ความคิดเห็นที่ 1 วันเสาร์ที่ 31-1-12 เดินทางไปที่ตรอกกัปตันบุช หรือซอยเจริญกรุง 30 โดยเข้าจากถนนเจริญกรุงเลยไปรษณีย์กลางไปเล็กน้อย ตรอกกัปตันบุช ได้ชื่อมาจาก จอห์น บุช ชาวอังกฤษที่เข้ามารับราชการในเมืองไทย เมื่อ พ.ศ.2396 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำงานในตำแหน่งเจ้าท่า สังกัดกรมท่า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติราชการ จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ตามอย่างไทย คือ หลวงสาคร หรือ หลวงสุรสาคร ต่อมาได้เลื่อนเป็นพระวิสูตรสาครดิฐ และพระยาวิสูตรสาครดิฐ ตามลำดับ กัปตันจอห์น บุช ได้มีโอกาสถวายการรับใช้รัชกาลที่ 5 ในฐานะผู้บังคับการเรือพระที่นั่ง ในการเสด็จประพาสที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากที่ดินบริเวณนี้ เคยเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของท่านมาก่อน ตรอกนี้จึงมีชื่อว่า"ตรอกกัปตันบุช" ตรอกนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานทูตปอร์ตุเกส และโรงเรียนอาชีพช่างกล โรงเรียนช่างกลเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งเปิดทำการสอนครั้งแรกในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ด้วย แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า ที่ตั้งของโรงเรียนอยู่ตรงจุดใดของตรอกกัปตันบุช ที่มา : http://www.goldgear2475.com/pti จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:54:22

ความคิดเห็นที่ 2 ก่อนจะเป็นสถานทูตโปรตุเกส บริเวณนี้เคยเป็นบ้านขององเชียงสือ ซึ่งเป็นชาวญวนอพยพเข้ามาตั้งแต่ยุคปลายกรุงธนบุรีต่อต้นรัชกาลที่ 1 กล่าวได้ว่าองเชียงสือหนีภัยจากญวน มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จึงโปรดเกล้าฯให้องเชียงสือตั้งบ้านอยู่บริเวณนี้ และกลุ่นคนญวนที่เข้ามาก็ให้กระจายอยู่ทางด้านใต้ เรียกว่าเป็นบริเวณแถบบ้านญวน ซึ่งจะมีอยู่แถวสะพานมอญ บ้านหม้อ สมัยปลายกรุงธนบุรีมีกลุ่มชาวญวนเข้ามาอาศัยอยู่มาก แต่พอถึงช่วงรัชกาลที่ 1 องเชียงสือหนีกลับไปทำการปฏิวัติในประเทศญวน เพื่ออยากได้อำนาจกลับคืนมา เอาเรือแล่นหนีออกแม่น้ำเจ้าพระยาไป หลังจากองเชียงสือหนีกลับญวนไปแล้ว ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 2 เมื่อโปรตุเกสกลับเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยอีก ก็จึงโปรดเกล้าฯยกพื้นที่บริเวณนี้ให้เป็นที่ตั้งของกงสุลโปรตุเกส http://www.pantown.com/board.php?id=20500&area=3&name=board1&topic=3&action=view จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:54:42

ความคิดเห็นที่ 3 เยื้องกับสถานทูตปอร์ตุเกส คือบ้านเลขที่ 1 เชื่อกันว่าเป็นบ้านของกัปตันบุช ปัจจุบันเป็นที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตรย์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:55:03

ความคิดเห็นที่ 4 ติดกับสถานทูตปอร์ตุเกส คือที่ตั้งของโรงแรมรอยัลออร์คิดเชอราตัน ซึ่งมีถนนสี่พระยามาบรรจบกับตรอกกัปตันบุชที่หน้าโรงแรม ถนนสี่พระยา เกิดจากการตัดถนนผ่านที่ของพระยาสี่คน คือ พระยาพิพัฒโกษา พระยานรฤทธิ์ราชหัท พระยานรนารถภักดี และพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง พระยาทั้งสี่ท่านมีที่ดินอยู่ในย่านนี้ เนื่องจากทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แบ่งที่ดินขาย แล้วได้น้อมเกล้าฯถวายที่ดินนี้ แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานนามว่า ถนนสี่พระยา ที่มา : http://www.pantown.com/board.php?id=20500&area=3&name=board1&topic=3&action=view ต้นถนนสี่พระยาทางด้านแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเดินรถทางเดียว เป็นต้นสายของรถเมล์และรถตู้หลายสาย นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของท่าน้ำสี่พระยา ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรมรอยัลออร์คิดเชอราตันทางด้านขวา เป็นท่าเรือข้ามฟาก ที่ข้ามไปฝั่งคลองสาน ข้างโรงแรมมิลเลนเนียมฮิลตัน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:55:23

ความคิดเห็นที่ 5 ติดกับท่าน้ำสี่พระยา คือศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ เป็นแหล่งรวมของร้านขายวัตถุโบราณ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:55:41

ความคิดเห็นที่ 6 จุดนัดพบของกิจกรรมในวันนี้ อยู่ตรงลานข้างศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ มาถึงจึงได้รู้ว่าต้องลงทะเบียนในเว็บไซต์มาก่อน แต่ก็สามารถมาลงทะเบียนเพิ่มที่นี่ได้ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:55:59

ความคิดเห็นที่ 7 ผู้ที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์จะได้รับแจกหมวก จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:56:18

ความคิดเห็นที่ 8 แต่ที่ได้รับทุกคน คือเข็มกลัดติดเสื้อ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:56:40

ความคิดเห็นที่ 9 และหนังสือของโครงการย่านจีนถิ่นบางกอก ทำให้รู้ว่า กิจกรรมในวันนี้ มีชื่อว่า "เดินทอดน่องท่องย่านจีน ตอน ทอดน่อง 200 ปี" หนังสือเล่มนี้ สามารถอ่านได้ที่เว็บไซต์ของอาศรมศิลป์ http://issuu.com/arsomsilp/docs/book_final และถ้าสนใจอยากได้เป็นเล่ม โครงการ ฝากวางแจกฟรี ไว้ในตำแหน่งสำคัญของซอยวานิช 2 เช่น ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ้าท่า ริเวอร์วิวเกสต์เฮาส์ หลังศาลเจ้าโจวซื้อกง และศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 13:18:27 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:57:08

ความคิดเห็นที่ 10 ระหว่างรอให้ถึงเวลาเริ่มกิจกรรม เปิดอ่านเนื้อหาภายในหนังสือที่แจก จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:57:36

ความคิดเห็นที่ 11 วัตถุประสงค์ของการจัดงาน และบทความ"เลาะเลียบริมฝั่งเจ้าพระยา ตามหาถิ่นฐานย่านจีนในบางกอก" จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:58:00

ความคิดเห็นที่ 12 เขียนโดยคุณเจริญ ตันมหาพราน หนึ่งในวิทยากรพาเดินในวันนี้ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:58:27

ความคิดเห็นที่ 13 ระหว่างรอให้ถึงเวลา เดินไปดูเบเกอรี่ที่หน้าท่าน้ำสี่พระยา จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:58:47

ความคิดเห็นที่ 14 ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ยังไม่เปิด แต่สามารถเดินเข้าไปที่ท่าเรือนักท่องเที่ยวได้ มองเห็นอาคารโรงแรมมิลเลนเนียมฮิลตันฝั่งคลองสาน ที่สามารถสร้างชิดแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างน่ากังขา จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:59:07

ความคิดเห็นที่ 15 9.00 น.ลงทะเบียนกันครบ ได้เวลาเริ่มกิจกรรม จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:59:31

ความคิดเห็นที่ 16 ศ.ดร.ระพี สาคริก นายกสภาสถาบันอาศรมศิลป์ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 20:59:53

ความคิดเห็นที่ 17 แนะนำวิทยากรของกิจกรรม"เดินทอดน่องย่านคนจีน ตอน ทอดน่อง 200 ปี" คนซ้ายคือคุณณพัดยศ เอมะสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ของกองการท่องเที่ยว กรุงเทพฯ รองแชมป์แฟนพันธุ์แท้เรื่องกรุงเทพมหานคร คนขวาคือคุณเจริญ ตันมหาพราน นักเขียน วิทยากรท้องถิ่นผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน และประวัติศาสตร์ของเยาวราช จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:00:11

ความคิดเห็นที่ 18 9.25 น.ออกจากจุดลงทะเบียน เลี้ยวซ้ายไปเข้าซอยวานิช 2 ทางด้านซอยเจริญกรุง 24 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:00:30

ความคิดเห็นที่ 19 เพื่อเริ่มการเดินตามเส้นทางในหนังสือ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:00:56

ความคิดเห็นที่ 20 ปืนใหญ่ปอร์ตุเกสหลังวัดกาลหว่าร์ เหลืออยู่เพียงสองกระบอก กลายเป็นที่แขวนถุงพลาสติกของแม่ค้าแผงลอย ปืนใหญ่เหล่านี้ คาทอลิคปอร์ตุเกส น่าจะนำมาเมื่อครั้งหลบหนีทหารพม่า ที่ทำลายกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ.2310 ชาวปอร์ตุเกสส่วนหนึ่งไปอยู่ที่วัดซางตาครูส อีกส่วนหนึ่งตั้งค่ายแม่พระลูกประคำ ตรงจุดที่ตั้งของวัดกาลหว่าร์ในปัจจุบัน หลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 พระราชทานที่ดินที่คนเหล่านี้อาศัยอยู่เพื่อสร้างวัด ที่มา : http://haab.catholic.or.th/history/history01/protuget.html ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการปักปืนใหญ่รอบวัด  ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นโบสถ์ไม้ หรือตอนสร้างโบสถ์หลังปัจจุบัน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:01:16

ความคิดเห็นที่ 21 9.28 น.ถึงวัดกาลหว่าร์ หรือวัดของพระตาย ซึ่งน่าจะมาจากคำว่า"กัลป์วารีโอ" ซึ่งเป็นเนินเขาที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ ตามรูปพระศพของพระเยซู ซึ่งเป็นหนึ่งในสองรูปเคารพ ที่ชาวปอร์ตุเกสนำติดตัวมาด้วยตอนหนีทหารพม่า จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:01:44

ความคิดเห็นที่ 22 อีกรูปคือรูปแม่พระลูกประคำ วัดนี้จึงมีชื่ออย่างเป็นทางการว่าวัดแม่พระลูกประคำ แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่าวัดกาลหว่าร์มากกว่า จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:02:06

ความคิดเห็นที่ 23 ประวัติวัดตามแผ่นป้ายเคลื่อนที่ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:02:26

ความคิดเห็นที่ 24 ประวัติวัดตามหนังสือที่แจก สำหรับประวัติของวัด รวมถึงสิ่งต่างๆในโบสถ์ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของทางวัด http://rosary.catholic.or.th/aboutchurch/index.html จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:02:51

ความคิดเห็นที่ 25 ก่อนเข้าโบสถ์ ฟังประวัติของวัดจากวิทยากร ส่วนบนช่วงกลางของด้านหน้าเจาะหน้าต่างกลมแบบที่เรียกว่า ROSE WINDOW ตามชื่อวัดในภาษาอังกฤษว่า" Holy Rosary Church" โรงเรียนของวัดกาลหว่าร์ จึงมีชื่อว่า"โรงเรียนกุหลาบวัทยา" จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:03:15

ความคิดเห็นที่ 26 จากนั้นจึงเดินเข้าโบสถ์ เหนือประตูทางเข้าโบสถ์ทั้งสามประตู มีตัวหนังสือจีนบานละ 4 คำ เหนือประตูทางเข้าประตูกลาง เขียนว่า"เทียนจู้เสิ่นถาง" แปลว่า วิมานของพระเจ้า หรือ บ้านของพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันวัดแห่งนี้ เป็นวัดคริสต์ของชาวจีน หลังจากที่ที่ชาวปอร์ตุเกสย้ายไป จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:03:34

ความคิดเห็นที่ 27 หลังประตูโบสถ์มีเทวดาฝั่งละองค์ ฝั่งซ้ายสวมชุดสีฟ้า ฝั่งขวาสวมชุดสีชมพู สองมือประคองเปลือกหอยบรรจุน้ำเสก สำหรับผู้เข้าออกโบสถ์ทำสำคัญมหากางเขน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:03:56

ความคิดเห็นที่ 28 ซ้ายขวาของโบสถ์มีช่องหน้าต่างฝั่งละ 7 ช่อง แต่ละช่องมีกระจกสีสองบาน ความหมายของแต่ละบาน เคยเขียนไว้แล้วใน"เที่ยวไปกินไป @ ตลาดน้อย" http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2008/08/D6876761/D6876761.html จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:04:17

ความคิดเห็นที่ 29 แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการมาเดินในครั้งนี้ก็คือ ด้านบนของช่องหน้าต่างระหว่างบานกระจกสี เป็นรูปของนักบุญในภาษาละติน เช่นรูปนี้คือนักบุญยาค็อบ องค์เล็ก แต่ด้านล่างของบานกระจกสี มีทั้งตัวอักษรจีนและอักษรโรมัน เป็นชื่อของสัตตบุรุษผู้บริจาคเงินสร้างโบสถ์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:04:36

ความคิดเห็นที่ 30 . จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:08:24

ความคิดเห็นที่ 31 ระหว่างที่บาทหลวง ยอห์น ไพฑูรย์ หอมจินดา เจ้าอาวาสวัดกาลหว่าร์ กำลังบรรยายให้ทุกคนฟัง จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:08:44

ความคิดเห็นที่ 32 เดินไปทางขวาข้างห้องสารภาพบาป เพื่อขึ้นบันไดวนไปชั้นบน แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 12:45:40 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:11:00

ความคิดเห็นที่ 33 เคยขึ้นมาเก็บภาพวงประสานเสียง ในพิธีมิซซาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมปีที่แล้ว วันนี้ขอขึ้นมาเก็บภาพมุมกว้างของโบสถ์จากชั้นบน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:11:24

ความคิดเห็นที่ 34 พระสมัยร่วมเดินมาตั้งแต่จุดลงทะเบียน และเข้าฟังการบรรยายในโบสถ์ด้วย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:11:44

ความคิดเห็นที่ 35 หลังการบรรรยาย เปิดโอกาสให้ทุกคนถ่ายภาพภายในโบสถ์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:12:06

ความคิดเห็นที่ 36 พระแท่นบูชา ทำด้วยหินอ่อน เป็นรูปทรงแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าทึบรอบตัว   ด้านหน้าตบแต่งด้วยรูปนักบุญพรหมจารีและมรณสักขี 5 องค์ คือ นักบุญลูซีอา นักบุญอักแนส นักบุญฟีโลมีนา นักบุญเซซีลีอา และนักบุญอากาทา ซึ่งให้ความหมายของพระแท่นบูชา ที่ถวายบูชาอันบริสุทธิ์แด่พระเจ้า กล่าวคือองค์พระเยซูเจ้า ซึ่งทรงเป็นลูกแกะที่ไร้มลทิน ยอมพลีชีวิตเพื่อไถ่บาปมนุษยชาติ และพร้อมกับองค์พระเยซูเจ้า เรามนุษย์ก็ร่วมถวายบูชาอันบริสุทธิ์ โดยมีนักบุญทั้งห้านี้เป็นเครื่องหมายนั่นเอง เข้าใจว่า เมื่อแรกสร้างวัดหลังปัจจุบันนี้นั้น(สร้างเสร็จสมบูรณ์ ปี 1897) พระแท่นนี้ติดอยู่กับแท่นอันเป็นที่ตั้งของตู้ศีลฯ แต่ต่อมา หลังจากสังคายนาวาติกันที่ 2 ซึ่งปฎิรูปพิธีกรรม โดยให้พิธีกรรมต่างๆบนพระแท่น กระทำเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของสัตบุรุษ มิใช่ให้พระสงฆ์ต้องหันหลังให้สัตบุรุษเหมือนดังแต่ก่อน จึงมีการเคลื่อนย้ายพระแท่นนี้ มาไว้ในตำแหน่งอันเป็นปัจจุบันนี้ แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าได้กระทำเมื่อใด ที่มา : http://rosary.catholic.or.th/aboutchurch/altar.html จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:12:29

ความคิดเห็นที่ 37 รูปแม่พระประจำวัด(แม่พระลูกประคำ) ตามประวัติกล่าวว่า รูปนี้ ชาวโปรตุเกสนำมาจากกรุงศรีอยุธยา คราวที่กรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตก โดยนำมาพร้อมๆกับรูปพระศพของพระเยซูเจ้านั่นเอง จึงเป็นรูปที่มีอายุกว่าสองร้อยปีแล้ว จนถึงบัดนี้ ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า รูปนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะที่เรียกว่าอะไร หรือมาจากชาติใด และถูกสร้างขึ้นเมื่อใดและที่ใด แต่เดิม เข้าใจกันว่ารูปนี้ทำด้วยปูน แต่ต่อมาได้พบว่า ที่จริงแล้วรูปนี้ทำด้วยไม้ แกะสลัก เช่นเดียวกับรูปพระศพของพระเยซูเจ้านั่นเอง มีความสูงราวสี่ฟุต และคงได้รับการบูรณะมาบ้างแล้วตามกาลเวลา ที่มา : http://rosary.catholic.or.th/aboutchurch/modonna.html จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:12:59

ความคิดเห็นที่ 38 เดินออกไปเก็บภาพภายนอกโบสถ์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:13:21

ความคิดเห็นที่ 39 ปลายท่อระบายน้ำจากหลังคาโบสถ์ เป็นปูนปั้นรูปหัวจระเข้ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:13:56

ความคิดเห็นที่ 40 10.17 น.ออกจากวัดกาลหว่าร์ เสียดายที่ไม่มีโอกาสถ่ายภาพบนหอระฆังของโบสถ์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:14:22

ความคิดเห็นที่ 42 ตามไปเดินทอดน่องนะค๊ะ อาสาม ^^ จากคุณ : เตียจิ๊กนึ่ง เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:15:15

ความคิดเห็นที่ 43 เตียจิ๊กนึ่ง ...น่าจะจบราวๆเที่ยงคืนครับ ........................................................................................... ออกจากวัดกาลหว่าร์เลี้ยวซ้าย ติดกับทางเข้าวัดกาลหว่าร์ คือธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:18:08

ความคิดเห็นที่ 44 แวะคุยกับ รปภ.ของธนาคาร ถึงเรื่องเจ้าหลง สุนัขในธนาคาร ที่มีคนส่งข่าวว่าถูกไฟดูดตาย เมื่อวันที่ 5 กพ.ที่ผ่านมา เจ้าหลงเป็นสุนัขแสนรู้อารมณ์ดี เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว มันอยู่แถวริเวอร์ซิตี้ รปภ.ธนาคารฯถามเจ้าหลงว่าจะไปอยู่ด้วยไหม มันจึงเดินตามไปอยู่ที่ธนาคาร (ต้องขอบคุณ คุณ Yudee ที่ส่งข่าวให้ทราบทางหลังไมค์ รวมถึงข้อมูลของเจ้าหลงด้วยครับ) ตอนที่ทำเรื่องตลาดน้อย เจ้าหลงวิ่งมายิ้มต้อนรับ พร้อมคิ้วสีม่วงซี่งเป็นสีของธนาคารไทยพาณิชย์ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 55 20:54:34 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 55 01:44:52 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:18:43

ความคิดเห็นที่ 45 สวัสดีค่ะ อาสาม ตั้งใจจะไปกว๊านสิ่วกี่ไม่ได้ไปซักทีค่ะ หลงน่าสงสารจัง T T แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 55 21:20:56 จากคุณ : ปรัซซี่ เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:18:50

ความคิดเห็นที่ 46 ปรัซซี่...กว้านสิ่วกี่เป็ดย่างอร่อยครับ ............................................................ ประวัติของธนาคาร แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 55 01:47:15 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:19:14

ความคิดเห็นที่ 47 สำนักงานแห่งนี้สร้างเป็นอาคา 3 ชั้นขนาดกลาง ตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก ที่เรียกว่า"โบซาร์"(Beaux Arts) ผสมกับ"นีโอคลาสิก"(Neo-classic) ตามความนิยมของไทย ที่แม้ว่จะสร้างแบบตะวันตก แต่ก็นิยมนำศิลปะแต่ละยุคมาผสมกันในอาคารเดียวกัน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:19:42

ความคิดเห็นที่ 48 ออกแบบอาคารโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงในกรุงสยาม คือนานอันนิบาเล ริก็อตติ(Annibale Rigotti) และนายมาริโอ ดามันโย(Mario Tamangno) ซึ่งเป็นนายช่างออกแบบ รับราชการอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:20:13

ความคิดเห็นที่ 49 ห้างยี ครูเซอร์ ของเยอรมัน เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง มูลค่าก่อสร้างประมาณ 300,000 บาท จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:20:37

ความคิดเห็นที่ 50 ในปี พ.ศ.2523 อาคารแห่งนี้ ได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้เป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่นแห่งหนึ่งในประเทศไทย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:20:56

ความคิดเห็นที่ 51 รวมตัวกันที่ศาลาริมน้ำ เพื่อฟังประวัติของอาคาร และเกร็ดเล็กเกล็ดน้อยอีกหลายเรื่อง ซึ่งบางเรื่องก็ไม่สามารถนำมาเขียนบอกเล่าได้ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:21:18

ความคิดเห็นที่ 52 ริมแม่น้ำเจ้าพระยามีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ คนออกแบบสัญญลักษณ์ใหม่ของธนาคาร นำใบโพธิ์มาเป็นสัญญลักษณ์ใหม่ ของธนาคารไทยพาณิชย์ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:21:39

ความคิดเห็นที่ 53 บ้าน คห. 3  บ้านเลขที่ 1 เสร็จ เบียร์ช้าง ไปแล้วครับ ทั้งแถบเลย ยันถนนเจริญกรุงเลยครับ จากคุณ : กินกะเที่ยว เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:23:31

ความคิดเห็นที่ 54 กินกะเที่ยว ...ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ นึกว่าได้แค่โรงศุลกากร ................................................................................... ต้นไม้ใหญ่อีกต้นคือต้นกร่าง ที่ดูคล้ายต้นไทร แต่ไม่มีรากอากาศ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 55 01:49:39 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:23:45

ความคิดเห็นที่ 55 เดินออกไปที่ท่าเรือซึ่งสร้างยื่นออกไปในน้ำ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:24:15

ความคิดเห็นที่ 56 สงสัยมานานว่าสร้างขึ้นเพื่ออะไร และสร้างยื่นเข้าไปในแม่น้ำได้อย่างไร ทั้งที่อยู่ติดกับกรมเจ้าท่า ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสิ่งก่อสร้างไม่ให้ล้ำเส้นทางน้ำ ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าจอดเรือยอชท์ ซึ่งผู้บริหารธนาคารแห่งนี้ในอดีตคนหนึ่ง เป็นผู้พิศมัยการแล่นเรือยอชท์ จึงมีการสร้างท่าจอดเรือยอชท์ไว้ให้ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:24:42

ความคิดเห็นที่ 57 ฝั่งตรงข้ามคือ สน.สมเด็จเจ้าพระยา หลังอาคาร สน.เป็นที่ตั้งของป้อมป้องปัจจามิตร เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างป้อมอีก 8 ป้อม เมื่อขุดคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งเป็นคูพระนครชั้นนอกเสร็จแล้ว และให้สร้างป้อมป้องปัจจามิตร เพื่อป้องกันผู้รุกรานทางด้านลำน้ำเจ้าพระยาด้วย ได้มีโอกาสเดินไปดู ตอนไปงานมิตติ้งห้องไร้สังกัดที่ยกยอมารีน่า เมื่อวันเสาร์ที่ 5-5-2555 และจะนำมาให้ชมทีหลัง ส่วนเสาธงสัญญาณที่เห็น เป็นของกรมเจ้าท่า ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นเสาธงสัญญาณ สำหรับชักธงแจ้งข่าวเรือสินค้าเข้าออกในแม่น้ำเจ้าพระยา ว่าเป็นเรือสินค้าของบริษัทใด จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:25:01

ความคิดเห็นที่ 58 10.54 น.ออกจากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:25:40

ความคิดเห็นที่ 59 เลี้ยวซ้ายผ่านกรมเจ้าท่า เดินไปจนถึงบ้านเก่าหน้าปากซอยแฟลตทรัพย์สินฯ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:26:05

ความคิดเห็นที่ 60 เลี้ยวซ้ายเข้าตรอกโรงเกือก ที่ได้ชื่อตรอกโรงเกือก เพราะซอยนี้เดิมเป็นที่อาศัยของคนฮากกาหรือคนจีนแคะ ซึ่งมีอาชีพทำเกือก แต่เป็นเกือกม้า ที่ทำส่งร้านเซ่งชง ที่สามยอด ซึ่งได้รับสัมปทานการทำรองเท้า เข็มขัด ซองปืนและเกือกม้าให้กับทางราชการ แต่ก็เช่นเดียวกับบางซอยในย่านไชน่าทาวน์ เช่น ตรอกโรงโคมที่ถนนทรงวาด ที่แม้ชื่อซอยจะบ่งบอกอาชีพเดิมของชุมชน แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:26:27

ความคิดเห็นที่ 61 กลางซอยเป็นบ้านเช่า ด้านซ้ายเป็นบ้านไม้สองชั้น มีคนอาศัยอยู่ 6 ครอบครัว ตอนบ่ายอาเฮียขายห่อหมกจะมานั่งแล่เนื้อปลา มีแมวล้อมวงเรียบร้อย คอยรับเศษเนื้อปลา ที่อาเฮียโยนมาให้โดยไม่แย่งกัน คห.66 "เที่ยวไปกินไป @ ตลาดน้อย" http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2008/08/D6876761/D6876761.html จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:26:50

ความคิดเห็นที่ 62 สุดซอยติดแม่น้ำเจ้าพระยา เลี้ยวซ้ายเข้าศาลเจ้าฮ้อนหว่อง ซึ่งเป็นศาลเจ้าของคนจีนแคะ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:27:13

ความคิดเห็นที่ 63 ประวัติของศาลเจ้า จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:27:40

ความคิดเห็นที่ 64 เหนือประตูเข้าศาลเจ้า คือป้าย"ฮั่นหวางเมี้ยว" หรือศาลเจ้ากษัตรย์ฮั่น(ฮ้อนหว่องเมี้ยวในภาษาแคะ) 1 ใน 6 ศาลเจ้าจีนแคะในกรุงเทพฯ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:28:07

ความคิดเห็นที่ 65 ศาลเจ้าถูกทิ้งร้างอยู่นานหลายปี จนพระยาโชฎึกราชเศรษฐี  ต้นตระกูล"โชติกเสถียร" ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดเล่งเน่ยยี่ และพระที่นั่งเวหาดจำรูญที่พระราชวังบางปะอิน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:28:29

ความคิดเห็นที่ 66 ท่านเป็นจีนแคะ เดิมในย่านนี้มีเพียงศาลเจ้าโจวซือกง ซึ่งเป็นศาลเจ้าของคนจีนฮกเกี้ยน จึงได้ทำการบูรณะศาลแห่งนี้ เพื่อให้เป็นศาลของคนจีนแคะ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:28:50

ความคิดเห็นที่ 67 และประดิษฐานรูปปั้นหลิวปัง(แซ่เล้า) ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ฮั่น เป็นองค์ประธานของศาล จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:29:15

ความคิดเห็นที่ 68 กลายเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ศาลแห่งนี้ ไม่ได้รับความสนใจจากสมาคมฮากกา รวมถึงคนจีนแคะแซ่อื่น เพราะถือว่าเป็นศาลเจ้าของคนแซ่"เล้า" จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:29:41

ความคิดเห็นที่ 69 ศาลปึงเถ่ากงของศาลแห่งนี้ แปลกกว่าที่อื่น เพราะเหมือนพระพุทธรูปแบบเชียงรุ้ง จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:30:07

ความคิดเห็นที่ 70 คุณนพดล ชวาลกร ผู้อำนวยการศูนย์ฮากกาศึกษา อุปนายกสมาคมฮากกาแห่งประเทศไทย ผู้ริเริ่มศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของจีนฮากกาในเมืองไทย ให้เกียรติมาบรรยายเพิ่มเติม ศาลเจ้าฮ้อนหว่องต่างจากศาลเจ้าทั่วไป ที่ไม่ได้มีพระโพธิสัตว์เป็นองค์ประธาน โดยชื่อชั้นของศาลเจ้าน่าจะใหญ่ที่สุด แต่กลับได้รับความสนใจน้อยที่สุด เพราะชื่อศาลทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่าเป็นศาลเจ้าของตระกูลเล้า คนจีนแซ่อื่น จึงไม่มาไหว้กัน แม้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 8 กรมการปกครองจะออกกฏว่า ศาลเจ้าที่ปราศจากผู้อุปถัมภ์ดูแล จะต้องสังกัดกรมการปกครอง ทำให้สมาคมฮากกาต้องยื่นมือเข้ามา แต่ก็ปราศจากเงินในการบูรณะดูแล ต้องเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาดูแลแทน จึงเริ่มมีการสร้างสิ่งดึงดูดให้คนเข้ามาไหว้ที่ศาล เช่น ศาลเจ้าแม่กวนอิม ศาลปึงเถ่ากง ศาลเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ชั้นสองของหอด้านนอก ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ตั้งอยู่สูงกว่าศาลเจ้าอื่น ทำให้มีคนมาไหว้ขอโชคลาภ เพราะถือว่าอยู่ใกล้สวรรค์กว่าที่อื่น จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:30:32

ความคิดเห็นที่ 71 ป้ายประวัติของศาลแห่งนี้ ที่ยืนยันถึงความเก่าแก่ของศาลเจ้าฮ้อนหว่อง จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:30:55

ความคิดเห็นที่ 72 ทายาทของตระกูลโชติกเสถียร หนึ่งในผู้ร่วมเดินวันนี้ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:31:19

ความคิดเห็นที่ 73 เดินทะลุซอยตรงข้ามศาลเจ้าฮ้อนหว่อง ผ่านซอยเจ้าสัวสอน ระหว่างซอยเจ้าสัวสอนและซอยดวงตะวัน ทางขวามือมีสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนศาลเจ้า แต่ความจริงแล้ว บ้านนี้มีชื่อว่า"บ้านโซวเฮงไถ่" หรือ"บ้านคุณนายดวงตะวัน" จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:33:16

ความคิดเห็นที่ 74 ความเป็นมาของบ้านโซวเฮงไถ่ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:33:38

ความคิดเห็นที่ 75 เมื่อแง้มบานประตูเล็กน้อย จะมองเห็นสระน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางลานบ้านทรงจีนสองชั้น ปลูกตามผังบ้านแบบคนจีนมีเงิน คือมีบ้านล้อมลานตรงกลางที่เรียกว่า"ซื่อเหอหยวน" หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า "สี่เรือนล้อมลาน" แต่ปรับเปลี่ยนจากบ้านชั้นเดียวเป็นบ้านสองชั้น มีใต้ถุนบ้านแบบไทย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:34:02

ความคิดเห็นที่ 76 วันนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้เดินชมบ้านหลังนี้ พร้อมทั้งรับฟังประวัติของบ้านหลังนี้ ที่มีอายุกว่าสองร้อยปี ตั้งแต่เริ่มกรุงรัตนโกสินทร์ จากคุณดวงตะวัน โปษยะจินดา ทายาทรุ่นที่ 7 ซึ่งกำลังอุ้มทายาทรุ่นที่ 8 จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:34:32

ความคิดเห็นที่ 77 เรือนประธานกลางบ้านชั้นบน ปูพื้นด้วยไม้สัก สร้างลดระดับแบบบ้านทรงไทย ซ้ายขวาของเรือนกลางบ้าน มีประตูขึ้นบันไดปูนไปยังปีกแต่ละด้านของบ้าน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:36:01

ความคิดเห็นที่ 78 ห้องกลางเป็นที่ประดิษฐานป้ายบูชาบรรพบุรุษตระกูลโซวที่สร้างบ้านหลังนี้ คือพระอภัยวานิช (จาค) ชาวจีนฮกเกี้ยนต้นตระกูลโปษยะจินดา เจ้าของท่าเรือ"โปเส็ง"จอดเรือสำเภา ซึ่งปิดตัวลงในรุ่นที่สองคือหลวงอภัยวานิช(เจ้าสัวสอน) หลังการเข้ามาของเรือกลไฟ ที่มา : เยี่ยมเรือน เยือนอดีตบางกอก ๒๐๐ ปี : คฤหาสน์ โซว เฮง ไถ่ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=19708 http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kampong&month=27-01-2006&group=14&gblog=8 บ้านโซวเฮงไถ่ อดีตอันรุ่งเรืองของตระกูลโซวย่านตลาดน้อย http://forum.fujifilm.co.th/showthread.php?t=17665 นิภาพร รัชตพัฒนากุล สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   ตลาดน้อย : พัฒนาการชุมชน "เจ๊ก" ในบางกอก   http://thai-d.com/siam-china/silapawattanatham/sw-1.htm ตามรอยบ้านเตี่ย ถิ่นเกิดอาจารย์ป๋วย http://board.palungjit.com/f76/%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8% AD%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95% จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:36:28

ความคิดเห็นที่ 79 วันที่เข้าชมบ้านโซวเฮงไถ่ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:42:27

ความคิดเห็นที่ 80 มีคนมาเรียนดำน้ำพอดี จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:42:54

ความคิดเห็นที่ 81 ที่นี่รับสอนตั้งแต่ระดับเริ่มแรก จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:43:18

ความคิดเห็นที่ 82 ซึ่งตามปกติแล้ว การดำน้ำต้องดำน้ำเป็นคู่ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือคู่หูระหว่างการดำน้ำ อย่างเช่นวันนี้ เป็นการเรียนการผลัดกันให้อากาศหายใจ ในกรณีที่ถังดำน้ำของอีกฝ่ายอากาศหมด จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:43:42

ความคิดเห็นที่ 83 นอกจากสอนดำน้ำแล้ว ที่นี่ยังมีการจัดทริปไปดำน้ำ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:44:15

ความคิดเห็นที่ 84 ปัจจุบันนอกจากเปิดเป็นโรงเรียนสอนดำน้ำแล้ว ยังเพาะสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลขายด้วย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:45:48

ความคิดเห็นที่ 85 คุณนายดวงตะวันมีฝีมือในการทำอาหาร ไม่ได้เปิดเป็นร้าน แต่ทำตามสั่ง เช่น ข้าวต้มมัด , สาคูไส้หมู และขนมจีนซาวน้ำ และเดือนนี้กำลังจะออกหนังสือการทำอาหาร วันนี้คุณนายดวงตะวันทำข้าวต้มมัด เลี้ยงผู้เข้าร่วมกิจกรรมเดินทอดน่องฯ ที่มาแวะชมบ้านโซวเฮงไถ่ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:46:09

ความคิดเห็นที่ 86 เป็นข้าวต้มมัดไส้กล้วยใส่ถั่วดำ จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:46:31

ความคิดเห็นที่ 87 ข้าวเหนียวนุ่มหอมกะทิอร่อยมาก จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:46:51

ความคิดเห็นที่ 88 เดินมาหิวๆใกล้เที่ยงเบิ้ลไปสอง คุณนายดวงตะวันทำข้าวต้มมัดไว้มาก จนมีเหลือให้ใส่ถุงกลับบ้านด้วย จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:47:22

ความคิดเห็นที่ 89 ปกติบ้านหลังนี้ซึ่งอยู่เกือบติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณโดยรอบตัวบ้านจะถูกน้ำท่วมทุกปี ในช่วงฤดูน้ำหลาก โดยท่วมวันละสองเวลา ตามจังหวะการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล แต่เมื่อปีที่ผ่านมาซึ่งน้ำท่วมหนัก ห้องใต้ถุนของบ้านหลังนี้ถูกน้ำท่วมเสียหายหนัก รวมถึงห้องที่ในอดีตเคยเป็นห้องเก็บทอง เพราะบรรพบุรุษหญิงคนหนึ่งของบ้านนี้คืออำแดงอยู่ ร่ำรวยจากการปล่อยเงินกู้และรับจำนำสิ่งของ ที่ดินและบ้าน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:47:45

ความคิดเห็นที่ 90 ในสมัยรัชกาลที่ 5 คนในตระกูลโปษยจินดา คือหลวงนาวาเกนิกร ได้มีโอกาสรับใช้ใต้เบื้องยุคลบาท ฉายภาพพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 โดยยังมีภาพที่ทรงให้ฉาย ก่อนเสด็จสวรรคตไม่นาน จากคุณ : laser เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 21:48:11