D2439547 ร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารตามธาตุ [อาหารการกิน]

ความคิดเห็นที่ 9

กินให้เป็นเสริมราศีเดือนเกิด
โดย ผู้จัดการออนไลน์

นับตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดมาบนโลกนี้มนุษย์เฝ้าสังเกตสิ่งแวดล้อมดวงดาวบนฟ้ามาช้านาน
จนเกิดเป็นความรู้ทางเรื่องวัน เวลา เดือน ปีนำไปสู่ปฏิทิน
- ทราบถึงกลุ่มดาวที่เปลี่ยนฤดูกาลนำไปสู่การเกษตรต่อมาค้นพบตำแหน่งดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเองที่เรียงรายกันประกอบเป็นรูปสัตว์หรือเทพเจ้าจากการลากเส้นประต่อไปยังดวงดาวจึงเกิดกลุ่มดาวต่างๆ
เรียก 12 กลุ่มดาวจักรราศี
- บรรพบุรุษเชื่อว่า กลุ่มดาวเหล่านี้นอกจากจะมีอิทธิพลต่อภูมิอากาศฤดูกาลบนโลกแล้ว ยังน่าจะมีอิทธิพลต่อโชคชะตา และที่สำคัญที่สุดมีผลต่อสุขภาพของมนุษย์ด้วย
- กลุ่มดาวฤกษ์เปรียบเสมือนดาวเทียมโทรคมนาคม
ที่ทำหน้าที่รับส่งคลื่นสัญญาณให้โทรศัพท์ไร้สายทั่วโลก
ถึงแม้เราจะมองไม่เห็นดาวเทียมตัวแม่บนฟ้า แต่เราควรรู้ว่า
ถ้าดาวเทียมมีปัญหาตัวลูกเครือข่ายย่อมหยุดทำงาน
- เช่นเดียวกันกับมนุษย์ที่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยอิทธิพลของคลื่นพลังงานบางกลุ่มดาวจักรราศีทั้ง 12 ต่อมาแพทย์จีนค้นพบจุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์ที่มีตำแหน่งของจุดเส้นลมปราณตามอวัยวะภายในทั้ง 12ล้วนมีตำแหน่งสัมพันธ์และได้รับพลังหล่อเลี้ยงจากกลุ่มดวงดาวจักรราศีทั้ง 12 ด้วย
- ถ้าจุดฝังเข็มเป็นเรื่องไร้สาระแล้ว วิชาแพทย์จีนคงไม่ยั่งยืนถึงปัจจุบันได้
- ในจักรวาลมีดาวนับล้านล้านดวง โลกเป็นเพียงเศษเม็ดทรายมนุษย์เล่าเทียบเศษผงธุลี ดวงดาวเกิดก่อนเรานับล้านปี
แม้มนุษย์ค้นหาไม่ ดวงดาวนั้นยังอยู่อีกชั่วกาลนาน
- มนุษย์จึงเกิดมาเพื่อค้นหาต้นตระกูลตามธรรมชาติที่แท้จริงของตน

ปรัชญาตะวันออกว่าด้วยจุดอ่อนทางกรรมพันธ์
คนจีนเริ่มนับอายุคนเราตั้งแต่วันแรกที่จุติในครรภ์มารดา
จนถึงวันคลอดถือเป็นอายุ 1 ขวบแล้ว
แต่การที่ทุกคนเคยเป็นทารกอยู่ในครรภ์ 9 เดือนนั้น
ท่านถือว่าในเมื่อ 1 ปีมีวงจรการปรับเปลี่ยนพลังหนาวร้อน
ตามฤดูกาล 12 เดือน แสดงว่า ทุกคนขาดพลังไม่ครบไป 3 เดือน ดังนั้น พลังที่ขาดพร่องไปจึงถือเป็นจุดอ่อนโดยกำเนิดที่เราพึ่งจะให้ความสนใจ ทั้งนี้เพราะไม่มีใครเกิดมามีสุขภาพสมบูรณ์ 100% เก่งที่สุด 75% เท่านั้น
ดังนั้น การรู้ธาตุแท้และจุดอ่อนของเรา จึงเป็นศาสตร์
การรักษาสุขภาพตนเองล่วงหน้าที่แพทย์ตะวันตก
ไม่เคยคำนึงถึงหลักการนับเพื่อตรวจดูเดือนที่ขาดในครรภ์
ให้นับต่อจากเดือนที่เกิดไปอีก 3 เดือน
เช่น คนที่เกิดเดือนธันวาคมให้นับเดือนต่อไปคือ
มกราคม กุมภาพันธ์และมีนาคม ดังนั้น เดือนกุมภาพันธ์
เป็นเดือนกลางถือเป็นเดือนที่เป็นจุดอ่อนที่สุด
ได้แก่ ถุงน้ำดี ส่วนเดือนมกราคมและมีนาคม
เป็นเดือนอ่อนรองได้แก่ ฐานความร้อนและตับ
ตามภาพประกอบ คนเกิดเดือนธันวาคมมีจุดอ่อนถุงน้ำดี
คำแนะนำคือ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันจัดเช่น ข้าวขาหมู
ไข่ไก่ อาหารทอดมัน ส่วนอวัยวะที่เป็นจุดอ่อนรองได้แก่
ฐานความร้อน (มกรา) คำแนะนำไม่ควรกินอาหารรสเย็น
ไอศกรีม อาหารแช่แข็ง น้ำเย็น น้ำแข็ง
ส่วนอวัยวะจุดอ่อนรองต่อมาคือ ตับ (มีนาคม)
คำแนะนำคือ หลีกเลี่ยงสุรา อาหารรสจัด ไขมันสูง
ระวังปัญหาเรื่องตา สายตาสั้นและไม่ควรกินอาหารก่อนนอน
- ส่วนคนเกิดเดือนเมษายน ควรระวังโรคกระเพาะ
หรือโรคที่เกิดจากกระเพาะอาหาร จุดอ่อนดังกล่าว

จุดอ่อนดังกล่าว จะส่งผลต่ออาหารที่คุณกินด้วย อย่างคนเกิดเดือนเมษายน อาหารที่ไม่ควรรับประทาน คือ อาหารที่มีกรดรุนแรง หรือ เผ็ดจัด ซึ่งจะมีผลรุนแรงต่อระบบกระเพาะอาหาร
ขณะเดียวกันอาหารที่ควรเลือกบริโภค สำหรับผู้ที่เกิดเดือนเมษายน ควรจะกินอาหารร้อน เช่น ซุปร้อน แกงจืดร้อน น้ำข้าวร้อน จะสร้างสมดุลให้กับร่างกาย และมีภูมิคุ้มกันไม่ก่อให้เกิดโรคได้ หรืออย่างคนที่เกิดเดือนมิถุนายน คนเกิดเดือนนี้เมื่อนับย้อนแล้วจะพบว่า จุดอ่อนที่ควรระวังคือ หัวใจ ดังนั้นอาหารที่ควรระวังซึ่งจะมีผลต่อการเกิด โรคหัวใจคือ อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่ทำจากไข่ ควรหลีกเลี่ยงหรือบริโภคให้น้อยที่สุด สำหรับผู้ที่เกิดเดือนอื่นๆ ใช้หลักการนับย้อน เช่นเดียวกัน (ขอให้ดูตารางประกอบการกินตามธาตุ) เพื่อเป็นหลักการเลือกการกินและการรักษาสุขภาพ ซึ่งหากคุณไม่ป้องกันหรือหลีกเลี่ยงอาหารตามสภาพธาตุกำเนิด ย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคร้ายอย่างรุนแรง
หลักการบริโภคของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งที่ควรรับรู้ คนเกิดปี ราศีใด ไม่ควรกินสัตว์ตามราศีเกิด เช่น เกิดปีกุน ก็ไม่ควรกินอาหารที่ทำจาก หมูบ่อยครั้งหรือในปริมาณมาก เกิดปีฉลู ก็ไม่ควร บริโภคเนื้อวัว เพราะสัตว์ตามราศีเกิด ถือเป็นตัวแทนของตัวคุณเอง หากกินเข้าไปมาก ย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคร้ายได้ง่าย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถือ เป็นอาหารการกินที่กินเฉพาะช่วงสงครามเท่านั้น ไม่ควรกินในภาวะปกติ เพราะจะมีผลไปชะลออายุให้สั้นลง ตายเร็ว เนื่องจากอาหารประเภทนี้มีสารสังเคราะห์ ที่รุนแรง มีสารเคมีมาก ก่อให้เกิดผลร้ายกับร่างกายอย่างไม่รู้ตัว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอาหารกระป๋อง ถือเป็น อาหารที่ล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์!!

กินแบบภูมิปัญญาตะวันออก

ตามปรัชญาตะวันออก ร่างกายของคนเราขึ้น สภาวะแวดล้อม เจ็ด จากระดับคลื่น- อาหารแข็ง เข้าสู่ร่างกายจากศีรษะบริเวณกะหม่อม บนสุด-ล่าง สุดคืออวัยวะเพศ หรือเรียกว่า จุดจักราทั้ง 7 ห่วง อย่างเช่น ดวงตาของคนเรา ถือว่ากินอาหารจากแสงอาทิตย์ หู กินอาหารจากเสียง จมูกเป็นปากของลม อากาศ ทว่าจุดที่สำคัญที่สุด คือ อวัยะที่อยู่ภายในระบบร่างกายมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์เลือกเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะเกิดผลดี-ผลร้ายย่อมเป็นสิ่งที่เราเลือก โรคที่เกี่ยวกับปอด มักจะเกิดจากเราบริโภค อาหารผิดประเภท ปอดซึ่งถือเป็นอวัยวะ ที่กินอากาศเป็นอาหาร แต่เราดันกินอาหารที่สถานะกึ่ง ของเหลว กึ่งของแข็ง กึ่งอากาศ เช่น อาหารที่มีแอลกอฮอล์มาผสม ทำให้เกิดภาวะที่ไปหลอกร่างกาย ร่างกายจึงเกิดโรค ทำให้เกิดเป็นพิษกับระบบร่างกาย ลำไส้ กระเพาะ เป็นอวัยวะที่คนเราจะต้องเป็น ระวังพิเศษ เพราะสิ่งที่เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ การบริโภคตามใจปาก ย่อมเกิดผลต่อร่างกาย

หลักการกินที่ถูกหลักสามารถแบ่งเป็น 7 อย่าง เริ่มจาก

1. กินตามฤดูกาล หรือ กินตามภูมิประเทศ ตามหลักแล้วคนเราควรกินอาหารที่อยู่ในรัศมีไม่เกิน 100 กิโลเมตร ไม่ว่าคุณจะอยู่ในจังหวัดใดก็ตาม การกินอาหารต่างฤดูกาล ต่างถิ่น จะเกิดปัญหาที่คุณไม่รู้ตัว เมืองไทยเป็นเมืองร้อน แต่ชอบกินผลไม้เมืองหนาว ย่อมเกิดโรคที่เราไม่รู้ตัว หรือ คนที่ทำงานออฟฟิศ อยู่ในห้องแอร์ อยากกินมะพร้าวที่อยู่ชายทะเลก็ย่อมเข้าส่งผลกระทบกับระบบร่างกาย

2.กินตามกาลเทศะ การเลือกกินอาหาร ตามกาลเทศะ เช่น วันพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางไปต่างจังหวัด ก็ไม่ควรจะเลือกทานอาหารที่ฉูดฉาดเกินไป กินน้ำมากเกินไป หรือ เลือกกินอาหารที่ไม่เหมาะกับการเดินทาง เช่น อาหารสังเคราะห์ ขนมขบเคี้ยว กินน้ำอัดลม ย่อมเกิดแรงอัดกับร่างกาย เกิดอาการอาเจียนได้ในขณะนั่งรถ

3. กินตามเพศ หลักการบริโภคที่ควรรู้คือ เพศหญิง เพศชาย ควรกินอาหารที่แตกต่างกัน ผู้ชายควรกินอาหารที่มีรสค่อนข้างเค็ม ส่วนผู้หญิงควร กินอาหารที่มีนิ่มกว่า อ่อนกว่า เช่น แกงจืด ซุป หรือ หากจะกินผัก ผู้หญิงควรกินใบ ผู้ชายควรกินก้าน จะได้ผลดี

4.กินตามอายุ อย่างเด็กควรกินอาหารประเภทโจ๊ก ข้าวต้ม ข้าวสวยได้บ้าง ผู้ใหญ่ควรกินข้าวสวยเป็นหลัก อย่างกินข้าวต้มบ่อย เพราะจะทำให้เหนื่อยง่าย

5.กินตามอาชีพ คนต่างอาชีพ ก็ย่อมที่จะต้อง เลือกอาหารที่บริโภคต่างกันด้วย เช่น ผู้ใช้แรงงาน กรรมกร ควรบริโภคที่ให้พลังงานสูง ในขณะที่ผู้ทำงานออฟฟิศ ไม่ควรเลือกอาหารหนัก เช่น ข้าวเหนียว จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ง่วง

6. กินเพื่ออุดมการณ์/ปรัชญาชีวิต พวกถือศีล กินตามศาสนา ไว้ทุกข์ อยากฝึกสมาธิ ควรจะกินอาหารที่เบาๆ ไม่มักมาก กินอย่างพอเหมาะ

7. กินตามหยิน-หยาง หรือ การกินตามเวลากลางวัน-กลางคืน อย่างเช่นวันนี้ฝนตก คุณไม่ควรกินอาหารที่แฉะมากเกินไป เช่น ข้าวแช่ ไอศกรีม หรือ เมื่ออากาศหนาวเริ่มมาเยือน ความเย็นทำให้ เนื้อเยื่อทุกหน่วยในอวัยวะหดตัว ซึ่งจะส่งผลต่อช่องว่างสำหรับรองรับอาหารจากภายนอก ลดน้อยลง เมื่ออากาศเริ่มเปลี่ยนจากหนาวเป็นอุ่น ส่งผลต่อร่างกาย ถึงขั้นรุนแรงที่สุด จะเริ่มสะสมฝังเพาะเม็ด แห่งโรคเรื้อรัง สะสมปล่อยให้ตกตะกอนฝังตัวพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งต่อไป เพราะไขมันกลายเป็นเสลด ยิ่งนานไปกลายเป็นเมือกหนาอุดตันตามอวัยวะต่างๆ ปอด เต้านม รังไข่ โพรงจมูก โพรงมดลูก และจับตัวอัดแน่นนานวันเข้ากลายเป็นก้อน นิ่วไต กระเพาะปัสสาวะเป็นก้อนเนื้อส่วนเกินเป็น เนื้องอก บางครั้งนำสู่สภาวะอิ่มน้ำตัวบวมหรือเลือด ตกใน จากการเพิ่ม-ลบของอุณหภูมิที่มาจากไอศกรีมน้ำแข็งและของร้อนที่รับประทานสลับกันไปมาการขับถ่ายและขับพิษ

ดังนั้น การดูแลสุขภาพ ป้องกันให้ห่างจากโรค ได้ผลดีที่สุด คือ ควรเลือกบริโภคอย่างภูมิปัญญาตะวันออก หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายระบบในร่างกาย เมื่อคุณทำได้โรคภัยก็ไม่ย่างกาย เข้ามาในชีวิตคุณ
http://www.manager.co.th/qol/ViewNews.asp?NewsID=2000000024837

จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 5 ก.ย. 46 16:09:16 ]

ความคิดเห็นที่ 10

อันนี้แบบไทยค่ะ
.
กินให้ถูกปาก

อากาศร้อนอย่างนี้ มี ข้าวแช่ หอมกลิ่นดอกมะลิ
เย็นกายชื่นใจ สักสำรับ จรรโลงใจ...

พอฝนมา ลมเพลมพัด ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวเย็น ถ้ามี
เมี่ยงคำ เป็นอาหารว่างช่วยปรับธาตุ เนื้อตัวจะสบาย

ใกล้ลมหนาว ต้องอุ่นท้องด้วย แกงส้มดอกแค แก้ไข้หัวลม
กินกันไว้ก่อนแก้ ดีนักแล...

ปลายฤดูหนาว สะเดาออกดอกดกดื่น
ต้องปรับธาตุไฟกันลมหนาวกระทบด้วย สะเดาน้ำปลาหวาน

ส่วน น้ำพริก สารพัดชนิด รสแซบ เปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม
พร้อมผักจิ้มเครื่องเคียง ช่วยบำรุงธาตุทั้งสี่ เช่น
ยอดตำลึง ฟักทอง แตงกวา ผักกระเฉด ผักติ้ว ผักแตว มะแว้ง
ขมิ้น ดอกข่า มะเขือ มะระขี้นก ฯลฯ กินพืชผักตามฤดูกาล
ป้องกันได้ทุกโรค

พอชักจะร้อน ข้าวสวยอุ่น ๆ กับ แกงต้มเปรอะ
ใส่ใบย่านางรสจืดเย็น กำจัดพิษแก้ธาตุไฟ
ส่วนใครที่เพิ่งคลอดบุตร ต้องบำรุงน้ำนมด้วย แกงเลียง
พร้อมพริกสด หอม กะปิ พริกไทย ใบตำลึง ใบแมงลัก ฯลฯ
ช่วยประสะน้ำนมให้คุณแม่หลังคลอด...!

เหล่านี้คือภูมิปัญญาไทยใน "อาหารไทยปรับธาตุ"
ที่คนโบราณสั่งสมเป็นศาสตร์และศิลป์ ในการปรุง การกิน
อย่างสอดคล้องกับสภาพดินฟ้าอากาศ และตาม "ธาตุ"
ประจำราศีเกิดของแต่ละคน

การกินตามธาตุ
ถือว่าเป็นหนึ่งในการแพทย์แผนไทยที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตคนไทยมานานนับพันปี
ชาวพุทธคนไทยเชื่อว่า การดำเนินชีวิต ตั้งแต่ เกิด แก่
เจ็บและตายนั้น เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา
การแพทย์แผนไทยจึงอาศัยแนวทางของศาสนาพุทธเป็นหลัก
ในการบัญญัติหลักการกิน การอยู่ การรักษาโรค
และเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม
กลายเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทย

คนไทยรุ่นใหม่ อาจไม่ได้ร่ำเรียน "การกินปรับธาตุ"
จากตำราเรียนชั้นไหน ทว่า ภูมิปัญญาที่ยังคงอยู่
คงสืบทอดต่อเนื่องจากคนรุ่นก่อนจนถึงปัจจุบัน

วิชาการกินตามธาตุเจ้าเรือน
และกินให้สอดคล้องกับธรรมชาติ
อาศัยหลักการทางพุทธศาสนาที่ว่าด้วยการศึกษาธรรมะ เพราะ
"ธรรมะ" คือธรรมชาติ จะกิน อยู่ อย่างไรให้ปกติสุข
ต้องดำเนินไปตามหลักธรรมะ คือหลักของธรรมชาติ

เพราะในจักรวาลอันไพศาลนี้ มนุษย์...
เป็นเพียงหนึ่งเศษเสี้ยว! อณูของธรรมชาติ...

"ข้อมูลนี้เราได้จากการแพทย์แผนโบราณ เช่น
เวลาเจ็บป่วยไปหาหมอ หมอจะถามวันเดือนปีเกิดและอาการ
เพื่อหาสมมติฐานของโรคและวินิจฉัยโรคเพื่อรักษา
เพราะธาตุเจ้าเรือนที่แตกต่างกัน
ทำให้เกิดโรคภัยไม่เหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกัน
ในคนคนเดียวอาจจะมี 1-2 ธาตุ เจ้าตัวเองจะรู้ว่า
ตัวเองโน้มเอียงไปทางธาตุไหนมากกว่า"

โดยมีตาราง "ธาตุ" ประจำเจ้าเรือน ดูจากเดือนเกิด
แต่ถ้าต้องการความละเอียดถูกต้องกว่านี้
ต้องเทียบวันเดือนปีเกิด จากปฏิทินร้อยปี
ตามตำราแพทย์แผนไทย ซึ่งจะแบ่งธาตุเจ้าเรือนตามเวลาตกฟาก
ขึ้น-แรมกี่ค่ำ หากอยากรู้ต้องไปดูที่ร้าน "ยำ แอนด์ ตำ"
แต่ถ้าดูพอให้รู้ ประเมินได้ว่า

คนเกิดเดือนมกราคม อยู่ธาตุไฟ

เดือนกุมภาพันธ์ ธาตุไฟ

เดือนมีนาคม เป็นธาตุลมผสมกับธาตุไฟ

คนเกิดเดือนเมษายน เป็นธาตุลม

เดือนพฤษภาคม ธาตุลมกับธาตุน้ำ

เดือนมิถุนายน ธาตุลมกับธาตุน้ำ

เดือนกรกฎาคม เป็นคนธาตุน้ำ

เดือนสิงหาคม ธาตุลมกับธาตุดิน

เดือนกันยายน ธาตุลมกับธาตุดิน

เดือ! นตุลาคม ธาตุดิน

เดือนพฤศจิกายน ธาตุดินกับธาตุไฟ

เดือนธันวาคม ธาตุดินกับธาตุไฟ

คนคิดร้านอาหารปรับธาตุ เสริมว่า การแพทย์แผนไทยจะมี
"อาหารปรับธาตุ" คล้าย ๆ ชีวจิต แต่เรามาคิดว่า
ทำอย่างไรให้อาหารอร่อยด้วย มีประโยชน์ด้วย ก็ได้คุณแม่
(แพทย์หญิงประภา วงศ์แพทย์) ช่วยแนะนำว่า
ก็ทำอาหารที่ใส่สมุนไพรสิ... อย่างอาหารไทยจำพวกยำต่าง ๆ
เต็มไปด้วยสมุนไพร เช่น พริก ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย ช่วยขับลม คึ่นช่าย มะเขือเทศ
หอมใหญ่ กระเทียม ผักต่าง ๆ ฯลฯ

แต่ความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน คนกินอาจไม่ได้เลือกมาก
เพราะมักตามใจปากอันเป็นนิสัยดั้งเดิมของคนไทยช่างกิน
อย่างเป็นปกติวิสัย...

ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้ชีวิต... (ซับเฮด ตัวใหญ่)

แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ
ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย เขียนเรื่อง
"การแต่งธาตุ 4 ในร่างกายด้วยผักพื้นบ้านและอาหารพื้นบ้าน" ให้ข้อมูลว่า
แพทย์แผนโบราณไม่ได้มองความเจ็บป่วยเป็นแค่ตัวเชื้อโรคเท่านั้น
หากแต่มีสาเหตุมาจาก "สมุฏฐาน" 4 ประการ คือ
"ธาตุสมุฏฐ! าน" ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
โดยมีดินอย่างน้อย 20 น้ำ 12 ลม 6 และไฟ 4 รวม 42 ประการ
ธาตุทั้ง 4 นี้
จะอยู่ในลักษณะสมดุลเป็นธาตุภายในและสมดุลกับธาตุภายนอก
ธาตุภายนอกหมายถึงสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
และอากาศ มนุษย์กำเนิดในครรภ์มารดา ย่อมเกิด
"ธาตุเจ้าเรือน" ด้วยอิทธิพลของธาตุมารดาและบิดา
พร้อมทั้งอาหารและน้ำที่มารดาดื่มกิน

นอกจากนี้ คนที่เกิดแต่ละวันจะมี "ซาง" แตกต่างกัน
แต่ละซางจะมีจุดอ่อนที่ต่างกัน
เมื่อเจ็บป่วยจะใช้สมุนไพรรักษาเป็นตำรับปรับธาตุ
เรียกว่า "ธาตุบรรจบ" คือต้องใช้ธาตุเจ้าเรือน
(ธาตุกำเนิด) ธาตุมารดา ธาตุผิดปกติจากอาการที่เจ็บป่วย
ซึ่งคนโบราณฉลาดที่ได้นำเอาเงื่อนไขแต่ละอย่าง
มาเป็นหลักปรุงเป็นยาหม้อ เรียกว่า "ยาธาตุบรรจบ"
เป็นการรักษาโดยเอาธาตุลูกมาบรรจบกับธาตุแม่

การแพทย์แผนไทยยังแบ่งอายุคนออกเป็น 3 วัย
และระบุว่าคนแต่ละวัยมักเจ็บป่วยด้วยโรคทางธาตุดิน น้ำ
ลม หรือ ไฟ แต่ละช่วงชีวิตมนุษย์ที่ผ่านไปแต่ละปี
จะได้รับอิทธิพลของภูมิอากาศหรือฤดูกาล
ทำให้มนุษย์ต้องปรับตัวปีแล้วปีเล่า
ความร้อนหน! าวที่กายสัมผัสระหว่างรอยต่อแห่งฤดูกาล
จะมีผลต่อสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น จึงต้อง "กิน" เพื่อปรับ "ธาตุ"
คนเราเลือกเวลาเกิดไม่ได้ หากเลือกกินได้
กิน-อยู่ถูกต้องตามธาตุเจ้าเรือน ชีวีสมดุล มีสุข...

ล้อมกรอบท้ายเรื่อง

ธาตุเจ้าเรือนกับอาหารประจำธาตุ

คนธาตุดิน : มักมีร่างกาย กล้ามเนื้อแข็งแรง
ควรรับประทานผักผลไม้พื้นบ้านที่มีรสฝาด รสหวาน รสมัน
รสเค็ม เช่น มังคุด ฝรั่งดิบ ฟักทอง หัวปลี กล้วย มะละกอ
เงาะ เผือก มัน ถั่วพลู ถั่วต่าง ๆ กะหล่ำปลี ผักกระเฉด
น้ำนม น้ำอ้อย เกลือ ฯลฯ

คนธาตุน้ำ : มักมีรูปร่างสมส่วน ท้วมถึงอ้วน ผิวพรรณสดใส
ควรรับประทานผักผลไม้พื้นบ้านรสเปรี้ยว ได้แก่ ส้มโอ
สับปะรด มะเขือเทศ มะกรูด มะนาว ส้มเขียวหวาน
ยอดมะขามอ่อน มะระ สะเดา ฯลฯ

คนธาตุลม : มักมีรูปร่างโปร่งบาง ไม่อ้วน ผิวหนังแห้ง
ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน เช่น กะเพรา โหระพา ตะไคร้
พริกไทย กระชาย ขิง ข่า กระเทียม ขึ้นฉ่าย ยี่หร่า ฯลฯ

คนธาตุไฟ : มักมีรูปร่างผอม ผิวคล้ำ ตกกระ
กล้ามเนื้อกระดูกหลวม ควรรับประทาน! อาหารรสขม รสเย็น
รสจืด เช่น ผักบุ้ง ใบตำลึง ใบบัวบก สะเดา ขี้เหล็ก
หัวผักกาด ฟักเขียว แตงกวา คะน้า บวบ มะเขือ แตงโม ฯลฯ

โดย เอื้อพันธุ์ ศรีสุนทร

จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 5 ก.ย. 46 23:27:10 ]