นอกเรื่องสักหน่อย
สำหรับผมแล้ว ส่วนตัวคิดว่าราคากาแฟเท่านี้แพงไหม บอกได้เลยว่าแพง
แต่ถ้าบอกว่าเทียบกับเจ้าอื่นแพงไหม ก็บอกว่าราคาใกล้เคียงกัน
ในความเป็นจริงมัน "แพงพอๆ กันต่างหาก"
ถ้าผมเลี่ยงได้ผมก็ไม่ทาน เว้นไปดีกว่า
แต่ถ้านัดลูกค้า เพื่อน ไปนั่งคุยงานกัน ก็จำเป็นต้องไปทาน
เรากำลังถูกวัฒนธรรมวัตถุนิยมครอบงำ
เราถูกค่าเงินเฟ้อทำร้าย เราโดยไม่รู้ตัว
เราเคยชินกับความสบาย และการให้คนอื่นบริการเรา
การยึดอัตตาตัวตนจนมาเกิน ล้นไป ก็มีให้เห็นในกระทู้นี้
เรื่องคำพูดเวลาพูดกัน หรือเขียนในเว็บ เฟสบุ๊ค
มักสื่อความเป็นตัวตนของคนๆนั้นได้ชัดเจน
ส่วนใหญ่เวลาที่เจอคนที่เข้าใจผิดกันมักจะเป็นอย่างนี้ครับ
ตัวอย่าง พี่น้องกำลังทะเลาะกันอยู่ในบ้าน มีเพื่อนของพี่สาวเดินเข้ามาผสมโรง
เพื่อนพี่สาวช่วยด่าน้องชายของเพื่อนอย่างมันปาก จนน้องชายงง
น้องชายต้องการหยุดเพื่อนพีสาวเลยเอ่ยผู้ออกไปว่า
"ถ้าผมเดินเข้าบ้านคนอื่น แล้วเห็นเขาทะเลาะกัน ผมจะไม่ทำแบบนี้หรอกนะ"
สารที่สื่อออกไป ค่อนข้างชัดเจน เป็นการห้ามปรามว่า น่าจะหยุดพฤติกรรมดังกล่าว
แต่ ผู้รับสารกลับตีความด้วยความคิดประสบการณ์ของตัวเองที่มี
กลายเป็นประโยคว่า "ที่นี่บ้านผม มาทำแบบนี้ในบ้านได้อย่างไร เขาทะเลาะกัน"
จากนั้นทั้งพี่สาวและเพื่อนพี่สาวก็เข้าใจเป็นประโยคๆ นั้นและออกไปโวยวายกับคนรอบข้างว่า
มันทำตัวใหญ่หาว่าเป็นบ้านมัน แล้วไม่รู้จักผู้ใหญ่กว่าไปบอกให้เขาหยุดพูด ทั้งที่เขากำลังจะสั่งสอน
คุ้นๆ ไหมครับ.....
เหตุการณ์นี้เป็นคำพูดและประโยคที่พูดกันออกมา แต่สุดท้ายคนที่พูดมักจะเข้าใจไปตามที่ตัวอย่างเข้าใจ
การสื่อออกไปให้คนอื่นเห็น ผู้สื่อมักจะต้องเข้าข้างตัวเองเป็นเรื่องปกติแล้ว
และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ผู้ที่อยู่รอบข้างก็ไม่ได้ฟังความทั้งสองฝ่าย
มักจะเชื่อฝ่ายที่ตัวเองรักใคร่ ชอบพอ หรือมีผลประโยชน์ด้วยนั้นแหละ
ย้อนมาในกระทู้นี้
ถ้าตัวบุคคลที่เป็นปัญหา ได้มีการบอกกล่าวถึงสิ่งที่ควรปรับปรุงของอีกฝ่ายแล้ว
อีกฝ่ายก็ยอมรับผิดแล้ว และจะนำไปแก้ไข เรื่องก็ควรจะจบ
แต่หากไม่จบก็ระลึก หรือพิจารณาคำว่า "วิญญูชน" ให้ชัดเจน...