ความคิดเห็นที่ 1 เริ่มจากจานแรกกันก่อนคือ The Tree Of Life ซึ่งแอบไปคว้ารางวัลปาล์มทองคำมาจากเมืองคานส์ด้วย The Tree Of Life เล่าเรื่องของครอบครัวหนึ่งในเท็กซัสยุค 50 ผ่านชีวิตของลูกชายคนโต แจ๊ค (ฌอน เพนน์) ผ่านวัยเยาว์ที่มักมีปัญหากับพ่อ ด้วยความรู้สึกว่าพ่อรักน้องมากกว่า ครั้นมาถึงวัยผู้ใหญ่ ก็ยังมีเส้นกั้นบางๆ นั้นอยู่ แต่เมื่อน้องได้จากไปแล้ว เขาก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่ขึงตึงระหว่างเขากับพ่ออีกครั้ง นอกจากนี้ตัวละครแจ๊คในวัยผู้ใหญ่ แม้จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในหน้าที่การงาน แต่เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองหลงทางในโลกสมัยใหม่ เสาะหาคำตอบถึงที่มาและความหมายของชีวิต ด้วยการตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่าศรัทธา หรือพระเจ้า หนังเปิดเรื่องที่การกำเนิดขึ้นของสรรพสิ่ง ทฤษฎีบิ๊กแบงที่สร้างโลก ค่อยๆ ฉายภาพของชีวิตทีละน้อย ตัวหนังมีความน่าสนใจและมีความท้าทายสูง ส่วนเวทีออสการ์จะเป็นอย่างไร ต้องลุ้นกัน จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 20:31:47

ความคิดเห็นที่ 2 ส่วนเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก The Tree Of Life นั้นมีชื่อว่า Mexican Cola Chicken ครับ ยังไง และทำไมกันนะ? นั่นก็เพราะ แนวคิดสำคัญที่อยากจะวางไว้คือ ความเป็นครอบครัว ครับ อยากจะทำอาหารที่เหมาะกับการกินเป็นครอบครัว ดูเป็นอเมริกันชนเล็กๆ โดยมีแนวคิดรองคือ setting ของหนังที่อยู่ในรัฐเท็กซัส ในช่วงยุค 1950s เราคิดว่าอาหารที่เหมาะสมกับเรื่องนี้จะต้องจัดเสิร์ฟในลักษณะ family style เป็นจานใหญ่ๆ วางไว้บนโต๊ะ แล้วแต่ละคนก็ตักส่วนของตัวเองแบ่งออกไปครับ เมื่อนำเอาความเป็นเท็กซัสเข้ามาผสมก็เลยอยากจะทำอาหารที่มีกลิ่นอายเบาๆ แบบเม็กซิกัน เพราะว่าเท็กซัสนั้นอยู่ใกล้กับเม็กซิโกมากๆ และก็มีแนวอาหารที่เป็นการผสมผสานระหว่างเท็กซัสกับเม็กซิกันที่เรียกว่า tex-mex จนกระทั่งไปเจอกับสูตรไก่ทอดสไตล์เม็กซิกันที่ชอบมากๆ เพราะมีส่วนผสมแปลกตาอย่างหนึ่งที่ใส่มาด้วยคือ เครื่องดื่มโคล่า นั่นเองครับ จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 20:35:18

ความคิดเห็นที่ 3 เรามาดูส่วนผสมกันก่อนดีกว่า อันนี้สำหรับ 6-8 ที่ นะครับ เครื่องดื่มโคล่า 250 มิลลิลิตร หอมหัวใหญ่สับ 1/4 ถ้วย น้ำตาลทรายแดง 1/4 ถ้วย กระเทียม 4 กลีบ ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ ขิงปอกเปลือกสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ มัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะ วูสเตอร์เชอร์ซอส (ซอสเปรี้ยวตราไก่งวง/กระต่าย) 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา ไก่ 2 ตัวตัดเป็นส่วนๆ ได้ 8 ชิ้น (อกไก่ 4 ชิ้น น่องติดสะโพก 4 ชิ้น) น้ำมันพืช สำหรับทอด น้ำสต็อกไก่ 1 ถ้วย จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 20:38:35

ความคิดเห็นที่ 4 ขั้นตอนแรกคือ หมักไก่ครับ ก็คือผสมโคล่า หอมหัวใหญ่ น้ำตาลทรายแดง กระเทียม ซอสมะเขือเทศ ขิง มัสตาร์ด วูสเตอร์เชอร์ซอส และเกลือเข้าด้วยกัน นำไก่ที่หั่นเป็นชิ้นๆ แล้ว ลงไปเคล้า ห่อแร็พ หมักไว้ 1 ชั่วโมงในตู้เย็น พอไก่หมักได้ที่ ก็เอาไก่ออกมาจากน้ำหมัก ซับน้ำให้แห้ง แยกน้ำหมักไว้ ตั้งกระทะสำหรับทอด เทน้ำมันพืชลงไปให้สูงประมาณ 1 นิ้ว ค่อยๆ เอาไก่ทยอยลงไปทอดจนสุกเหลืองเป็นสีน้ำตาลทั้งชิ้นและกรอบ ยกขึ้นจากกระทะ ซับน้ำมันสักพัก เทน้ำมันที่ใช้ทอดทิ้งไป เทน้ำหมักไก่ลงในกระทะผสมกับน้ำสต็อกไก่ เร่งไฟให้เดือด แล้วหรี่ไฟลงพอรุมๆ ใส่ไก่ที่ทอดไว้ลงไป ต้มประมาณ 10 นาที โดยระหว่างนั้นให้กลับด้าน 1 รอบ ถ้าอยากให้ไก่เผ็ดขึ้นมาหน่อย ให้ใส่พริก cayenne pepper เพิ่มลงไปในน้ำหมักสัก 1 ช้อนโต๊ะก็ได้ครับ นี่คือไก่ตอนเอาไปตุ๋นในน้ำหมักผสมสต็อกครับ เต็มกระทะเลย -*- จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 20:43:12

ความคิดเห็นที่ 5 หลังจากนั้นให้เอาไก่ออกจากกระทะแล้วจัดเรียงใส่จานเสิร์ฟได้เลย แต่ยังไม่เสร็จครับ เพราะเราจะต้มตัวซอสต่อไปอีก 5 นาที เพื่อให้ข้นขึ้น โดยอย่าลืมหมั่นคนเป็นระยะๆ ด้วยนะ เสร็จแล้วก็เสิร์ฟไก่พร้อมกับมันบด สลัดผัก หรือเครื่องเคียงอื่นๆ เช่น ข้าวโพดย่าง ข้าวอบเนย หรือ grit ก็เข้ากันได้ดีครับ โดยราดซอสโคล่าไว้ด้านบนพอสวยงาม อร่อยเลยครับ :) สังเกตได้ว่า น้ำหมักไก่นี้เอามาใช้คุ้มมาก ตั้งแต่หมักไก่รอบแรก ต่อมาก็นำไปต้มให้ซึมเข้าถึงเนื้อไก่หลังจากทอดเสร็จแล้ว และสุดท้ายคือ เปลี่ยนให้กลายเป็นซอสรสเข้ม ที่มีความหอมหวานแบบโคล่า (เมื่อต้มไปแล้วความซ่าก็จะหายไปหมด จะเหลือแต่กลิ่นเน้นๆ แบบโคล่าครับ) สูตรนี้ผมดัดแปลงมาจากหนังสือ A Southerly Course: Recipes and Stories from Close to Home โดย Martha Hall Foose ครับ ขอกราบงามๆ หนึ่งจบ เสิร์ฟแล้ว อร่อยเชียวล่ะ จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 20:47:30

ความคิดเห็นที่ 6 มาต่อกันที่ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 กันเลยดีกว่า War Horse เรื่องนี้เชื่อว่าติดโผมาได้ ก็เพราะบารมีของผู้กำกับล้วนๆ เป็นถึงสตีเว่น สปีลเบิร์กนี่นา War Horse เป็นเรื่องของอัลเบิร์ต เด็กหนุ่มชนชั้นชาวนา และม้าเลี้ยงที่ชื่อว่าโจอี้ เมื่อครอบครัวของอัลเบิร์ตล้มเหลวกับฤดูกาลเพาะปลูกหนึ่ง จำเป็นต้องขายโจอี้ให้กับทหารม้าคนหนึ่ง ซึ่งทำให้อัลเบิร์ตเข้าร่วมกับกองทัพ จุดเริ่มต้นจากอังกฤษ เดินทางทั่วยุโรป เพื่อตามหาโจอี้ ม้าแสนรักของเขา เอาเป็นว่าโจอี้เดินทางเยอะมาก และไกลมาก ไปถึงไหนจะไม่ขอสปอยล์นะครับ อิอิ จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:01:01

ความคิดเห็นที่ 7 แนวคิดในการทำอาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่อง War Horse นั้น เราเลือกใช้ปัจจัยด้านสงครามเข้ามายึดเป็นหลักครับ เหมือนดึงเข้ามาสำรวจอย่างกลายๆ ว่า สมัยเมื่อก่อน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 คนอังกฤษเขากินอะไรกัน ด้วยธงที่ตั้งเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว เราก็ต้องมาตีโจทย์ครับว่า ยุคข้าวยากหมากแพง วัตถุดิบต่างๆ ย่อมหาได้ยาก ส่วนมากก็ต้องเน้นไปที่ของสดที่หาได้ในพื้นที่ หรือถ้าจะให้ดีต้องเป็นอาหารที่ผ่านการถนอมอาหารมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น อาหารกระป๋อง ของแห้งที่สามารถพกพาไปได้สะดวก เหมาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางไกลๆ และย้ายที่พำนักอยู่บ่อยๆ สุดท้ายตัดสินใจได้ว่าไม่มีอะไรจะสามารถสื่อถึงภาวะสงครามได้ดีไปกว่าซุปง่ายๆ อีกแล้ว ซุป เป็นอาหารที่ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่มีกระป๋องเป็นภาชนะปรุง แหล่งไฟง่ายๆ อย่างเทียนไขหรือตะเกียงเล็กๆ ก็สามารถปรุงได้แล้ว นอกจากนี้ซุปยังเป็นอาหารที่เพิ่มความอบอุ่นและอิ่มท้องให้แก่เหล่าทหารที่กำลังออกศึกอยู่ในพื้นที่ที่แสนทุรกันดารอีกด้วย จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:02:26

ความคิดเห็นที่ 8 เมนูสำหรับเรื่อง War Horse จึงเป็นซุปยามสงคราม หรือ Wartime Soup ด้วยส่วนผสมง่ายๆ ของผักหลายชนิด เช่น หัวไชเท้า แครอท กะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่งที่เอาไปต้มในน้ำสต็อกจนสุกนิ่มดี ได้ความหวานตามธรรมชาติจากผัก ปรุงรสอย่างง่ายๆ ด้วยเกลือและพริกไทย นอกจากนี้ยังเพิ่มโปรตีนให้กับซุปด้วยแฮมหมู (ถ้าอยากอินเต็มที่ก็ใช้แฮมกระป๋องไปเลยครับ) หรือถ้าชอบกินเนื้อก็เปลี่ยนไปใช้ corned beef ยีให้พอแตก นอกจากนี้ยังจะเพิ่มเมนูอีกอย่างเพื่อนำไปกินกับซุปผักของเรา เป็นบิสกิตง่ายๆ ที่เรียกว่า hard tack ทำไมจึงชื่ออย่างนั้น? ก็เป็นเพราะมันมีความแข็งมากๆ ขนาดที่ปาหัวอะไรก็แตกนั่นเอง เป็นของสำคัญที่ทหารหรือนักเดินเรือใช้เก็บไว้เป็นเสบียงเวลาออกเดินทาง ส่วนวิธีกินนั้นมีหลายแบบ ส่วนมากก็จะเอาไปจุ่มแช่ในน้ำเกลือ กาแฟ หรือไม่ก็เอาไปต้มกับน้ำซุป หรือเอาไปจุ่มให้ชุ่มแล้วทอดบนกระทะ จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:05:13

ความคิดเห็นที่ 9 เรามาเริ่มทำกันเลยดีกว่า ส่วนผสมของซุปมีดังนี้ครับ แครอท 2 หัว หัวไชเท้า 1 หัว มันฝรั่ง 3 ลูก กะหล่ำปลี 1/2 หัว หอมหัวใหญ่ 2 หัว น้ำสต็อกไก่ หรือน้ำสต็อกผัก 1 ลิตร แฮมหมูหั่นเป็นเต๋าๆ หรือ corned beef 150 กรัม เกลือ/พริกไทยขาวป่น จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:06:30

ความคิดเห็นที่ 10 เริ่มก็ต้องจากการหั่นๆๆ ปอกเปลือกแครอท หัวไชเท้า และมันฝรั่ง หั่นเป็นแว่นๆ หรือชิ้นๆ ขนาดพอดีคำ หั่นกะหล่ำปลีเป็นชิ้นๆ ขนาดเท่าๆ กันกับผักอื่นๆ เช่นเดียวกับหอมหัวใหญ่ ให้ปอกเปลือกและหั่นเป็นเต๋าๆ ขนาดเท่าๆ กัน งานหั่นดูเหมือนจะเป็นงานหนักงานเดียวของจานนี้นะครับ จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:08:40

ความคิดเห็นที่ 11 ต่อมาให้ตั้งน้ำสต็อกบนหม้อ บนไฟปานกลาง-อ่อน ใส่ผักทั้งหมดลงไป เร่งไฟให้เดือด แล้วหรี่ไฟลงเป็นพอรุมๆ ปิดฝา แล้วตั้งทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที เสร็จแล้วเปิดฝา ใส่แฮม หรือ corned beef ยีเล็กน้อยลงไป คนให้เข้ากัน ตั้งไฟต่อไปอีก 5 นาที ชิมรส ปรุงด้วยเกลือและพริกไทยตามชอบ บิ hard tack ลงไป 1-2 ชิ้น คนให้เข้ากัน ตักเสิร์ฟร้อนๆ หรืออุณหภูมิห้องก็ได้ จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:10:36

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วน hard tack นั้นทำไม่ยากเลย สูตรตามนี้เลยครับ (สำหรับ 10 แผ่น) แป้งสาลี 4 ถ้วย เกลือ 4 ช้อนชา เนยสด หรือเนยขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำ 2 ถ้วย ตั้งอุณหภูมิเตาอบไว้ที่ 190C ผสมแป้งสาลีกับเกลือเข้าด้วยกันในชามผสม ใส่เนยลงไป เคล้าให้พอเข้ากัน เทน้ำลงไป (ใช้ไม่ถึง 2 ถ้วย) เพื่อให้ส่วนผสมแป้งเกาะกันเป็นก้อน นวดแป้งด้วยมือ จนกระทั่งแป้งไม่ติดมือ แล้วเอาออกมารีดด้วยไม้รีดแป้งให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หนาประมาณครึ่งนิ้ว ตัดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 3×3 นิ้ว เอาไม้เสียบลูกชิ้น หรือตะปูสะอาดๆ เจาะทำลายบนชิ้นขนมเป็นรู 16 ช่อง 4 แถว แถวละ 4 รู (ไม่ต้องเจาะทะลุ) กลับด้านขนม เจาะแบบเดียวกัน เรียงขนมลงบนถาดอบ ไม่ต้องทาเนย อบขนมในเตา 30 นาที แล้วเอาออกมาจากเตา กลับด้าน แล้วอบต่ออีก 10-15 นาที หรือจนกระทั่งขนมสุกเหลืองดี พักขนมให้เย็นประมาณ 30 นาทีก่อนนำไปกิน จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:12:23

ความคิดเห็นที่ 13 เสร็จแล้วครับผม กับสองจานแรกของอาหาร 9 จานที่ได้รับแรงบันดาลใจ จากภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขา Best Picture ในปีนี้ กลับมาติดตามอีก 7 จานที่เหลือได้อีกไม่นานเกินรอครับ สำหรับสองจานนี้ มีข้อติ-ชมอย่างไรบอกได้เลยครับ ยินดีรับฟังเสมอจ้า จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:14:27

ความคิดเห็นที่ 14 น่าทานมากเลยค่ะ อยากชิมด้วยจัง.......... จากคุณ : sun_ice เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:18:32

ความคิดเห็นที่ 15 ^________^ จากคุณ : น้องหนิม เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:27:14

ความคิดเห็นที่ 16 ปาดค่า จากคุณ : ^KaNoM_MaNiA^ เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:36:28

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ sun_ice // ขอบคุณมากๆ ครับผม ว่างๆ ลองเอาสูตรไปทำที่บ้านก็ได้เนอะ ^ ^ คุณ น้องหนิม // ยิ้มกว้างเชียว ขอบคุณครับ คุณ ^KaNoM_MaNiA^ // มาหม่ำไก่ราดซอสโคล่ากับซุปผักใส่แฮมนะครับ ฮี่ๆ จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 21:59:23

ความคิดเห็นที่ 18 เก๋จังเลย จากคุณ : คะน้า (KaNa-IRC) เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 55 01:05:44

ความคิดเห็นที่ 19 ว๊าว เร็วจังเลยค่ะ ผ่านไป 1 ปีแล้วเนอะ จำได้ว่า ปีที่แล้ว  ยังเอา ที่คุณโพสต์ไปทำกิน เป็นคาวบอยบีน  อร่อยมากค่ะ เดี๋ยวปีนี้จะติดตามต่อ เห็นเมนูแรก ก็คิดว่า น่าสนใจ จะลองทำกินดูแล้วค่ะ จากคุณ : หมู (ตัว) อ้วน เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 55 02:47:36

ความคิดเห็นที่ 20 คุณคะน้า // ขอบคุณครับผม อย่าลืมกลับมาอ่านอีก 7 จานที่เหลือนะครับ :D คุณหมู (ตัว) อ้วน // ดีใจจังเลยที่ยังจำกันได้อยู่ ^^ ผ่านไปอีกปี กลับมาอยู่ที่เดิม อาหารปีนี้หวังว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะครับ ปีนี้คงไม่มีอาหารอเมริกันแนวๆ คาวบอยบีน แต่เชื่อว่าสามารถทำตามได้ทุกจานครับผม ส่วนไก่โคล่า อร่อยจริงๆ มันจะมีรสชาติของโคล่าเหลือแบบเน้นๆ เป็นหวานแบบโคล่าครับ อธิบายไม่ถูก แต่อร่อยเหาะเลย 55 จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 55 07:50:38

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าดูอุโมงค์ ผาเมือง จะไม่ได้ ยำสามกรอบ หรือนี่ อิือิ  (แซวเล่น ขำๆ นะครับ) จากคุณ : สองร้อย เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 55 08:26:21

ความคิดเห็นที่ 22 @คุณสองร้อย // ฮ่าๆๆ สงสัยจะได้จานนั้นแหงเลยครับ จากคุณ : tourdefoodblog เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 55 10:20:41