ความคิดเห็นที่ 1 Food Safety หรือความปลอดภัยด้านอาหาร   อาหารที่เราจะเสิร์ฟลูกค้านั้น ต้องมีความปลอดภัยสูงสุด  เราดูอะไรกันบ้างละ เริ่มจาก การตรวจสอบวัตถุดิบจาก Suppliers ที่มาส่งหมายถึงการตรวจเช็กด้วยตาเปล่าว่าสินค้าโอเคมั้ย  แล้วใช้เครื่องวัดอุณหภูมิวัดค่ะ ถ้าเป็นพวกปลา หรือเนื้อสัตว์ ต้องไม่สูงกว่า 8 องศา ค่ะ ถ้าไม่ได้ตามมาตรฐาน ก็ส่งกลับค่ะ  สะบัดบ๊อบใส่ ถ้าเป็นอาหารแช่แข็ง ก็ต้องมาแบบยังแข็งค่ะ ห้ามละลายมาเด็ดขาด การเก็บอาหาร  ตู้เย็นจะต้องมีอุณภูมิไม่สูงกว่า 8 องศา(อันนี้เป็นมาตรฐานยุโรป นะคะ)  แต่ที่ร้าน กำหนดให่้ไม่เกิน 5 องศาค่ะ อันนี้ต้องจดบันทึกในสมุด เช้าเย็นนะคะ ตู้แช่แข็ง ต้องต่ำกว่า -18 องศาค่ะ High Risk Food หรืออาหารที่จะไม่ผ่านความร้อนก่อนเสิร์ฟ เช่นพวกแฮม ในตู้เย็นจะต้องอยู่ชั้นสูงกว่าเนื้อสัตว์ดิบค่ะ วัตภุดิบทุกอย่างที่เก็บในตู้เย็น ต้องมีวันหมดอายุติดไว้ค่ะ เช่น เราหั่นผักไว้ในกล่อง ก็ต้องติด สติกเกอร์ไว้ว่า ใช้ได้ถึงเมื่อไหร่ ถ้าไม่ติด แล้วมีคนมาตรวจพบ โดนค่ะ ที่ร้านมีเมนูข้าวแกงกะหรี่ น้ำแกงต้องอยู่ในหม้อที่ควบคุมอุณหภูมิให้สูงกว่า 63 องศาค่ะ เอาง่ายๆนะคะ  ช่วงที่แบคทีเรียเติบโตได้ดีที่สุดคือ ระหว่าง 8 – 63 องศาค่ะ หรือที่เราเรียกว่า Danger Zone ค่ะ อาหารประเภทไก่ ก็ต้องปรุงกันให้สูงกว่า 75 องศา เพื่อกำจัดแบคทีเรียที่ชื่อว่า แซลโมเนล่า (ที่เคยเป็นข่าวเรื่อง KFC)  ก็ต้องวัดอุณภูมิกันค่ะ เป็นผู้ประกอบการเนี่ย เรื่องเยอะนะคะเนี่ย 555 จากคุณ : ลูกแพร แช่อิ่ม เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:01:35

ความคิดเห็นที่ 2 เขียงและมีดที่ใช้  ก็ต้องถูกตามสีที่เค้ากำหนดนะคะ สีแดง ใช้กับเนื้อสัตว์ดิบเท่านั้น สีเหลือง ใช้กับเนื้อสัตว์ปรุงสุกเท่านั้น สีฟ้า ใช้กับปลาและอาหารทะเลเท่านั้น สีเขียว ใช้กับผักสลัดและผลไม้เท่านั้น สีน้ำตาล ใช้กับผักจำพวกราก หรือผักที่ต้องไปปรุงสุกเท่านั้น สีขาว ใช้กับขนมปัง ข้าว ขนมหวาน หรือผลิตภัณฑ์ที่มาจากนม อันนี้ต้องเป๊ะนะคะ มั่วไม่ได้เลย เรื่องผ้าก็เหมือนกันค่ะ  แต่ละร้านก็ต้องกำหนดว่าใช้สีอะไร เช็ดอะไรค่ะ ตอนไปเมืองไทย เห็ร้านดังหลายๆร้านใช้ผ้าวิเศษค่ะ คือผืนเดียวเช็ดทุกอย่าง ตั้งแต่เขียง โต๊ะ จนถึงจานอาหารค่ะ T_T จากคุณ : ลูกแพร แช่อิ่ม เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:04:08

ความคิดเห็นที่ 3 เขียงต่างๆ ค่ะ จากคุณ : ลูกแพร แช่อิ่ม เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:05:46

ความคิดเห็นที่ 4 เรื่องการตรวจสอบ ที่ร้านจะต้องทำ Self Audit ทุกอาทิตย์ค่ะ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี  ทุกเดือนจะมีผู้จัดการเขตเข้ามาตรวจ ทุกหกเดือน Health and Safety Manager จากบริษัทจะมาตรวจค่ะ แต่ตัวแปรสำคัญที่สุดคือ เจ้าหน้าที่จากภาครัฐ ที่เรียกว่า Food Standards Agency มาตรวจค่ะ อารมณ์เหมือนพวกอนามัยที่บ้านเรา  แต่อำนาจสูงมากกกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ จากคุณ : ลูกแพร แช่อิ่ม เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:08:22

ความคิดเห็นที่ 5 คนพวกนี้เค้าเรียกตัวเองว่า EHO หรือ Environmental Health Officer หรือที่ลูกแพรเรียกว่า “ตัวแม่” ค่ะ พวกเค้ามีอำนาจในการสุ่มตรวจในตลอดเวลา วันไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ค่ะ   หมายความว่า วันดีคืนดี ก็จะมีคนเดินเข้ามาในร้าน แล้วแสดงบัตร EHO เราก็ต้องทำหน้าที่โดยการพาเค้าเดินดูทั้งร้านค่ะ เล่นเอาเหงื่อตกกันเลยทีเดียว 555 แต่ก็ผ่านกันมาได้นะคะ พวกเค้าเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีให้เรากลัวแต่อย่างไรนะคะ  อะไรที่ยังไม่ดีนัก เค้าก็จะให้คำแนะนำค่ะ  แต่อะไรที่ผิดมาก  อันนั้นโดนหนัก อะไรที่เค้าจะดูบ้างละ - การเก็บรักษาวัตถุดิบ - ความสะอาดของร้าน - อุณหภูมิตู้เย็น - สารเคมี - มีอ่างล้างมือ และสบู่ให้พนักงานหรือเปล่า - Pest Control คือการจัดการหนูและแมลง - สมุดบันทึกต่างๆ - วันหมดอายุของสินค้า - ความรู้เกี่ยวกับ Food Safety ของพนักงาน และผู้จัดการ อันนี้ทุกคนต้องเข้าอบรม Food Hygiene Level 2 ส่วนพวกผู้จัดการ ต้อง ได้ Food Hygiene Level 3 and HACCP ด้วยค่ะ ลูกแพรได้มาเรียบร้อยค่ะ รูปมาจาก google นะคะ จากคุณ : ลูกแพร แช่อิ่ม เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:12:09

ความคิดเห็นที่ 6 ส่วนเรื่องอาหารบนสายพานนั้น  มันมีเวลาของมันค่ะ อาหารจำพวกปลาดิบ หรือมีส่วนประกอบของปลาดิบ จะมีอายุ 2 ชั่วโมงบนสายพานค่ะ อาหารปรุงสุก 3 ชั่วโมงค่ะ   เวลาทำเสร็จ ก่อนขึ้นสายพาน ต้องติดเวลาที่เราจะต้องเอาออกค่ะ แล้วต้องค่อยหมั่นเช็กสายพานอยู่เสมอค่ะ บางท่านอาจคิดว่า โกงได้มั้ย เช่น ติดเกินเวลาไป ใครจะรู้ อันนี้ถ้าอยากเสี่ยงก็แล้วแต่ 555  เพราะจะมีผู้ตรวจสอบมาเช็กอยู่เสมอค่ะ  คือเค้าจะมาในมาดลูกค้า แล้วมากินอาหารค่ะ  ตลอดเวลาที่นั่งกินก็จะตรวจสายพานไปด้วยค่ะ  ถ้าเจอของหมดอายุ หรือ โกงเวลา หรือ ไม่ติดเวลา ก็จะโดน หักคะแนน จะผ่านได้นั้น ต้องได้คะแนน 95% ขึ้นไปค่ะ  หมายความว่า สายพานจะต้องเป๊ะมากๆค่ะ จานไหนที่หมดอายุ เค้าก็จะถ่ายรูปเอาไว้ แล้วเขียนรายงายค่ะ ถ้าโดนเยอะ ก็จะโดนตรวจสอบจากสำนักงานใหญ่ค่ะ พวกผู้ตรวจนี้เป็นบริษัทข้างนอกนะคะ เพราะฉะนั้น ไม่มีประนีประนอมค่ะ !!! แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 55 16:22:03 แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 55 16:21:42 จากคุณ : ลูกแพร แช่อิ่ม เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:21:23

ความคิดเห็นที่ 7 มาตรฐานเยี่ยมยอดเลยครับ เมื่อไหร่บ้านเราจะมีแบบนี้บ้าง จากคุณ : ธนัช (cts64) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:25:28

ความคิดเห็นที่ 8 ตอนที่กลับไปเที่ยว ก็เห็นร้านอาหารแบบสายพานหลายที่นะคะ  แต่ไม่ทราบว่าเค้ามีการตรวจกันหรือเปล่า เช่นร้าน ชาบูต่างๆ เอาเนื้อขึ้นมาบนสายพาน  แล้วมีการจับเวลามั้ยค่ะ ว่าอยู่ได้นานเท่าไหร่  เพราะเห็นหลายกระทู้บอกว่า เนื้อบางร้านไม่สด ออกเขียวๆด้วยซ้ำ เลยอยากทราบว่าทางผู้ประกอบการมีกระบวนการอะไรบ้าง  ถ้าเค้าไม่มี เราก็ต้องดูแลตัวเองนะคะ ลูกแพรหวังว่า กระทู้นี้คงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยทั้งผู้บริโภคที่จะคอยสังเกต และเลือกร้านที่ใส่ใจในความสะอาด เพื่อความปลอดภัยของคุณคุณ รวมทั้งผู้ประกอบการที่จะหันใาใส่ใจผู้บริโภคมากขึ้นนะคะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ใครมีอะไรสงสัย ถามาได้นะระ จากคุณ : ลูกแพร แช่อิ่ม เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:27:27

ความคิดเห็นที่ 9 มาตรฐานความปลอดภัยเราก็มีครับ ร้านอาหารตามโรงแรมใหญ่ จะเห็นได้ชัด ส่วนร้านที่มีปัญหา จริงๆถามว่าเขารู้และทำได้ไหม ตอบว่าทำได้ครับ แต่ราคาก็จะเพิ่มขึ้น เทียบเท่ากับโรงแรมอย่างที่บอกเลยทีเดียว ดังนั้น ผู้บริโภคมีสิทธิเลือกได้ครับ ว่าจะกินแบบไหน จะดิ่มน้ำส้มแก้วละ 50-100-150-250บาท ราคาก็ตามมาตรฐานเหล่านั้นครับ บ้านเราได้รับเลือก street food หากินได้ 24ชั่วโมง ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งเหมือนกัน จากคุณ : A.R.T. เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 16:46:14

ความคิดเห็นที่ 10 ชอบกระทู้นี้มากๆค่ะ เราเองก็อยู่อังกฤษนะ มาแรกๆนี่งงไปเลยกับกฏเกณฑ์ต่างๆด้านอาหารของเค้า เราเคยวางไก่ย่างทิ้งไว้นอกตู้เย็นประมาณสามวัน นึกขึ้นได้เอามาดมๆดู ยังไม่เสียนี่นา ก็เลยเอามากินต่อ เพื่อนเดินมาเห็นถึงกับตาถลนว่ากินได้ยังไง มันอยู่ข้างนอกมาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวท้องเสียหรอก เราเลยบอกว่า เรามาจากกรุงเทพฯ ไม่มีอะไรที่นี่ทำให้เราท้องเสียได้หรอก ฮ่าๆ ข้อดีของการที่กฏความสะอาดที่เข้มงวดคือคนที่นี่ได้ทานอาหารที่สะอาดมีคุณภาพ แต่ข้อเสีย (ที่เราเดาเอาเอง) คือมันทำให้เค้าบอบบ๊าง บอบบาง อะไรผิดกลิ่นผิดสีหน่อยกินไม่ได้เลย เวลาไปเที่ยวก็เลยป่วย ปวดท้อง ท้องเสียกัน แต่เรากินอาหารคลุกฝุ่น คลุกไอเสียมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายคงชินไปแล้ว เมืองที่เราอยู่เมื่อเร็วๆนี้ก็มีการตรวจ food hygiene ไป มีร้านหนึ่งเป็นร้านบุฟเฟต์จีน ได้ 0 เต็ม 5 ครั้งแรก ครั้งสองเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจเจอเขียงปนกันมั่ว น้ำมันสกปรกใช้ซ้ำ ฯลฯ รอบนี้โดนสั่งปิดทันทีแถมเจ้าของโดนปรับ 44,000 ปอนด์อีกตังหาก จากคุณ : ยิ้มหวานของพิทลอร์ด เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 17:32:54

ความคิดเห็นที่ 11 เป็นเรื่องที่ ผม อยากรู้มานาน แล้ว พออ่านเสร็จ แล้ว ก็ สงสัยว่า ทำไมบ้านเรา ทำไม่ได้(วะ)ครับ จากคุณ : otto เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 17:48:25

ความคิดเห็นที่ 12 ขอตอบคุณA.R.T. นะคะ เข้าใจค่ะว่า ตามโรงแรมใหญ่ๆคงมีการจัดการแบบนี้อยู่  แต่ประเด็นสำคัญนั้น ทางเรามีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ และควบคุมบ้างมั้ย  เพราะถ้าไม่มี การจัดการแบบนี้ก็ไร้ประโยชน์เพราะไม่มีอำนาจตรวจสอบและควบคุม ส่วนร้านตามห้างต่างๆ หรือ ซุปเปอร์มาเก็ตที่นำของหมดอายุมาขาย แล้วติดป้ายทับ  อันนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น ยิ่งเป็นบริษัทใหญ่ด้วยแล้ว น่าจะมีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบบ้าง จากคุณ : จขกท (ลูกแพร แช่อิ่ม) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 18:00:40

ความคิดเห็นที่ 13 ที่เดนมาร์คก็เป็นระบบแบบนี้ แค่ข้าวสวยที่หุงด้วยหม้อไฟฟ้ามีเวลาได้แค่ 3 ชั่วโมง ทั้งๆที่เสียบปลั๊กอุ่นตลอด  ทิ้งอย่างเดียว จากคุณ : คุณนายแดนไกล เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 18:48:36

ความคิดเห็นที่ 14 อุ๊ยยยย คุณน้อง เป็นเจ้าของกิจการพันล้านแล้วเหรอคะ อิอิอิ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 19:06:43

ความคิดเห็นที่ 15 มาตรฐานมาคู่กับราคาครับ ถ้าอยากได้มาตราฐานดีีๆเมืองไทยก็มีเย๊อะแย๊ะนะครับแต่ก็ต้องจ่ายแพงขึ้นมากโขอยู่ครับ ผมว่าการจะเปรียบเทียบอะไรสักอย่างควรเทียบอะไรที่มันอยู่ในระดับเดียวกันจะเข้าท่ากว่า ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาก็ควรเทียบมาตรฐานเดียวกันกับประเทศกำลังพัฒนา ถ้าเราแย่กว่านั่นหมายความว่าเราแย่จริงแต่ถ้าเราดีกว่าก็ต้องยอมรับ ลองเปรียปเทีบกันลาวกัมพูชา พม่า เวียดนาม มาเลเซีย หรือฟิลิปปินส์ดูสิครับว่าเราจะเป็นอย่างไร จากคุณ : inven เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 20:22:36

ความคิดเห็นที่ 16 บ้านเราน่าจะมีบ้างเนอะ จากคุณ : ตังโอ๋ เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 21:12:48

ความคิดเห็นที่ 17 เคยทำงานที่ร้านอาหารในอังกฤษ และ โรงงานในอังกฤษ เขาก็ไม่ได้มีมาตรฐานสูงในทุกๆที่หรอกครับ เหมือนไทยน่ะแหละ ร้านใหญ่ๆ เชนดังๆก็มีมาตรฐานมากกว่าอยู่แล้ว จากคุณ : Tamจัง เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 00:23:05

ความคิดเห็นที่ 18 ชอบมากครับ ที่ความปลอดภัยไม่มีคำว่าประณีประณอม จากคุณ : ตุ้บตั้บ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 01:11:19

ความคิดเห็นที่ 19 มาตรฐานสูง ราคาก็สูงไปด้วยค่ะ เพราะต้นทุนสูงมาก ตอนกลับเมืองไทย ไปกินอาหารญี่ปุ่นกับเพื่อน7-8 คนตก3000+ บาท ราคาพอๆ กับที่เรากินที่ฝรั่งเศส 2 คนกับแฟนเลย เมื่อคินรายได้เฉลี่ยของคนไทยแล้ว ราคาร้านอาหารไทยตอนนี้ก็สมเหตุสมผลดีค่ะ จากคุณ : Phagus เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 01:16:05

ความคิดเห็นที่ 20 ขอตอบนะคะ  บางทีการที่เรามีระบบแบบนี้ในเมืองไทย คงจะไม่ได้ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดมั้งค่ะ ต้องอย่าลืมว่า ค่าจ้างของที่บ้านเราถูกมากนะคะ  ที่อังกฤษ ตกชั่วโมงละสามร้อยกว่า  แต่บ้านเรา วันละสามร้อย  ตกชั่วโมงละ ประมาณ 38 บาท ที่นี้ ประเด็นของเราคือไม่ได้จะให้เปรียบเทียบกับอังกฤษโดยตรง แค่อยากแชร์ให้ฟัง แล้วอะไรที่เราเริ่มทำได้ ก็น่าจะลงมือทำค่ะ เช่นการเก็บรักษาวัตถุดิบต่างๆ การเช็กของหมดอายุ  พวกนี้คงไม่ทำให้ตุ้นทุนสูงขึ้นไปมากหรอกมั้งค่ะ อยากให้ถกกันเยอะๆ เพราะจะได้แสดงความคิดเห็นกันได้คะ  ใครคิดอะไรก็แสดงออกมานะคะ เผื่อได้ไอเดียดีดีกันค่ะ จากคุณ : ลูกแพร แช่อิ่ม เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 06:20:27

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณที่มาแชร์กันค่ะ เป็นความรู้ที่ดี บางอย่างเราจะเอามาใช้เอง 555 อย่างเรื่องแยกเขียงตามสี ตอนเรียนทำอาหารเชฟก็สอนตามนี้ค่ะ แล้วเชฟก็บ่นว่าเอาจริงทำกันไม่ค่อยได้ เพราะหาซื้อไม่ได้ จบข่าว -__- แต่อย่างน้อยที่สุด ขอให้แยกเขียงสำหรับอาหารดิบกับอาหารปรุงสุกก็ยังดี ลองดูตามร้านอาหารตามสั่งบางทีใช้ปนกันนะคะ หั่นหมูดิบ แล้วก็เอาหมูสุกมาวาง หั่นบนที่เดิม มีดอันเดียวกัน ใช้ผ้าวิเศษเช็ดแค่นั้น เง้อ.... จากคุณ : หนูปูน เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 13:00:11

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณที่มาเล่าให้ฟังค่ะ ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเยอะเลย จากคุณ : SuPerHyPerOverUltraGLUE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 13:46:01

ความคิดเห็นที่ 23 อ่านได้ความรู้ดีค่ะ จากคุณ : ladynula เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 15:11:36

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าประเทศเราทำจนเป็นเรื่องปกติก็ไม่น่าแพงมากละมั้ง บางทีเราก็อยากจ่ายแพงกว่า เพื่อให้แน่ใจว่าสะอาดและปลอดภัยมากที่สุด ไม่ต้องถึงขนาดประเทศอื่นๆก็ได้ แค่ให้มากกว่าปัจจุบันหน่อยเถอะ ไม่ใช่เดี๋ยวก็เจอนั่นเจอนี่ในอาหาร เน่าบูด หรือเจอพวกเชื้อโรคอะไรแปลกๆ ถ้าทำได้จริงๆ คงลดปัญหาหลายๆด้านลงไปได้เยอะทีเดียว จากคุณ : Tui_NiChy เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 15:12:39

ความคิดเห็นที่ 25 อยากให้มีระบบการสุ่มตรวจจากหน่วยงานนอกบ้าง ปรับสั่งปิดถ้าฝ่าฝืนไรแบบนี้ แต่สงสัยจะกลายเป็นเพิ่มช่องทางรับเงินใต้โต๊ะกันมากกว่านะคะ จากคุณ : Wildpoodle เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 15:30:45

ความคิดเห็นที่ 26 เคยดูทีวีเยอรมันนำสารคดีเกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่สำนักงาน Ordnungsamt แปลตรงตัวว่า สำนักงานรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย สำนักงานนี้ขึ้นอยู่กับอำเภอ และมีหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่เข้าไปตรวจสอบความสะอาดของร้านขายอาหาร จะเข้าไปดูในครัว การเก็บอาหาร ตู้เย็น เตาหุงต้ม ว่าสะอาดเรียบร้อยถูกสุขลักษณะหรือไม่ เข้าไปตรวจในร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง เอาหมูที่หั่นเป็นก้อนเล็กๆสำหรับทำเปรี้ยวหวาน ซึ่งทอดเสร็จแล้วใส่ในกล่องกระดาษ เจ้าหน้าที่บอกเจ้าของร้านให้เอาไปทิ้ง เพราะเก็บแบบนี้ไม่ได้ อีกร้านเอาผ้าเช็ดโต๊ะมาต้มทำความสะอาดในหม้อหุงต้มที่ใช้ปรุงอาหาร ก็ให้นำหม้อนั้นไปทิ้ง จะนำมาใช้ปรุงอาหารอีกไม่ได้ สำนักงาน Ordnungsamt นี้จะมีหลายหน่วย บางหน่วยเข้าไปเดินตรวจดูความเรียบร้อยในตัวเมือง หากเห็นใครทิ้งก้นบุหรี่ลงบนทางเท้า จะเรียกตัวมาให้เก็บก้นบุหรี่ที่ทิ้งไว้ให้ไปทิ้งในถังขยะ และจะถูกปรับเงินประมาณ 10 ยูโร หากข้างถนนมีคนเอาถุงใส่ขยะมาทิ้งไว้ จะพยายามหาหลักฐานว่าใครเป็นเจ้าของถุงขยะ หากพบซองจดหมาย หรือจดหมายปรากฎชื่ออยู่ จะตามไปเรียกเจ้าของถุงขยะให้เก็บไป และต้องเสียเงินค่าปรับ จากคุณ : บอนเนอร์ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 15:34:00

ความคิดเห็นที่ 27 เราก็เคยทำร้านอาหารที่อเมริกาคะ พวกคนที่เค้ามาตรวจ อยู่ดีๆนึกจะมาก็มา มาทีเครียดกันทั้งร้านกลัวไม่ผ่าน เค้าจะมีที่วัดอุณภูมิ วัดกันทุกสิ่งอย่าง แม้แต่ไข่ไก่ ก็เอาที่วัดทิ่มเข้าไปในไข่ อะไรที่เค้าวัดอุณภูมิไม่ถึงนี่เค้าสั่งให้ทิ้งทันที ที่ร้านเคยโดนทิ้งเนื้อไก่มาเเล้ว เนื่องจากอุณภูมิไม่ถึง ของในตู้เย็นก็ต้องเก็บให้เป็นที่ จะวางผักกับ เนื้อข้างๆกันไม่ได้ (ใส่กล่องแยกสวยงามอยู่นะคะ) พวกแกงก็ป้ายแปะเวลาทำเสร็จ บอกเวลา ต้องมีที่ล้าง(เฉพาะ)มือสำหรับพนักงานแยก เคยมีครั้งนึง ที่ร้านไม่รู้ใครเอาน้ำแข็งมาเทที่อ่างล้างมือ คนมาตรวจพอดีเค้าเห็นเข้าไม่ผ่าน เพราะว่าเค้าให้ไอที่ล้างมือเนี่ยใช้ล้างมืออย่างเดียว ห้ามเอาน้ำแข็งมาเท และอีกหลายอย่างเล่าไม่หมดด จากคุณ : dewaew เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 15:54:37

ความคิดเห็นที่ 28 Food Hygiene ดิฉันทำบีแอนด์บีเล็กๆที่อิตาลี ก็ต้องเข้าคอร์สอบรมเหมือนกันค่ะ ฝั่งยุโรปคิดว่าคงต้องมีทุกประเทศ ขนาดแค่ติดตั้งพวกเจลล้างมือ หรือทิชชูเช็ดมือก็ต้องติดตามที่เค้ากำหนดมา หมดเงินไปกับพวกนี้เยอะยิ่งกว่าพวกผ้าปูที่นอนอีกค่ะ ปล กลัวเจ้าหน้าที่เค้ามาตรวจเหมือนกันค่ะ กลัวพลาดพวกของในตู้เย็น ชอบลืมเขียนวันที่กำกับ บางวันรีบๆก็ห่อๆยัดใส่กล่อง ลืมเขียน จากคุณ : settembre เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 16:43:23

ความคิดเห็นที่ 29 เชื่อมั่นในระบบความปลอดภัยและความสะอาดที่อังกฤษนะคะ   แต่ยังไงๆ ก็มีบางร้านบางมุมที่หลุดรอดสายตาไปบ้าง   เนื่องจากเคยทำงานที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งที่อังกฤษเหมือนกัน อยู่แถวๆ Islington (ขอไม่บอกชื่อละักัน) เจ้าของร้านเป็นคนไทยที่เหนียวสุดๆ ที่ร้านจะเลี้ยงอาหารมื้อเย็นให้พนักงานในร้านทุกคนได้ทาน แต่กับข้าวที่ทำจะใช้ของเหลือ ที่ใช้ไม่ได้แล้ว อย่างเช่นผักที่เริ่มเหลือง หรือไก่ หรือ หมูที่ลืมอยู่ในตู้แช่แข็ง  แล้วก็ขุดขึ้นมาทำกับข้าว  พวกอาหารทะเลพวก กุ้ง หอย ลืมไปเลยไม่เคยมีในเมนูัสักครั้งเดียว (แถมเจ้าของร้านมีการแช่งพนักงานไว้ด้วยว่า ถ้าเค้าไม่อยู่ร้าน แล้วมีใครแอบเอากุ้งไปทำกับข้าวทาน ขอให้หลังงอ ^ ^"" ...เอากะเค้าิสิ) ที่เล่ามาแค่พื้นๆ เพราะใครๆ ก็อยากลดต้นทุน เพิ่มกำไรให้ร้านของตัวเองอยู่แล้ว แต่ที่เรารับไม่ได้เลยก็คือ  พอเด็กยกจานอาหารที่เก็บจากโต๊ะลูกค้าที่เก็บเงินแล้วมา  พี่แกจะคอยจ้องดูว่าจานไหน มีอะไรพอจะเอามาใช้ได้ใหม่หรือไม่... อันนี้เรื่องจริงไม่ได้อิงนิยายเลยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น กุ้งในข้าวผัด ถ้าตัวกุ้งยังดูดี เนื้อตัวยังไม่ได้โดนแทะก็จะเอาออกมาใส่จานนอนพักไว้ รอลงจานถัดไป  , หรือพวกผักที่จัดประดับบนจานไม่ต้องพูดถึงหยิบหมด ที่เล่ามานี่แย่แล้ว  แต่ที่รับไม่ไดุ้สุดๆ เลยก็คือ พี่แกเก็บน้ำแกงเอาไว้ด้วย อย่างพวกแกงเขียวหวาน แกงเผ็ด ตัมข่า จะเก็บน้ำซุปของแต่ละแกง และก็แต่ละชามที่เก็บมาจากโต๊ะลูกค้าเอามารวมไว้ตามชามเดียวกันของแต่ละอย่าง  เพื่อที่ว่าตอนทำแกงหม้อใหม่จะได้ไม่ต้องทำน้ำเยอะมาก  เพราะพี่เค้าบอกกะทิมันแพง... ตอนนั้นทำอยู่ในครัวด้วย เห็นตลอดทุกขั้นตอนการเก็บ  บอกตรงๆ ว่าแทบอ้วก  สงสารฝรั่งที่มานั่งทานอาหารกันมากๆ เลยค่ะ... เป็นไงคะอ่านแล้วรู้สีกอยากทำอาหารแทนเองที่บ้านแน่ๆ เลย ^_^ จากคุณ : fullyboy เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 17:40:18

ความคิดเห็นที่ 30 ไม่เคยทำงานร้านอาหารในต่างประเทศค่ะ แต่จะเล่าเรื่องครัวที่บ้านให้ฟัง ที่บ้านตู้เย็นช่องธรรมดาเซ็ทอุณหภูมิ 6 ตู้ฟรีซเซอร์ -21  ฟรีซเซอร์จะแบ่งประเภทอาหารเป็นชั้นใครชั้นมัน เช่น เนื้อสัตว์ธรรมดา 1 ชั้น อาหารทะเล 1 ชั้น ผักจะรวมกับอาหารสำเร็จ 1 ชั้น  อาหารจิปาถะ เช่นน้ำพริกในขวด แป้งโรตี น้ำมะนาว น้ำใบเตย ก็ 1 ชั้น เป็นต้น พอดีตู้นี้สำหรับแช่แข็งโดยเฉพาะแต่มันมีแค่ 4 ชั้นแล้วก็อยู่ชั้นใต้ดินนู่น ส่วนตู้เย็นจะมีแบ่งช่องฟรีซอีก 2 ช่องจะใส่พวกไอศครีม จะรวมกับน้ำแข็ง แป้งเกี๊ยว เส้นบะหมี่สด อีกช่องจะใส่อาหารที่หยิบใช้บ่อยหรือเหลือจากปรุงอาหารคราวก่อน เช่นพวกหมูสับ จะใส่รวมกับพวกกุนเชียง พวกรากผักชี น้ำมะนาวแช่แข็ง ผักแช่เข็งต่างๆ พริกขี้หนู ตะไคร้ ข่า กระชาย เป็นต้น เขียง ไม่ถึงกับสีเป๊ะตามคุณลูกแพร แต่จะแยกเขียงสำหรับเนื้อสัตว์ดิบ เขียงสำหรับเนื้อสัตว์สุก เขียงสำหรับผัก-ผลไม้ และเขียงสำหรับอาหารแห้งเช่นเขียงสำหรับขนมปัง เป็นต้น มีด ดิฉันมีมีดเยอะมาก (เป็นโรคจิตไงไม่รู้ ชอบมีมีดเยอะและจะหมั่นลับมีดมากๆ) ที่ว่าเยอะนี่ก็หลายสิบเล่ม จะใช้ตามอารมณ์แต่จะเซ็ทโปรดเป็นเป็นสีๆ สำหรับหั่นอาหารแบ่งตามประเภทเหมือนกันเช่นมีดขนมปัง มีดหั่นเนื้อ มีดหั่นปลา หั่นผัก-ผลไม้ ฯลฯ (ชอบทีสุด เพราะมีดพวกนี้จะคมกริบมาก) เครื่องดูดควันจะถอดออกมาล้างทุกๆ 2-3 อาทิตย์โดยฉีดน้ำยาสำหรับทำความสะอาดไขมันโดยเฉพาะทิ้งไว้สักครู่ใหญ่ๆ ใช้แปรงๆแล้วใส่เครื่องล้างจาน ล้างที่อุณหภูมิสูงๆไปเลย พวกฟองน้ำล้างจานก็ยัดเข้าเครื่องเหมือนกัน เอาออกมาแล้วก็วางในจานแล้วเข้าไมโครเวฟอีก ส่วนเครื่องล้างจานจะใช้น้ำยาพิเศษล้างเครื่องทุกๆ 3 เดือน จริงๆควรล้างทุกเดือนแต่ปกติก่อนดิฉันใส่จานสกปรกจะล้างคราบอาหารออกไปสะอาดขั้นหนึ่งก่อนแล้ว เลยอนุโลม ผ้าทำความสะอาดในครัว จะแบ่งเป็นแค่ ผ้าเช็ดมือกับผ้าเช็ดจาน ตอนเย็นทำความสะอาดครัว ถ้าใช้ผ้าเช็ดพื้นเคาน์เตอร์และอ่างล้างจานแล้ว จะผึ่งแห้งสำหรับส่งซักต่อไปวันหลัง ไม่เอามาใช้ต่อแล้วค่ะ ส่วนผ้าสีๆทำความสะอาด ดิฉันแบ่งจริงๆนะคะ สีหนึ่งสำหรับเช็ดหน้าต่าง สีหนึ่งเช็ดตู้ พื้นโต๊ะ สีหนึ่งทำความสะอาดห้องน้ำ ใช้แล้วส่งซักเช่นกัน ม๊อบถูพื้น ใช้แล้วซักน้ำผึ่งแห้งแล้วซักเช่นกัน พวกสิ่งที่ส่งซักนี่ ดิฉันซักที่อุณหภูมิ 60-95 องศาแล้วแต่ตามป้ายกำหนด ซักแล้วปั่นแห้ง ออกมาหอมฉุย สะอาดเอี่ยม ทุกชิ้นยกเว้นม๊อถูพื้นจะรีดก่อนฟับเรียงเข้าตู้ด้วย แค่นี้เองค่ะ สุขอนามัยในบ้าน โชคดียังไม่ถูกขอหย่าข้อหาเป็นระเบียบเกินไป จากคุณ : Regenbogen ^_^ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 17:45:10

ความคิดเห็นที่ 31 ประเทศเราต่อให้เจอจริง มันก็ยัดกันได้ ถ้าหน่วยงานที่ตรวจสอบเป็นส่วนของราชการ เพราะส่วนใหญ่ หิวเงิน งานมางานเดิน ต่อให้เจอว่าร้าน มีตู้เพาะแมลงสาป หนู ข้างเขียงหมูเลย ถ้ามีเงิน อะไรก็ทำได้ สิ่งสำคัญ ต้องปลูกฝังวินัยให้คนไทยก่อน ต้องรู้จักหน้าที่ ต้องรู้จักให้เกียรติอาชีพของตัวเอง อย่าเห็นแก่ได้ และ กฎหมายต้องแรง แรงพอที่จะให้คนกลัว จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 18:24:00

ความคิดเห็นที่ 32 เราก็อยู่อังกฤษค่ะ เราว่าร้านที่ได้มาตรฐานดี ๆ ก็พวกร้านอาหาร แต่ถ้าไปดูพวกร้าน Take Away  หรือ pizza  จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน เราว่าความสะอาดไม่ได้มาตรฐานเท่าไร ส่วนเรื่องของหมดอายุ อย่าว่าแต่ร้านอาหารเลยค่ะ คนปกติที่นี่เขาก็เคร่งกันค่ะ ตอนมาอยู่ใหม่ ๆ เราแบบว่างงมาก ทุกอย่างมีวันหมดอายุ ของอะไรหมดอายุ สามีเราให้ทิ้งอย่างเดียว ไม่ให้กิน เราก็งงดิ อะไรจะตรงขนาดนั้น เพราะอย่างผัก หรือ ของกินบางอย่าง วันที่หมดอายุก็จริง แต่สภาพยังกินได้ ไม่เสีย เราก็กิน ตอนแรกสามีก็บ่น ๆ ตอนหลังเราบ่นกลับบ้าง ตอนนี้ก็หันมาติดนิสัยเราแล้วค่ะ ถ้าเขาไม่แน่ใจก็จะถามเราก่อน อันนี้กินได้ไหม ท้องจะเสียไหม แต่ถ้ามาหวังจะให้เมืองไทยได้มาตรฐานใกล้เคียงกับที่นี่ เรามองว่ายากนะ คงทำไม่ได้ง่าย ๆ เพราะเจ้าของกิจการส่วนมาก ยังเห็นแก่ตัว และละเลยเรื่องนี้อยู่ คงจะทำได้แต่ร้านหรู ๆ ราคาแพง ๆ แต่บ้านเราส่วนมากเป็นร้านตามตึกแถว หรือ รถเข็นข้างทาง หาความสะอาดจริง ๆ ได้ยาก แค่กินแล้วไม่ท้องเสียนี่เราก็ว่าดีแล้วนะ ต้องคนที่มีสามัญสำนึกจริง ๆ ทำกินเองยังไง ก็ทำขายยังนั้น แต่ถ้าทุกร้านทำได้ครึ่งหนึ่งของอังกฤษ เราก็น่าจะพอใจแล้วละ จากคุณ : Lovely Bunny On Blue Earth เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 18:52:16

ความคิดเห็นที่ 33 . ความสะอาด ถูกสุขลักษณะเป็นสิ่งที่ดี แต่ลึกๆ ก็เชื่ออีกเหมือนกันว่า ความ "สะอาด" เกินไป ทำให้ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน เช่นเด็กเล็ก ที่ถูกเลี้ยงมาอย่างสะอาดเกินไป เจออะไรนิดหน่อยที่ผิดธรรมชาติของตัวเองก็ป่วย ต่างกับเด็กที่ ปล่อยๆ บ้าง ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันมากกว่า แต่สุดท้าย ความสกปรกก็ไม่ใช่เรื่องดี ขอบคุณสำหรับความรู้ของเจ้าของกระทู้ที่นำมาแบ่งปัน อยากให้บ้านเรามีมาตรฐานที่ดีแบบนี้บ้าง แม้จะทำไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมดก็ตาม . จากคุณ : last_february เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 18:53:24

ความคิดเห็นที่ 34 ผมเคยไปอยู่มา 1 เดือนผมก็ไม่แปลกใจในเรื่องคุณภาพเลยครับ ของเขาดีจริงๆ อย่างข้าวที่เอาออกมาตั้งนี่ต้องมีวัดอุณหภูมิตลอด เย็นต้องรีบไปอุ่น อาหารและร้านอาหารก็สะอาดสอ้าน ส่วนที่ว่าราคาสูงตามคุณภาพผมเห็นด้วยครับ แต่ในประเทศไทยเดี๋ยวนี้กินอาหารในห้างผมก็ไม่เห็นว่าราคาจะต่างกับที่อังกฤษเท่าไหร่ ราคาอาหารในไทย (ตามห้าง) ถูกกว่านิดหน่อยแต่ปริมาณอาหารก็ไม่ได้เยอะเท่า ที่สำคัญคุณภาพส่วนใหญ่ก็ด้อยกว่า จากคุณ : som1598 เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 20:03:55

ความคิดเห็นที่ 35 ไฮโซ! จากคุณ : nuza555 เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 20:52:21

ความคิดเห็นที่ 36 บ้านเรามันศักดินา ตรวจเจอร้านลูกหลานนักการเมืองข้าราชการผู้ใหญ่ทหารตำรวจคุม คนตรวจจะโดนหนักแทน แถมบางร้านหาว่าไปละเมิดสิทธิ์อีก จิปาถะจะอ้าง บ้านเราจิตสาธารณะยังน้อย จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 00:55:24

ความคิดเห็นที่ 37 ลูกค้าประจำ Yo!Sushi เลยนะ ไปช็อปทีไร ทานทุกที เพราะสะดวก มีหลายสาขา ไม่ต้องรอ อาหารอร่อยใช้ได้เลยค่ะ รัก Yo ! ที่สุด จุ๊ฟๆ ที่เยอรมัน เวลาคนมาตรวจนะ เค้ามาแบบธรรมดา มาก เสื้อยืด กางเกงยีนส์ มาสังเกตุการณ์ก่อน พอได้ที พี่แกก้อโชว์ป้าย อั๊ยยะ หัวใจคนทั้งร้านเต้น ระรัว จากนั้นคุณเค้าก้อเอาเสื้อกราวมาใส่ พร้อมหมวก มือถืออาวุธ คือ ที่วัดอุณหภูมิ แทงมันไปทุกอย่าง ว่าได้องศาที่ถูกต้องไหม มือก้อโยนราว ลูบมันเข้าไป ขอบที่ดูดอากาศเอง หลังตู้เอง ชั้นวางของเอง ถ้าสะดุด เมื่อไหร่ เป็นเรื่อง มันต้องสะอาด รูดไหลลื่นปรื้ดๆๆ จากนั้น ท่านก้อไปสำรวจห้องเย็น  แง้มฝาโลง เอ๊ย ฝากล่องดูหมด ที่นี่ห้ามเอาของสดวางติดกัน ต้องใส่ กล่องแยกโลด สัตว์บก ปีก น้ำ ผัก ไข่ คนละชั้น ของดิบ ด้านนึง ของสด ด้านนึง ใส่ตู้เย็นยัดๆๆๆเอาไม่ได้นะ ของทุกชิ้นต้องมีวันที่ที่เราทำแปะ น้ำซอส น้ำจิ้ม น้ำแกง ผักต้ม ไปยันของแช่แข็ง เธอเอาเข้าแช่วันไหนหราา ยิ่ง น้ำมันนะ ไม่ได้เลย ดำๆอย่างบ้านเราเนี่ยะ โดนปรับชัวร์ พวกที่กดเบียร์ เครื่องกาแฟ เธอเอ๋ย คุณเขามีอุปกรณ์พิเศษ เป็นไม้แยงวิเศษ แยงตามสายที่เชื่อมจากลังเบียร์ไปที่กด กับ สายนมในเครืีองทำกาแฟ ถ้ามีอะไรเป็นวุ้น เป็นเมือกออกมานะ เตรียมตัวปิดร้าน ( เพื่อสังคยนาและเสียค่าปรับ ) พอคุณเค้ากลับไป โดยที่ไม่มีอะไร เหมือนภูเขาที่ทันอยู่ มันหายไปทันที เคร่งมาก เลยนะ คุณๆพวกนี้ น้ำซึกแก้วยังไม่รับดื่ม กันคำครหาว่าติดสินบน จากคุณ : Annachen เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 03:43:19

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้าบังคับจริงจังก็ทำได้ครับ คือทำผิด โดนปิดร้าน อะไรแบบนี้ บังคับแบบให้เข้มงวดทุกร้านเท่าเทียมน่ะครับ แต่ต้องยอมรับว่าราคาอาหารมันจะพุ่งขึ้นพรวดๆเลยทีเดียว เพราะนอกจากขั้นตอนวิธี ร้านต้องปรับปรุงส่วนครัวใหม่เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน ทุกวันนี้ประเทศเรา มีตะหลิว กะทะ เตาไฟ ก็เปิดร้านได้ล่ะครับ อาหารมันเลยมีทางเลือกเยอะ แข่งขันด้านราคา ราคามันเลยถูกมากๆ และหลากหลายมากๆ ถ้าเอาตามเกณฑ์เมืองนอกนี่ผมว่าสาหัสน่ะครับส่วนครัวส่วนตู้แช่ โต๊ะเตรียม มันต้องสะอาดทำความสะอาดง่าย ส่วนล้าง ส่วนท่อน้ำทิ้ง มันต้องลงทุนเพิ่มเพื่อให้สะอาดตามมาตรฐาน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คนเปิดร้านได้จะมีแต่นายทุนครับ และการแข่งขันจะน้อย ราคาก็จะขยับขึ้นไปอีกหลายเท่าเลยครับ สำหรับผมในฐานะที่ทำร้านอาหาร หากจะมีการปรับมาตรฐานใหม่ก็ยินดีครับ แต่ขอให้ปฎิบัติอย่างเข้มงวด และเท่าเทียม คือมาตรฐานไม่ผ่านบังคับปิดอย่างเดียว การจะเปิดร้านต้องขอใบอนุญาต ตรวจกันอย่างเข้มงวด ไม่ใช่บังคับ้างไม่บังคับบ้าง เหลาะๆแหละๆ ร้านทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 55 08:06:06 จากคุณ : คุณปลาทอง เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 08:03:46

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ เคยผ่าน Yo sushi แต่ไม่เคยเข้าไปทาน แหมรู้สึกเสียดายจัง จากคุณ : คะน้า (KaNa-IRC) เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 09:22:59

ความคิดเห็นที่ 40 อ่านแล้วไม่แปลกใจ ว่าทำมัี้ยเวลาฝรั่ง มันมาเมืองไทยเรา มันแทบไม่กล้ากินอาหารบ้านเราเลย  เห็นมากินแต่น้ำแร่เป็นขวด กินแต่ pizza mc จากคุณ : tvong เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 09:44:23

ความคิดเห็นที่ 41 Yo sushi เป็นแบบนั้นจริงๆครับ เพื่อนคนจีนไปทำงานที่นั่นเล่าให้ฟังละเอียดเลย ร้านนี้ดีทุกอย่างเลยครับเสียอย่างเดียวรสชาติอาหารไม่ได้เรื่องเลยครับ ไม่เข้าใจนะครับทำระบบทุกอย่างดีได้แต่ทำอาหารให้อร่อยไม่ได้ อิอิ     ขอบคุณสำหรับรายละเอียดต่างๆครับ อ่านแล้วเพลินดี นึกถึงร้านข้าวผัดปู เมืองทอง สาขาแถวบ้านผม(สุคนธสวัสดิ์) เอาครัวไว้ริมถนน เตาเกือบสิบเตา ผัดกันเข้าไปควันโขมง ที่ดูดควันยังไม่มีเลย จากคุณ : landon เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 10:32:29

ความคิดเห็นที่ 42 ผมชอบนะ ที่เขาแบ่งวิธีเก็บวิธีทำ ให้เป็นระบบ ผมสนับสนุนการรักษาความปลอดภัยอย่างนี้จัง แต่ ร้านแบบนี้ ค้อง ทิ้งอาหารวันละเท่าไรกันเล่าครับ ทั้งๆที่ ยังเป็นอาหารรับประทานได้ แต่แค่ตกมาตรฐาน แต่ถ้าเขานำมาทำต่อ ก้จะไม่ได้การรับรอง ทันที ผมชอบการรักษามาตรฐานที่ไม่ทำให้ทรัพยากรสูญปล่าวมากกว่านะครับ ไม่ใช่แค่มีเงินก้ซื้อของมาทิ้งได้ บางที่ขอให้ สะอาดที่สุด สะดวกที่สุด แต่ที่บางที่ ขอแค่อันตรายน้อยที่สุดก้พอแล้ว จากคุณ : กังป๋วย เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 11:24:00

ความคิดเห็นที่ 43 การมีมาตราฐานแบบยุโรปไม่ได้ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่ปัจจุบันราคาอาหารเมืองไทยแพงเกินความเป็นจริงมากร้านอาหารธรรมดาที่ออสเตรเลีย ที่ผมเคคยทำงานใช้มาตราฐานคล้ายกับที่อังกฤษครับ ต้องมีการตรวจสอบ การจดบันทึก รายละเอียดเยอะมาก.ซึ่งคนไทยคงรับไม่ได้กับความเจริญแบบนี้ เพราะจะอ้างเรื่องต้นทุนทันที จากคุณ : อำเภอใจ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 13:09:38

ความคิดเห็นที่ 44 -.-? ทำไมไม่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ในเมื่อแค่จะเปิดร้านถ้าจะเอาตามมาตรฐานต่างประเทศ คุณต้องลงทุนเท่าไหร่ ? มันไม่ใช่แค่เขียง 5 อัน ไหนจะเรื่องตู้แช่ ร้านอาหารไทยใช้ถังน้ำแข็งอัดน้ำแข็งยัดเก็บผัก + เนื้อสัตว์ ตู้แช่ -18c จะมีกันซักกี่ร้านกัน ... รอบเตา ต้องเป็นวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย และหมั่นทำความสะอาดตลอดเวลาหลังทำเสร็จ ก็คือต้องเป็น top สแตนเลสเท่านั้นครับ เพราะ top กระเบี้ยงยังขึ้นและสกปรกตามร่อง ถามว่าราคาเท่าไหร่  ? ซิงค์ล้างสแตนเลสตามมาตรฐานหลุมลึก หลุมนึงราคาหลายพันบาท ไหนจะขาตั้ง ของไทยกาละมังพลาติกล้างกันหลังร้าน นั่งกับพื้น พื้นครัว ผนังครัว ต้องทำความสะอาดง่าย และปิดป้องกันแมลงและสัตว์ ของไทย ครัวเปิดซะส่วนใหญ่ พัดลมดุดควัน ต้องทำความสะอาดล้างตลอด ของไทย ดำยังไงดำยังงั้น ยิ่งร้านเก่ายิ่งดำมาก ภาชนะช้อนส้อมมีด ต้องมีตู้เก็บมิดชิด   นี่ต้นทุนไม่เพิ่ม ..... กรรมวิธีมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เงินลงทุนเปิดครัวให้ได้มาตรฐานแบบนั้น คุณคิดว่าเท่าไหร่ ? แล้วจะขายอาหารจานล่ะเท่าไหร่ ? ไม่รวมถึงขั้นตอนการทำงานที่เพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น แน่นอนว่าบุคลากรต้องใช้ที่มีคุณภาพขึ้น ไม่ได้ส่งผลต่อต้นทุนรึ ? จากคุณ : คุณปลาทอง เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 14:08:21

ความคิดเห็นที่ 45 พวกผมเรียกร้านนี้ว่า "แย่ซูชิ" เพราะรสชาติกากมากจริงๆ จากคุณ : veevaa เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 15:20:17

ความคิดเห็นที่ 46 ผมว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเมืองไทย เพราะถ้าทำได้ตามนี้ทุกอย่าง ร้านอาหาร 1 ร้าน จะมีต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก แล้วราคาขายก็ต้องสูงตามด้วย ทำให้ลูกค้าต้องทานอาหารในราคาที่แพง สุดท้ายแล้วก็ไม่มีคนกิน แล้วก็เจ๊ง ในที่สุด จากคุณ : marn_mania_1 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 16:32:25

ความคิดเห็นที่ 47 ขอเพิ่มเติมในฐานะทำร้านอาหารในเมืองไทยนะครับ ตอนนี้เมืองไทยก็เริ่มทำแล้วนะครับ ใช้ชื่อว่า"สุขาภิบาลอาหาร" ออกเป็นกฏหมายยังคับใช้ในเขตกรุงเทพ เด็กเสิร์ฟ ผจก คนครัว และทุกคนที่ต้องสัมผัสอาหารก่อนเสิร์ฟจะต้องไปอบรม และสอบให้ผ่าน เมื่อผ่านกทม.จะออกบัตรผู้สัมผัสอาหารให้มีอายุ 3 ปี ผมเพิ่งไปอบรมมาเมือต้นปี เสร็จแล้วก็ต้องเอามาปรับกับที่ร้านเยอะแยะเลยละครับ ถามว่ามันทำให้ต้นทุนอาหารสูงไหม ผมว่ามันไม่เยอะขนาดนั้นนะครับ การที่เราป้องกันและทำให้สะอาดเรียบร้อย ก็ทำให้เราบริหารจัดการร้านได้อย่างเป็นระบบ ป้องกันการทำให้ลูกค้าท้องเสีย เป็นโรคจนสุดท้ายต้องมาเสียชื่อ มันก็โอเคในระดับหนึ่งนะครับ วกไปที่อบรมต่อ วิทยากรเขาบอกว่า 2555-2556 จะอบรมให้เกือบหมดก่อน และในปี 2556 ถ้าร้านไหนมาต่อใบร้านอาหารจะต้องแนบมาด้วยว่าร้านคุณมี"ผู้สัมผัสอาหาร"กี่คน เหลืออายุเท่าไร บลาๆๆ ในปีหน้าเห็นว่าจะขยายเรื่อง"สุขาภิบาลอาหาร"ไปเมืองท่องเที่ยวต่างๆ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ ที่กล่าวมาก็แค่อยากบอกว่าในเมืองไทยก็มีครับ แต่กำลังเริ่ม รอบที่ไปอบรมเนี่ยเจอคนของ MK เยอะมากเหมือนบริษัทเหมารอบมาเลย ก็ได้แต่หวังว่าโครงการ"สุขาภิบาลอาหาร"จะไม่เลิก เละไปเองเสียก่อนนะ มาแชร์ให้ฟังครับ ^^ จากคุณ : kingofearth เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 22:39:12

ความคิดเห็นที่ 48 เห็นด้วยกับคห.42 นะ ที่ว่าเสียดายของ ของทานที่ต้องทิ้ง เพราะไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ไม่ใช่ทิ้งเพราะเสีย มีมากมายมหาศาลเลยทีเดียว สามารถเลี้ยงคนทั้งทวีปได้อย่างสบายๆ จากคุณ : Annachen เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 55 06:56:34

ความคิดเห็นที่ 49 @21 ถ้าอยากแยกเขียงจริงๆ แล้วหาซื้อสีๆ ไม่ได้ แนะนำให้ใช้แปะป้ายเอาค่ะ เขียงนี้สีฟ้า  เขียงนี้สีเหลือง  เขียงนี้สีเขียว จากคุณ : beermania เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 55 11:05:19

ความคิดเห็นที่ 50 จากการทำงานร้านสเต็กที่มีอยู่ตามห้างใหญ่ๆ มีการตรวจสอบคุณภาพเหมือนกันค่ะ แต่ว่า ผู้จัดการเขามักจะมาบอกล่วงหน้าว่าอาทิตย์ไหนที่เขาจะมาตรวจ ก็ทำความสะอาดกันยกใหญ่เลยค่ะ อาหารรึ ตู้แช่ ซักล้าง สะอาดหมดจด แต่หลังจากการตรวจแล้ว ก็ชิวๆกันค่ะ ปีเตอร์ หนู ก็วิ่งกันไปมาให้เห็นอยู่ร่ำไป หึหึ จากคุณ : กระต่ายลายเสือ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 55 16:35:53

ความคิดเห็นที่ 51 ความเห็นส่วนตัว ขอสะอาดๆ ก็พอแล้วค่ะ จะให้ทิ้งข้าวเป็นหม้อๆ หรือสดเป๊ะไปทุกอย่าง อาจจะเกินความจำป็นสำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเราน่ะค่ะ จากคุณ : หน้าตาเหรอหราเชียวนะเรา เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 55 16:46:31

ความคิดเห็นที่ 52 ร้านอาหาร การจดบันทึกเวลาของอาหารไม่ทำให้ต้นทุนสูงมากขึ้นหรอกครับ ผมเคยทำร้านอาหาร เขาจะมีสถิติการกินของลูกค้าครับ ว่าช่วงไหนควรวางของเท่าไร ทำของออกเท่าไร เช่น เช้า ลูกค้ามาทำงาน ควรทำฮอทดอกไว้เลยอย่างต่ำ 200-300 ชิ้น จาก 07.30-09.00 ทำไว้เลย  เฉลี่ย ชม.ละ 100 ชิ้น ถ้าเป็นช่วงเที่ยง อาหารหลักที่เป็นเมนูโชว์ของร้าน ควรทำขึ้นตู้ไว้รอเลย ยังไงก็ขายได้ อย่างต่ำทำไว้อย่างละ 5 จาน ไก่ ช่วงนี้ลูกค้าเยอะ ย่างไว้เลยกี่ตัว เพราะมีเวลาขาย 45 นาทีก่อนหมดอายุ ส่วนมากเลยของจะไม่พอขาย เพราะจะทำไว้เกือบพอดี ช่วงท้าย ๆ ลูกค้าถึงจะได้รอของ ไม่ทำให้ขาดทุนเลยครับ วิธีนี้จะช่วยทำให้ร้านประหยัดต้นทุน และลูกค้าได้บริโภคของที่สดใหม่ตลอดเวลา แต่ แต่ แต่ ทั้ง นี้ทั้งนั้น ต้องอยู่ที่ประสบการณ์ของผู้บริหารร้านด้วยว่า มีความสามารถแค่ไหน และจริงใจแค่ไหน บางทีของขายไม่หมดในชม.นั้น เปลี่ยนป้ายใหม่ (เพราะไม่มีคนตรวจ) แล้วเอามาขายต่อ ทำให้เกิดกรณี ไก่หด ไก่แข็ง ไก่แปลงร่าง ขึ้นได้ ของอย่างนี้อยู่ที่การจัดการครับ ทำดี ทำเป็น มันมีแต่ผลดี ไม่มีเสียหรอกครับ พวกที่ไม่ลงเวลาของอาหารซะอีก จะทำให้ธุรกิจของเขาล่มจมไปเรื่อย ๆ เช่นกรณี ตับแห้ง ผักเหี่ยว ลูกชิ้นบูด ข้าวแข็ง เหตุการณ์เหล่านี้แหละจะเป็นตัวทำลายร้านของเขาไปเรื่อย ๆ ครับ จากคุณ : Serial_Nuber เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 20:18:54