ความคิดเห็นที่ 1 IMEX CR150 เครื่องคั่วสัญชาติเกาหลี เคยมีขายที่วีรสุ ราคาประมาณ 7000 บาท คั่วได้ครั้งละ 150 กรัม  การคั่วไม่ยากเลยเพราะแค่เปิดเครื่อง ตั้งเวลา ใส่เมล็ดกาแฟ  พอถึงระดับการคั่วที่เราต้องการก็แค่บิดสวิทช์กลับ heater ก็จะหยุดทำงาน เหลือแต่พัดลมที่เป่าเพื่อเป็นการทำให้เมล็ดกาแฟเย็นลง ด้วยความรู้ตอนนั้นอันน้อยนิด(ตอนนี้ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเล้ยยยย สาบานได้) เค้าบอกกันว่าให้ฟังเสียงเมล็ดกาแฟแตก ซึ่งจะมีสองครั้ง ครั้งแรกจะแตกหลังจากคั่วกาแฟไปซักพักจนเริ่มเป็นสีน้ำตาล เค้าอธิบายว่าเป็นเพราะความร้อนทำให้เมล็ดขยายตัว บวกกับมีก๊าซ co2 ทำให้เมล็ดกาแฟระเบิดเป็นเสียงดังเหมือนเมล็ดข้าวโพดแตก ประมาณนั้นอ่ะครับ พอคั่วต่อไปซักพัก กาแฟจะสีจะเริ่มคล้ำขึ้นเรื่อยๆ และจะเริ่มได้ยินcrack ที่สอง ซึ่งครั้งนี่เสียงจะเบากว่า คล้ายๆเสียงที่เราเอาผมมาเสียดสีกันตรงใบหู มันมาจากโครงสร้างพวก cellulose มันเริ่มจะพัง  ปัจจุบันพวกโรงคั่วกาแฟหัวก้าวหน้านี่เค้าไม่ยอมคั่วกันถึงระดับนี้ด้วยซ้ำ นัยว่าจะทำให้คาแรคเตอร์ที่มีอยู่ในกาแฟตัวนั้นๆ หายไป  แต่แน่นอน กาแฟในบ้านเราที่ขายคั่วกันที่ระดับนี้เป็นอย่างน้อย ส่วนใหญ่ก็จะปล่อยไหลไปอีกซัก ครึ่งนาที หรือเริ่มเห็นน้ำมันเกาะที่เมล็ดกาแฟ เพื่อลดความเปรี้ยว และทำให้มีroasted คาแรคเตอร์ หรือกลิ่นกาแฟไหม้ ซึ่งผมว่าคนส่วนใหญ่ชอบกันนะ อ่ะ กลับมาที่เครื่องคั่วตัวนี้ก่อน หลักการคือเป็น fluid bed roaster คือใช้ลมร้อนเหมือนเครื่องเป่าผม เป่าผ่านเมล็ดกาแฟ ใช้เวลาซัก 10 นาทีก็จะได้กาแฟคั่วระดับกลาง  มีตัวเก็บเปลือกกาแฟที่ดี ข้อดี 1. ให้รสชาติกาแฟที่ดีเลย ผมยังจำกาแฟcolumbia supremo ที่คั่วจากเครื่องตัวนี้ได้ เป็นช็อตกาแฟที่ดีที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่งทีเดียว 2.ทน ใช้งานมาเกือบปีก็ไม่มีปัญหา จนมันหายไปเอง ข้อเสีย 1.เสียงดังมาก ฟังเสียงกาแฟแตกไม่ค่อยชัด 2.ช่วง cool down ช้ามาก ผมว่าทำให้กาแฟเสียรสชาติไปพอควร ถ้าเป็นคะแนนผมให้8/10 ครับ จากคุณ : pnarischat เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 03:41:03

ความคิดเห็นที่ 2 Freshroast เป็นตัวต่อมาที่ผมลอง ไม่มีขายในเมืองไทย จำได้ว่าต้องสั่งเข้ามา ราคาไม่แพงมาก ซัก 4000 บาท แต่เนื่องจากเป็นUS version ไฟ 110V ก็ต้องลำบากหาตัวแปลงไฟ ซึ่งหายากมากเพราะต้องใช้กำลังวัตต์สูง ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะซัก 2000W  ซึ่งหม้อแปลงราคาก็เกือบเท่าเครื่องคั่วแล้ว ตัวนี้คั่วกาแฟได้ครั้งละ 80 กรัม  ใช้ลมร้อนเหมือนตัวแรก แต่ด้วยการออกแบบของเค้า กาแฟสุกเร็วกว่ามาก ไม่เกิน 7 นาทีมั้ง รสชาติสู้imex ไม่ได้ ทำให้รู้อย่างนึงว่า การคั่วกาแฟเสร็จเร็วเกิน รสชาติมันก็ไม่ค่อยดีแฮะ ตัวแปรอีกอย่างคือผ่านหม้อแปลงซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงก็เป็นได้ ข้อดีอย่างเดียวที่ผมจำได้คือมันเงียบครับ ได้ยินเสียงcrack ชัดมาก คะแนน 7/10 ปล.ปัจจุบันรู้สึกเค้าจะออกรุ่นใหม่มาหลายตัวเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้ติดตามแล้วใครสนใจลองsearchหากันดูนะครับ ปล.1 เช็ดด Usain Bolt ชนะแล้ว ทำลายสถิติโอลิปิคของตัวเองด้วย วันนี้ดูกีฬาสนุกตั้งแต่แบดมินตันและ จากคุณ : pnarischat เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 04:04:14

ความคิดเห็นที่ 3 ตัวบนผมเคยเล่นครับ ถ้าชินๆ ก็แยก 2nd ออกนะครับ ^_^ จากคุณ : K-T-O เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 08:01:45

ความคิดเห็นที่ 4 ติดตามอยู่นะค้า จขกท. มีอีกหรือเปล่าเนี่ย.. ฝันไว้ว่าอยากเปิดร้านกาแฟ ขอเก็บสะสมความรู้ไว้ก่อนได้ทำตามฝัน ^^ จากคุณ : Auntie AnT เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 08:39:34

ความคิดเห็นที่ 5 เอามาเล่ากันฟัง ....ผมเคยมีเครื่องของอิตาลีครับ แรกทีคิดว่าเครื่องไม่ดีเซ๊งอยู่หลายวัน จิตตกไปเลย สุดท้ายเมล็ดกาแฟก็คือตัวแปรด้วยนะครับ..เครื่องดี เมล็ดคั่วเก่าๆ ก็มีผลครับ..กว่าผมจะหาเมล็ดดีๆ จิตตกไปกับเครื่องอยู่นานเลย..สรุปเครื่องเค้าดีแล้ว555(เล่าสู่กันฟัง) จากคุณ : น้ำเชี่ยวตะวัน เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 11:04:26

ความคิดเห็นที่ 6 คุณKTO จริงครับที่ถ้าชินหรือใช้ความพยายามหน่อยมันก็พอจะฟังได้ แต่ถ้าเทียบกับตัวอื่นแล้วอาจจะฟังไม่ชัดเท่าเพราะว่าเสียงพัดลมมันดังมากครับ อ้อ ข้อเสียอีกอย่างของimex คือเมล็ดกาแฟมันหมุนเร็วครับ ดังนั้นเวลาดูสีกาแฟว่ามีน้ำมันหรือยัง บางครั้งจะดูยากนิดนึง มาต่อตัวต่อไปกันครับ IROAST 2 ตัวนี้เสปคเทพมากๆ เพราะสามารถตั้งprofile การคั่วได้ เช่นอยากคั่วที่ 150องสาซัก 5 นาที ต่อด้วย180 องศาอีก4 นาที จบด้วย 200 องศาอีก3 นาที แถมยังมี memory ไว้จำอีก3 ตำแหน่งเพื่อให้เราไม่ต้องไปเสียเวลาตั้งค่า คั่วได้ครั้งละ 150 กรัมเท่า imex ราคาน่าจะเกือบๆหมื่น และก็เป็นไฟ 110 v พอผ่านหม้อแปลงก็เกิดปัญหาเลยครับ คั่วไม่ได้เพราะไฟมันไม่พอ คั่วยังไงก็ไม่สุก สุดท้ายต้องยอมจ่ายตังค์อีกรอบเพื่อซื้อตัว220 v แบบบ้านเรา หลังจากลองเล่นprofile ซักพักก็สรุปได้ว่ามันห่วยยยยยยยยยยยยย  ตั้งprofileเดิม คั่ว10 ครั้งไม่เคยจะเท่ากัน บางครั้งก็เสร็จเร็ว บางครั้งก็ช้า สีก็ไม่เหมือนกัน รสชาติที่ออกมาก็ไม่ได้ดีกว่าimex เลย คะแนน 6/10 จากคุณ : pnarischat เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 14:33:47

ความคิดเห็นที่ 7 ตัวต่อมา GENE CAFE มาจากเกาหลีเหมือนเดิม ตัวนี้คั่วได้มากขึ้นเป็น 300 กรัม การให้ความร้อนของเครื่องgene จะต่างจากตัวที่ผ่านๆมาซึ่งเป็นแบบ fluid bed  คือใช้ลมร้อน กาแฟจะได้ความร้อนแบบ convection เป็นส่วนใหญ่ แต่gene จะใช้ลมร้อนเป่าเข้าไปในโถที่มีกาแฟอยู่ โลหะที่อยู่ในโถก็จะร้อนด้วย เป็นการนำความร้อนแบบ conduction ซึ่งพบได้ในเครื่องคั่วแบบdrum roaster ที่ใช้กันในเครื่องคั่วระดับมืออาชีพ   ดังนั้นgene ก็จะเป็นเครื่องคั่วลูกผสมคือมีทั้ง air และ drum roaster การควบคุมก็ทำได้ง่ายมากเพราะมีปุ่มสองปุ่มสำหรับปรับเวลาและอุณหภูมิในการคั่ว อยากให้กาแฟคั่วได้เร็วหรือช้าแค่ไหนก็ปรับได้เลย จากการลองใช้พบว่าการคั่วกาแฟจะใช้เวลาประมาร 15-20 นาที ซึ่งนานกว่าพวกเครื่องตัวเล็กๆที่กล่าวมา ในแง่รสชาติผมว่าดีที่สุดสำหรับhomeroaster ทุกๆตัวที่มีในตลาดนะตอนนั้น ข้อดี 1. ราคาสองหมื่นกว่าๆ ถือว่าถูกกว่าคู่แข่งของมันซึ่งก็คือ Hottop ที่จะพูดที่หลัง 2.รสชาติกาแฟที่ได้ดีทีเดียว   3.การควมคุมง่ายและได้ผลจริง ข้อเสีย1.cooling ช้ามาก ในการใช้จริงทุกคนต้องเอากาแฟออกมาcooling ข้างนอกกันเอง ไม่รู้ว่าปัจจุบันได้มีการแก้ไขข้อเสียจุดนี้หรือยัง 2.ความทนทาน ส่วนใหญ่heater มักจะเสียถ้ามีการใช้งานต่อเนื่อง(ผมใช้คั่ววันเว้นวัน วันละ 3ครั้ง) ของผมครบ1ปี หมดประกันก็เสียพอดี  แต่ถ้ามองว่ามันเป็นแค่เครื่อง homeroast   คั่วแค่อาทิตย์ละครั้งก็อาจอยู่ได้หลายปี  แต่ที่ผมให้เป็นข้อเสียเพราะอีกเครื่องคือ hottop ทนกว่ามาก สรุปคะแนน 9/10 แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 55 15:58:06 จากคุณ : pnarischat เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 15:55:47

ความคิดเห็นที่ 8 ลืมรูป จากคุณ : pnarischat เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 15:59:13

ความคิดเห็นที่ 9 Hottop เครื่องคั่วที่คนคั่วกาแฟตามบ้านในต่างประเทศให้การยอมรับเนื่องจากเครื่องจะคล้ายกับเครื่องคั่วตัวใหญ่ที่ย่อส่วนลงมา คั่วได้ครั้งละ 300 กรัม เป็นเครื่องคั่วแบบ drum ซึ่งเค้าเชื่อกันว่าให้body ของกาแฟได้ดีกว่าแบบ fluid bed ข้อดี 1.เป็นสแตนเลสทั้งตัว ทนทานมาก ผมใช้มาจนถึงปัจจุบันก็ยังใช้ได้อยู่ 2.มีระบบcooling ที่เจ๋งสุดๆ  เหมือนเครื่องตัวใหญ่เป๊ะ ไม่เกิน5 นาทีกาแฟก็จะเย็นแล้ว 3.มีให้เลือกหลายรุ่นว่าขึ้นกับว่าต้องการควบคุมการคั่วแค่ไหน ของผมเป็นร่นanalog ธรรมดา คุมอะไรไม่ได้เลย จะว่าง่ายก็ง่าย แต่ถ้าอยากลองเล่นก็ต้องคบหากับรุ่นdigital program ที่ตั้งprofile ได้ แต่ราคาก็ขึ้นไปอีกเป็นหมื่น ข้อเสีย 1.ราคาแพงกว่า gene แต่รสชาติไม่แตกต่างกัน 2.ต้องเสียค่าfilterเป็นประจำเพื่อให้การคั่วสมำเสมอ 3.ต้องระวังไฟไหม้เพราะจะมีเศษเปลือกกาแฟค้าง ถ้าไม่ทำความสะอาดเป็นประจำ รับรองว่าไฟลุกแน่ๆ (ลองถามคุณ espressoman ได้ครับอิอิ) ไม่มีใครนำมาขาย ผมสั่งมาเองตกประมาณสามหมื่น คะแนน 9/10   แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 55 16:13:55 จากคุณ : pnarischat เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 16:12:01

ความคิดเห็นที่ 10 Garanti roaster เป็นเครื่องคั่วขนาด2กิโลที่ผมได้ใช้เป็นตัวถัดมาเนื่องจากมีร้านกาแฟของคนรู้จักขอให้คั่วกาแฟให้ มันเป็นโอกาสอันดีในการศึกษาการคั่วกาแฟและการใช้เครื่องแบบมืออาชีพที่เค้าใช้กัน ตัวนี้เป็นเครื่องคั่วจากตุรกี(ซึ่งจะมียี่ห้อ has garanti กับ toper ซึ่งคุณภาพจะดีกว่าแต่ราคาก็แพงกว่าเช่นกัน) ครั้งแรกที่ใช้รู้ได้เลยครับว่ามันให้รสชาติกาแฟที่ดีกว่าเครื่องตัวเล็กๆอย่างมาก และสามารถควบคุมได้แม่นยำกว่าเยอะ ทำให้ผมเรียนรู้ตัวแปรที่สำคัญในการควบคุมการคั่วกาแฟ 1.ความร้อน เพิ่งเข้าใจว่าที่เค้าใช้แก็สหุงต้มในการให้ความร้อนเพราะว่ามันเร็วกว่าการใช้ไฟเยอะ 2. air flow การเล่นกับลมก็ช่วยให้กาแฟแตกต่างกันได้เยอะทีเดียว ข้อดี 1. ราคาถูก ให้กาแฟคนละระดับกับเครื่องคั่วที่ใช้ในบ้านเลย 2.ใช้แก้ส ผมว่าประหยัดมาก คั่วทั้งปี เปลี่ยนถังแก้สทีเดียว ข้อเสีย ก็ตามราคานะ ปรับอะไรไม่ค่อยได้ งานไม่ค่อยเนียน คั่วน้อยๆก็ไม่ได้อย่างต่ำต้อง1กิโล   สรุปผมให้ 9.5/10 แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 55 16:35:08 จากคุณ : pnarischat เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 16:33:31

ความคิดเห็นที่ 11 หลังจากคั่วกาแฟส่งซักพักเริ่มรู้สึกว่ามันไม่สนุกแล้ว เป็นงาน แถมเครื่องคั่วgaranti ถึงจะคั่วกาแฟได้ดี แต่มันปรับแต่งอะไรก็ไม่ค่อยได้ แถมเริ่มคุยกับร้านกาแฟที่ส่งเริ่มไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็เลยไม่ได้ส่งกาแฟต่อ  จะไปหาร้านกาแฟอื่นส่งมันก็ไม่ใช่จุดประสงค์ที่เราต้องการ(ผมทำอาชีพอื่นอยู่แล้วครับ พอเลี้ยงตัวเองได้)  จะเอามาคั่วที่บ้านก็เยอะเกิน สุดท้ายก็ต้องขายไป  แต่จะให้กลับไปใช้เครื่องคั่วตัวเล้กๆก้ไม่เอาแล้วครับ เพราะโจทย์ที่ต้องการเครื่องคั่วตัวใหม่ต้อง -ขนาดเล็กคั่วกาแฟครั้งละ1-300 กรัม กาแฟจะได้ไม่เหลือ และต้องคั่วต่อเนื่องได้ -สามารถปรับความร้อนและ air flow ได้ดี -สามารถcooling ได้ไว -เก็บกากกาแฟได้ดี ฟังดูมันต้องซื้อ sample roaster แน่นอนครับ ตัวที่อยากได้ก็ต้องเป็น Probat sample roaster เป็นเครื่องคั่ว sample ที่ดีที่สุด แต่พอดูราคา อืม สองแสนกว่าๆ ถ้าซื้อคงโดน ผบ.ตบแน่  เลยให้เพื่อนหาเครื่องคั่วตัวนี้ Sample pro 100  spec เลียนแบบProbat เป๊ะ  ในราคาที่น่าคบหากว่ามาก ใครอยากรู้รายละเอียดกว่านี้ลองไปดูที่ www.roytawan.com นะครับ พี่เก๋เค้ารีวิวไว้แล้ว ตัวนี้ใช้ความร้อนด้วยหลอดHalogen  หลังจากที่ได้ใช้งานซักพักต้องยอมรับว่ามันเป็นสุดยอดของเครื่องคั่วสำหรับใช้ในบ้านจริงๆ การควบคุมความร้อนกับ air flow ดีกว่าgaranti เยอะ   เลยคิดว่านี่คงจะเป็นเครื่องคั่วตัวสุดท้ายในชีวิตแล้ว  เฮอะๆๆ ผมยังไม่รู้อะไรอ่ะดิ แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 55 17:26:34 จากคุณ : pnarischat เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 16:53:34

ความคิดเห็นที่ 12 จะด้วยโชคชะตากวนตรีนหรืออะไรก็ไม่ทราบ หลังจากที่ผมขายเครื่องคั่วตัวใหญ่ และมีความสุขกับเครื่องคั่ว sample ตัวน้อย ไม่กี่เดือนก็มีคนรุ้จักอีกคนหนึ่ง(อีกแล้ว) มาขอให้ช่วยคั่วกาแฟส่งให้อีกครั้ง  ซวยหล่ะสิ จะใช้เครื่อง Sample คั่วคงยันสว่างพอดีกว่าจะเสร็จ   เลยเป็นเหตุให้ต้องหาเครื่องตัวใหม่อีกครั้ง  ยังคงพุ่งเป้าไปที Probat เหมือนเดิม รุ่น Probatino แต่ด้วยราคาเฉียดครึ่งล้าน แถมยังไม่มีcooling motor อีก  หวยเลยมาออกที่เครื่องคั่วจาก holland ที่ชื่อว่า Giesen W1 เหตุผลที่ผมเลือกเครื่องคั่วตัวนี้ ทั้งที่ราคาแพงระยับ 1.spec ดีสุดแล้ว Drum เป็น double wall , high air flow, front plate เป็น cast iron(ไม่ต้องสนใจหรอกนะ ผมแค่พูดให้ดูดีหน่ะ  แต่พอเทียบspec แบบนี้ ราคาแต่ละตัวก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่) 2.made in Holland ก็จริง แต่เมืองที่เค้าสร้างมันติดเยอรมันเลย แกะข้างในออกมาดู ทุกส่วนนี่made in German ทั้งน้านน 3.คั่วปริมาณน้อยๆ 1-200 กรัมได้ 4.ตามspec คั่วสูงสุดได้ 1.5 โล  แต่เอาเข้าจริง 2 โลยังเหลือๆ 5.สุดท้าย จากการที่ได้ลองคั่วอยู่เป็นเดือนๆ (อย่าได้เกรงใจคนขาย ของไม่ใช่ถูกๆ ต้องลองจนมั่นใจว่ามันคือตัวที่เราต้องการจริงๆ) ทำให้ผมตัดสินใจตกร่องปล่องชิ้นกับเครื่องคั่วตัวนี้และคิดว่ามันคงเป็นเครื่องคั่วตัวสุดท้ายจริงๆของผมแล้วนะ แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 55 17:25:11 แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 55 17:24:23 จากคุณ : pnarischat เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 17:23:27

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าคั่วเอาสนุกๆ ในร้าน เล็กๆ sample roaster พอมั้ยครับ อยากได้ Giesen W1 แต่คงต้องเก็บเงินอีกซักสองปี ^ ^ จากคุณ : Moo_IDO (เคซี่คุง) เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 17:56:10

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่ทราบมีเครื่องคั่วที่ทำในเมืองไทยไม๊ครับ ผมไปเจอเครื่องนี้ที่ปากเซ แหล่งปลูกกาแฟของลาว เห็นแล้วน่าทำใช้เองมั่ง ตอนนี้ผมใช้เครื่องทำข้าวโพดคั่ว คั่วเมล็ดกาแฟได้ทีละ80-90กรัม ทำเองชงเองพอได้สนุกดีครับ จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 21:56:28

ความคิดเห็นที่ 15 เคซี่คุงครับ ผมว่า sample roaster เหมาะกับคั่วกินเองที่บ้าน กับมือคั่วกาแฟมืออาชีพที่ต้องใช้เพื่อประเมินกาแฟจากแหล่งต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าจะใช้กาแฟตัวไหนบ้าง ถ้าจะใช้ในร้านผมว่าซื้อตัว 1 โลจะคุ้มกว่า เพราะคั่วน้อยๆก็พอได้ และก็ใช้คั่วขายได้เลย ราคาแพงกว่าไม่มาก อีกตัวที่ผมแนะนำคือ Toper cafemino  นำเข้าโดย Salotto คุณติ๊กแกทำราคาได้ดีมากๆ ถูกกว่าซื้อจากเมืองนอกอีก ผมเคยลองใช้ดู บอกได้เลยว่าดีมากคุ้มเกินราคาแน่นอน คุณ freewing ของไทยที่เคยเห็นของม.เกษตร ม.เชียงใหม่มีแน่นอนครับ แต่ราคาไม่ค่อยต่างกับของนอกเท่าไหร่ ดีหรือเปล่าผมคงตอบไม่ได้เพราะไม่เคยใช้จริงๆครับ จากคุณ : pnarischat เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 23:53:14

ความคิดเห็นที่ 16 จขกท ทำอาชีพไรเนี่ย ติดตามอ่านตั้งแต่วันแรกๆ จนมากระทู้สุดท้าย ผมว่า จขกท นี่ไม่ธรรมดานะขนาดมีคนมาขอให้คั่วกาแฟให้ ขายกาแฟบ้านๆ อย่างผมนี่ รู้เลยว่าต้องไปอีกไกลแสนไกลกว่าจะเรียนรู้เรื่องกาแฟได้หมด จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 55 17:39:00