที่เห็นนั่นคืออาคารที่ทำการรัฐบาล ซึ่งในย่านนี้จะเป็นที่ทำการรัฐบาลหลายแห่งอยู่ด้วยกัน ถัดจากตึกนี้ไปก็จะเป็นอาคารรัฐสภาซึ่งสร้างในสถาปัตยกรรมที่แสนจะตรงกันข้ามกับตึกที่เห็นในรูป เพราะเป็นตึกทรงโมเดิร์นสุดขีด คล้ายๆ รัฐสภาออสเตรเลียหรือไม่ก็รัฐสภาสกอตแลนด์ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:03:19

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเดินย้อนออกมาอีกหน่อยก็จะเห็นศาลาว่าการเมือง หรือ Rathaus ที่สวยแปลกตาในสถาปัตยกรรมแบบที่ผมชื่นชอบ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:03:46

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการถ่ายรูปคู่กับสิ่งที่บ่งบอกว่า ผมได้มาเยือนประเทศเล็กๆ แห่งนี้ ผมหมายถึงม้านั่งที่มีตัวอักษรชื่อเมืองวาดุซประทับอยู่ ส่วนถังขยะข้างๆ นั้นเล่าก็ถ่ายติดมาด้วยพอให้รู้ว่า  เรามาถึงวาดุซด้วยเช่นกันครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:04:43

ความคิดเห็นที่ 5 เข้าเรื่องของก้นครัวดีกว่าครับ จากมื้อเช้าบนเครื่องบิน บัดนี้ก็ 7 ชั่วโมงเศษผ่านไปแล้ว ทุกคนในคณะดูเหมือนจะเริ่มอยากหาอะไรรับประทานกัน ร้านในวาดุซเองก็ไม่ได้มีให้เลือกมากนัก แต่ถ้าอยากจะทานหรูจริงๆ ก็อาจจะออกไปทานร้านหนึ่งดาวมิชลินที่อยู่ชานกรุงวาดุซก็ได้ แต่ผมรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยคณะ เลยหาอะไรรับประทานง่ายๆ กันที่ร้านอาหารในโรงแรม Residence ซึ่งอยู่บนถนนสายชอปปิ้งหลักของเมื่องนั่นล่ะครับ ร้านนี้ก็มีธรรมเนียมที่ดีไม่ต่างจากร้านอาหารยุโรปโดยทั่วไป คือมีเมนูอาหารมื้อกลางวันราคาย่อยมเยาผลัดเปลี่ยนกันไปทุกวัน  เป็นแบบ 2 คอร์ส คือมีจานหลักและของหวาน หรือไม่ก็อาหารเรียกน้ำย่อยและจานหลักในราคาย่อมเยาคือ 27.50 ฟรังก์สวิส แต่ถ้าคูณเป็นเงินไทยในยามที่ฟรังก์แข็ง ก็อาจจะไม่ย่อมเยาเท่าไรนัก เพราะใบเทาๆ ของไทยใบเดียวอาจเอาไม่อยู่ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:05:21

ความคิดเห็นที่ 6 วันนี้มีเพียงสามท่านที่สั่งอาหารชุด โดยอาหารชุดจะมีสองเมนูให้เลือก เมนูแรกเป็นปลาอบ อันนี้ก็ไม่น่าตื่นเต้นอะไร แต่ก็มีสองท่านที่สั่งไป ส่วนอีกเมนูน่าสนใจและตื่นเต้นยิ่งกว่า จนทำให้แขกอีกท่านต้องตาค้าง อ่านทวนซ้ำ และตัดสินใจสั่งมาลองดู เพราะเป็นเมนูเอเชีย ประกอบไปด้วยต้มข่าไก่เป็นคอร์สแรก ส่วนคอร์สหลังเป็นข้าวราดผัดกะเพราไก่  ซึ่งดูเหมือนจะเป็นของยอดฮิตติดลมบนของที่นี่ ใครไม่สั่งอาจจะไม่ “อิน” เอาได้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจได้อย่างไม่ยากเย็นว่าจะขอ “เอาท์” และเอาเมนู อาลาคาร์ต มาสั่งแทนครับ ที่เห็นตรงหน้าเป็นขนมปัง ซึ่งอาจจะไปได้ดีกับทุกๆ จาน แต่ไม่ไช่ผัดกะเพราและต้มข่าอย่างแน่นอนครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:06:25

ความคิดเห็นที่ 7 เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปอาหารไทยทั้ง 2 จานมาให้ดู แต่อยากจะบอกว่า หน้าตาทำออกมาดูเป็นไทยเอามากๆ ส่วนรสชาตินั้นเล่า ก็เข้มข้น เปรี้ยว หวาน เค็ม ตามแบบไทย จะไม่มีอยู่อย่างเดียวก็คือรสเผ็ด แต่อย่างอื่นทั้งกลิ่น ข่า ใบมะกรูด กะเพรา พริก มากันครบทีเดียว เข้าใจว่าคงทำรสให้ถูกปากฝรั่ง เดี๋ยวเอาไว้ค่อยเล่าตอนท้ายว่าทำไมถึงทำออกมาถึงเครื่องนะครับ มาถึงจานแรกของคนในคณะกันบ้างดีกว่า เป็น สลัดกุ้ง สลัดเฉยๆ น้ำสลัดก็เฉยๆ แต่กุ้งนี่อร่อยมากๆ แม้จะรู้ว่าเป็นกุ้งแช่แข็งก็ตาม เนื่องจากความกรอบ และการปรุงรสเล็กๆ ในตัวกุ้งก่อนจะย่างกับเนยและน้ำมันมะกอกมาให้ทานคู่กับสลัดครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:11:26

ความคิดเห็นที่ 8 จานถัดมาเป็นปลาอบ รองมาด้วยเห็ดกับมันฝรั่งผัด จานนี้คนที่ทานก็บอกเช่นกันว่ารสชาติผ่านครับ อร่อยดี โดยเฉพาะเครื่องที่อยู่ตรงใต้ท้องปลา ส่วนปลาก็รสชาติตามสภาพ แม้จะมีเสียงบ่นว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นปลากะพงแบบบ้านเรา น่าจะอร่อยและเข้ากันได้ดีกว่านี้ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:11:50

ความคิดเห็นที่ 9 มาถึงจานที่ผมภูมิใจนำเสนอเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ ริซอตโต้ทะเล จานที่ผมเลือกสำหรับเที่ยงนี้ ข้าวริซอตโต้หุงมาแบบพอดิบพอดี ได้กลิ่นและสีของหญ้าฝรั่นแบบอ่อนๆ แต่ที่เด็ดสุดคงเป็นกุ้งและหอยเชลล์ตัวอวบอ้วนที่ใส่มาในจาน มื้อนี้เลยต้องยอมอ้วนทานจนเกลี้ยงจานเลยครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:12:10

ความคิดเห็นที่ 10 มาถึงของหวานกันบ้าง ของหวานนี้จะอยู่ในชุดของคนที่สั่งปลาอบไป  นั่นก็คือ มูสชอกโกแลตในซอสสตรอเบอร์รี่ ไม่น่าเชื่อว่าความหวานอมขมเล็กน้อยจะเข้ากันได้ลงตัวกับความเปรี้ยวของซอสที่อยู่ด้านล่าง ผมสอบถามเจ้าของจานนี้ก็ได้ความสั้นๆว่าอร่อย แม้เธอจะทานมังสวิรัติ แต่ก็จัดการจานนี้จนหมดเช่นกันครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:12:42

ความคิดเห็นที่ 11 อิ่มเสร็จก็ถึงเวลาคิดเงิน เนื่องจากคนที่ทานอาลาคาร์ต ทานเพียงคนละจาน ดังนั้นราคาต่อคนก็จึงไม่ต่างกันมากนัก รวมเครื่องดื่มทุกๆ อย่าง แล้วก็ตกประมาณหัวละ 35 ปอนด์ ตอนคิดเงินเสร็จเจ้าของร้านชาวสวิสก็ออกมาโอภาปราศรัยพร้อมทักทายเป้นภาษาไทย ไม่ผิดหรอกครับ ภาษาไทยไพเราะเสนาะหูเชียว เพราะพี่ท่านได้ภรรยาเป็นคนไทย นอกจากนี้ ท่านยังมีกิจการร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกในอีกหลายๆ เมืองในสวิตเซอร์แลนด์ เสียดายที่ตอนนี้ภรรยากลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยเลยไม่ได้พามาแนะนำให้รู้จัก แต่ก็ยังไม่วายเอาแม่ครัวชาวไทยออกมายืนยัน จะได้เชื่อว่าเรามาทานร้านอาหารไทยแท้ มิใช่ไทยเทียม ที่เปิดเกลื่อนกลาดดาษดื่น โดยคนลาวบ้าง คนเวียดนามบ้าง แล้วก็คนกัมพูชาบ้างครับ หมดเวลาสำหรับลิกเตนสไตน์แล้ว แวะซื้อของที่ระลึกอีกเล็กน้อย จับรถประจำทางสายเดิมสู่ Sargans เพื่อต่อรถไฟยาวเข้าซูริก ก่อนที่จะเริ่มทัวร์ในช่วงบ่าย ตามแบบฉบับ เที่ยวไปทำงานไป 4 วัน 3 ประเทศกันต่อครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:13:09

ความคิดเห็นที่ 12 เมืองที่สองที่เราจะไปเยี่ยมชมก็คือซูริก เมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจการเงินของสวิตเซอร์แลนด์ แต่ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวงนะครับ เพราะเมืองหลวงคือกรุงเบิร์น ซึ่งอยู่ใจกลางประเทศ มาสวิตเซอร์แลนด์ 2-3 หนก็ยังไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนสักที นี่จึงเป็นข้อแก้ตัวที่ต้องหาเรื่องกลับมาทำงาน (และเที่ยว) อีกหลายๆ รอบครับ ที่แรกที่เราจะต้องแวะเมื่อมาถึงซูริกนอกจากพิพิธภัณฑ์ Landesmuseum ข้างสถานีรถไฟแล้ว ก็คือถนน Bahnhofstrasse ที่ทอดยาวจากสถานีรถไฟไปยังทะเลสาบ ถนนชอปปิ้งสายสำคัญของประเทศที่รวบรวมแบรนด์เนมชื่อดังไว้ครบถ้วน รวมถึงร้านนาฬิกาสัญชาติสวิส ทั้งที่ชื่อคุ้นและไม่คุ้นครับ นอกจากนี้ก็ยังมีห้างสัญชาติสวิสที่หลายคนอาจจะคุ้นเคย (หรือไม่คุ้นเคย) ทั้งห้าง Manor และห้าง Globus ทุกอย่างบนถนนนี้ไม่ต้องกลัว แพงแบบต้องหลับตาปี๋ ผมคนเบี้ยน้อยหอยน้อย คงซื้อไม่ไหวเลยต้องหลบไปทำใจหาอะไรอร่อยๆทาน ที่ร้านขนมชื่อดังร้านนี้ Sprungli ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:13:32

ความคิดเห็นที่ 13 Sprungli เป็นร้านชื่อดังของเมือง ซึ่งนอกจากชอกโกแลตอร่อยๆ ทั้งแบบก้อนและแบบร้อนแล้ว สิ่งที่ขึ้นชื่อก็คือบรรดาขนมต่างๆ โดยเฉพาะขนมเอกลักษณ์ที่ชื่อ ลักเซมเบอร์เกอลี่ ที่หน้าตาคล้ายขนมมาการงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ในร้านจะมีให้เลือกหลากรสหลายสี ชอบแบบไหนก็สั่งได้ตามอัธยาศัย ที่ซูริกนั้น ผมซื้อมาชิมเล่นพอเป็นพิธี ก่อนที่ในวันกลับจะมาจัดการเหมาเพิ่มเติมที่สนามบินคลอตเท่น หน้าตาก็เป็นดังในรูปครับ 1 กล่องมี 16 ชิ้น กล่องละประมาณ 20 ฟรังก์ได้ รสชาติอร่อยลืมโลก แล้วก็ไม่ต้องพินิจพิจารณาเลือกไส้ให้เสียเวลา ไส้ไหนก็อร่อยทั้งนั้นครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:14:02

ความคิดเห็นที่ 14 เอาล่ะครับ ขอพาลัดเลาะไปเที่ยวเมืองซูริกกันบ้าง นอกจากการนั่งทอดหุ่ยริมทะเลสาบชื่อเดียวกันพร้อมให้อาหารประดานก และหงส์ที่ว่ายเล่นอยู่รายรอบแล้ว ซูริกยังมีอีกสามโบสถ์ที่ควรไปแวะ โบสถ์แรกตามรูปก็คือ มหาวิหาร โกรสมุนส์เตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่สวิงกลี่ปลาตซ์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ในยุคกลางที่คริสตจักรเฟื่องฟูสุดขีด ถ้าใครอ่านประวัติศาสตร์ก็จะต้องรู้จัก สวิงกลี่ในฐานะหนึ่งในผู้นำลัทธิคริสตจักรปฏิรูปครับ เนื่องจากเย็นมากแล้ว กอปรกับสองขาน้อยๆ ที่ออกแรงเดินมาทั้งวัน เราจึงตัดสินใจที่จะไม่ขึ้นไปชมหอคอยของโบสถ์ดังกล่าว แต่เลือกที่จะไปชมสองโบสถ์ดังที่เหลือของซูริกแทนครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:14:24

ความคิดเห็นที่ 15 โบสถ์ที่เห็นตั้งอยู่บนฝั่งเดียวกันของแม่น้ำลิมมัท เส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงซูริกก่อนที่จะไหลลงทะเลสาบ  ยอดแหลมเรียวเล็ก คือ โบสถ์เฟราส์มุนเตอร์ ส่วนโบสถ์อ้วนเรียวที่อยู่ถัดออกไปคือ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ เจ้าของหน้าปัทม์นาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:14:54

ความคิดเห็นที่ 16 เอาล่ะครับ กลับมาเข้าเรื่องของเรากันบ้าง นั่นก็คือ มื้อค่ำในซูริก หลังจาอิ่มจนจุกที่วาดุซในลิกเตนสไตน์แล้ว เรายังต้องมาต่อมื้อค่ำใน้เวลาก่อน 6 โมงนิดๆ เพื่อให้มีเวลามากพอในการจับรถไฟเที่ยวทุ่มครึ่งต่อไปยังบาเซิล ปลายทางสุดท้ายของเรา ร้านอาหารค่ำในวันนี้ ผมเต็มใจนำเสนอเอง แม้ใครต่อใคร รวมไปถึงคู่มือนำเที่ยวหลายๆ ฉบับ จะยกให้เป็น tourist trap ก็ตาม นั่นก็คือร้าน Zeughauskeller ซึ่งเป็นตึกคลังแสงเก่าโบราณที่ดัดแปลงมาเป็นโรงเบียร์ ขายอาหารสวิสจากหลายภูมิภาคครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:15:56

ความคิดเห็นที่ 17 เข้าไปในร้านได้ ก็ต้องบอกว่าการหาที่นั่งยากยิ่งกว่าเล่นเก้าอี้ดนตรี ถ้าไม่จองมาก็คงจะหมดสิทธิ์สำหรับมื้อค่ำ หรือไม่ก็ต้องมาเล่นเกมวัดดวงแบบคณะของผมตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ เข้ามาในร้าน บริกรจะทำงานเร็วมาก จนบางครั้งอาจจะต้องตัดสินกันด้วยภาพถ่าย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะร้านมีอัตราในการหมุนเวียนเปลี่ยนโต๊ะสูง เรื่องจะมานั่งละเลียดหรือสวีทกันในร้านนี้ขอให้ลืมไปก่อนครับ อย่างโต๊ะผมก็เช่นกัน ทันทีที่หย่อนก้นนั่ง บริกรจะรีบแจ้งเลยว่า โต๊ะจะต้องทานเสร็จภายในสองทุ่ม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับทั้งคณะ เพราะถ้าอยู่ถึงสองทุ่มจริง คงตกรถไฟอย่างแน่นอน เมื่อนั่งประจำที่ ก็จะมีขนมปังตะกร้าใหญ่ยกมาบริการ ซึ่งไม่ได้บริการฟรี แต่คิดราคาด้วย ในคณะของเราด้วยความอยากลองก็เลยชิมไปคนละคำ หลังจากนั้น ขนมปังตะกร้าดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกทำหน้าที่ซ้ำอีกเลย เพราะรสชาติ เนื้อสัมผัส และอะไรหลายอย่างๆ ทำให้ทั้งคณะลงความเห็นว่า ครั้งเดียวก็เกินพอครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:16:30

ความคิดเห็นที่ 18 ระหว่างรอ แต่ละท่านก็สั่งเครื่องดื่มมาลองทานกัน เบียร์บ้าง น้ำอัดลมบ้าง สำหรับผมการมายุโรป มีเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียวที่ทานได้เรื่อยๆ อย่างไรก็ไม่เบื่อ นั่นก็คือ น้ำอัดก๊าซครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:17:26

ความคิดเห็นที่ 19 จานแรกสุด เป็นจานที่หลายคนอาจจะดูงงๆว่าสั่งมาทำไม นั่นก็คือ ผักรวมต้มและอบเนย ที่สั่งมาก็เพราะว่าหนึ่งในคณะของผมทานมังสวิรัติ ไม่ใช่สิ เรียกว่าทานชีวจิตจะดีกว่า เพราะสามารถทานเนื้อปลาได้ จานนี้ผลออกมาก็รสชาติกลางๆ ไม่ดีไม่แย่ เสียอย่างเดียวจานใหญ่มาก ทานอย่างไรก็ทานไม่ไหมดครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:17:48

ความคิดเห็นที่ 20 จานที่สอง จานนี้สั่งมาแบ่งกันสองคน เพราะอาหารที่ไหนๆ ในโลกนี้ยกเว้นเมืองไทย จานใหญ่โตเหมือนกันหมด ที่เห็นตรงหน้าคือไส้กรอก มากับมันฝรั่งต้ม และก็กะหล่ำปลีดองหรือซาวเคราต์ รสชาติดีมาก กลมกล่อมทั้งจาน ไส้กรอกที่ว่าก็ไม่ธรรมดา เพราะข้ามน้ำข้ามทะเล(สาบ)มาไกลจากพันธรัฐ หรือกังตองโวด์ ถ้านึกไม่ออกว่าอยู่ตรงไหน ก็ต้องบอกว่า รู้จักโลซานน์ไหมครับ ไม่ใช่เวเฟอร์นะครับ แต่เป็นเมืองริมทะเลสาบเลอมังหรือทะเลสาบเจนีวาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งหนึ่งทรงเคยประทับอยู่ที่นั่นครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:18:18

ความคิดเห็นที่ 21 จานที่สาม จานนี้ผมทานคนเดียว เป็นไส้กรอกรวม หลายๆ แบบพร้อมมันเบคอนย่างมาหนึ่งไม้ใหญ่ๆ เสิร์ฟพร้อมสลัดมันฝรั่ง ซึ่งรสชาติเปรี้ยวนำ แต่ทานแล้วจะตัดกับความเค็มมันของบรรดาไส้กรอกต่างๆ ได้เป็นอย่างดีครับ ความจริงยังมีอีกหลายจานที่สั่งมาในมื้อนี้ ทั้งซุปกูลาซ สเต๊กเนื้อ แต่คร้านเกินกว่าจะถ่ายรูปมา ที่สำคัญ ร้านนี้พอท่านรวบช้อนส้มมีด ไม่ว่าจะทำมุมมกี่นาฬิกาก็ตาม บริกรท่านจะปราดเข้ามาที่โต๊ะภายในไม่ถึงเสี้ยววินาทีเพื่อเก็บจานออกไป นับว่าเป็นจิตวิทยาขั้นสูง เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากเรียกขอบิล และถือเป็นการ maximise turnover ทั้งความหมายนัยตรง(การเข้าออกร้านของลูกค้า) และนัยประหวัด (รายได้ของทางร้าน)ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:18:43

ความคิดเห็นที่ 22 ผ่านพ้นจากมื้อค่ำซึ่งราคาก็ตามมาตรฐานคือจานหลักราวๆ 30 สวิสฟรังก์ ก็ได้ฤกษ์เดินทางไปยังจุดหมายจริงเสียที ผมมาถึงบาเซิลในเวลาสามทุ่ม ซึ่งฟ้ายังสว่างอยู่มากในช่วงปลายหน้าร้อน ทำให้ผมตัดสินใจเลือกที่จะลากกระเป๋าไปยังโรงแรมที่อยู่ห่างไปเพียง 1 ป้ายรถประจำทาง แต่ด้วยความที่บาเซิลเป็นเมืองสูงต่ำเล่นระดับกัน ทำให้ผมเกิดอาการหลง ท้ายที่สุด ผมพยายามถามทาง ทุกคนช่วยเหลือผมดีมาก มีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จักโรงแรม แต่ก็พยายามจะช่วย ในที่สุด ผมก็ทำไม่สำเร็จ เดินหลงไปหลงมา เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอีกรอบที่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาหนักมากอีก ทำให้ผมต้องไปหลบฝนที่ป้ายรถราง และแล้วก็มีนารีเฮลวีเทียขี่ม้าขาวมาช่วยผม เธอแนะนำว่าให้เรียกแท็กซี่จะดีกว่า ซึ่งผมเห็นด้วย แต่ด้วยถนนวันเวย์กับฝนที่ตกจนทัศนวิสัย 20 เมตรข้างหน้าก็มองไม่เห็น ทำให้เธอยกหูหาแท็กซี่เจ้าประจำมารับผม นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้ผมซึ้งในน้ำใจของคนบาเซิลมากๆ เพราะธุระไม่ใช่เลยที่จะต้องมาโทรเรียกรถให้ผม แถมยังอยู่รอรถมารับแม้รถรางสายที่เธอต้องนั่งจะผ่านไปแล้ว 2 ขบวนก็ตามที ผมทำได้ดีที่สุดแค่ขอบคุณเป็นภาษาเยอรมัน พร้อมกับยื่นนามบัตรไว้ เพื่อหวังจะได้มีโอกาสตอบแทนเธอในวันข้างหน้า ตัดกลับมาที่โรงแรม คืนนั้น ท่านจะเห็นชายแต่งตัวดี ในสภาพเปียกม่อลอกม่อแลก เชคอินกลางนครบาเซิลด้วยอาการง่วงนอนสุดขีดจากการอดนอนสะสมกว่า 48 ชั่วโมงครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:19:24

ความคิดเห็นที่ 23 โรงแรมที่ผมพักชื่อ Steinenchanze ผมจะอยู่ที่นี่ตามเวลาประชุมคือ 3 คืน ห้องพักรวมอาหารเช้าเรียบร้อย แถมยังรวมเครื่องดื่มและอาหารว่างในช่วงเย็นด้วย แต่ผมก็ไม่มีเวลามาใช้บริการ อาหารเช้าที่จัดไว้พร้อมที่ชั้นใต้ดิน มี 2 ส่วนคืออินดอร์กับเอาท์ดอร์ แต่พระพิรุณท่านทำงานหนักล่วงเวลาไป 2 วัน ทำให้ผมมีโอกาสไปนั่งทานกลางสวนรับแดดในวันสุดท้ายก่อนกลับเท่านั้นครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:19:47

ความคิดเห็นที่ 24 อาหารเช้าที่นี่เป็นไปตามธรรมเนียมอันดีงามของยุโรปภาคพื้นทวีป นั่นคือ การมีอาหารร้อนให้น้อยชนิดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้น อย่าแปลกใจถ้าจะมีโคลคัทและชีสให้เลือกเยอะเป็นพิเศษ กับขนมปัง เนย แยม และ สเปรดแบบต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชอกโกแลตโอวัลตินที่เอามาป้ายกับแดนิช แล้วอร่อยมากๆ หาที่ไหนทานก็ไม่ได้นอกจากในสวิตเซอร์แลนด์ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:20:36

ความคิดเห็นที่ 25 อีกอย่างที่มีเพื่อครบสูตรอาหารเช้าแบบเย็นก็คือ ประดาซีเรียลแบบต่างๆ พร้อมนมสดอีกคูลเลอร์ใหญ่ๆ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:20:55

ความคิดเห็นที่ 26 ผลไม้และโยเกิร์ตครับ สตรอเบอร์รี่ลูกอวบๆ หวานกรอบและสด ทานกับโยเกิร์ตแสนจะเข้ากัน แต่ในไลน์ตรงนี้ ที่ผมภูมิใจนำเสนอที่สุดเห็นจะเป็น มูสสตรอเบอร์รี่ ไม่เคยทานที่ไหนอร่อยอย่างนี้มาก่อน 3 ถ้วยที่เห็นนั่น เป็นของผมเสียสอง อีกถ้วยทิ้งเอาไว้ให้แขกท่านอื่นได้ดูต่างหน้า ว่าครั้งหนึ่งมันเคยมีเจ้าถ้วยนี้ตั้งอยู่ในไลน์ด้วยครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:21:17

ความคิดเห็นที่ 27 อาหารจานเย็นครับ มีแยกให้เรียบร้อยระหว่างหมูกับไม่หมู ผมไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก รู้แต่เอามาชิมทุกอย่างก็รสชาติใช้ได้ทุกอย่าง ไม่ดีไม่แย่อะไรครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:22:01

ความคิดเห็นที่ 28 ข้างๆ กันยังมีพริก มะกอกและของดองอื่นๆ ให้ผมเอามาปรุงเป็นสลัดทานเล่นได้เพิ่มเติมครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:22:48

ความคิดเห็นที่ 29 ตะกร้าที่เห็นไกลๆ จากรูปก่อนหน้า จะมีธัญพืชอบกรอบ ที่ผมแอบหยิบเอาไปนั่งทานที่ห้องเป็นประจำทุกวัน นอกเหนือจากคุกกี้ที่มีวางไว้เพื่อบริการ turndown ในทุกๆ คืนอยู่แล้วครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:23:58

ความคิดเห็นที่ 30 ขนมปังครับ หยิบมาหนึ่งชิ้นแล้ววาง ปล่อยให้มันหนาว และแข็งตายอยู่ตรงนั้นดีกว่าครับ ว่าแล้วก็หันไปหาแดนิชหรือครัวซองต์นุ่มๆ แทนดีกว่า จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:26:45

ความคิดเห็นที่ 31 จานเย็นจานแรกของผมครับ รูปนี้ถ่ายรวมๆ กันทั้ง 3 วัน สลับไปสลับมาบ้าง ได้โปรดอย่าถือสาหาความว่าผมรับประทานเยอะนะครับ รูปที่ท่านเห็นได้โปรดเอา 3 หารก่อนแล้วจึงจะเชื่อได้ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:27:08

ความคิดเห็นที่ 32 มูสสตรอเบอร์รี่ในตำนานที่ว่าครับ อ้อ ถ้วยนี้มาให้เห็นอยู่ 2 วัน วันสุดท้ายเปลี่ยนเป็นอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่อร่อยเท่าเดิมครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:27:24

ความคิดเห็นที่ 33 สตรอเบอร์รี่และแตงเมล่อนครับ สั้นๆ คำเดียวว่า อร่อยครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:27:41

ความคิดเห็นที่ 34 นอกเหนือจากอาหารเช้าแบบภาคพื้นทวีปแล้ว ที่นี่ยังใจดี บริการอาหารจานร้อน โดยมีให้เลือกเป็นไข่สามอย่าง (ถูกแล้วครับ ไม่ต้องพิสูจน์อักษรซ้ำ) นั่นก็คือ ไข่ต้มแข็ง ซึ่งทานอย่างไรก็สู้ไข่ยางมะตูมราดน้ำปลาพริกแบบบ้านเราไม่ได้ อย่างถัดมาเป็นไข่ดาว อีนนี้ก็ต้องผัดกะเพราด้วยจึงจะครบสูตร ดังนั้น อยู่สามวันผมก็สั่งแบบเดียว คือ ไข่คน ขอแบบไม่สุกมาก เนื้อยังนุ่มๆ อยู่ โรยเกลือเสียน้อย ทำให้แต่ละเช้าพอจะมีไฟสดชื่น เพื่อไปประชุมได้บ้าง ชีวิตจะได้ไม่เย็นชืดเหมือนจานอื่นๆ ที่มีอยู่ในไลน์ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:28:05

ความคิดเห็นที่ 35 อย่างที่บอกครับว่าแดนิชกับครัวซองต์อร่อย ดังนั้นในตะกร้าของผมจึงมีเท่านี้ ส่วนเครื่องดื่มก็ขอเป็นน้ำส้มและน้ำชาครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:28:22

ความคิดเห็นที่ 36 ทั้งโต๊ะสำหรับมื้อเช้าในแต่ละวันของผม จะได้เป็นการยืนยันและตอกย้ำเหตุผลเข้าข้างตัวเองอย่างง่ายๆ ว่า มื้อเช้าเป็นมื้อที่มีความสำคัญที่สุดครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:28:44

ความคิดเห็นที่ 37 อิ่มแล้วก็ได้เวลาไปชมเมือง เนื่องจากการประชุมจะเริ่มในช่วงบ่าย ผมเลยพอมีเวลาครึ่งเช้าในการเยี่ยมชมบาเซิลแบบฉบับกระเป๋า โดยเริ่มต้นจาก Rathaus หรือศาลาว่าการเมือง ซึ่งตั้งอยู่ที่จัตุรัสตลาด ด้านหน้าก็จะเป็นพ่อค้าแม่ค้ามาติดตลาดขายข้าวของทั้งของสดของแห้ง ดูแล้วก็น่าซื้อหลายอย่าง แต่ตอนนี้คงต้องเดินเข้าไปชมความงามด้านในของโถงกลางศาลาว่าการเมืองเสียก่อนครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:29:05

ความคิดเห็นที่ 38 ภายในศาลาว่าการเมือง จะมีโถงกลางซึ่งใครๆ ก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมและถ่ายรูปได้ แต่ส่วนอื่นๆ อย่าได้ยุ่มย่ามเข้าไปเชียว เพราะที่นี่ยังคงใช้เป็นศาลาว่าการจริงๆ อยู่ ตัวตึกสร้างตามแบบเรอเนสซองส์ ข้างในตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาร์ต นูโว มีรูปปั้นที่สวยงาม แต่ที่ผมชอบดูที่สุดตามตึกต่างๆ ก็คือการ์กอยล์ ที่เป็นรางน้ำและมีรูปปั้นสารพัดรูปปรากฏอยู่ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:29:29

ความคิดเห็นที่ 39 อย่างที่ผมบอกครับ ว่าพ่อค้าแม่ค้ายังคงติดตลาด สู่กับฝนที่ตกลงมาหนักอย่างไม่ขาดสายครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:29:46

ความคิดเห็นที่ 40 จุดท่องเที่ยวที่สองที่ผมเลือกแวะ ซึ่งถ้าเป็นนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ ที่มาเยือนบาเซิลอาจจะผ่านเลยไป นั่นก็คือ Puppenhausmuseum หรือพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา ตั้งอยู่กลางเมืองมากๆ ห่างจากศาลาว่าการเมืองไปไม่เกิน 2 ป้ายรถราง หรือจะเดินเอาก็ยังไหวครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:30:08

ความคิดเห็นที่ 41 พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวไม่ใหญ่มาก เป็นตึกแถวขนาด 4 ชั้น แต่ของที่จัดแสดงด้านในนี่ไปไม่ธรรมดาเลย ทั้งตุ๊กตาในรูปแบบต่างๆ จัดไว้แบบเสมือนจริง มีทั้งขนาดย่อส่วนและขนาดเท่าของจริง นี่ยังไม่รวมหุ่นกระบอก และโมเดลของเล่นจำลองอีกมากครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:30:35

ความคิดเห็นที่ 42 ตัวอย่างที่เห็นนี้เป็นแบบจำลองร้านค้า ซึ่งดูสวยงามราวกับว่ามีชีวิตจริง ยิ่งเสียงต่างๆ ที่เปิดประกอบ เช่นเสียงรถ เสียงสวนสนุก เสียงคนค้าขาย ยิ่งทำให้เราเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่ย้อนอดีตไปหลายสิบหลายร้อยปีที่แล้ว ต่างกับโลกถายนอกที่อึมครึมและมีเสียงฟ้าร้องสลับอยู่ในตอนนี้เลยครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:31:06

ความคิดเห็นที่ 43 จากพิพิธภัณฑ์ ผมเดินต่อไปยังมหาวิหารแห่งบาเซิลหรือ Munster ก่อนจะเข้าไปชมด้านใน ผมเลือกที่จะเดินอ้อมไปด้านหลัง เพื่อชมความอลังการของแม่น้ำสายถ่านหินหรือแม่น้ำไรน์ ที่มองเห็นไกลๆ คืออาณาจักรยาของบริษัทโนวาร์ติสครับ แต่ถ้ามองใกล้ คุณจะเห็นเรือข้ามฟากแบบบาเซิล ซึ่งมีรอกเกี่ยวให้ข้ามแม่น้ำที่เรียกว่า Fahri ซึ่งเชื่อมโยงคนทั้งสองฝั่งคือบาเซิลน้อย (Klienbasel) และบาเซิลใหญ่ (Grossbasel) เข้าไว้ด้วยกัน จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:31:30

ความคิดเห็นที่ 44 มื้อเที่ยงก่อนการประชุมวันนี้ ผมเลือกที่จะทานอาหารกลางวันแบบง่ายๆ ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่อดัง คือ Migros พูดถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตที่สวิตเซอร์แลนด์เขามีแข่งกัน 2 รายคือมิโกรส์เจ้าที่ว่า และโคออป (Co-op) ซึ่งทำเลที่ตั้งส่วนใหญ่มักจะใกล้กัน เรียกว่าเจอมิโกรส์ที่ไหนก็จะเจอโคออปที่นั่น แต่นั่นอาจจะยังไม่ปวดเศียรเวียนเกล้าเท่ากับ ของที่ขายในทั้ง 2 ร้านบางอย่างจะมีที่ร้านหนึ่ง และไม่มีอีกร้านหนึ่ง เช่นถ้าอยากกินกับข้าวอร่อยๆ และชอกโกแลต Frey ต้องไปมิโกรส์ แต่ถ้าอยากทานโอวัลติน ไอศกรีมมูเว่นพิก และชอกโกแลต Lindt ต้องไปโคออป ทำให้ผมต้องทำตัวซื้อของแบบ two stop service ถึงจะได้ของที่ต้องการครบถ้วนครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:31:53

ความคิดเห็นที่ 45 อาหารเที่ยงวันนี้มาจากมิโกรส์ มีทั้งกูลาซรสเลิศ fish without chips แล้วก็ไก่ทอดไส้ชีส ทั้งหมดอร่อยปานกลาง แต่ที่อร่อยมากที่สุดคือ frikadel หรือหมูสับปั้นก้อนทอด ทานที่ไหนก็ไม่รอ่ยเท่ามิโกรส์ เพราะเนื้อสัมผัสจะละเอียดและเหนียวเหมือนกับทานลูกชิ้นมากกว่าหมูสับทอดครับ อร่อยขนาดที่ผมซื้อกลับเมืองไทยในวันสุดท้ายไปอีก 6 ชิ้นครับ เห็นอาหารธรรมดาอย่างนี้ ห้ามถามเรื่องราคาครับ ของบนโต๊ะทั้งหมดไม่รวมน้ำนั้นราคาหย่อน 20 ฟรังก์ไปไม่กี่ rappen ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:32:14

ความคิดเห็นที่ 46 ปิดท้ายด้วยไอศกรีมมูเว่นพิก ที่ผมตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ารสไหนอร่อยมากๆ หาทานนอกสวิตเซอร์แลนด์ได้ลำบากเช่นกัน มื้อนี้เลยของประเดิมด้วยรสดับเบิ้ลครีมกรุยแยร์กับเมอแรงก์เสียก่อนเป็นปฐมครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:32:33

ความคิดเห็นที่ 47 เอาล่ะครับ ตัดฉับมาที่ตอนค่ำเลย เรื่องการประชุมไม่ควรนำมาเล่า เพราะเดี๋ยวจะหนักหัว สู้มาหาอะไรทานให้หนักท้องน่าจะดีกว่าครับ มื้อค่ำวันนี้เป็นกาล่าดินเนอร์พร้อมสุนทรพจน์พิเศษ จัดที่โรงแรมที่เก่าแก่และเป็นตำนานของเมือง อย่าง ฮิลตัน บาเซิลครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:32:56

ความคิดเห็นที่ 49 เนยสวิสครับ เรื่องนมเรื่องเนยนี่ต้องยอมเขาจริงๆ ครับ ทานเปล่าๆ ไม่มีขนมปังยังอร่อยเลยครับ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 07:10:55 แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 54 19:35:30 จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:33:40

ความคิดเห็นที่ 50 ขนมปังครับ บริกรยกมาให้โต๊ะละ 2 ตะกร้าใหญ่ ให้เราแทะเล่นเป็นภักษาหารก่อน เพราะกว่าจะเริ่มจานแรก ก็ต้องรอให้การกล่าวสุนทรพจน์เสร็จสิ้นก่อน ซึ่งกินเวลาเข้าไป 1 ชั่วโมง มื้อค่ำวันนี้จึงได้ฤกษ์เริ่มต้นตอนเข็มนาฬิกาตีที่เลขแปดครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:34:00

ความคิดเห็นที่ 51 จานแรกครับ ซุปหน่อไม้ฝรั่งและหอยตลับ เขาเขียนว่า clam จริงๆ ในเมนู แต่พอเอาช้อนจ้วงลงไปไหงมิวเทชั่นมาเป็น mussel หรือหอยแมลงภู่ก็ไม่ทราบได้  แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นหอยอะไรก็ไม่สนใจ เพราะหิวเต็มที ถ้วยนี้ก็เลยรู้สึกอร่อย แม้รสจะอ่อนไปเสียหน่อยครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:34:39

ความคิดเห็นที่ 52 ภาพสวย เมืองน่าอยู่ อาหารน่ากิน  ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Hathi เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:34:43

ความคิดเห็นที่ 53 ไปด้วยค่า~~~ จากคุณ : escate เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:35:19

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณครับคุณ Hathi มาถึงจานที่สองกันบ้าง วันนี้จะเสิร์ฟ 4 คอร์ส จานที่สองจึงเป็นอาหารประเภทปลา ปลาอบกับซอสมะเขือเทศจานนี้ อร่อยมากๆ เนื้อปลาสด ซอสสีแดงๆ ซึ่งทำจากมะเขือเทศเข้มข้นนั้นช่วยชูรสของเนื้อปลาให้เพิ่มมากขึ้นไปอีกครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:35:20

ความคิดเห็นที่ 55 ความจริงควรจะมีจานหลักเพียงอย่างเดียวก็น่าจะพอแล้ว แต่ปรากฏว่ายังมีสเต๊กเนื้อมาอีกหนึ่งก้อนใหญ่ ถึงตอนนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมาก แม้เนื้อจะนุ่มมาก และย่างมาในแบบที่ผมชอบคือมีเดียมเวล แต่งจานมาด้วยมันฝรั่งกราแตงที่ผมชอบ แต่ผมก็รู้สึกเริ่มอิ่ม ยิ่งผู้ใหญ่แต่ละท่านที่มาด้วย ไม่ทานเนื้อวัว ทำให้ผมต้องรับภาระเนื้อก้อนหนักอึ้งนี้อย่างช่วยไม่ได้ แต่ยืนยันครับว่าจานนี้อร่อย แม้จะทานไปได้เพียง 1 ก้อนครึ่งก็ตาม ในเวลาที่บริกรมาเก็บจานหลักออกไปจากโต๊ะนั้นปาเข้าไป 4 ทุ่มกว่าแล้ว พวกเราทุกคนลงความเห็นว่า ขอไม่อยู่รับประทานของหวานซึ่งเป็นมูสชอกโกแลต เพราะอยากจะกลับไปพักผ่อน ดังนั้นเลยต้องค่อยๆ ทำตัวเนียนๆ ประหนึ่งว่าจะไปเข้าห้องน้ำออกมา ยอมรับครับว่าเป็นมื้อที่อร่อย น่าประทับใจ และจดจำไปนานแสนนานในความยาวนานของการรับประทานในค่ำคืนนี้ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:35:56

ความคิดเห็นที่ 56 ตัดกับมาในวันรุ่งขึ้นกันบ้าง เช่นเคยครับ ประชุมครึ่งวัน แล้วก็รับประทานอาหารเที่ยง วันนี้ใช้แคเทอริ่งเจ้าใหม่ โดยบอกลาฮิลตันเมื่อคืน มาใช้เครือโรงแรมชื่อดังอีกราย คือ Radissons Blu หรือชื่อเดิม Radissons SAS แทน วันนี้มื้อกลางวันเป้นแบบบุฟเฟ่ต์ ส่วนสถานที่จัดเลี้ยงคือจุดที่น่าจะชมวิวของนครบาเซิลได้ดีที่สุด นั่นคือ ชั้น 18 ของอาคาร Bank for International Settlements ที่ผมมาประชุมในครั้งนี้ เรียกว่าแค่วิวเรียกน้ำย่อย ก็แทบจะอิ่มจนเมินจานหลักกันเลยทีเดียวครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:36:15

ความคิดเห็นที่ 57 เหมือนเคยครับ การจัดโต๊ะแบบฝรั่ง อุปกรณ์เยอะแยะมากมาย จนอาจจะงกๆเงิ่นๆ ใช้ผิดใช้ถูก มีขนมปังบริการพร้อมสรรพ ส่วนเครื่องดื่มเลือกได้ตามอัธยาศัย ตั้งแต่น้ำเปล่า น้ำผลไม้ ไปจนถึงเบียร์และไวน์ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:36:32

ความคิดเห็นที่ 58 ไลน์อาหารวันนี้อุดมสมบูรณ์มาก และมี 2 จุดให้ตักซึ่งอาหารเหมือนกันเพื่อความสะดวก ทั้งสลัดสารพัดรูปแบบ โคลคัท และแซลมอนรมควัน แต่สำหรับผมผู้พิสมัยอาหารเอเชียคงไม่มีอะไรดีไปกว่ามุมปลาดิบและข้าวปั้น ซึ่งคนยาวเหยียด เพราะเป็นที่นิยมในเวทีนานานชาติไมแพ้กันครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:36:55

ความคิดเห็นที่ 59 นี่ครับข้าวปั้นที่ว่า สลัดเนื้อกั้งข้างๆ กันก็อร่อย ส่วนกล่องสี่เหลี่ยมสีดำทะมึนนั้นเอาไว้ใส่โชยุ และขิงดองกินคู่กับปลาดิบและข้าวปั้นครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:37:10

ความคิดเห็นที่ 60 อีกสักรูปครับ ผู้ร่วมงานของผมซึ่งเป็นมังสวิรัติดูจะปลาบปลื้มมาก เพราะผักย่างราดน้ำมันมะกอกที่เห็นทุกอย่างนั้นรสชาติดีทั้งหมด มะเขือเทศกับชีสก็ดี อาร์ติโชกก็อร่อยครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:37:26

ความคิดเห็นที่ 61 จานของผมครับ ดูเหมือนจะไม่น่าทาน แต่อร่อยทุกอย่างเลยครับ ทั้งพาสต้ากราแตงด้านซ้าย สำหรับเมนมีให้เลือกสามอย่าง คือปลาสอดไส้ผักโขมซึ่งอร่อยมาก เนื้อลูกวัวอบที่ผมว่าน่าจะเป็นปู่วัวมาย้อมวัวขาย เพราะดูเหมือนว่าเนื้อจะเหนียวมากไปสักหนิ่อย และสุดท้ายคืดเป็ดอบ สุกในแบบมีเดียมที่ผมชอบราดมากับซอสส้ทมส่วนที่เหลือก็เป็นข้าวปั้นกับปลาดิบครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:39:22

ความคิดเห็นที่ 62 นี่เป็นจานที่สองของผมครับ จานนี้ขอเอาแต่ของที่ชอบคือเป็ดอบและข้าวปั้นอีกเล็กน้อยมาทานเท่านั้นครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:39:43

ความคิดเห็นที่ 63 มาถึงช่วงเวลาสุดท้ายของมื้อเที่ยงในการเติมความหวานให้แก่ชีวิต บุฟเฟ่ต์ของหวานนี้จะยกมาท้ายสุด และเป็นการแทนที่อาหารเรียกน้ำย่อยและสลัดบางส่วนครับ สิ่งที่เด็ดสุด นอกจากเค้กก้อนเล็กก้อนน้อย และมูสต่างๆ ที่ผมตักมาเลือกชิมแล้ว หากท่านมองให้ดีจะเห็นก้อนไอศกรีมอยู่เบื้องหลัง มีให้เลือกทั้งไอศกรีมธรรมดาและเชอร์เบท แต่ที่เด็ดจริงๆ ก็คือ ทั้งตู้นั้นพะตรามูเว่นพิกกันมาเลยทีเดียว เบ็ดเสร็จมีให้เลือกประมาณ 7 รส   โดยมีผมทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีจ้วงตักไอศกรีมเป็นปฐมฤกษ์ ก่อนที่แขกท่านอื่นๆ จะได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมากลุ้มรุม จนทั้ง 7 รสหมดลงในเวลาไม่ช้านานครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:40:06

ความคิดเห็นที่ 64 อิ่มแล้ว ก็ได้เวลาของการเที่ยววันที่ 3 เราจะไปเที่ยวประเทศที่ 3 กันครับ ไม่ผิดหรอกครับ เพราะบาเซิลตั้งอยู่ชายแดนสวิตเซอร์แลนด์ ติดประชิดกับทั้งฝรั่งเศสและเยอรมนี ทว่า หนังสือเดินทางราชการ ไม่สามารถทำให้ผมเดินตัวปลิวเข้าฝรั่งเศได้ ทำให้ต้องเปลี่ยนจุดหมายไปยังเยอรมนีแทน และเมืองปลายทางของวันนี้ ก็คือ ไฟร์บูร์ก เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าร้อนที่สุดในเยอรมนี จับรถไฟ ICE ที่มีที่นั่งอันแสนสบายเพียงไม่ถึงชั่วโมง เราก็มายืนปร๋อกลางเมืองไฟร์บูร์กเป็นที่เรียบร้อยครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:40:27

ความคิดเห็นที่ 65 เพียงแค่เดินข้ามถนนจากสถานีรถไฟ เราจะเริ่มเข้าสู่ย่านเมืองเก่าของเมือง ที่ให้ความรู้สึกเป็นเมืองโบราณควบคู่ไปกับความเป็นปัญญาชน เพราะที่นี่เป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่สำคัญอีกแห่งของเยอรมนี สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในเขตเมืองเก่า ก็คือการกวาดตาลงไปมองต่ำในระดับพื้นดิน เพราะท่านจะพบท่อน้ำเล็กๆ ทอดยาวไปรอบเมืองที่เรียกว่า Bächle ซึ่งมีไว้ใช่เพื่อประโยชน์ในการปศุสัตว์และไว้ใช้ในยามที่ต้องดับเพลิง แต่น้ำในท่อนั้นใสนะครับ ไม่ได้ขุ่นดำปี๋เหมือนคลองแสนแสบบ้านเรา อ้อ ที่สำคัญที่สุด คือการมีตำนานเล่าขานมาว่า ถ้าใครตกท่อที่นี่จะเจอเนื้อคู่ ผมเลยต้องเดินระวังเป็นพิเศษ เพราะสะดุดมาหลายที่ตั้งแต่ลานเกียร์จนถึงเทวาลัย ก็ยังไม่เห็นผลสัมฤทธิ์แม้แต่ครั้งเดียวครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:40:59

ความคิดเห็นที่ 66 จุดที่น่าถ่ายรูปที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองครับ เรียกว่า merchants hall จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:41:17

ความคิดเห็นที่ 67 จากกลางเมือง เราตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวป่าดำกัน ความสนุกเริ่มต้นตรงที่เราทั้งหมดหาป้ายไม่เจอ ยังดีที่ผมถามทางนักศึกษาไปจนเจอชุมทางรถรางเป็นผลสำเร็จ ก่อนจะจับรถรางต่อรถเมล์ไม่เกิน 10 ป้าย มาจนถึง Schauinsland  เพื่อเตรียมขึ้นกระเช้าไปยังยอดเขาด้วยหวังใจว่าจะได้เห็นทัศนียภาพของป่าดำอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แต่แล้วก็ต้องฝันสลาย เพราะเรามาทันกระเช้าเที่ยวสุดท้ายเพื่อขึ้นเขาก็จริง แต่นั่นก็คือเที่ยวสุดท้าย เพราะเมื่อขึ้นไปถึงยอด จะไม่มีกระเช้ากลับลงมาส่งเราที่สถานีด้านล่าง ถ้าจะขึ้นไปก็ต้องหารถมาเอง ดังนั้น เราจึงต้องทำใจ ได้แต่เดินเล่นรอบๆ บริเวณสถานีกระเช้า รอรถประจำทางนั่งย้อนทางเดิมกลับเข้าเมืองอีกรอบครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:41:45

ความคิดเห็นที่ 68 เมื่อกลับมาถึงกลางเมืองแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายไปตามห้างซ้ายขวาบนถนนสายประธานของเมือง ผมเริ่มต้นจากการจุดท่ารถราง แวะถ่ายรูปกับอีกหนึ่งาสัญลักษณืของเมือง นั่นก็คือ  Martinster หรือประตูเมือง ถ่ายรูปเสร็จก็ได้เวลาละลายทรัพย์ เพราะของในเยอรมนี เมื่อทอนยูโรมาเป็นบาทแล้ว ถูกกว่าการซื้อของในบาเซิลอยู่เป็นอย่างมาก เข้าห้างนู้นออกห้างนี้ อยู่หลายรอบ จนได้ขนมมาถุงใหญ่ แล้วก็ได้ร่มคันใหม่แทนคันเดิมที่พังไปเมื่อเช้า จากร้านขายเสื้อผ้าชื่อดังสัญชาติเยอรมัน ที่หนหนึ่งเคยมาเปิดร้านในเมืองไทย แต่เผอิญริ่งมากกว่ารุ่ง เลยต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปเรียบร้อยโรงเรียนเยอรมนีครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:42:18

ความคิดเห็นที่ 69 จุดสุดท้ายที่ผมแวะพักไปนั่งทอดอารมณ์เงียบๆ กับเครื่องดื่มร้อนๆ 1 แก้วก็คือมหาวิหารแห่งไฟร์บูร์ก ที่โดดเด่นด้วยนั่งร้าน เอ้ย ไม่ใช่สิ สถาปัตยกรรมอันมลังเมลือง นัยว่สร้างเป็นคู่แฝดกับมหาวิหารแห่งบาเซิลครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:42:36

ความคิดเห็นที่ 70 ส่วนมื้อค่ำวันนี้ กลับมาฝากท้องที่มิโกรส์ตอน 3 ทุ่มเหมือนเคย มีบะหมี่ผัดแซลมอน และ frikadel รสอร่อย ปิดท้ายด้วยมูเว่นพิกรสที่ผมชอบอีกรสคือ เครมบูเล แค่นี้ก็อิ่มและหลับฝันดีในคืนสุดท้ายของทริปนี้ครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:42:55

ความคิดเห็นที่ 71 เช้าวันที่สี่ วันสุดท้าย วันนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากเก็บตกซื้อขนมและของฝากในช่วงเช้า ก่อนที่จะจับรถไฟตรงไปลงที่สนามบินซูริกเลยครับ และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น นั่นก็คือ รถไฟวิ่งไปได้ครึ่งทางก็เกิดอาการเครื่องดับ แล้วก็มีประกาศว่าต้องรอรถขบวนไฟใหม่มาเปลี่ยน และที่สำคัญรถไฟดังกล่าวจะวิ่งไปสุดที่สถานีรถไฟซูริก ฮอฟบานฮอฟ ก่อนจะต่อรถไฟอีกทอดไปสนามบิน ทุกคนบ่นกับอุบอิบ แม้กระทั่งคนสวิสเอง แต่ก็ไม่วายติดตลกว่า นี่เป็นประสบการณ์ที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้สัมผัสในสวิตเซอร์แลนด์ ไม่อยากจะบอกเลยว่า เครื่องออกบ่ายสอง แต่กว่าจะมาถึงสนามบินก็เที่ยงครึ่ง จากเดิมที่วางแผนว่าจะมาถึงตั้งแต่ก่อนสิบเอ็ดโมงเช้าครับ ดังนั้นเมื่อตรวจสัมภาระเสร็จ ก็ได้เวลาวิ่งอย่างเดียวจนถึงทางออกขึ้นเครื่องครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:43:25

ความคิดเห็นที่ 72 เนื่องจากการเสียเวลาดังกล่าว ทำให้ผมอดทานมื้อเที่ยง และหิ้วท้องไปหวังพึ่งบนเครื่อง การบินไทย ยังน่ารักเหมือนเคย นอกจากแถวหน้าสุดพร้อมกับการกันที่ข้างๆ และขันอาสาเอาสูทไปเก็บให้ผมแล้ว พนักงานต้อนรับยังอุตส่าห์ไปเอาอาหารมาให้เพิ่มเติมนอกจากไก่งวงอบตามปกติ เป็นสเต๊กเนื้อรสชาติอร่อย ทำเอาผมอิ่มสบาย ก่อนจะดูรายการสารคดีอีกหนึ่งเรื่องแล้วก็หลับๆตื่นๆอีก 6 ชั่วโมงรวดครับ อาหารบนเครื่องที่ไหนก้สู้การบินไทยไม่ได้ในความเห็นผม ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะรสชาติที่คั้นชิน อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะบริการที่ปรุงแต่งให้อาหารยิ่งน่าทานมากขึ้นไปอีกครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:43:55

ความคิดเห็นที่ 73 2 ชั่วโมงสุดท้ายบนเครื่อง อาหารเช้าพร้อมเสิร์ฟ แม้ว่าตลอดการเดินทาง พนักงานท่านจะแวะเวียนเอาน้ำส้ม และโค้กไลท์มาให้ผมอยู่ตลอด จนผมยังรู้สึกอิ่ม แต่ก็ยังมีที่ว่างอีกเล็กน้อยสำหรับคีชและเบคอน รวมถึงผลไม่สด อาหารเช้านี่บนเครื่องสัญชาติไหนก็ไม่ต่างกัน นั่นคือ ผมรู้สึกเฉยๆ ทานได้แต่ก็ไม่ได้อร่อยอะไรมากมาย ข้อสังเกตอีกอย่างคือตัวเลือกอาหารเช้าชั้นประหยัดของการบินไทยทั้ง 2 ตัวเลือก มักจะเป็นอาหารเช้าแบบตะวันตกทั้งหมด ใครเบื่อแพนเค้ก เครป คีช และ ไข่ก็เตรียมทำใจได้เลย ต่างกับสายการบินอื่นๆ ในเอเชีย ที่เที่ยวบินระยะไกลจะต้องมีตัวเลือกแบบเอเชีย 1 ตัวเลือก จำพวก ข้าวต้ม ข้าวผัด บะหมี่เสมอครับ ขออนุญาตบอกลาทริปสวิตเซอร์แลนด์และประเทศข้างเคียงเลยนะครับ ตอนหน้าถ้ายังมีเวลา เพราะมีเรื่องและรูปเข้าคิวอยู่เยอะพอสมควร จะพาไปชิมไปเที่ยวหลายๆ ที่ ซึ่งมีตัวอย่างเด็ดๆ ดังนี้ครับ มื้อค่ำอาหารทะเลในโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดจนเป็นตำนานในโคลัมโบ ร้านดังกลางเมือเก่า Galle ของรีสอร์ทในเครือ Aman สุดหรูที่ศรีลังกา ร้านในตำนานอย่างคาเฟ่ ปัตตาเวีย ในย่านเมืองเก่าจาการ์ต้า หรือจะร้านอาหารอินโดนีเซียแท้ๆ ในเครือโรงแรมตูกู 3 ร้านยอดนิยมของกรุงวอร์ซอที่โปแลนด์ และดินเนอร์กลางสนามฟุตบอลสโมสรประจำกรุงวอร์ซอ  รวมถึงการเหมาเหมืองเกลือที่คราคูฟเพื่อทานอาหารเที่ยง ร้านสเต๊กชื่อดัง Wolfgang Puck ที่มาริน่าเบย์ และข้าวมันไก่ร้านดังที่เสิร์ฟใน Privilege Suite ของธนาคารยูโอบีในสิงคโปร์ครับ จะพยายามทยอยเอามาลงเรื่อยๆ นะครับ ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งและสวัสดีครับ จากคุณ : buenos เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:44:35

ความคิดเห็นที่ 74 โดยเกาะปีกเครื่องบินไปด้วยคนครับ จากคุณ : jerry-t เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:45:54

ความคิดเห็นที่ 75 ผมโหวตนะเออ ภาพสวย สถานที่ดี บรรยายเริศ อาหารเก๋ จะติดตามเรื่อยๆครับ : ) จากคุณ : มีกันตลอดไป เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:53:42

ความคิดเห็นที่ 76 เห็นอาหารแล้วยอมอ้วนเลย น่าทานทั้งนั้นเลยค่ะ จากคุณ : toastlover เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 17:05:54

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณครับ จากคุณ : หยก (เป็ดวุฒากาศ27) เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 17:33:14

ความคิดเห็นที่ 78 เฮ้อ เห็นของหวานตบท้ายแต่ละที่แล้ว ปาดน้ำลาย จากคุณ : jeeper เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 19:02:51

ความคิดเห็นที่ 79 เข้ามาดูด้วยคน เมื่อไหร่ผมจะมีโอกาสแบบ จขกท.ซักครั้งบ้างไหมเนี่ย (May the bon appetit be with you) ขอให้ความเจริญอาหารจงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : Norah เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 19:23:22

ความคิดเห็นที่ 80 เป็นการวิเคราะห์อาหารที่ดูจริงดีอะ เหมือนเป็นการแทรกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวยุโรปไปในตัวด้วย (ซึ่งเรายังไม่มีโอกาสได้ไปเลย TT) จากคุณ : Peace of Mine เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 20:07:56

ความคิดเห็นที่ 81 มาดูด้วยคนครับ จากคุณ : stupidine เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 20:09:39

ความคิดเห็นที่ 82 ไว้มาสโลวาเกียแล้วทักทายกันบ้างนะคะ จะพาไปกินปลาเทร้า อิอิ จากคุณ : ladynula เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 20:38:10

ความคิดเห็นที่ 83 น้ำลายจะไหลคะ น่าทานทั้งนั้นเลย อยากไปๆ จากคุณ : DESSERTSPOON เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 20:57:32

ความคิดเห็นที่ 84 โอ้ สุดยอดเช่นเคยครับ  ไม่เห็นคุณ buenos นานมาก แล้วมารีวิวอีกนะคร้าบ จากคุณ : Bell_HuB เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 22:56:05

ความคิดเห็นที่ 85 สุดยอดครับ ไม่ค่อยได้แวะมาก้นครัว อยู่แต่ BP รอชมรีวิวต่อไปครับ(ถ้ามี) จากคุณ : parad เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 23:33:32

ความคิดเห็นที่ 86 บอกได้คำเดียวว่าอิจฉาครับ จากคุณ : L-Nets เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 00:27:41

ความคิดเห็นที่ 87 ถ้ามีต่อก็จะตามอ่านอีกครับ จากคุณ : ประกอบ เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 01:00:19

ความคิดเห็นที่ 88 แต่ละอย่างน่าทานจริง ๆ จากคุณ : BROWN STITCH เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 08:51:50

ความคิดเห็นที่ 89 รูปสวยมากค่ะ น่าทานทุกอย่างเลย .. แต่แอบปวดหัวกับส้อม มีด แก้วที่เรียงอยู่บนโต๊ะ เคยถามฝรั่งว่ามีช้อนตั้งหลายเบอร์ ทำไมยังใช้มือจับขนมปังอีกล่ะ (มือมันเชียว) ฝรั่งส่ายหน้าบอกไม่รู้เหมือนกัน 555 จากคุณ : love mom so much เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 13:46:15

ความคิดเห็นที่ 90 ดูแล้วเพลินมากค่า ชอบบรรยากาศ ภาพสวย อาหารขนมน่าทาน  ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆสวยๆแบบนี้ค่ะ :) จากคุณ : tracychapman เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 15:44:57

ความคิดเห็นที่ 91 โอย..ชอบกระทู้นี้มากค่ะ อยากกลับไปเที่ยวแถวนี้อีก ภาพสวยเหมือนเคยนะคะ คุณ Buenos ^^ Freiberg นี้เคยไปเที่ยวเพราะได้ไปฝึกงานหนึ่งอาทิตย์ที่เมืองใกล้ๆ เจ้าของบ้านเขาพาไปป่าดำด้วย แต่ตอนเราไปหนาวมาก.. หิมะตก กระเช้าไม่เปิดค่ะ เขาขับรถพาเราขึ้นไปนั่งทาน Black Forest Cake แบบต้นตำรับจริงๆ (เพราะทานที่ป่าดำนิ) ไม่อร่อยเหมือนทานที่บ้านเราเลยค่ะ อิอิ.. อาหาร 4 คอร์สแบบฝรั่งนี่ก็ทำเราจุก จอดแค่จานปลาเหมือนกันค่ะ ขนาดจานเมนจานสองเป็นแค่ไก่สาวอบตัวเล็กๆนะ ไม่สามารถกระเดือกลงไปได้จริงๆ แต่คุณโชคดีนะคะที่ชอบ Sparkling water เพราะเราไม่ชอบเอาเสียเลย ฝรั่งแถวนี้เขานิยมน้ำอัดก๊าซมากๆ Still water หายากยิ่งกว่าไวน์เสียอีก จากคุณ : Auntie AnT เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:26:02

ความคิดเห็นที่ 92 ชอบตลาดของเค้าจังเลยค่ะ ^^ จากคุณ : wippygal25 เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 21:02:20

ความคิดเห็นที่ 93 ขอบคุณค่ะที่แบ่งปันประสบการณ์^^ จากคุณ : Ladyeros (Ladyeros) เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 14:34:49