ความคิดเห็นที่ 1 1. หาความต้องการเช่บ บ้านกี่ชั้น กี่ห้องนอน งบประมาณ 2. หาแบบบ้านที่ถูกใจ 3.  ศึกษา spec วัสดุ 4. ปรึกษาผู้รับเหมา ทำแบบ 5.  ปรึกษาแบงค์ 6.  ผมใช้เวลาปีกว่า จากคุณ : kead (kead) - [ 28 ธ.ค. 49 09:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ก็เริ่มจากเดินดูแบบบ้านจัดสรรไปเรื่อยๆ จนได้แบบหรือไอเดียในใจคร่าวๆ อะไรที่ชอบ อะไรที่ไม่ชอบก็จดไว้ แล้วก็คุยกับสถาปนิก บอกที่เราต้องการไปคร่าว งบประมาณ ช่วงนี้ผมไม่เร่งสถาปนิกเลย ปล่อยท่านทำไปเรื่อยๆ เราจะได้มีเวลาดู เผื่ออยากเปลี่ยนอะไร จะได้จบทีเดียว แก้หน้างานยากกว่า แก้บนกระดาษนะ ช่วงนี้ใช้เวลาคุยกันจนขออนุญาตเสร็จก็ห้าหกเดือนแนะ จากนั้นก็หาผู้รับเหมา หาเจ้าที่ไว้ใจ คือถ้ามีคนรู้จักแนะนำมาอีกทีจะดีที่สุด เอาแนะนำแบบเคยสร้างกับเจ้านี้แล้วดีนะ ไม่ใช่เพื่อนๆกันอย่างงั้นอย่าเอา ผมว่าเสี่ยง เวลาปลูกจริงๆก็สัก 7-8 เดือนก็เสร็จครับ แต่ช่วงที่ใกล้จะเสร็จโครงสร้างนี่จะเริ่มเหนื่อยแล้ว เตรียมใจได้เลย เพราะต้องเลือกสี เลือกกระเบื้อง เลือกสุขภัณฑ์ เลือกลูกบิดประตู โอ้ย เยอะแยะ ส่วนตอนจ่ายเงินก็จ่ายตามงวดงานที่ทำเสร็จครับ ผมจะใช้วิธีว่า ถ้างานไม่เสร็จก็ไม่จ่าย แต่อย่างบางทีเค้าจะขอเงินก่อน ก็บอกให้เอาวัสดุมากองที่หน้างานก่อนแล้วกัน ไม่งั้นแบงค์ไม่จ่ายก็ว่าไป ผมจะบอกเค้าว่าเงินเราต้องกู้แบงค์ถ้าไม่เสร็จตามงวด แบงค์ก็ไม่จ่ายเงินเราเหมือนกัน มันก็ปลอดภัยดี แต่ว่ามันสำคัญที่ผู้รับเหมานะแหละ ว่าดีแค่ไหน ถ้าเจอคนที่ไม่ดี หรือกำลังมีปัญหาเรื่องเงิน ยังไงงานก็ช้า ถ้าเจอแบบนี้ยิ่งต้องโหด จากคุณ : ซาตาน - [ 28 ธ.ค. 49 16:32:44 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จะสร้างบ้าน (มีที่ดินแล้ว) สักหลัง (แต่ไม่รู้จักใครเลย) เริ่มต้นที่ไหนดี หากคุณมีที่ดินแล้วก็อยากสร้างบ้านสักหลัง แต่คุณไม่เคยรู้จักใครเลย และก็ไม่มีเงินเพียงพอ ที่จะเสี่ยง ต่อความเสียหาย หรืองบประมาณบานปลายคุณอาจดำเนินการดังนี้ ติดต่อบริษัทที่รับสร้างบ้านสำเร็จตามแบบของเขา (เปิดหาได้ตามโฆษณาทั่วไป ) ตรวจสอบดูผลงานเขา จากสถานที่จริง และถ้าเป็นไปได้ ถามเจ้าของบ้าน ที่เขากำลังก่อสร้าง แล้วคุณจะได้รู้อะไรดีๆ (หากเขา ไม่มีตัวอย่างให้ดู ก็ไปเลือกบริษัทอื่น) ดูแบบที่เขามีอยู่ในบริษัท พร้อมงบประมาณ ว่าเป็นที่พอใจของคุณหรือไม่ หากพอใจก็ติดต่อตกลงกับเขาเพื่อดำเนินการเลย หากไม่พอใจในขั้นตอนแรก (ข้อแรก) แต่ก็ไม่รู้จักสถาปนิกเลยสักคน ลองติดต่อกับ สมาคม สถาปนิกฯ เพื่อให้เขาแนะนำ สถาปนิกให้คุณสักคน เมื่อคุณเจอสถาปนิกแล้ว ก็ตกลงในการว่าจ้าง วิชาชีพกันต่อไป (คุณจะต้องเสียค่าออกแบบ หากคุณจะดูแบบ ซึ่งต่างกับข้อแรก ที่คุณดูแบบได้ฟรี โดยไม่ต้องเสียกะตังค์) หากทั้งสองขั้นตอนนี้ยังไม่เป็นที่พอใจคุณอีก แนะนำให้ลองตระเวณดูบ้านที่คุณพอใจ แล้วเคาะประตู ถามเจ้าของบ้าน ที่คุณพอใจนั้นว่า เขาได้บ้านที่คุณพอใจนั้นมาอย่างไร (หากเขาไม่ไล่คุณ ออกมาจากบ้านก่อน ก็ทำตามที่เขาบอกครับ) http://se-ed.net/winyou2/100_1000_1/144.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 1 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2534 ( อ.ยอดเยี่ยม  เป็นอดีตนายกสมาคมสถาปนิกสยาม ฯ ) แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 49 16:53:40 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:52:35 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อะไรเอ่ย ที่เวลาก่อสร้างไม่น่าประหยัดเลย? สิ่งที่ไม่น่าจะประหยัดในการก่อสร้างทั้งหลายทั้งมวลก็คือ "รากฐาน" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรุงเทพ มหานคร เพราะเมื่อ เกิดปัญหา ขึ้นแล้ว จะเป็นจุดที่แก้ไข ยากที่สุด แก้ไข นานที่สุด และ แพงที่สุด (นอกจาก จะไม่น่าประหยัดแล้ว เวลาก่อสร้างน่าจะ Serious มาก ๆ ด้วย แต่คนมักจะมองข้าม อาจเพราะถือว่า ไม่มีใครเห็น ก็ได้) http://se-ed.net/winyou2/100_1000_1/145.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 1 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2534 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:53:01 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในโครงการก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ คุณต้องเจอะเจอกับใครบ้าง มีสุภาษิตโบราณว่าการจะทำอะไร "ต้องรู้เรารู้เขา" แต่บางครั้งเราก็ไม่ทราบว่า "เขา" ที่เราจะต้องรู้นั้น มีใครบ้าง เลยขอสรุป "เขา" ว่าน่าจะมีดังต่อไปนี้ เจ้าของโครงการ ผู้ออกแบบ (สถาปนิก-วิศวกร-มัณฑนากร) ผู้บริการการก่อสร้าง-วิศวกรที่ปรึกษา-ผู้ควบคุมงาน ผู้รับเหมา (ทุกชนิด) ผู้ส่งวัสดุ สถาบันการเงิน กรุงเทพมหานคร หรือ กรมโยธาธิการ เพื่อนบ้าน (ที่คุณอาจทำความเดือนร้อนให้เขา) ตำรวจ (จะมาจับคุณหากคุณทำผิดกฎหมาย) รัฐวิสาหกิจด้านสาธารณูปโภค (ประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์) ฝ่ายการตลาด (ฝ่ายขาย) ผู้ซื้อ เมื่อคุณรู้แล้วว่า "เขาเหล่านั้นน่าจะเป็นใครบ้างที่เข้ามาเกี่ยวกับชีวิตตนเองก็ต้องดำเนินการ ตามสมควร ให้ดีต่อไป ครับผม http://se-ed.net/winyou2/100_1000_1/146.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 1 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2534 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เสาเข็มมีกี่อย่าง แล้วจะเลือกใช้อย่างไร เสาเข็มโดยทั่วไปจะแยกออกได้เป็นสำคัญ 2 ประเภทคือ เสาเข็มตอก และ เสาเข็มเจาะ (ส่วนเสาเข็ม พิเศษอื่น ๆ เช่น Micro Pile นั้น หากไม่ใช่วิศวกรก็ไม่น่าจะไปสนใจ) เสาเข็มตอก และเสาเข็มเจาะเอง ก็ยังแยกออกได้ เป็นอย่างละอีก 2 ประเภท ซึ่งโดยสรุปรวม วิธีการทำงาน และจุดดีจุดด้อย น่าจะสรุป พอเป็นสังเขป ได้ดังต่อไปนี้ : 1. เสาเข็มตอกทั่วไป จะมีหน้าตาต่าง ๆ กัน บางทีก็เป็นสี่เหลี่ยม บางทีก็เป็นหกเหลี่ยม บางทีก็เป็นรูปตัวไอ ซึ่งทุกอย่าง จะมีหน้าตัดตันทั้งต้น เวลาตอก ก็ตอกลงไปง่าย ๆ อย่างที่เราเห็นกันโดยทั่วไป 2. เสาเข็มกลมกลวง เป็นเสาเข็มที่สามารถรับแรงได้มากกว่าเสาเข็มแบบแรก เพราะสามารถ ทำให้โตกว่าได้ ผลิตโดย การปั่นหมุนคอนกรีต ให้เสาเข็มออกมา กลมและกลวง เวลาติดตั้ง ส่วนใหญ่ จะขุดเป็นหลุมก่อน แล้วกดเสาเข็มลงไป พอถึงระดับ ที่ต้องการ จึงจะเริ่มตอก ทำให้มีส่วนของเสาเข็ม ไปแทนที่ดินน้อยลง (ดินถูกขุดออกมาบางส่วนแล้ว) อาคารข้างเคียงเดือดร้อนน้อยลง จากการเคลื่อนตัวของดิน (แต่ความดัง ฝุ่นละออง และความสะเทือน ก็ยังคงอยู่) 3. เสาเข็มเจาะแบบแห้ง เป็นระบบเสาเข็มเจาะขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะลึกไม่เกิน 20 เมตร (แล้วแต่ ระดับ ชั้นทราย) รับน้ำหนักต่อต้น ได้ไม่เกิน 120 ตัน วิธีการคือเจาะดินลงไป (แบบแห้ง ๆ ) แล้วก็หย่อนเหล็ก เทคอนกรีต ลงไปในหลุม ราคาจะแพงกว่าระบบเข็มตอก แต่เกิดมลภาวะน้อยกว่ามาก ทั้งเรื่องการ เคลื่อนตัวของดิน ความสั่นสะเทือน ฝุ่นละออง จึงเป็นที่นิยมใช้ ในที่ที่มีคนอยู่หนาแน่น 4. เสาเข็มเจาะแบบเปียก ทำเหมือนเสาเข็มเจาะแห้ง แต่เวลาขุดดินจะขุดลึก ๆ แล้วใส่สารเคมีลงไป เคลือบผิวหลุมดิน ที่เจาะ ทำหน้าที่เป็นตัวยึดประสานดินและดันดินไม่ให้พังทลายลงเวลาเจาะลึก ๆ (ซึ่งสามารถเจาะได้ลึกถึงกว่า 70 เมตร) รับน้ำหนักได้มากและเกิดมลภาวะน้อย ราคาแพง ส่วนการเลือก ว่าจะใช้เข็มแบบไหนดีนั้น ต้องตั้งข้อสังเกตุ ปัญหาก่อน แล้วเปรียบเทียบ ความจำเป็น- ความเป็นไปได้ ของแต่ละระบบ ในแต่ละงาน โดยยึดถือ ข้อหลักประจำใจ ในการพิจารณาดังนี้ : ก.) ราคา ข.) บ้านข้างเคียง (มลภาวะ) ค.) ความเป็นไปได้ในการขนส่งเข้าหน่วยงาน ง.) เวลา (ทั้งเวลาทำงาน และเวลาที่ต้องรอคอย) ในการเลือกระบบเสาเข็มนี้ ต้องขอร้องให้วิศวกรออกแบบเสาเข็มและฐานรากหลาย ๆ แบบดู (อย่าเกิน 3 แบบ) ต้องวิเคราะห์รวม (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราคา และเวลา) ของเสาเข็ม และฐานราก จึงจะใช้ เป็น ข้อยุติได้ (หลีกเลี่ยง เสาเข็มราคาถูก ทำเร็ว แต่ทำให้ฐานรากราคาแพงและล่าช้า ทำให้ทั้งโครงการ ล่าช้าไปหมด) http://se-ed.net/winyou2/100_1000_1/015.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 1 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2534 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:54:37 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คอนกรีตผสมโม่มีความแข็งแกร่งซักเท่าไรกัน ตอนนี้ใครก็ชอบใช้คอนกรีตผสมเสร็จ หรือที่เรียกกันว่า Ready Mixed เวลาจะใช้ ก็เปิดดู ข้อกำหนด ของผู้ออกแบบ ว่าให้ใช้ ความอัดแกร่งเท่าไร ซึ่งส่วนใหญ่จะบอกเป็นหน่วย KSC. (กิโลกรัม ต่อหนึ่ง ตารางเซนติเมตร) เช่นบอกเป็น 240 KSC. หรือ 280 KSC. หรือ 320 KSC. เป็นต้น ซึ่งมันง่าย จนหลาย ๆ คน ลืมกันไปหมดแล้วว่า เจ้าคอนกรีต ที่ผสมโม่ตัวเล็ก ๆ แบบสูตร 1 : 2 : 4 โดย ปริมาตร (ใช้ปูน Portland ขนาด 6 ถุงครึ่งหรือ 7 ถุงต่อ ลบม.) เดิม ๆ นั้น มันมีกำลังอัดเท่าไร ก็เลยบอกไว้กันลืมว่า โดยประมาณ ที่ผสมแบบธรรมดา ๆ คอนกรีตผสมโม่ จะมีกำลังอัด เท่ากับ 155-175 KSC. เท่านั้นเอง อย่าไปใช้ สุ่มสี่สุ่มห้า แทนเจ้า 240-280-320 KSC. เท่านั้นเอง เข้าเชียวนา http://se-ed.net/winyou2/100_1000_1/013.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 1 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2534 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:55:05 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ฤกษ์เสาเอกอาคารสมัยใหม่เขานับกันตรงไหน ในสมัยโบราณ ฤกษ์ลงเสาเอกก็คือ เวลาที่เรา นำเสาหลัก ของบ้าน หย่อนลงสู่หลุม ที่ขุดเตรียมเอาไว้ จัดเสาให้ ตั้งตรง และเอาไม้ค้ำยันค้ำไว้ เอาดินกลบหลุมใช้เวลาทั้งสิ้นไม่เกินชั่วยาม แต่ปัจจุบันการสร้างอาคารสมัยใหม่ เปลี่ยนแปลงไปมากมายเหลือเกิน อาคารปัจจุบันต้องมีการตอกเสาเข็ม ต้องมีการเทฐานราก-ทำตอม่อ แล้วจึงจะ ขึ้นเสา โผล่พ้นดินได้ คนหลายคนจึงงง ๆ ว่าแล้วตอนไหนละที่เขาเรียกว่า "ขึ้นเสาเอก" เพื่อจะเอาเวลาที่ดีที่สุด ที่หามาได้ทำพิธีตอนนั้น   จากการสรุปมากกว่า 20 ปีสามารถสรุปความของ "ฤกษ์" ขึ้นเสาเอกได้ดังนี้ ยึดเวลาที่ตอก (เจาะ) เสาเข็มต้นแรก หรือ เวลาที่ตอก (เจาะ) เสาเข็มต้นที่กำหนดให้เป็นเสาเอก (น่าจะเรียกว่า "ฤกษ์เข็มเอก") ยึดเวลาที่เทคอนกรีตฐานราก (จะทำฐานรากพร้อมตอม่อ) ต้นที่ถูกกำหนด ซึ่งน่าจะเรียกว่า "ตอม่อเอก" หรือ "เสาสั้นเอก" เวลาที่มีการเทคอนกรีตหล่อเสาอาคารจริง ๆ (ซึ่งอาจจะตั้งครึ่งค่อนปีหลังจากเริ่มทำการก่อสร้าง) จึงขอให้ท่านทั้งหลายเลือกโอกาสกันตามสบายๆ ตามฤกษ์สะดวกเถอะครับ http://se-ed.net/winyou2/100_1000_2/204.htm ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 2 โดย ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2534 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:55:20 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เสาเข็มเดี่ยว ...ต้องระวัง ต้องระวัง ระวัง ระวัง เสาเข็มเดี่ยว หมายถึง ฐานรากหนึ่งฐานที่มีเสาเข็มเพียงต้นเดียว ปัญหาที่ มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆก็คือ ผู้รับเหมาไม่สามารถตอกเข็มให้ตรง "ศูนย์" หรือตำแหน่ง เสาเข็มกับฐานรากก็เลยไม่ตรงกัน พอเราจะทำฐานรากให้ตรงกับเสาเข็ม ฐานรากก็ เลยไม่ตรงกับเสาบ้าน เสาบ้านก็เลยไม่ตรงกับเสาบ้าน!!!??? บ้านก็เลยไม่เป็นบ้านยัง ไงละครับ ปัญหาอีกย่างหนึ่งของเสาเข็มเดี่ยว หรือฐานราก ที่มีเสาเข็มต้นเดียว ก็คือ เราต้องผูกรัดมัดตรึงเหล็กของเสาเข็มและฐานรากให้แน่นหนาและถูกวิธี ไม่ยังงั้น วันดีคืนดี (วันร้ายคืนร้าย) บ้านเราเอียงนิดเดียว เจ้าเสาเข็ม ก็จะหลุดออกจากฐาน ราก ฐานราก ก็ไม่รู้จะถ่ายน้ำหนักไปให้ใครรับแรง ก็เลยถ่ายไปที่พื้นดิน พื้นดินรับไม่ ไหว ตัวบ้านทั้งหลังก็เลยต้องลงมานอนเค้เก้กับ พื้นดินเลยครับ http://se-ed.net/winyou2/100_1000_4/293.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม4 ฉบับหมอบ้าน  โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ 8 กันยายน 2542 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:55:46 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จะถมดินสร้างบ้าน จะถมด้วยอะไรดี ก่อนที่จะตอบคำถามที่ว่าจะถมด้วยอะไรถึงจะดี ก็คงจะต้องมีคำถามถามกลับ ไปสัก ๒-๓ คำถามเสียก่อน นั่นคือ ก่อนที่ท่านจะไปจ้างคนมาถมที่ ท่านได้มีข้อสรุป เกี่ยวกับ ระดับที่ต้องการจะถมแล้วหรือยังว่า จะถมสูงขึ้นมาแค่ไหน และพื้นที่ส่วนที่จะ ถมนั้นจะมีการใช้งานอย่างไร จะปลูกต้นไม้หรือจะใช้จอดรถ หรือคุณจะถมปรับระดับ เพื่อ ทำลานคอนกรีต อีกคำถามหนึ่งก็คือ วิธีการที่จะถม จะถมหมดทั้งพื้นที่หรือว่าจะ เก็บรักษาต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งเอาไว้หรือไม่ เมื่อท่านตอบคำถามเหล่านี้ได้ครบถ้วนแล้ว ก็คงจะ เกิดคำถามขึ้นอีกว่า ท่านควรจะถมเมื่อไร ซึ่งก็ขอแนะนำให้ถมก่อนเริ่มก่อสร้าง บ้าน เพราะท่านจะต้องใช้เวลาก่อสร้างประมาณหนึ่งปี ซึ่งจะเป็น ระยะที่ดิน จะแน่น ตัวลง ไป เมื่อสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อยท่านจึงทำการถมด้วยหน้าดินอีกครั้งหนึ่งบางๆเพื่อใช้ ปลูกต้นไม้ครับ http://www2.se-ed.net/winyou3/100-1000-05/541.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 5 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2546 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:56:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ควรจะแนะนำคนที่ซื้อบ้านใหม่เรื่องการตรวจสอบสภาพบ้าน ใหม่อย่างไร การตรวจบ้านใหม่ต้องตรวจสอบให้เป็นระบบ ถ้าเดินเรื่อยเปื่อยก็มีโอกาส พลาดจุดสำคัญได้ ส่วนใหญ่เวลาตรวจบ้านต้องตรวจว่าพื้นที่ที่ดินครบไหม หลังจากนั้น ดูความเรียบร้อยภายนอกของที่ดิน คือ รั้ว ถนนหรือสนามหญ้า จากนั้นก็มองดูบ้าน ดูแนวดิ่งแนวฉากอย่าให้ขัดเขินสายตา คือ ดูแล้วบ้านเราต้องได้ดิ่งได้ฉาก เสาต้องตรง คานต้องได้แนว ผนังด้านนอกมีรอยร้าวไหม แล้วดูหลังคาว่าการมุงและระยะซ้อนทับทุก อย่างถูกต้อง จากนั้นเข้าไปดูในบ้าน ให้ดูพื้นก่อนให้ครบทุกห้อง ดูผนังให้ครบทุกห้อง ช่องเปิดปิดประตูหน้าต่าง ฝ้าเพดาน ไฟฟ้า ประปา แอร์ ระบบส้วม หลังจากดูครบแล้ว สิ่งสุดท้ายให้ดูความเรียบร้อยบริเวณที่สองวัสดุมาชนกัน ซึ่งจะเป็นจุดที่เกิดการเชื่อม ประสานหรือกระทบกัน (Attachment) พื้นต่อผนังเรียบร้อยไหม บัวเชิงผนังเรียบร้อย ไหม พื้นเป็นอย่างไร ผนังเป็นอย่างไร ฝ้าเพดานกับผนัง ถ้าไม่มีมอบฝ้าเพดานก็ต้องดูว่า แนวฝ้าเพดานที่ชนกันกับผนังเรียบร้อยไหม ถ้าเป็นสุขภัณฑ์ก็ต้องดูว่าเขาติดตั้งได้แนว ได้ระดับไหม ติดกับผนังเรียบร้อยไหม ถ้าประตูหน้าต่างก็ดูว่าบานพับมีครบไหม รอย เชื่อมผนังกับช่องเปิดส่วนใหญ่จะดูลำบาก ต้องดูขณะก่อสร้างว่ามีเสาเอ็นทับหลังครบ วงกบต่างๆเชื่อมกับเสาเอ็นทับหลังดีไหม มีการกันน้ำหรือไม่ สิ่งเหล่านี้คือการตรวจสอบ ความเรียบร้อยจุดที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งมักเป็นตัวปัญหาอยู่เสมอให้บ้านเรา แล้วก็จบที่ทาสี เรียบร้อยไหม http://www2.se-ed.net/winyou3/100-1000-05/index.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 5 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2546 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สร้างบ้านสักหลัง ยกพื้นสูงเท่าไรดี จึงจะประหยัดทรัพย์ (บางส่วน) ตามปกติทั้งเจ้าของบ้านและสถาปนิกชอบยกพื้นชั้นล่างให้สูงขึ้น 1.00 เมตร เพราะเป็นตัวเลขที่ลงตัวดี แต่ความจริงแล้ว การยกพื้นบ้านสูง 1.00 เมตร จะแพงมาก เนื่องจากระยะ 1.00 เมตรเป็นระยะที่ต้องใช้ทรายถมแทนไม้แบบ หากใช้ไม้แบบก็จะต้องทิ้งไม้แบบนั้นไปเลย เพราะความสูงใต้พื้นใต้คานไม่พอที่จะคลานเข้าไปนำไม้แบบกลับคืนมา . หากอยากประหยัด ขอแนะนำให้ยกขึ้นไม่น้อยกว่า 1.20 เมตร ซึ่งจะมีความสูงใต้พื้น-คาน เพียงพอที่จะเอาไม้แบบคืนมา หรือไม่ก็ต่ำกว่า 1.00 เมตร ไปเลย จะได้เสียค่าทรายถมแทนแบบน้อยลง (หมายเหตุ : ระดับนี้นับจากระดับดินเดิมในขณะก่อสร้าง) http://se-ed.net/winyou2/100_1000_1/005.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 1 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2534 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:56:40 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อยากจอดรถในบ้านสบาย ๆ ให้ที่จอดรถกว้างสัก 3.00 เมตร หรือ 5.50 เมตร ตามกฎหมายไทยกำหนดให้ที่จอดรถไว้กว้าง 2.50 เมตร/คัน หรือ 5.00 เมตร/2คัน แต่ที่จอดรถในที่บ้าน ที่ดีน่าจะกว้าง 3.00 เมตร/คัน (ซึ่งมักทำกันอยู่แล้ว) และน่าจะกว้างสัก 5.50 เมตร สำหรับการจอดรถ 2 คัน (มักออกแบบ-ทำกันเพียง 5.00 เมตร) เพราะการจอดรถที่บ้าน กับการขอดรถที่ทำงานไม่เหมือนกัน ที่จอดรถ ที่บ้านจะต้องมีการเช็ดล้างขัดถู เก็บของ เอาของออก ฯลฯ จึงต้องการความกว้างมากกว่าปกตินิดหน่อย หากท่านอยากมีความสุขเกี่ยวกับรถของท่าน (ซึ่งบางคันแพงกว่าบ้านเสียอีก) อย่าเสียดายพื้นที่เพิ่มอีกครึ่งเมตร นี้เลย http://se-ed.net/winyou2/100_1000_2/175.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 2 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2534 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:57:00 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สร้างบ้านอย่าเสียดายค่าฉนวนกันความร้อน ไม่ใช่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อแทน บริษัท ขายฉนวนกันความร้อน แต่เป็นเรื่องจริงแสนจริง เพราะนอกจากคุณจะประหยัดค่าไฟฟ้า (สำหรับพัดลมและแอร์) คุ้มเกินคุ้มแล้ว คุณยัง สุขกายสบายใจ มากขึ้นด้วย Serious นะเนี่ยะ http://se-ed.net/winyou2/100_1000_2/220.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 2 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2534 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:57:34 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สายดินกับเซฟตี้เซนท์ เซฟทีคัท ต่างกันอย่างไร ต่างกันก็ตรงที่ถ้ามีไฟฟ้ารั่ว สายดินจะต่อไฟฟ้าที่รั่วนั้นลงดินไป แล้วท่านก็ ไม่โดนไฟฟ้าดูด แต่ถ้าท่านไม่ทราบว่ามีไฟฟ้ารั่ว ไฟฟ้าก็จะรั่วไปเรื่อยๆ แล้วท่านก็ จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้ารั่วนั้นไปเรื่อยๆ แต่หากเป็นเจ้าเซฟตี้เซนท์ หรือเซฟทีคัท (Earth Leak Circuit Breaker) เมื่อมีไฟฟ้ารั่ว และมันดูดท่าน มันก็จะตัดไฟ ไฟฟ้าก็ไม่ รั่วลงดิน ท่านก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่าไฟฟ้าที่รั่วนั้น แต่ท่านต้องยอมรับความเสี่ยงนิด หน่อยว่า ท่านจะต้องโดนไฟฟ้าดูดก่อนจะตัดนะครับ (จะมากจะน้อยก็ต้องโดนดูด ก่อนนะครับ) ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด ท่านน่าจะติดอุปกรณ์ทั้งสองอย่างเลยเป็นดีที่สุด ครับ (ถ้าพอจะมีทรัพย์) http://se-ed.net/winyou2/100_1000_4/399.htm ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม4 ฉบับหมอบ้าน โดย ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ 8 กันยายน 2542 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:57:54 ]

ความคิดเห็นที่ 16 รอยร้าวใต้คาน เชื้อเชิญฝนเข้าบ้าน บ้านหลายหลังจะมีรอยร้าวเล็กๆเป็นเส้นระหว่างใต้คาน กับผนังที่ก่อขึ้นไป เป็นจุดที่ทำให้น้ำฝนไหลเข้าในบ้านได้ง่ายตอนฝนตก เพราะฝนที่ตกมากระทบผนัง บ้านค่อยๆไหลลงมาผ่านคาน พอมาถึงเส้นรอยร้าวนี้ ก็จะถูกดูดเข้าไปในตัวบ้าน เป็นที่น่ารำคาญแต่ไม่เป็นอันตรายทางโครงสร้าง เหตุเกิดขึ้นเพราะการก่ออิฐน่าจะ ผิดขั้นตอน คือ ช่างก่ออิฐมักจะใจร้อนก่ออิฐทั้งผนังไปชนคาน แล้วก็เร่งฉาบปูน ทำให้เมื่อปูนสอของก้อนอิฐเมื่อมีการหดตัวลง (เล็กน้อย) จะทำให้ผนังนั้นทรุดตัวลง มาเล็กน้อย จึงทำให้เกิดร่องเล็ก เชื้อเชิญน้ำฝนเข้ามาในบ้าน การแก้ไขที่ต้นเหตุ ก็คงจะต้องควบคุมการก่อสร้างให้ถูกต้องตามกรรมวิธี และต้องไม่ใจร้อนเกินไป หากเป็นการแก้ไขอย่างถาวร ก็ต้องทุบรื้อผนังบางส่วนที่ ติดกับคานนั้นออก ทำการก่ออิฐเสริมเข้าไปใหม่ (อย่างถูกกรรมวิธี) แล้วก็ฉาบปูน อีกครั้งหนึ่ง ห้ามตอกสกัดรอยร้าวให้เปิดกว้างขึ้น แล้วก็เอาปูนทรายอัดเข้าไปตาม ร่องที่สกัดออก หากทำเช่นนั้น ไม่นานก็จะเกิดรอยร้าวขึ้นมาอีก (ซึ่งอาจจะใหญ่กว่า เดิม) แล้วน้ำฝนก็จะเข้ามาในบ้านเราได้เหมือนเดิม การแก้ไขปลายเหตุที่อาจจะเป็นการแก้ได้ชั่วคราวก็คือ การทำความ สะอาดรอยร้าวนั้น (ทางด้านนอก) เมื่อผนังแห้งสนิทดีแล้ว ก็เอาสารเชื่อมประสาน ที่ยืดหยุ่นได้ฉีดเข้าไปอุดรอยร้าวนั้น จะเป็นซิลิโคนหรืออาครีลิคก็ได้ หากทำถูก ต้องจะอยู่ได้ประมาณ ๒-๔ ปีโดยประมาณ (แล้วก็ทำใหม่อีก) ซึ่งอาจจะเป็นวิธี การที่เหมาะสมที่สุดวิธีหนึ่งสำหรับปัญหานี้ http://se-ed.net/winyou2/100_1000_4/306.htm ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม4 ฉบับหมอบ้าน โดย ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ 8 กันยายน 2542 จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พื้นสำเร็จชั้นล่าง อย่าลืมแผ่นพลาสติกกันซึมนะครับ พื้นบ้านชั้นล่างที่อยู่ชิดกับพื้นดิน (บางบ้านอาจจะยกพื้นชั้นล่างขึ้นมาสูงจาก ดินบ้าง) จะมีความชื้นจากดินพยายามแทรกซึมเข้ามาเสมอ ไม่ว่าท่านจะก่อสร้างพื้นด้วย ระบบหล่อกับที่ธรรมดาหรือจะเป็นระบบแผ่นพื้นสำเร็จ ขอให้อย่าลืมปูแผ่นพลาสติก กันความชื้นที่ผิวดินด้วย แผ่นพลาสติกที่ใช้ก็เป็นแผ่นพลาสติกธรรมดาสีขาวๆนั่นแหละ ครับ เพราะแผ่นพลาสติกนี้จะช่วยกันความชื้นไม่ให้ผ่านมาถึงพื้นห้องเราได้ง่ายๆ ถ้าไม่ มีการป้องกันเอาไว้ ความชื้นจะแทรกซึมเข้าทำให้เหล็กโครงสร้างเป็นสนิม และแทรกขึ้น มาทำให้กระเบื้องร่อน ไม้ปาร์เก้ปูด หินอ่อนเป็นจ้ำๆไม่สวยงาม http://www2.se-ed.net/winyou3/100-1000-05/535.htm จากหนังสือ ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม 5 โดย อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ พ.ศ. 2546 ขอให้โชคดี   ได้บ้านสวย ๆ   แข็งแรง   ทนทาน   และถูกใจนะครับ จากคุณ : Learn and Live - [ 28 ธ.ค. 49 16:59:19 ]

ความคิดเห็นที่ 18 การสร้างบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายและเป็นเรื่องยากครับ ถ้าเรามีที่ดินอยู่แล้วก็ 1 กำหนดงบประมาณก่อนเลยครับว่าเรามีงบสร้างบ้านเท่าไหร่ และต้อง บวกค่าตกแต่ง อีก ราวๆๆ 40% อันนี้แล้วแต่ ฐานะ ถ้าจะกู้เราต้องมีเงินสำรองใว้สัก 20% เพื่อสำรองจ่ายก่อนหากเงินจากทางแบ้งมาล่าช้า 2 ดูขนาดที่ดินที่จะสร้างว่ามีขนาดเท่าไหร่ ทั้งนี้จะเป็นปัจจัยเพื่อการเลือกแบบบ้าน 3 เลือกแบบบ้านที่ชอบ วางแผนว่าจะมีคนอาศัยกี่คนทั้งนี้ต้องคิดเผื่ออนาคตเพราะจะได้ไม่ต้องมาต่อเติมทีหลัง 4 พอได้แบบบ้านแล้วเราก็มาดู วัสดุ กระเบื้อง , ผนัง ระบบน้ำ ระบบไฟ และ สุขภัณ ประตูหน้าต่าง ควรจะปรึกษากับผู้รับเหมา เพื่อให้เขา ตีราคา spec ที่เราต้องการมา ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาและต้องดูรายละเอียดมากๆ แล้วให้เขาทำใบเสนอราคามา พร้อมกับแบบบ้าน 5 พอได้ใบเสนอราคา และแบบมาแล้ว ลองให้ผู้รับเหมารายอื่น ตีราคาเพื่อเปรียบเทียบ 6 เมื่อได้ผู้รับเหมาและราคาก่อสร้างแล้ว ปริกษาแบ้งเพื่อขอสินเชื่อ ไปขอใบอนุญาติก่อสร้างที่เขต ประปา และไฟฟ้าชั่วคราว ตรงนี้ถ้าเราไม่มีเวลาก็ มอบหมายให้ผู้รับเหมาจัดการให้ เมื่ออนุมัติแล้ว  ก็ทำสัญญาก่อสร้าง ระยะเวลาไม่ควรเกิน 6เดือน แบ่ง  จ่ายโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 9 งวด จ่ายตามเนื้องาน 7 หมั่นเข้าไปดูการก่อสร้าง ถ้าอยากปรับเปลี่ยนอะไรก็ต้องรีบบอก ผู้รับเหมา อย่ารอให้ทำเสร็จก่อนแล้วถึงเปลี่ยน ผู้รับเหมาจะถือว่าเป็นการทำสองครั้งเราจะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และเวลา โดยไม่จำเป็น  อย่าใจดีจ่ายเงินง่ายๆ ควรจะให้งานเรียบร้อยจริงๆ และไม่ควรให้เบิกล่วงหน้า จะได้ไม่โดนผู้รับเหมาเบิกเงินไปแล้วหนีงาน จากคุณ : Chay (chay_comeng) - [ 28 ธ.ค. 49 17:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ชื่อใจดีใจสบาย - [ 29 ธ.ค. 49 08:11:51 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณด้วยคนค่ะ จากคุณ : นู๋กำไร - [ 30 ธ.ค. 49 00:18:41 ]