ความคิดเห็นที่ 1 สรุปง่ายๆคือไฟ3เฟส นั้นถ้าบ้านคุณมี ไฟฟ้าบ้านคุณจะไม่มีวันดับเลยครับต่อให้ชาวบ้านเค้าดับกันก็ตาม จากคุณ : หนูน้อยบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ - [ 3 ก.ค. 49 19:14:05 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าใช้ 3 เฟส ควร balance ให้โหลดแต่ละ Phase พอๆ กัน จะประหยัดครับ เช่น แอร์ กระจายไปตัวละเฟส ตู้เย็นก้อเหมือนกัน ครับ มีสมาชิกท่านหนึ่งใช้ Log In ID ว่าช่างไฟ เชิญเค้ามาตอบน่าจะดีกว่าครับ จะได้เป็นวิทยายุทธ เอ๊ย ! วิทยาทาน จากคุณ : ขาJohn - [ 3 ก.ค. 49 20:23:18 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อืม.....อันนี้พ่อบอกมานะคะ เพราะที่บ้านทำ 3 เฟสเหมือนกัน ปรกติไฟฟ้าที่ทางการไฟฟ้าส่งมาจะมี 3 เฟส แต่เวลาเราต่อเข้าบ้านส่วนใหญ่จะใช้แค่ 1 หรือ 2 เฟส แปลว่ามีกระแสไฟอยู่ส่วนนึงที่เสียเปล่าค่ะ ทีนี้ถ้าเราต่อไฟ 3 เฟสปั๊บ เท่ากับเราใช้ไฟได้เต็มประสิทธิภาพกว่าเดิม ทีนี้ก็อย่างที่เพื่อน ๆ บอกไว้ว่า ต้องวางทั้ง 3 เฟสให้บาล๊านซ์กัน ก็เพราะการไฟฟ้าจะคิดค่าไฟเราแค่เฟสเดียว คือเฟสที่ใช้ไฟเยอะที่สุดในเวลานั้น ๆ เพราะฉะนั้นถ้าเราวางทั้งสามเฟสไม่บาล้านซ์กัน ก็เท่ากับเดินสายสูญเปล่าค่ะ ที่ว่าวางให้บาล้านซ์กัน หมายถึง ต้องศึกษาพฤติกรรมการใช้ไฟ ของคนในครอบครัว เช่น มีอะไรบ้างที่เรามักจะเปิดใช้งานพร้อม ๆ กัน อย่างที่บ้านมีห้องนอนทั้งหมด 4 ห้อง เราก็วางสายไฟไปต่อแอร์เฟสละห้อง เพราะฉะนั้น พอเราเข้านอน ถ้าเราเปิดแอร์ 3 เครื่องพร้อมกัน เราก็จะถูกคิดค่าไฟเพียงเครื่องเดียว คือเครื่องที่กินไฟมากที่สุด แต่ถ้าเราวางไม่บาล้านซ์ปั๊บ ก็อาจจะทำให้ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราเปิดอยู่หลาย ๆ ชิ้น มาจากไฟเฟสเดียวกันได้ ซึ่งก็เท่ากับว่าเราจะไม่ได้ประหยัดอะไรเลยค่ะ แถมยังเสียตังค์ค่าเดินสายแพงด้วย อะไรประมาณนี้ละค่ะ ถ้าสับสนก็ขออภัยนะค้า อธิบายไม่ค่อยเก่งอ่ะ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 49 21:35:23 จากคุณ : noomui (noomui) - [ 3 ก.ค. 49 21:33:02 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นวิทยาทานจริงๆ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ขอบคุณจขกท.ที่ถามและผู้ตอบที่แนะนำให้ จากคุณ : toiting - [ 4 ก.ค. 49 00:20:54 A:58.64.104.249 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่ได้ตอบคำถามเจ้าของกระทู้  แต่เอามาให้อ่าน  น่าจะมีประโยชน์บ้างนะครับ ----------------------------------------------------------- ระบบไฟฟ้า 3 เฟสเพื่อการประหยัดค่าไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าที่ใช้กันทั่วไปตามบ้าน หลอดไฟและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยทั่วไปในบ้านเราใช้ไฟฟ้ากระแส สลับระบบ 1 เฟส ( 1- phase ) 2 สาย แรงดัน 220 โวลต์ ความถี่ 50 เฮิรตซ์ โดยสาย ไฟ 2 สายที่ใช้กันตามบ้านนี้ สายหนึ่งจะมีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่หรือเรียกว่าสายเคอร์เรนต์ ( current line ) ส่วนอีกสายหนึ่งจะเป็นสายที่เดินไว้เฉยๆ ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่หรือเรียกว่า สายนิวทรัล ( neutral line ) ดังจะเห็นได้จากปลั๊กไฟตามบ้านที่เห็นมีช่องเสียบอยู่ 2 ช่องนั้น ถ้าเอาไขควงสำหรับตรวจกระแสไฟฟ้าลองวัดดูจะเห็นได้ว่าช่องหนึ่งจะมีไฟแดงปรากฏ แสดงว่าไม่ มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน แต่เมื่อเวลาใช้งานกับหลอดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าจำเป็นต้องใช้ร่วมกันทั้ง 2 สายเพื่อให้กระแสไฟฟ้าครบวงจรส่วนบางแห่งที่เห็นปลั๊กไฟมี 3 ช่องนั้นยังเป็นระบบไฟฟ้า แบบ 1 เฟสเหมือนกันแต่ช่องที่เพิ่มขึ้นมานั้นเป็นช่องที่ต่อกับสายดิน ( ground ) เพื่อให้กระแส ไฟฟ้าไหลลงดินเวลาเกิดไฟรั่วเป็นการเพิ่มความปลอดภัย และปลั๊กของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จะใช้กับ ระบบสายดินนี้จะเป็นปลั๊กแบบ 3 ขาซึ่งในต่างประเทศถือเป็นระบบมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป ระบบไฟฟ้า 3 เฟสเป็นระบบไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส ( 3 - phase ) 4 สาย แรงดัน 380 โวลต์ ความถี่ 50 เฮิรตซ์ โดยที่ 3 สายจะเป็นสายที่มี กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน โดยทั่วไประบบไฟฟ้า 3 เฟสเป็นระบบที่ไฟฟ้าที่ใช้กับเครื่องจักรต่างๆใน โรงงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ เพราะเครื่องจักรเหล่านี้มักมีขนาดใหญ่จึงต้องการแรงดันไฟฟ้าที่สูง ไฟฟ้าระบบนี้ไม่สามารถนำมาใช้กับระบบแสงสว่างหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าตามบ้านได้โดยตรง มาถึงตรงนี้ หลายคนคงจะสงสัยว่าเมื่อระบบไฟฟ้า 3 เฟสไม่สามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆตามบ้านได้ โดยตรงแล้วจะเอามาแนะนำกันเพื่ออะไร ข้อสงสัยนี้สามารถอธิบายได้โดยไม่ยาก กล่าวคือ การนำ ระบบไฟฟ้า 3 เฟสเข้ามาใช้ในบ้านนั้นมิได้เป็นการใช้ไฟฟ้าทั้ง 3 เฟสกับอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละชิ้นโดย ตรง แต่เป็นการนำไฟฟ้า 3 เฟสนั้นมาแบ่งแยกให้เป็นระบบไฟฟ้า 1 เฟส 3 ชุด แล้วกระจายไป ตามจุดต่างๆที่มีการใช้ไฟฟ้า การกระจายจุดของการใช้งานเช่นนี้ทำให้ไฟฟ้าแต่ละเฟสไม่ถูกใช้งานมาก ถือเป็นการเฉลี่ยการใช้ไฟฟ้า ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้า เพราะการคิดอัตราค่าใช้ไฟฟ้าซึ่งมีหน่วยเป็น กิโลวัตต์ - ชั่วโมงจะคิดเป็นอัตราก้าวหน้า กล่าวคือยิ่งมีการใช้ไฟฟ้ามากก็จะยิ่งเสียค่าไฟฟ้าในอัตรา ที่สูงขึ้น ฉะนั้นการกระจาย การใช้ไฟฟ้าออกเป็น 3 ส่วนจากระบบไฟฟ้าที่นำเข้า 3 เฟสดังกล่าว จึงทำให้การใช้ไฟฟ้าในแต่ละส่วนหรือแต่ละเฟสน้อยลง จึงไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูง การนำระบบไฟฟ้า 3 เฟสมาใช้นั้นจะเสียค่าใช้จ่ายในตอนต้นค่อนข้างสูง เช่น ค่าติดตั้ง ค่าประกันการใช้ไฟฟ้า แต่สามารถประหยัดค่าใช้ไฟฟ้าได้ในระยะยาวฉะนั้นบ้านหรืออาคารที่ติดตั้ง ระบบไฟฟ้าดังกล่าวจึงควรเป็นบ้านหรืออาคารที่ค่อนข้างใหญ่ มีการใช้ไฟฟ้าหลายจุดและเป็นปริมาณ มากจึงจะคุ้ม ถ้าเป็นบ้านหรืออาคารที่มีขนาดเล็กและมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าไม่มากควรติดตั้งระบบ ไฟฟ้าเฟสเดียวก็เพียงพอ อย่างไรก็ตาม การเลือกว่าจะใช้ไฟฟ้าระบบไหนและใช้มิเตอร์ไฟฟ้าขนาดเท่าใดนั้นจำเป็น จะต้องปรึกษาผู้มีความรู้ทางด้านนี้โดยตรง ซึ่งอาจจะเป็นวิศวกรไฟฟ้า ผู้รับเหมา หรือช่างไฟฟ้า โดยที่เจ้าของบ้านเองก็ต้องวางแผนเกี่ยวกับปริมาณไฟฟ้าที่ต้องใช้เอาไว้ว่าต้องการใช้ไฟฟ้ามากน้อย แค่ไหน โดยอาจจะปริมาณจากจำนวนดวงไฟ รวมทั้งประเภทและจำนวนของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่คาดว่าต้องการจะใช้ เพื่อ จะได้เลือกระบบไฟฟ้าและขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้าที่จะติดตั้งได้อย่างถูก ต้องเหมาะสม โดยปกติขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้าที่จะขอติดตั้งได้จะมีขนาด 5(15) , 15(45) ,30(100) และ 50(150) แอมแปร์ ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้าเฟสเดียว ตัวเลขที่อยู่ด้านซ้ายนอกวงเล็บหมายถึงกระแส ไฟฟ้าปกติสำหรับการใช้งานของระบบไฟฟ้าขนาดนั้นๆ ส่วนตัวเลขด้านขวาที่อยู่ภายในวงเล็บ หมายถึงกระแสไฟฟ้าสูงสุดที่ระบบไฟฟ้าสามารถทนได้ เช่น มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15(45) แอมแปร์ หมายความว่าขนาดของระบบไฟฟ้าที่ติดตั้งไว้สามารถรองรับการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ โดย รวมได้ 15 แอมแปร์อย่างปลอดภัยภายใต้สภาวะการใช้งานตามปกติ แต่จะสามารถทนกระแส ไฟฟ้าสูงสุดได้ถึง 45 แอมแปร์ในบางครั้งบางคราวเป็นระยะเวลาสั้นๆ เช่น ในขณะที่เปิดเครื่อง ปรับอากาศใหม่ๆ เครื่องปรับอากาศจะกินกระแสไฟฟ้ามากกว่าปกติ ถึงแม้ว่ากระแสไฟฟ้าที่ใช้โดย รวมในช่วงเวลานั้นอาจจะสูงเกินกว่าระดับปกติบ้าง แต่ถ้าเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็จะไม่ก่อให้เกิด ปัญหาต่อระบบไฟฟ้าหรือการใช้ไฟฟ้าแต่ประการใด โดยปกติถ้าเป็นบ้านขนาดเล็กที่มีการติดตั้ง ดวงไฟและปลั๊กไฟเพียงไม่กี่จุดอาจใช้มิเตอร์ไฟฟ้าขนาดแค่ 15(15) แอมแปร์ก็เพียงพอ ถ้ามี เครื่องปรับอากาศ 1-2 เครื่องก็อาจใช้มิเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15(45) แอมแปร์ แต่ถ้าเป็นบ้านที่มีการ ใช้ไฟฟ้ามาก เช่น มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศหลายเครื่องก็อาจจะต้องใช้ มิเตอร์ไฟฟ้าขนาด 50(150) แอมแปร์ หรือบ้านที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นไปอีกก็ควรจะพิจารณาขอติดตั้งระบบ ไฟฟ้า 3 เฟส ซึ่งระบบดังกล่าวจะทำให้ได้ไฟฟ้าที่มีขนาดเป็น 3 เท่าของไฟฟ้าระบบเฟสเดียวตาม ขนาดตัวเลขแอมแปร์ข้างต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเทียบเท่ากับได้ระบบไฟฟ้าเฟสเดียวตามขนาดตัว เลขแอมแปร์ข้างต้นเป็นจำนวน 3 ชุดนั่นเอง เช่น ถ้าติดตั้งระบบไฟฟ้า 3 เฟส 4 สาย 30(100) แอมแปร์ 380 โวลต์ 1 ชุด ก็เทียบเท่ากับติดตั้งระบบไฟฟ้า 1 เฟส 2 สาย 30(100) แอมแปร์ 220 โวลต์ 3 ชุดนั่นเอง จากตัวอย่างและข้อเปรียบเทียบต่างๆ ข้างต้นอาจเห็นได้ว่าการเลือกระบบและขนาด ของมิเตอร์ไฟฟ้าที่จะใช้อาจมีทางเลือกหลายอย่าง โดยที่ทำให้ได้ขนาดของไฟฟ้าที่สามารถนำไป ใช้งานได้ใกล้เคียงเช่น ถ้าติดตั้งระบบไฟฟ้า 3 เฟส 4 สาย ขนาด 15(45) แอมแปร์ 380 โวลต์ จะได้ขนาดของไฟฟ้าใกล้เคียงกับการติดตั้งระบบไฟฟ้า 1 เฟส 2 สาย ขนาด 50(150) แอมแปร์ 220 โวลต์ เพียงแต่การขอระบบไฟฟ้า 3 เฟสนั้นจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและเสียค่า ใช้จ่ายสูงกว่าในตอนต้น แต่จะประหยัดค่าไฟฟ้าในระยะยาว ในขณะที่การขอระบบไฟฟ้าเฟส เดียวจะสะดวกและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าในตอนต้น แต่จะสิ้นเปลืองค่าไฟฟ้ามากกว่าในระยะยาว โดยทั่วไปถ้าไม่มีการกำหนดหรือระบุถึงความต้องการเป็นกรณีพิเศษแล้วผู้รับเหมาก่อสร้างหรือช่าง ไฟฟ้าก็มักจะขอติดตั้งระบบไฟฟ้า เฟสเดียวให้โดยไม่คำนึงถึงว่าบ้านนั้นจะมีปริมาณการใช้ไฟฟ้ามาก หรือน้อยเพียงใด เพราะเป็นการสะดวกและประหยัดในตอนต้น ฉะนั้นถ้าผู้ใดที่กำลังปลูกบ้านและ เห็นว่าการใช้ระบบไฟฟ้า 3 เฟสจะเป็นประโยชน์และเป็นผลดีต่อไปก็ควรจะกำหนดหรือระบุเอาไว้ เสียตั้งแต่แรก การติดตั้งระบบไฟฟ้า 3 เฟสนั้นมีข้อสังเกตและข้อควรระวังบางประการกล่าวคือ เนื่อง จากระบบไฟฟ้า 3 เฟสที่นำมาใช้จะถูกแยกให้กลายเป็นระบบไฟฟ้าเฟสเดียว 3 ชุดเพื่อนำมาใช้ งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าตามจุดต่างๆ ถ้าไฟฟ้าแต่ละสายที่แยกไปใช้งานตามจุดต่างๆ นั้นมีปริมาณการ ใช้งาน ( load ) ที่สมดุลกันหรือใกล้เคียงก็ย่อมจะเป็นการประหยัดค่าไฟฟ้าได้ดี แต่ถ้าปริมาณการ ใช้งานในแต่ละสายไม่สมดุลกันหรือแตกต่างกันมาก สายที่มีปริมาณการใช้งานสูงก็จะเสียค่าไฟฟ้า มากเนื่องจากต้องเสียค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงขึ้นโดยคิดในอัตราก้าวหน้าตามปริมาณการใช้ไฟฟ้า ทำ ให้ค่าไฟฟ้าโดยส่วนรวมพลอยสูงขึ้นไปด้วย อย่างเช่นการที่สายไฟสายหนึ่งถูกนำไปใช้กับเครื่อง ปรับอากาศหรือเครื่องทำน้ำร้อนหลายๆ เครื่อง ในขณะที่อีกสองสายถูกนำไปใช้กับดวงไฟและปลั๊ก ไฟเพียงไม่กี่จุดเช่นนี้แล้วสายที่มีปริมาณการใช้งานสูงก็จะทำให้ต้องเสียค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูง และ ยังอาจก่อให้เกิดปัญหาของการใช้ไฟฟ้าดังกล่าวเพื่อให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในแต่ละสายเฉลี่ยใกล้เคียง กันหรือสมดุลกัน จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้งาน ป้องกันไม่ให้สายไฟบางสายต้องรับ ภาระในการใช้งานมากเกินไป ทำให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งานและช่วยให้สามารถประหยัดค่า ไฟฟ้าอย่างได้ผลดีอีกด้วย อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญและควรต้องระวังอย่างยิ่งก็คือ การแยกระบบไฟฟ้า 3 เฟสออกเป็น 3 ชุดเพื่อนำไปใช้งานตามจุดต่างๆ นั้น สายไฟแต่ละคู่ที่เดินไว้สำหรับการใช้งานตามจุดต่างๆ นั้นจะต้องเป็นระบบไฟฟ้าเฟสเดียวเท่านั้น นั่นคือสายไฟแต่ละคู่ที่เดินแยกออกมาจะต้องมีสายไฟ เพียงเส้นเดียวเท่านั้นที่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ ส่วนอีกเส้นหนึ่งจะต้องไม่มีกระแสไฟฟ้า เป็นอย่าง นี้คู่กันเสมอ และจะต้องไม่เดินสายที่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ทั้ง 2 เส้นคู่กันเป็นอันขาดเพราะจะทำ ให้แรงดันไฟฟ้า ณ จุดนั้นกลายเป็น 380 โวลต์ ซึ่งจะมีผลทำให้ดวงไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ใช้งาน ณ จุดนั้นเกิดการชำรุดเสียหาย และยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้อีกด้วย ฉะนั้นหลัง จากการเดินสายไฟภายในบ้านควรมีการทดลองสายไฟที่เดินไว้ตามจุดใช้งานทุกจุดอย่างถี่ถ้วนว่าเป็น ระบบไฟฟ้าเฟสเดียวเพื่อป้องกันปัญหาและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ----------------------------------------------------------- แหล่งที่มา  :  http://www.thainetclub.com/webboard/detail.asp?id=47218 จากคุณ : สามช่า - [ 4 ก.ค. 49 01:11:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จากความเห็นที่ 5 เป็นบทความที่มีความคลาดเคลื่อนหลายจุดครับ ขอให้ผู้อ่านลองหาความรู้เพิ่มเติมก่อนจะเชื่อหรือทำตามนั้น เช่น 1. "สายหนึ่งจะมีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่หรือเรียกว่าสายเคอร์เรนต์ ( current line ) ส่วนอีกสายหนึ่งจะเป็นสายที่เดินไว้เฉยๆ ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่หรือเรียกว่า สายนิวทรัล ( neutral line )" สายนิวตรอลไม่ได้เดินไว้เฉย ๆ ครับ ใช้เป็นทางไหลกลับของกระแสไฟฟ้าเพื่อให้ครบวงจร จึงมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน แต่ศักดาไฟฟ้าเป็นศูนย์ จึงทำให้ไขควงเช็คไฟไม่สว่าง  สายนิวตรอลของการไฟฟ้าจะต่อลงดิน ดังนั้นศักดาไฟฟ้าจึงประมาณเท่ากับศูนย์เมื่อเทียบกับดิน 2. "สายที่มีปริมาณการใช้งานสูงก็จะเสียค่าไฟฟ้า มากเนื่องจากต้องเสียค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงขึ้นโดยคิดในอัตราก้าวหน้าตามปริมาณการใช้ไฟฟ้า ทำ ให้ค่าไฟฟ้าโดยส่วนรวมพลอยสูงขึ้นไปด้วย อย่างเช่นการที่สายไฟสายหนึ่งถูกนำไปใช้กับเครื่อง ปรับอากาศหรือเครื่องทำน้ำร้อนหลายๆ เครื่อง ในขณะที่อีกสองสายถูกนำไปใช้กับดวงไฟและปลั๊ก ไฟเพียงไม่กี่จุดเช่นนี้แล้วสายที่มีปริมาณการใช้งานสูงก็จะทำให้ต้องเสียค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูง"   ที่อ้างไว้ไม่ถูกต้องครับ  การคิดหน่วยค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าจะคิดจากหน่วยรวมที่มิเตอร์ไม่ได้คิดแยกเฟส ดังนั้นใช้แต่ละเฟสไม่เท่ากันไม่มีผลในการคิดหน่วยครับ  หน่วยรวมได้เท่าไรก็คิดจากหน่วยรวมนั้น ตามอัตราก้าวหน้าหรือคงที่แล้วแต่ประเภทผู้ใช้ไฟฟ้า แต่การใช้ไฟ 3 เฟส โดยแต่ละเฟสไม่เท่ากัน จะเกิดหน่วยหน่วยสูญเสียขึ้น (ไม่ขออธิบายละเอียดนะครับ) ซึ่งหน่วยสูญเสียนี้เราไม่ได้ใช้ แต่มิเตอร์มองเห็นดังนั้นจึงถูกคิดเงินด้วย  ถ้าไม่อยากให้เกิดหน่วยสูญเสียเปล่า ๆ ก็ต้องพยายามใช้ไฟแต่ละเฟสให้เท่ากันมากที่สุด ฯลฯ สำหรับคำถามของ จขกท 1. ไม่ขออธิบายในที่นี้เพราะมีรายละเอียดมากพอควร 2. ไฟ 3 เฟสขอไม่ยากหรอกครับ แต่ค่าใช้จ่ายแพงครับ และต้องมีเอกสารเพิ่มเติมเช่น ผังการเดินสายภายใน ฯลฯ  ส่วนค่าไฟนั้น  ถ้าต่อถูกเราก็จะเสียค่าไฟเท่ากับที่เราใช้จริง ไม่ต้องจ่ายให้กับหน่วยสูญเสียมากเกินจริง ค่าไฟนั้น การไฟฟ้าก็คิดตามอัตราประเภทที่เราใช้อยู่ ไม่มีลดให้ครับ 3. ไม่แนะนำให้เปลี่ยนกลับมาใช้ 15A เข้าใจว่าเดิมอัตราค่าไฟน่าจะเป็นประเภทธุรกิจขนาดเล็ก  ใช้มิเตอร์ 15A จะเป็นประเภทที่อยู่อาศัย แต่ของคุณใช้ไฟมากค่าไฟฟ้าจะสูสีกัน (ถ้าใช้หน่วยไม่มาก 100-200 หน่วย เปลี่ยนกลับคุ้ม) ใช้ 3 เฟสต่อไป แต่ให้บาลานซ์การใช้ไฟใหม่เพื่อลดหน่วยที่ไม่ควรเสียดีกว่าครับ แต่ยังไงลองไปปรึกษาการไฟฟ้าใกล้บ้าน ดูนะครับ เอาใบเสร็จค่าไฟไปด้วยขอให้คำนวณค่าไฟกรณีเดิมกับเปลี่ยนเป็น 15A อย่าลืมถามค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่อาจมี 4. ไม่จริงครับ แต่การบาลานซ์เฟส จะช่วยลดหน่วยสูญเสียที่เราไม่ควรต้องเสีย แต่หน่วยใช้ไฟจริง ๆ ของเรา เท่าไรก็เท่านั้น ราคานั้นเหมือนเดิม แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 49 13:33:12 จากคุณ : loi - [ 4 ก.ค. 49 12:42:23 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เรียกพี่ช่างไฟมา อาจไม่ได้รับคำตอบ แต่โดนเหน็บแทน ตอบให้หน่อยก้ได้ บาลานซ์ เฟสใหม่ ค่าไฟถูกลง อย่าเดินสายไฟผิดถ้ามีไฟทั้ง 2 เส้น 380 โวลล์ เห็นไหม้มาเยอะแล้ว จากคุณ : แมวเกเร - [ 4 ก.ค. 49 13:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ไฟ 3 เฟส 3 เฟส 4 สาย คือ สายที่มีไฟ 3 เส้น อีก 1 เส้นเป็นเส้น นิวตรอน 380V/220V กระแสแล้วแต่ขนาดของมิเตอร์ - ถ้าต้องการใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้า 3 เฟส (380V) ก็ต่อเส้นที่มีไฟ 3 เส้นนั้น เข้าไปเลย ไม่มีปัญหา ไม่ต้องทำการ balance phase แต่อย่างใด - ถ้าต้องการใช้กับ เครื่องใช้ไฟฟ้า 1 เฟส (220V) ก็ต้องเอาเส้นที่มีไฟเส้นใดเส้นนึง มาใช้ แล้วเอาเส้นนิวตรอนมาคู่กันด้วย ปัญหาอยู่ตรงนี้แหละครับ คือตามปกติ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านจะเป็นแบบใช้ไฟ 1 เฟส(220V) ดังนั้นต้องมีการ balance phase เพื่อให้ใช้ไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง สมมุติว่าที่บ้านมีแอร์ขนาดเดียวกัน 3 ตัว เครื่องทำน้ำอุ่นขนาดเดียวกัน 3 ตัว ตู้เย็นขนาดเดียวกัน 3 ตัว กทำการ balance ได้คร่าวดังนี้ครับ โดยเอา แอร์+เครื่องทำน้ำอุ่น+ตู้เย็น ชุดที่ 1 มาต่ออยู่กับไฟเฟสที่ 1 ส่วนที่เหลือก็ต่อกับไฟในเฟสที่ 2 และ 3 ตามลำดับ เกิดมี TV อีก 3 ตัว ก็ต่อไปเฟสละ 1 ตัว ซึ่งดูๆก็ง่ายๆ แต่เกิดอยู่ๆไป มีการต่อเติมบ้านเพิ่มห้องมาอีก 1 ห้อง และมีเครื่องใช้ไฟฟ้าดังกล่าวเพิ่มอีก 1 ชุด การ balance phase จะยากขึ้นครับ คือในห้องเดียงกันอาจจะต้องใช้สายที่มีไฟทั้ง 3 เส้น + เส้นนิวตรอน กับอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละอย่าง จากคุณ : มะขามป้อม.. - [ 4 ก.ค. 49 14:44:09 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แม่นแล้ว ตาม คห.7 จากคุณ : kamjun - [ 4 ก.ค. 49 14:57:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไฟ 3 เฟส ให้ค่ากำลังงานมากกว่าไฟเฟสเดียวธรรมดาครับ ดังนั้น คิดในมุมกลับ ในกำลังงานเท่าๆกัน ไฟ 3 เฟส จะกินไฟน้อยกว่าครับ จากคุณ : ช่างไฟ - [ 4 ก.ค. 49 19:58:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 .......บทความที่คุณ สามช่า เอามานั้นมคนเขียนมั่วมากๆ ครับ ในห้องนี้เคยมีคนใช้อ้างอิงกับเรื่องค่าไฟนี้ครั้งนึง ผมก็ได้อธิบายไปแล้วว่ามั่วมา  หลายๆ ท่านที่มีความรู้เรื่องไฟฟ้าก็ปฎิเสธบทความนี้ .......ขอบคุณ คุณ loi  ที่ได้สละเวลาพิพม์ข้อความเพื่อให้ท่านอื่นเข้าใจ แม้ว่าจะไม่ถูกต้องทั้งหมด(เดียวผมแก้ไขบ้างจุดให้) แต่ก็มีประโยชน์มาก ระบบไฟฟ้าแรงต่ำแบบ 380V 3 เฟส 4 สาย ที่ใช้ในประเทศประกอบด้วย สายเฟส 3 เส้น สายนิวทรอล 1 เส้น      การที่การไฟฟ้าเดินไฟสามเฟสนั้นเพราะเทียบค่าใช้จ่ายในการลงทุนก่อสร้างกับความจุในการส่งพลังงานนั้นเหมาะสมและคุ้มค้าสุดครับ   แต่ไฟที่ใช้ตามบ้านนั้นปกติแค่ใช้ 220V 1 เฟส 2 สาย ก็เพียงพอแล้ว   ถ้าผู้ขอใช้บริการมีการใช้ไฟมากจริงๆ การไฟฟ้าจึงจะทำการส่งไฟให้แบบ 3 เฟส เพื่อสามารถส่งกำลังไฟฟ้าได้มากขึ้น     1.สายเฟส (Phase Line) หรือ สายฮ๊อต (Hot Line) (ไม่เคยได้ยินว่า Current Line) เป็นสายไฟที่แรงด้นเทียบกับสายนิวทรอลหรือดิน 220 โวล์ต และเทียบกับสายเฟสด้วยกันเป็น 380 โวล์ต     2.สายนิวทรอล (Nuetral Line) หรือ สายกลาง นั้นเป็นสายไฟที่มีแรงดันเทียบกับดินเป็นศูนย์    สายเส้นนี้ปรกติอาจมีกระแสไหลหรือไม่มีก็ได้ในกรณี 3 เฟสสมดุล ตอบ คุณ กุงกุง .......คำตอบนี้เป็นคำแนะนำ โดยไม่ได้คำนึงถึงค่าที่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์บ้างอย่างจาก 3 เฟส เป็น 1 เฟส และ ค่าดำเนินการอื่นๆ .......สำหรับค่าไฟฟ้านั้น จะประหยัดหรือไม่ให้ดูที่ปริมาณการใช้ไฟ(จำนวน Unit ที่ใช้ต่อเดือน) และ อัตราการเก็บค่าบริการการใช้ไฟฟ้า       ในบิลค่าไฟฟ้าจะมีการแจ้งว่าคุณจัดอยู่ในผู้ขอใช้ไฟฟ้าประเภทไหนๆ ในปัจจุบัน(ในนี้เข้าใจว่าเป็นประเภท ผู้ประกอบกิจการขนาดเล็ก)    และตรวจสอบว่าหน่วยไฟฟ้าที่ใช้สามารถนำไปจัดในประเภทอื่นที่เล็กกว่านี้ได้หรือไม่ (เช่น ประเภทที่อยู่อาศัย)     ถ้าทำได้ลองเอาจำนวนหน่วยที่ใช้ต่อเดือนที่เฉลื่ยแล้วไปคำนวนตามวิธีการคิดค่าไฟตามประเภทผู้ขอใช้บริการ  จากตัวเลขค่าไฟจะเห็นว่าประเภทไหนเหมาะกับตนเองมากที่สุด      การจะเปลี่ยนประเภทได้นั้นผู้ขอใช้ไฟฟ้าต้องมีคุณสมบัติสอดคล้องกับเงื่อนไขของการไฟฟ้าที่เราใช้บริการอยู่นะครับ จากคุณ : arm_cc - [ 4 ก.ค. 49 19:59:32 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อ้าว!..... ช่างไฟมาแล้ว นึกว่าเป็นแต่เหน็บทักษิณ กับ ใต้ดือ.....ฮ่าๆๆๆๆๆ (แอบแซว) จากคุณ : เสือห้าว - [ 4 ก.ค. 49 21:14:01 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าสาย N ขาด ไฟที่ต่อมาจากต่างเฟสจะวิ่งเข้าหากันกลายเป็นลัดวงจร สมมุติ P1 ---------Load-------N P2 ---------Load-------N P3 ---------Load-------N | | จากคุณ : Doctor - [ 5 ก.ค. 49 05:43:16 A:203.113.51.104 X:203.151.140.116 TicketID:121835 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าสาย N ขาด ไฟที่ต่อมาจากต่างเฟสจะวิ่งเข้าหากันกลายเป็นลัดวงจร สมมุติ P1 ---------Load-------N P2 ---------Load-------N P3 ---------Load-------N | | === Ground ถ้า N ขาด P1 ---------Load-------N P2 ---------Load-------N P3 ---------Load-------N === Ground P1 P2 P3 จะมีไฟส่วนหนึ่งลัดวงจรเข้าหากัน ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหายได้ ( P1 = ไฟเฟสที่ 1 ) จากคุณ : Doctor - [ 5 ก.ค. 49 05:44:12 A:203.113.51.104 X:203.151.140.116 TicketID:121835 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ค่าไฟคิดคามลักษณะประเภทของผู้ใช้ และหน่วยที่ใช้+FT ครับ ไม่เกี่ยวกับว่าใช้ไฟ 1 เฟส หรือ 3 เฟสครับ เพียงแต่ถ้าเราต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก ใช้ ไฟ 3 เฟสค่าดำเนินการจะประหยัดกว่าและการสูญเสียจะน้อยกว่า จากคุณ : สม (sanchart) - [ 5 ก.ค. 49 13:24:30 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ยื่งอ่านยิ่งขัดแย้งกับความรู้เดิม ปกติที่รู้มา ไฟ 3เฟส ต้องใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ระบบไฟ 3เฟส 3-50-380v เห็นผลมากกับเครื่องไฟฟ้าประเภทมอเตอร์ ไฟ 3เส้น กระแสเท่ากันแต่ไม่เหมือนกัน แทนกันไม่ได้ สลับกันไม่ได้ แต่เจอกระทู้นี้ ขอเวลาทำความเข้าใจก่อนครับ จากคุณ : คนบ้าบิต - [ 8 ก.ค. 49 14:19:08 ]

ความคิดเห็นที่ 17 การจั้มแต่ละเฟสผ่านโหลดแยกกันลงนิวตรอลเส้นเดียวกัน นี่จะมีปัญหาหรือเปล่าน้า สมมุติมีโหลดรวมกัน 30 แอมป์ ก็ลองจัดการแบ่งไปที่ เฟส 1 10 แอมป์ เฟส 2 10 แอมป์ เฟสสาม 10 แอมป์ ค่าไฟสูงสุดจะอยู่ที่ 10 แอมป์ ไม่ว่าจะใช้โหลดพร้อมกันหรือไม่ ถ้าต่อแบบเฟสเดียว ค่ากระแสไฟจะขึ้นไปได้ถึง 30 แอมป์ ถ้าใช้โหลดพร้อมกันทั้งหมด สรุปค่าไฟระบบ 3 เฟสจะน้อยกว่าระบบ ไฟ 1 เฟสครับ ระบบ 3 เฟส มีสายไฟ 4 เส้น R S T และ N ครับ R เทียบกับ S หรือ T ได้ 380 V AC R เทียบกับ N จะได้ ไฟบ้าน 220 V AC จากคุณ : Doctor - [ 8 ก.ค. 49 23:36:39 A:203.113.51.102 X: TicketID:121835 ]

ความคิดเห็นที่ 18 บทความใน #5 อ่านแล้วมันแหม่งๆครับ บอกว่าใช้ไฟ 3 เฟส แล้วประหยัดกว่า เดี๋ยวคนก็พากันเปลี่ยนไปใช้ 3 เฟสกันหมด ยุ่งตายเลย... ความเป็นจริงคือ ระบบไฟของเราเป็น 3 เฟสอยู่แล้วครับ บ้านทั่วไปที่ใช้ไฟ 1 เฟส ก็ีคือ แยกเอาไฟมาใช้เฟสหนึ่ง ปัจจุบันมิเตอร์ 1 เฟสที่ใช้กันใหญ่สุดคือ 30(100) คือใช้ไฟได้สูงสุด 100 A. ซึ่งขนาดกระแสนี้จะเป็นตัวกำหนดทั้งขนาดของสายไฟ และ อุปกรณ์ป้องกันในระบบด้วย มิเตอร์ 50(150) เข้าใจว่าเลิกไปแล้ว เพราะต้องใช้สายไฟและอุปกรณ์ป้องกันขนาดใหญ่เกินไป ไม่สะดวกในการใช้งานในบ้านทั่วไป แต่...ถ้าบ้านคุณจะใช้ไฟมากกว่า 100 A. คุณก็ต้องใช้ไฟ 3 เฟส ซึ่งก็เปรียบเสมือน การใช้ไฟ 1 เฟส 3 ชุดนั่นแหละครับ แต่แน่นอน การใช้งานก็ต้องยุ่งยากกว่า และต้องมีการออกแบบที่ดีพอ เนื่องจากมีโอกาสเกิดความเสียหายในระบบจากการเกิด Over Voltage ได้ ส่วนเรื่องการ Balance load ผมไม่แน่ใจว่าจะมีผลกับมิเตอร์แค่ไหน แต่เข้าใจว่าเป็นมาตรฐานของการไฟฟ้ามากกว่าครัีบ เพื่อให้มีความสมดุลในระบบเท่านั้น เนื่องจากทางการไฟฟ้าไม่สามารถมาปรับเปลี่ยนในระบบของเราได้   ไม่ได้มีผลกับการอ่านค่าของมิเตอร์มากมายอะไร ไฟ 3 เฟส แรงต่ำ น่าจะวัดแต่ kWh แค่นั้นนะครับ พวก kVAR หรือ Peak ไม่ได้วัดหรอกครับ จากคุณ : eMiLe - [ 9 ก.ค. 49 14:43:36 ]

ความคิดเห็นที่ 19 .......เรียน คุณ Doctor ค่าไฟสำหรับที่พักอาศัยเขาวัดเป็น kWh ครับ ไม่ได้วัดเป็นกระแสหรือแอมแปร์ไม่ว่าจะเป็นแบบเฟสเดียวหรือ 3 เฟส    ดังนั้นการคิดจากฐานของกระแสย่อมไม่ถูกต้องแน่นอนและทำให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านไฟฟ้าเข้าใจผิดมากๆ   ส่วนช่างไฟที่แนะนำอย่างนี้ผมบอกได้เลยว่าเป็นคนไม่มีความรู้จริงมีแต่ทักษะงานติดตั้งเดินสายไฟง่ายๆ เท่านั้น     .......แม้จะคิดค่าไฟเป็นแต่ล่ะเฟสก็ต้องนำค่าไฟในแต่ละเฟสมารวมกันครับไม่ใช่ว่าคิดแค่เฟสเดียว     ถ้ามีโหลด 30 A และแบ่งจ่ายไปในแต่เฟสๆ ล่ะ 10 A    จะคิดค่าไฟ 10 A จากเฟสๆเดียวไม่ได้ครับ  และอีก 2 เฟสที่เหลือใครจะเป็นคนจ่ายครับ ???   การไฟฟ้าเขาไม่จ่ายแทนคุณและก็ไม่ได้ให้ใช้ฟรีๆ แน่ๆ !!! จากคุณ : arm_cc - [ วันอาสาฬหบูชา 06:51:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 RST , RYB , ABC สายเฟส เรียกได้หลายอย่างครับ เห็นด้วยกับคุณ arm-cc ครับ เรียนคุณ doctor เหมือนกันครับ ในกรณีที่สาย N ขาด แล้วจะเกิดกรณีอย่างที่คุณว่าได้ ต้องระบุด้วยนะครับว่ามันขาดที่ตรงไหน ไม่ใช่ว่าขาดทุกกรณีนะครับ ซึ่งกรณีของคุณคือขาดที่สายเมน N ที่จะเข้าบ้านครับ จากคุณ : มะขามป้อม.. - [ วันอาสาฬหบูชา 13:58:30 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณคุณ arm_cc ครับ ผมเข้าใจผิดเองครับ ว่าไฟบ้านกะไฟโรงงานมีวิธีวัดและคิดเหมือนกัน ไฟโรงงานคงประหยัดจากการ Balance phase ได้จากการลดค่า Peak demand charge ใช่ไหมครับ เรียนคุณ มะขามป้อม ใช่ครับถ้า N รวมภายในบ้านพ่วงกันแล้ว ไม่ได้ต่อกับ N ของการไฟฟ้า มีโอกาสไหมครับที่ไฟจะกลายเป็นไฟสูง 380V จากคุณ : Doctor - [ วันอาสาฬหบูชา 17:57:52 A:203.113.51.102 X:203.151.140.118 TicketID:121835 ]