ความคิดเห็นที่ 3
ได้มาจาก: http://www.home.co.th/answerhome2.asp
ซื้อบ้านกับโครงการบ้านจัดสรร แต่ไม่ได้พิมพ์เขียว ? Q : ซื้อบ้านกับโครงการบ้านจัดสรรขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง โอนกรรม สิทธิ์แล้วแต่ไม่ได้พิมพ์เขียว ขอแล้วแต่พนักงานบอกว่าเป็นลิขสิทธิ์ของโครงการจึงให้ไม่ ได้ อยากถามว่าโครงการสามารถทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ แล้วถ้าหากในอนาคตเราอยากต่อ เติมบ้าน จะทำอย่างไร
A : ตอนนี้ในเมืองไทยบริษัทจัดสรรส่วนใหญ่ไม่ให้พิมพ์เขียวแก่ผู้ซื้อ ใครอยาก ได้ต้องเจรจากันเองก่อนเซ็นสัญญาจะซื้อจะขาย บางรายขอให้ระบุไว้ในเอกสารแนบท้าย สัญญา ทั้งนี้เพราะเวลาจะขาย ลูกค้าเรียกร้องอะไร ผู้ขายมักพยายามทำให้ได้ เพราะลูกค้า จะต่อรองว่าถ้าไม่มีก็จะไม่ซื้อ หรือถ้าไม่ได้ก็จะไม่ยอมเซ็นรับและนัดโอน เป็นต้น
สำหรับผู้ที่อยากได้จริงๆ อาจต้องไปร้องเรียนที่ สคบ. ซึ่งเมื่อมีเสียงเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอาจจะเป็นข้อกำหนดในกฎหมายหรือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญามาตรฐานได้ แต่ตอน นี้ยังไม่มีกฎหมายบังคับโดยตรง แต่ก่อนที่จะไปหา สคบ. น่าจะลองคุยกับฝ่ายบริหารระดับ สูงของโครงการ ระดับผู้จัดการโครงการขึ้นไป หรือติดต่อผู้จัดการฝ่ายขาย ไปจนถึงกรรม การผู้จัดการบริษัท
พิมพ์เขียวมีประโยชน์ไม่เฉพาะการต่อเติมเท่านั้น ยังมีประโยชน์เรื่องการซ่อมบำรุงต่าง ๆ ทั้งระบบไฟฟ้า ประปา ท่อระบายน้ำ เป็นต้น ยิ่งหากใช้การระบบร้อยสายไฟในท่อและ ซ่อนในผนังก็ยิ่งจำเป็นต้องมีพิมพ์เขียวให้ดูประกอบเวลาจะซ่อมแซม
บ้านจัดสรร รับประกันกี่ปี ? Q : อยากรู้เกณฑ์การรับประกันบ้านของโครงการบ้านจัดสรรมีกฎหมายรองรับหรือไม่ ว่าหลังจากรับโอนบ้านแล้ว บริษัทต้องรับประกันตัวบ้านนานเท่าไหร่ หรือหากไม่ได้มีกฎหมายบังคับไว้ โดยทั่วไปเขารับประกันกันอย่างไร ต้องมีระบุเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในสัญญาหรือไม่ อย่างไร
A : เกี่ยวกับการรับประกันบ้าน เป็นรายละเอียดในประกาศคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง เรื่อง กำหนดแบบมาตรฐานของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2545 ประเด็นก็คือ ผู้ขายต้องรับผิดในความเสียหายหรือความชำรุดบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งของอาคาร อันเป็นเหตุให้เสื่อมราคา หรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่ผู้จะซื้อพึงได้รับ โดยถ้าเป็นกรณี โครงสร้างของอาคาร ได้แก่ เสาเข็ม ฐานราก เสาคาน พื้น โครงหลังคา และผนังที่รับน้ำหนัก เป็นต้น ภายในระยะเวลา 5 ปี, กรณีที่เป็นส่วนควบหรืออุปกรณ์อันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาคาร นอกจาก ที่กล่าวข้างต้น รวมถึงรั้ว และกำแพง ภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันโอนกรรมสิทธิ์,ในการจัดสรรที่ดิน กฎหมายได้กำหนดให้ผู้ขออนุญาตจัดสรรใช้แบบสัญญามาตรฐานของกรมที่ดินดังกล่าว แต่ส่วนใหญ ่ก็ไม่ยึดถือเคร่งครัดมากนัก ที่สำคัญ สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย สามารถใช้บังคับได้ตาม เงื่อนไขที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ได้ทุกประการ แปลง่าย ๆ เขียนสัญญาไว้อย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น (ตราบเท่าที่ไม่ขัดกับหลักกฎหมาย) ดังนั้น ในฐานะคนซื้อ ถ้าเลือกได้ก็ควรเลือกซื้อโครงการที่ใช้ ้สัญญามาตรฐานจะดีที่สุด
บ้านสั่งสร้าง จะตรวจเช็คยังไงไม่ให้โดนหลอก Q : อีกหนึ่งคำถามจากเว็บไซต์,คุณมนตรีสงสัยอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่เป็นแบบบ้านสั่งสร้าง ว่าจะมีวิธีการตรวจเช็คอย่างไรเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่ถูกหลอก
A : ที่ว่าบ้านสั่งสร้างนั้น แท้จริงก็คือ บ้านในโครงการบ้านจัดสรรที่เจ้าของเค้าจะสร้างตามการจอง/ ซื้อของลูกค้า หรือลูกค้าสามารถเลือกแปลงที่ดิน เลือกแบบบ้านที่จะไปลงได้ นั่นคือ พอเราวางเงิน ดาวน์ เงินทำสัญญา และเริ่มผ่อนดาวน์ เค้าก็เริ่มสร้าง ระหว่างสร้างอาจสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น ได้ด้วย บางคนจึงเรียกบ้านผ่อนดาวน์ ดังนั้น ข้อพิจารณาในการซื้อใช้วิธีเดียวกับการซื้อบ้านจัดสรร ทั่วไปได้ เกณฑ์มาตรฐานเช่น การมีเลขที่ใบอนุญาตจัดสรร หรือถ้ายังไม่มีอย่างน้อยก็ต้องมีเลขที่คำ ขอใบอนุญาตจัดสรร,ข้อมูลบริษัทที่ดำเนินโครงการ-ชื่อกรรมการผู้จัดการบริษัท,,เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ ดิน(ควรเป็นบริษัทที่ดำเนินการ),เลขที่โฉนดที่ดิน,ภาระผูกพันธ์ในที่ดิน,การกำหนดเวลาแล้วเสร็จ ซึ่ง ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลภาคบังคับที่ต้องแจ้งหรือเผยแพร่ให้รู้ จริงๆ แล้วยังมีการตรวจสอบอีกหลายขั้นตอนเพื่อความรอบคอบ เช่น เช็คประวัติการร้องเรียนจาก สคบ.,ความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการ,การตรวจสอบเรื่องที่ดิน,สัญญาซื้อขาย ฯลฯ แต่ถ้าให้ สะดวกและง่าย และคิดว่าได้ผล อยากแนะนำว่าให้เข้าไปดูที่ไซต์งานแต่ละโครงการ เลือกพิจารณา โครงการที่มีการก่อสร้างหน้างานจริง มีคนงานคึกคัก และถ้าให้ดีเลือกหลังเลือกแปลงที่เริ่มก่อสร้าง ไปบ้างแล้ว หลีกเลี่ยงโครงการที่มีแต่บ้านตัวอย่างเพียงอย่างเดียว หรือจะไปดูผลงานเก่าที่สร้าง เสร็จแล้วของบริษัทด้วยก็จะยิ่งดี
จากคุณ :
elenote
- [
20 ต.ค. 49 13:10:09
]
|
|
|