ความคิดเห็นที่ 1 ....ที่บ้านยังไม่มีหม้อแปลงของการไฟฟ้า แต่ใช้ไฟของโครงการที่ต่อเข้าให้โดยตรง ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญได้เข้ามาทำการหาสาเหตุ.... ....ผลจากการทดสอบคือ เครื่องใช้ไฟฟ้า,หลอดไฟ สามารถเปิดได้ตามปรกติ. คำถามคือทำไมไม่ดูดตั้งแต่เปิดตู้เย็น หรือทีวี คำตอบคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าใบบ้านไม่มีการต่อสายดิน ยกเว้น เครื่องทำน้ำอุ่น! ทำให้กระแสไฟย้อนเข้ามาทางสาย N (ที่ต่อกับสายดิน) ระบบสายไฟในบ้านจะเอาสาย N(ซึ่งต้องไม่มีไฟ) มาต่อกับสายดิน เพื่อป้องกันไฟฟ้าเกิน และผ่านลงดิน ซึ่ง การต่อสลับกันจะทำให้มีกระแสไฟมารออยู่แล้วที่เครื่องทำน้ำอุ่น เมื่อเราเปิดกระแสน้ำที่ผ่านสายฝักบัวที่เป็นสแตนเลส ทำให้ไฟวิ่งมาที่ตัวเราเต็ม ๆ.... ....ได้คุยกับบริษัทเครื่องตัดไฟแล้ว ว่านี่เป็นจุดบอดของระบบต้องมีการแก้ไขให้ได้ค่ะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าคนต่อไฟมาต่อผิดหรือถูกเพราะปัจจุบันบ้านจะมีไฟ 3 เฟส ยิ่งมีความเสี่ยงในcaseนี้มากขึ้น.... สรุปว่าน่าจะเป็นบ้านหลังใหญ่พอสมควร ใช้ไฟฟ้าสามเฟส แล้วก็มีเฉพาะเครื่องทำน้ำอุ่นที่มีต่อสายดิน แต่ไม่ได้บอกว่าต่ออย่างไร ผมก็จะลองสมมุติการต่อแบบต่างๆ ว่าอันไหนน่าจะเป็นสาเหตุนะครับ จากคุณ : pa_ul - [ 29 มี.ค. 50 16:35:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อันแรกเป็นการต่อระบบสายดินที่ควรจะเป็นนะครับ ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.mea.co.th ครับ จากคุณ : pa_ul - [ 29 มี.ค. 50 16:36:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้ามีไฟฟ้ารั่วไหลออกมาถึงตัวถัง จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จากคุณ : pa_ul - [ 29 มี.ค. 50 16:40:19 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แล้วถ้ามีไฟฟ้าลัดวงจรหละ จะเป็นอย่างไร จากคุณ : pa_ul - [ 29 มี.ค. 50 16:41:22 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ข้างบนเป็นการลัดวงจรระหว่างสาย N กับสาย L แต่ถ้าสาย L ลัดลงตัวถังโดยตรง มันจะทำงายอย่างนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 50 23:10:41 จากคุณ : pa_ul - [ 29 มี.ค. 50 16:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มีความเห็นนึงบอกอย่างนี้ ....สายดิน (G : Ground) ปกติต้องไม่ต่อกับ สาย N (Neutral) ถ้าเอามาต่อกัน+สาย L กับ N ต่อกับภายนอกถูกต้อง เครื่องใช้ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน เพราะกระแสไหลเข้ามาเท่าไหร่ ก็ลงดินหมด ทำให้ไม่ครบวงจร.... ดูซิ ว่ามันจะจริงรึเปล่า มันยังไงกัน จากคุณ : pa_ul - [ 29 มี.ค. 50 16:46:29 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แล้วถ้าไม่ต่อสายดินเลยหละครับ แต่มีอุปกรณ์ป้องกันที่จำเป็นอยู่ครบ จะเกิดอะไรขึ้น มาดูกันดีกว่า จากคุณ : pa_ul - [ 29 มี.ค. 50 16:47:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ้าว ลืมรูปไป จากคุณ : pa_ul - [ 29 มี.ค. 50 16:48:20 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จากข้างบนจะเห็นว่าถ้าสายดินไม่ดี ก็เหมือนไม่มีสายดิน ถ้ามีอุปกรณ์ ELCB อยู่ก็ยังช่วยได้ แต่ถ้าไม่มีตัวนี้ มีแต่เบรคเกอร์ ก็แล้วแต่ดวงนะครับ จากคุณ : pa_ul - [ 29 มี.ค. 50 16:50:35 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอตัวไปทำธุระก่อนนะครับ แล้วค่ำๆ จะมาโพสต์ต่อครับ จากคุณ : pa_ul - [ 29 มี.ค. 50 16:52:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 โอ้โห...ความรู้ล้วนๆๆ..ช่วยโหวต.. จากคุณ : ว่าน - [ 29 มี.ค. 50 16:55:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 มาช่วยกดโหวตด้วย สำหรับความรู้ดีๆ แบบนี้ จากคุณ : สงครามกวี - [ 29 มี.ค. 50 17:03:19 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ช่วยโหวตด้วยคน ความรู้ล้วนๆ จะได้หายข้องใจกันว่ามาจากสาเหตุอะไรกันแน่ จากคุณ : meaosct - [ 29 มี.ค. 50 17:06:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 มาโหวตด้วยคน จับใส่คลังกระทู้เก่าแล้ว จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร - [ 29 มี.ค. 50 17:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 15 กว่าเบรคเกอร์จะตัดก็ถึงสวรรค์แล้วครับ เพราะว่าเบรคเกอร์จะตัดนี่ก็ต้องหลายแอมอยู่เหมือนกันครับ เบรคเกอร์มันไม่เหมือน safeTcut นะครับ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 50 17:22:18 จากคุณ : นักบินเล็ก - [ 29 มี.ค. 50 17:21:53 ]

ความคิดเห็นที่ 16 โหวตค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ จากคุณ : โป๊ะโกะจัง - [ 29 มี.ค. 50 17:35:10 ]

ความคิดเห็นที่ 17 โหวตค่ะ จากคุณ : Komi (komi_to) - [ 29 มี.ค. 50 18:51:06 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ที่ไม่เข้าใจ คือเคสของคุณtinnytightที่โดนไฟดูดน่ะค่ะ คือว่าถ้าเข้าสาย L กับ N ผิดข้างเนี่ยทำไม ELCB หรือ Safe T cut มันไม่ตัดล่ะ หลักการทำงานโดยละเอียดของอุปกรณ์ประเภทนี้เป็นยังไงเหรอคะ (โหวตให้แล้วด้วยเหมือนกัน) จากคุณ : mamuai - [ 29 มี.ค. 50 20:38:47 ]

ความคิดเห็นที่ 19 บ้านที่อยู่ไปแล้ว ไม่มีสายดิน คงต้องดัดแปลงกันเยอะหน่อยอ่ะ จากคุณ : น้องปลาดาว - [ 29 มี.ค. 50 21:07:08 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ด้วยครับ  ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 50 22:15:57 จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก - [ 29 มี.ค. 50 21:07:21 ]

ความคิดเห็นที่ 21 พี่ pa_ul ครับ กลับมาเร็วๆสิครับ เหมือนอ่านหนังสือกำลังภายใน อยากอ่านต่อครับ :) จากคุณ : yayayo - [ 29 มี.ค. 50 22:50:59 ]

ความคิดเห็นที่ 22 OK สาย N ต่อกับ G ได้ที่จุดต่อร่วมลงดินที่ตู้ เพียงจุดเดียวเท่านั้น ห้ามต่อที่อื่น แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 50 23:25:00 จากคุณ : numtien - [ 29 มี.ค. 50 23:09:26 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อยุ่คอนโดทำไงนิ -_-' จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 29 มี.ค. 50 23:38:07 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คอนโดใหม่ ๆ ก็ทำสายดินไว้ให้ครับ จากคุณ : GolfGear - [ 29 มี.ค. 50 23:43:39 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณครับ ที่ติดตามอ่าน ผมเพิ่งกลับมาครับ ดึกเลยครับ ต่อเลยนะครับ คราวนี้ก็มาถึงกรณีของเจ้าของกระทู้เลือดสาด ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากการสลับสาย N กับ L ก็มาดูกันว่าเป็นยังไง จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 00:09:52 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ให้ดูก่อนว่าถ้าสลับสาย N,L แล้วจะทำงานได้มั้ย เบรคเกอร์จะตัดรึเปล่า จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 00:11:06 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผลก็คือเบรคเกอร์ไม่ตัด เพราะไม่มีสาเหตุให้มันตัด ตัวกันไฟรั่วก็ไม่ตัดเช่นกัน ก็มันไม่ได้รั่วไปไหน แต่จะมีกระแสไหลในสายดิน กระแสนี้จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ว่าสายดินทำได้ดีแค่ไหน เมื่อเทียบกับถ้าทำทุกอย่างถูกต้อง และไม่มีไฟฟ้ารั่วตรงไหน มันจะไม่มีกระแสไหลในสายดินเลยนะครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 00:14:49 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เอาหละ ตามรูปข้างบนจะเห็นว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าจะทำงานเป็นปรกติ ถ้าเครื่องไฟฟ้านั้นไม่มีตัวถังเป็นโลหะ หรือเป็นแต่ไม่ต่อสายดินกลับไปที่ตู้เมน ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในกรณีของเครื่องทำน้ำร้อน (และอะไรก็ตามที่ต่อในลักษณะเดียวกัน) ที่ช่างไฟฟ้าเดินสายอย่างถูกต้องจะกลับเป็นอันตรายทันที อย่างนี้ครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 00:19:57 ]

ความคิดเห็นที่ 29 แล้วจะเห็นว่าบรรดาตัวป้องกันทั้งหลาย ก็ยังคงไม่ทำงาน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะมันเสีย แต่มันไม่เห็นอะไรที่ผิดปรกติที่มันจะต้องทำงานครับ ฉะนั้น ที่มีคนบอกว่า ....ถ้าต่อสาย N กับ L กลับกัน ตัว ELCB ที่กันไฟดูดในเครื่องทำน้ำอุ่น (ที่ขายในตอนนี้ เห็นมีติดมาทุกเครื่อง) จะไม่ทำงาน เวลากด test ไฟก็จะไม่ตัด... และ ....ถ้าสาย L กับ N สลับกัน เครื่องตัดไฟอาจจะไม่ทำงานได้ เพราะการทำงานของเครื่องตัดไฟ อาศัยการตรวจจับกระแสไฟที่ไหลเข้า (ทางสาย L) กับกระแสไฟที่ไหลออก (ทางสาย N) ซึ่งปกติต้องเท่ากัน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กระแสไหลออกน้อยกว่ากระแสไหลเข้า แสดงว่ามีการรั่วไหลในระบบเกิดขึ้น (เช่น ผ่านตัวคนลงดิน) และเครื่องจะตัดไฟเมื่อ กระแส N < กระแส L แต่ถ้าต่อสายสลับกัน กรณีเลวร้ายสุดคือ N > L ซึ่งถ้าเครื่องตรวจจับได้เฉพาะ N < L เท่านั้นถึงจะตัด ยังไงมันก็ไม่ตัดแน่นอน.... อันนี้ไม่ถูกต้องครับ อย่างน้อยก็สำหรับตัว ELCB ที่ผมเคยทดลองทดสอบ มันจะทำงานเมื่อกระแสไหลในสายทั้งสองไม่เท่ากัน โดยไม่คำนึงถึงว่ากระแสอันไหนน้อยกว่า อันไหนมากกว่า ผมว่าทางผู้ผลิตก็ไม่รู้ว่าจะออกแบบให้มันทำงานอย่างนั้นทำไม มันทั้งซับซ้อนกว่า แต่กลับมีประโยชน์น้อยกว่า พูดง่ายๆ ว่าออกแบบยุ่งยากกว่า แพงกว่า แต่มีประโยชน์น้อยกว่า แต่ถ้าใครเคยทดสอบตัว ELCB อันไหนแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ช่วยบอกกล่าวกันเข้ามาด้วยนะครับ จะได้ไม่ซื้อมาใช้ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 00:29:16 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ยังมีความเห็นอื่นๆ อีก ....การต่อสาย G ที่ถูกต้อง ต้องต่อกับตัว case ของเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งถ้ามีการรั่วจากสาย L มาโดน case จะได้ไหลลงดิน.... ถูกครับ แต่มีข้อแม้ว่าสายดินต้องมีความต้านทานต่ำเพียงพอนะครับ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะไหลลงดินไม่สะดวก จะไหลได้น้อยครับ อีกท่านนึง ....อ่านตรงนี้แล้ว อึ้งครับ เครื่องใช้ไฟฟ้าใบบ้านไม่มีการต่อสายดิน ยกเว้น เครื่องทำน้ำอุ่น! ทำให้กระแสไฟย้อนเข้ามาทางสาย N (ที่ต่อกับสายดิน) ระบบสายไฟในบ้านจะเอาสาย N(ซึ่งต้องไม่มีไฟ) มาต่อกับสายดิน เพื่อป้องกันไฟฟ้าเกิน และผ่านลงดิน สายดินหรือสายกราวด์ คือสายไฟเส้นที่3 ที่ต่อจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปยัง หมุดดินหรือ Ground rod เท่านั้นครับ ห้ามเอาระบบสายดินไปต่อรวมกับสาย นิวทรอน ( N) ของการไฟฟ้าเด็ดขาดครับ .... ก็ไม่เห็นต้องอึ้งนี่ครับ มันถูกแล้วครับ เพื่อความปลอดภัยมากขึ้นครับ ดูที่คห. 5 นะครับ ถ้าไม่ต่อ N กับ G แล้วไม่มี ELCB ตัวเบรคเกอร์จะไม่ตัดครับ แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 10:09:38 จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 00:47:31 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แล้วในกรณีเดียวกันนี้ ถ้าสายดินเดินไม่ดี ไม่แน่นหนา มีความต้านทานสูงจะเกิดอะไรขึ้น จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 00:50:49 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แล้วถ้าหากมันแย่กว่านั้นหละครับ เช่นสายดินเดินหลอกๆ หรือต่อได้ห่วยมากๆ หรือตอกแท่งกราวนด์ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ความชื้นในดินต่ำเกินไป หรือตอกเข้ากับกำแพงปูน หรือผูกเข้ากับโครงเหล็กของบ้าน จะเป็นยังไง จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 00:52:44 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ในกรณีเดียวกัน แต่ถ้าบังเอิญว่าผู้ใช้ไม่สนใจ ไม่ได้เดินระบบสายดิน มันจะกลับกลายเป็นว่าไม่เกิดอันตราย ในกรณีการสลับสาย N,L แต่ยังคงมีอันตรายถ้ามีไฟฟ้ารั่วจากเครื่องใช้ไฟฟ้า จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 01:03:27 ]

ความคิดเห็นที่ 34 กรณีสุดท้ายที่จะยกเป็นตัวอย่างคือถ้าในบ้านมีระบบสายดินอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ใช้สายดินของระบบบ้าน แต่ไปต่อแยกต่างหาก จะเกิดอะไร ในกรณีนี้ผู้ใช้อาจจะโดนดูดมาก น้อย หรือไม่โดนเลยก็ได้ ขึ้นกับความต้านทานของสายดินแต่ละจุด ที่จะเป็นตัวกำหนดว่ากระแสไฟฟ้าจะไหลไปมายังไง ในรูปเป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่เป็นไปได้อันนึงครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 01:17:44 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ทำไมถึงไม่ควรผูกเข้ากับเหล็กโครงครับ จากคุณ : วี - [ 30 มี.ค. 50 01:31:05 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ในทุกๆ กรณีที่กล่าวมา การเกิดไฟดูดเป็นเพราะกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวเรา เนื่องจากตัวเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงจร แต่ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวเราจะมากน้อยเพียงใด (ดูดมาก ดูดน้อย) จะขึ้นกับความต้านทานของตัวเราจากจุดที่กระแสไหลเข้า ไปถึงจุดที่ไหลออก ปริมาณกระแสดังกล่าวจะมีอันตรายมากน้อยเพียงใด นอกเหนือจากปริมาณกระแสแล้วก็ขึ้นกับว่ามันไหลผ่านอวัยวะส่วนใดบ้าง ถ้าไฟฟ้าชอร์ทเข้าที่มือไหลไปลงเท้า หรือมือซ้ายไปมือขวา อย่างนี้กระแสจะไหลผ่านหัวใจ ก็จะอันตรายมาก แต่ถ้าชอร์ทเข้าที่หัวเข่า แล้วไหลลงไปที่เท้า อย่างนี้ก็อันตรายน้อยกว่าครับ (แต่ไม่ใช่ไม่อันตรายนะครับ อย่านึกสนุกลองขึ้นมานะครับ) ปริมาณกระแสที่เป็นอันตรายจะเริ่มได้จากประมาณ 1 mA ซึ่งจะรู้สึกถูกดูด กล้ามเนื้อชา แต่บางคนก็อาจจะไม่รู้สึกหรือรู้สึกน้อยก็ได้ โดยทั่วๆไปข้อกำหนดเกี่ยวกับความปลอดภัยจากไฟฟ้า จะกำหนดปริมาณกระแสที่เป็นอันตรายอยู่ที่ 5mA ขึ้นไป ซึ่งอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่วที่ถูกออกแบบมาใช้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ ต้องทำงานที่ระดับกระแสขนาดนี้ได้ แต่ถ้าเป็นอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่วทั่วๆ ไป อาจจะทำงานที่กระแสสูงถึง 30mA ตัวอย่างเช่น RCBO - Residue Current Breaker with Overload protection - เป็นชื่อเรียกอุปกรณ์ ELCB ชนิดหนึ่ง) ที่ใช้ต่อแทนตัวเมนเบรคเกอร์ของหลายๆ ยี่ห้อ ก็จะทำงานที่กระแสระดับนี้ ฉะนั้นถ้าจะเลือกใช้ ELCB ก็ต้องดูรายละเอียดด้วยครับ ว่ามันเป็นชนิดไหน เอาไว้ใช้ในลักษณะใด ป้องกันทั่วๆ ไป หรือว่าป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับสิ่งมีชีวิต วิธีป้องกันเบื้องต้นที่ได้ผลค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง ถ้าไม่แน่ใจว่ามีไฟฟ้ารั่วหรือไม่ คือการเพิ่มความต้านทานของร่างกายให้มากขึ้นครับ เช่นการใส่ถุงมือยางหนาๆ รองเท้ายางหนาๆ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 03:37:47 จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 01:46:36 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ถึงตรงนี้ ก็คงได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าในบ้านกันพอหอมปากหอมคอแล้วนะครับ เอ...หรือว่ามากเกินไปก็ไม่รู้เหมือนกัน... ตรงนี้ผมจะนำข้อความที่หลายๆ ท่านได้โพสต์เข้ามาในกระทู้ต้นเรื่อง ที่ผมคิดว่าอาจจะทำให้เข้าใจผิด หรือมีส่วนที่สามารถขยายความได้ มาให้รายละเอียดเพิ่มเติมนะครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 01:50:38 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เริ่มจาก ....สายฝักบัวเป็นสายยางครับ เอ้า... ใครใช้สายเสตนเลสรีบไปเปลี่ยนเร็วๆ .... สายยางก็ดีครับ มันไม่ดูดตอนจับ แต่ตอนเปิดน้ำก็โดนครับ เพราะความต้านทานของน้ำไม่ได้สูงมากมายอะไรเลยครับ ....เวลามิเตอร์ถูกการไฟฟ้าตัด (ไม่จ่ายเงิน) เวลาที่เขามาต่อกลับคืน มักจะไม่ได้คำนึงว่าเดิมสายใดอยู่ที่ขั้วไหน จึงมีการต่อสลับ .... การต่อสายของมิเตอร์หน้าบ้านมันถูกกำหนดที่ขั้วต่อของมิเตอร์อยู่แล้วครับ ว่า N เข้าตรงขั้วไหน L เข้าตรงขั้วไหน ถ้าต่อผิดมิเตอร์มันจะทำงานผิดพลาดครับ ....ต้องเช็คก่อนจะเข้าไปอยู่ครับ โดยปกติสายไฟข้างในจะมี 2 สี แบ่งไว้ให้ช่างต่อ L กับ N ได้ถูกต้อง ส่วนสาย G ปกติจะแยกออกมาอีกเส้นต่างหากจากสายไฟหลัก ส่วนสีจำไม่ได้ครับ และเห็นมีเพื่อนในห้องนี้ทำวงจรตรวจสอบการต่อสาย L,N,G ว่าถูกต้องหรือเปล่า รบกวนขอ link มาไว้ที่นี่อีกทีครับ.... มาตรฐาน US N - ดำ L - ขาว G - เขียว มาตรฐานยุโรป N - น้ำตาล L - น้ำเงิน G - ขาวสลับเหลือง แถมระบบสามเฟสให้อีกอันนึง N1(R) - ดำ N2(S)- แดง N3(T) - ส้ม หรือ น้ำเงิน G - ขาว ....แสดงว่าช่างที่ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นเค้าไม่ได้เปิดทดลองใช้ดูก่อนเลยว่าเค้าติดตั้งสำเร็จเรียบร้อยรึเปล่า แล้วช่างเค้าก็คงไม่วัดไฟก่อนด้วย.... อันนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าช่างมาต่อก่อนที่จะจั๊มพ์ไฟเข้าบ้านครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 01:59:41 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ส่วนวงจรสำหรับตรวจสอบความถุกต้องของการต่อไฟฟ้าก็ตามนี้ครับ วงจรนี้เป็นวงจรง่ายๆ ใช้ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการต่อสายไฟได้ไม่ทั้งหมด แต่ก็น่าจะเพียงพอครับ ในรูปตัวกลมก็เป็นหลอดไฟฟ้าขนาด 220V จะกี่วัตต์ก็ตามใจครับ สาย N,L,E ก็ไปต่อเข้ากับปลักตัวผู้ซักตัว ตอนทดสอบก็เอาไปเสียบตามเต้ารับข้างฝาแล้วดูว่าหลอดไหนติด หลอดไหนดับ อ่านผลตามตารางครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 02:44:29 จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 02:40:49 ]

ความคิดเห็นที่ 40 พอดีแก้ไขรูปใหม่ จะได้รู้ว่าขาไหนของเต้ารับเป็นขา N,L หรือ E เผื่อใครที่ยังไม่รู้ว่าขาไหนเป็นขาไหน สำหรับคนที่มีฝีมือช่างอิเลคทรอนิคส์ อาจจะเปลี่ยนจากหลอดธรรมดา เป็นหลอดนีออน หรือหลอด LED แล้วทำให้มันเล็กๆ ติดเป็นชิ้นเดียวกับปลั๊ก ก็จะยิ่งสะดวกในการพกพาไปไหนมาไหนครับ ผมได้แก้ไขตารางอ่านผลใหม่ตามที่มีผู้แนะนำมาครับ กรุณาตามไปดูรูปได้ที่คห.82 ครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 21:00:43 จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 02:53:15 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อีกเรื่องที่ผมเพิ่งนึกได้ คือบางคนอาจจะสงสัยว่าอุปกรณ์อันไหนต้องต่อสายดิน อันไหนไม่ต้องต่อสายดิน จะดูยังไง อย่างที่ง่ายที่สุดก็ดูที่ปลั๊กไฟฟ้าของอุปกรณ์นั้นๆ แหละครับ อันไหนเป็นปลั๊กชนิดสามขา ก็แสดงว่ามัน"น่าจะ"ต้องการสายดิน ปลั๊กสามขาในบ้านเรามีอยู่สองแบบใหญ่ๆ นะครับ คือแบบของ US (ซึ่งที่จริงออกแบบมาสำหรับไฟฟ้า 110V ที่ใช้ในอเมริกา แต่เราเอามาใช้กับไฟฟ้า 220V เฉยเลย) จะเป็นขาแบนๆ สองขา กับอีกหนึ่งขากลมๆ ตามรูปครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 03:10:53 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อีกแบบเรียกว่าปลั๊กยูโร เพราะเป็นมาตรฐานของประเทศทางแถบยุโรปครับ (อันนี้ออกแบบมาเพื่อให้มีความปลอดภัยเพียงพอที่จะใช้กับไฟฟ้า 220V ครับ) เป็นตัวกลมๆ มีขากลมๆ ใหญ่ๆ ออกมาสองขา ขาที่สาม หรือขากราวนด์จะเป็นแถบโลหะคาดอยู่ข้างๆ ครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 03:16:55 ]

ความคิดเห็นที่ 43 หรืออย่างนี้ก็ใช่ครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 03:18:20 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เยี่ยมครับ ดูเข้าใจดีมาก ขออณุญาตเสริม เสนอความเห็นหน่อยครับ ปัญหาที่เกิดจากกระทู้ที่อ้างถึง ส่วนนึงเกิดจากระบบกราวน์ไม่ดีด้วย เพราะถ้าดี ไฟฟ้าจะลัดวงจร(ตูม!)ไปตั้งแต่ตอนต่อไฟสลับขั้วแล้วครับ ที่บอกว่ากราวน์ดีหมายถึงความต้านทานระบบดินต้องต่ำมาก ซึ่งเป็นปกติของบ้านเราที่ดินมีความชื้นสูงนะครับ อย่าอ้างถึงมาตรฐาน 5-10 โอห์ม เพราะมาตรฐานต้องยอมรับว่าลอกมาจากยุโรป ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติงานทางไฟฟ้ารู้ดีว่า ก่อนจ่ายไฟ ถ้าตู้เมนต่อแบบคห.26นี่ตูมแน่ อ้อ elcb เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานครับ เลยไม่สนใจว่าข้างไหนมากกว่ากัน ขอให้ไม่เท่ากันเป็นตัด และจริงๆการออกแบบแบบนี้ง่ายและworkนะครับ เพราะตรวจจับผลต่างเท่านั้น ไม่ว่าต่างข้างไหนตัดลูกเดียว ถ้าต้องตรวจLมากกว่าN เสมอนี่ยากกว่า ทำให้แพงกว่านี้ มีข้อแนะนำอีกข้อที่สำคัญคือ ระบบไฟฟ้าต้องติดตั้งหรือทำตามผู้ที่รู้จริงเท่านั้น อย่าคิดว่าใครก็ทำได้ แม้แต่เคยทำมาแล้วก็ตาม ไฟฟ้ามีประโยชน์มาก แต่ก็มีโทษมาก ถ้าใช้ไม่ถูกครับ จากคุณ : ป๊าลูกหมู - [ 30 มี.ค. 50 03:18:37 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แต่ถ้ายังไม่แน่ใจลองมองหาสัญญลักษณ์อย่างนี้ที่หลังเครื่องหรือส่วนที่เป็นโลหะดู ถ้ามีอยู่แสดงว่าควรจะต้องต่อสายดินครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 03:20:11 ]

ความคิดเห็นที่ 46 แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่าง แม้ตัวถังจะเป็นโลหะ แต่ก็ไม่ต้องต่อสายดินนะครับ ถ้ามีเครื่องหมายอย่างนี้ (ที่วงเอาไว้) แสดงอยู่ หมายความว่ามันไม่มีอันตรายจากไฟรั่วครับ ก็ไม่ต้องต่อสายดินเพื่อป้องกัน แต่ถ้าจะต่อสายดินเพื่อคุณภาพของสัญญาณนั่นเป็นอีกเรื่องนึงนะครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 03:27:43 ]

ความคิดเห็นที่ 47 สำหรับเหตุการณ์ในกระทู้ต้นเรื่อง ผมคิดว่าน่าจะเป็นเหมือนอย่างในคห 31 ครับ แต่คงไม่ถึงกับในคห. 32 คือ ระบบสายดินอาจจะไม่ดี แต่ยังใช้ได้อยู่บ้าง คือนำกระแสออกไปส่วนนึง ไม่อย่างนั้นคุณสามีก็คงได้รับอันตรายไปตั้งแต่ไฟดูดครั้งแรกแล้วครับ และอาจจะประกอบกับเป็นห้องน้ำชั้นสอง ไม่ใช่ชั้นล่าง ยังมีความต้านทานของโครงสร้างบ้านมาช่วยเอาไว้ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 12:41:07 จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 03:45:39 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ตอบคห. 44 นะครับ ผมกลับไม่คิดว่าต่อให้ทำระบบกราวนด์ให้ดีแค่ไหน มันจะทำให้หม้อแปลง หรือมิเตอร์ไฟฟ้าระเบิด หรือฟิวส์ที่เสาไฟฟ้าขาด ถ้าต่อสายสลับอย่างรูปในความเห็นที่ 26 เพราะว่าความต้านทานสายดิน 5-10 โอห์ม ที่คุณพูดถึง เป็นการวัดความต้านทานระหว่างระบบสายดิน กับพื้นดินรอบๆ สายดิน เพื่อดูว่าการติดตั้งสายดินใช้ได้หรือไม่ แต่มันไม่ใช่ความต้านทานระหว่างแท่งสายดินของบ้าน กับแท่งสายดินของระบบจ่ายไฟจากการไฟฟ้านะครับ ซึ่งค่าความต้านทานอันหลังนี่น่าจะอยู่ในระดับหลายสิบ ถึงร้อยโอหม์ครับ ขึ้นกับระยะทางของระบบสายดินทั้งสอง แล้วก็ลักษณะพื้นดินในเส้นทางระหว่างเส้นทางครับ ที่จริงผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าระบบจ่ายไฟของการไฟฟ้ามีการต่อลงดินยังไงบ้าง ไม่เคยไปศึกษาดูของจริงซักที ซึ่งถ้าเป็นตามนี้จริง กระแสที่เกิดขึ้นก็ราวๆ สองถึงสิบแอมป์ ผมเข้าใจ(เอาเอง)ว่าฟิวส์ที่ระบบจ่ายไฟของการไฟฟ้ามันใหญ่กว่านี้ครับ เห็นตัวมันใหญ่จัง แต่ที่แน่ๆ ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริง คนต่อไฟเข้าบ้านนี่ต้องรับไปเต็มๆ เลยครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 03:59:53 ]

ความคิดเห็นที่ 49 จบแล้วครับ สำหรับเรื่องเล่าเกี่ยวกับไฟฟ้าและสายดินสำหรับห้องชายคา ถ้าเกิดผมนึกสนุก แล้วมีอะไรที่คิดนึกว่าอยากจะมาเล่าให้ฟังอีก ก็คงมีหนังชุดยาวอีก แต่คงอีกนานครับ เริ่มต้นว่าจะไม่ให้มันยาวมากนัก ลงท้ายก็ปาไปหลายชั่วโมงครับ หวังว่าทุกท่านคงได้ประโยชน์จากสิ่งละอันพันละน้อย ที่รวบรวมไว้ตรงนี้บ้างนะครับ และสำหรับคนที่บอกว่าไฟฟ้า น่ากลัว ก็คงกลัวไฟฟ้าน้อยลงอีกนิดนะครับ ผมไปอาบน้ำอุ่นจากเครื่องทำน้ำร้อนก่อนครับ แฮ่ๆๆ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 04:09:25 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณคุณ pa_ul ค่ะ  ที่สละเวลามารวบรวมข้อมูลดีๆ ไว้ให้ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Me & Simple Life - [ 30 มี.ค. 50 08:13:04 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ตาม คห.40 ถ้าบ้านต่อ elcb แล้ว มันจะวัดไม่ได้ใช่ไหม เพราะระบบมันจะทำงานก่อน จากคุณ : ฟากฟ้าสวย (ฟากฟ้าสวย) - [ 30 มี.ค. 50 08:22:03 ]

ความคิดเห็นที่ 52 โห น่าเสียดายจบเสียละ ขอบคุณ พี่ pa_ul มากครับสำหรับข้อมูล ทีนี้กระทู้เราก็มีที่พึ่งได้อีกท่าน เรื่องการใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัยแล้วครับ :) ผมรบกวนถามพี่ pa_ul เพิ่มเติมครับ เรื่องระบบสายดิน ผมเคยซื้อหนังสือเกี่ยวกับบ้าน เขียนโดย สถาปนิกท่านนึง (จำชื่อไม่ได้) ท่านบอกว่ามีการต่อ ground ที่ดีอย่างนึง คือการต่อสาย ground เข้ากับโครงเหล็กของเสาเข็ม ท่านเขียนว่า ที่ความลึกประมาณ 20-30 m ขึ้นไป ตัวซิเมนต์ความต้านทานมันจะน้อยมากๆ และเป็น ground ที่ดีได้ เขาบอกว่า หากเราเชื่อมสายหรือฝังสายไว้ตั้งแต่การหล่อเสา มันจะเป็น ground ชั้นเยี่ยม ซึ่งนิยมใช้ในงานก่อสร้างอาคารสูง   พี่ pa_ul มีความเห็นว่าไงครับ เราสามารถนำมาประยุกต์กับบ้านของ พวกเราได้ไหม เช่น เราให้ช่างต่อสายดินไว้ตั้งแต่ตอกเสาเข็มเลย ที่รบกวนถามเรื่อง ground rod ผมมีประสบการณ์คือ บ้านคุณแม่อยู่มา 10 กว่าปี ก็เคยตอก ground rod ที่ถูกต้อง และมักเป็น ground rod ที่ใช้ทั่วๆไป คือใช้ clamp หนีบที่ส่วนหัวแท่ง ground ความยาวได้ทุกอย่าง อยู่ๆไป พื้นบ้านมันทรุด (บ้านเป็นอาคารพาณิชย์ ปลูกบริเวณท้องร่องเดิมของสวน) ก็ต้องทำการทุบทำใหม่ ปรากฏว่า ตอนทุบชั้นปูน มันมีช่องว่างที่ดินทรุดลงไปเป็น 70-80 cm ได้ แล้วเจ้า ground มันก็ปักโด่เด่ในดิน ส่วนตัว clamp กับสายดิน มันก็หลุดออกจากกันไปตั้งนานแล้ว   ตอนนี้กำลังไปรื้อ ground ที่บ้านที่เพิ่งซื้อ โครงการเขาใช้แบบเดิมอีก เลยเพิ่มตังค์ทำใหม่ ให้ช่างเขาทำเป็นระบบหลอมละลายเลยไม่อยากใช้ clamp แล้วเพราะกลัวสายดินหลุดจากพื้นดินทรุด จึงเรียนถามพี่ว่า หากเราเชื่อมเข้าโครงเสาเข็ม พี่มีความเห็นว่ายังไงครับ หรือมีวิธีอื่นไหมที่ทำให้ ground เรา เป็นอำมตะ ไม่หลุดไม่ขาดตามระยะเวลา เพราะผู้อาศัยไม่มีทางรู้เลยว่า ground rod เรามันจะทำหน้าที่เป็น สายดินที่ดีได้ถึงเมื่อไรครับ :) จากคุณ : yayayo - [ 30 มี.ค. 50 08:27:39 ]

ความคิดเห็นที่ 53 thanks a lot krub จากคุณ : Champion - [ 30 มี.ค. 50 08:57:04 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คุณฟากฟ้าครับ ขอบคุณที่เข้ามาถามครับ ผมไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยครับ มันจะเป็นอย่างที่คุณว่าไว้จริงๆ ครับ ถ้าใช้ ELCB คุมทั้งบ้าน ก็ต้องตั้งไปที่โหมดบายพาสก่อนครับ คุณ yayayo ครับ ผมไม่มีข้อมูลระบบสายดินที่ทำอย่างที่คุณว่าครับ คำแนะนำทั้งหมดที่ค้นคว้าได้มาจะกำหนดแนวทางสำคัญๆ ไว้คล้ายๆ กัน ซึ่งอย่างนึงที่กำหนดไว้ก็คือว่าระบบสายดินสำหรับสถานที่หนึ่งๆ ต้องต่อไปลงดินที่จุดเดียวเท่านั้น จุดเดียวนี้ไม่ได้หมายความว่ามีแท่งกราวนด์แท่งเดียวนะครับ มีหลายๆ แท่งได้ และบางทีมันก็ไม่ได้มีลักษณะเป็นแท่งๆ ฝังดิน แต่เป็นรูปแบบอื่นๆ ได้ครับ เช่นเป็นแผ่นหลายๆ แผ่นเชื่อมต่อเข้าหากันอยู่รอบๆ อาคารครับ อีกอย่างที่เคยรู้มาจากระบบสายดินที่ใช้สำหรับระบบวิทยุสื่อสารทีมีเทาเวอร์ก็คือว่า จะห้ามการต่อสายดินเข้ากับโครงเหล็กในแท่งคอนกรีตครับ เนื่องจากถ้าเกิดฟ้าผ่าเข้ามาที่ระบบสายดิน กระแสปริมาณมากที่ไหลเข้ามาจะทำให้เหล็กและคอนกรีตร้อนจนแตกเสียหายได้ครับ เรื่องระบบสายดินสำหรับอาคารใหญ่ๆ นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากพอสมควรเลยครับ เพราะต้องออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยทั้งในกรณีที่มีการลัดวงจรในระบบไฟฟ้า และยังต้องรองรับกระแสปริมาณมากๆ ในกรณีที่อาจจะโดนฟ้าผ่าด้วยครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 09:00:22 ]

ความคิดเห็นที่ 55 โหวตครับ รู้จักไฟฟ้ามากขึ้นอีกมากโข ขอบคุณครับ จากคุณ : B Love Runaway - [ 30 มี.ค. 50 09:09:34 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขำสามสไมลี่ย์สุดท้ายของคคห. 40 มากอ่ะ อิอิ จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 30 มี.ค. 50 09:12:57 ]

ความคิดเห็นที่ 57 มาถึงเรื่องการต่อสายดินเข้ากับแท่งดิน ก็ต้องขอบคุณครับ ที่มาเล่าประสบการณ์ให้ฟังกัน เรื่องนี้ผมเองลืมไปสนิทเลยครับ ไปเน้นแต่เรื่องอื่นๆ การต่อสายดินเข้ากับแท่งหลักดินถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้แต่ละบ้านใช้การจุดระเบิดหลอมละลายครับ แพงหน่อยแต่ความเชื่อถือได้สูงกว่ามากๆ ครับ ในบ้านเราก็มีให้บริการอยู่หลายแห่งครับ หน้าตามันก็อย่างในรูปครับ มีแบบครอบลงไปแล้วก็ใส่ผงโลหะ แล้วก็ดินประทุลงไป จุดไฟ....ตูม....ล้อเล่นครับ ไม่ถึงกับอย่างนั้นหรอกครับ แป๊บเดียวสายไฟกับแท่งดินมันก็ละลายหลอมติดเป็นเนื้อเดียวกันแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 09:26:10 จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 09:20:53 ]

ความคิดเห็นที่ 58 แก้รูปภาพหน่อย ใส่อันผิดไปครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 09:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 59 นี่ครับ เป็นรูปแบบการหลอมสายดิน ผมขอให้ช่างบอกผมเวลาที่จะทำจริง เพราะมันน่าตื่นเต้น ไม่เคยเห็น ชุดหลอมละลายมีขายอยู่ชุดละ 200-300 บาท แต่งงที่ทำไมช่างไฟไม่เห็นทำให้เลย ทั้งๆที่มันแน่นกว่าแบบ clamp (รูปผมเอามาจากของฝรั่งทำนะครับ ไม่ได้ทำเอง ) แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 09:38:46 แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 09:34:45 จากคุณ : yayayo - [ 30 มี.ค. 50 09:28:24 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ลองใหม่ครับรูปใหญ่ไป จากคุณ : yayayo - [ 30 มี.ค. 50 09:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ์ำNext... จากคุณ : yayayo - [ 30 มี.ค. 50 09:36:00 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ลืมใส่รูปครับ โทษที จากคุณ : yayayo - [ 30 มี.ค. 50 09:36:37 ]

ความคิดเห็นที่ 63 อีกรูปครับ จากคุณ : yayayo - [ 30 มี.ค. 50 09:37:07 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อ้อ มีเทคนิคนึง ช่างผมเขาบอกว่าจะเผื่อสายให้ยาวขดสายดินเป็นหางหมูไว้ก่อนหลอม คล้ายสปริงเผื่อไว้ให้ดินมันทรุดตัวครับ อย่าต่อสายตึงไปเพราะเดี๋ยวสายจะขาด เพราะดินกรุงเทพเราทรุดตัวทุกปี ก็น่าจะ work นะ เผื่อเป็นเทคนิคเสริมของพี่ pa_ul  :) จากคุณ : yayayo - [ 30 มี.ค. 50 09:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ถ้าจะใช้แคล้มป์ก็ไม่ว่ากันครับ แต่หาอันที่คุณภาพดีๆ หน่อยครับ แคล้มป์ดีๆ สำหรับงานลักษณะนี้จะทำด้วยทองแดง หรือชุบด้วยทองแดงค่อนข้างหนาครับ ไอ้อย่างที่เห็นทั่วๆไปที่ทำด้วยทองเหลืองนี่ ไม่แนะนำครับ มันสึกกร่อนได้เร็วครับ ควรเป็นทองแดง หรือชุบกัลวาไนซ์ครับ ผมเอารูปที่ได้จากเว็บเมืองนอกมาให้ดูกัน นะครับ รูปแรกช่างจะเรียกว่าแคล้มป็หยดน้ำ หรือแคล้มป์หัวใจครับ ถ้าขนาดมันเหมาะสม กับแท่งทองแดงกับสายไฟ ก็จะใช้ได้ดี แต่ที่เห็นขายกัน เวลาใช้งานจริงแล้วมักจะ ไม่แน่นหนา เนื่องจากตัวแคล้มป์มีขนาดไม่เหมาะสมครับ มักจะใหญ่กว่าแท่งทองแดงมากไปครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 10:22:58 จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 10:02:01 ]

ความคิดเห็นที่ 66 แต่ถ้าจะให้ดีใช้แคล้มป์อย่างนี้จะดีกว่าครับ ทำงานสะดวกกว่าด้วยครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 10:04:01 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมของคุณ yayayo นะครับ ที่จริงโมลด์ระเบิดจะมีสองแบบครับ อย่างที่คุณ yayayo เอามาลงให้ดูเป็นแบบเซรามิค ใช้ครั้งเดียวแล้วทุบแตกไปเลยครับ เรียกโก้ๆ ก็ต้องเรียกว่าชนิดใช้แล้วทิ้ง disposable อีกแบบนึงผมหารูปเหมาะๆ มาให้ดูไม่ได้ จะเป็นแบบใช้ได้หลายๆ ครั้งครับ จะทำด้วยกราไฟท์ทนความร้อน พอหลอมเสร็จ ก็กดให้เปิดอ้าถอดออกมา เก็บเอาไว้ใช้คราวหน้าได้เรื่อยๆ ครับ ผงที่เห็นในรูปที่ใช้ สำหรับหลอมคงไม่ใช่ผงตะกั่วหรอกครับ เป็นผงทองแดงออกไซด์ ผสมกับอลูมินั่มครับ ซึ่งมันจะลุกไหม้ (เกิดปฎิกริยาออกซิเดชั่น)ได้เร็วมาก และเกิดความร้อนสูงในช่วงสั้นๆ อีกอย่างนึง ตะกั่วจะไม่ทนทานต่อสภาพที่มีความชื้นอย่างในดิน นานๆ ไปก็จะสึกกร่อนครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 10:39:38 แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 10:21:46 จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 10:11:51 ]

ความคิดเห็นที่ 68 แจ่มครับ เดี๋ยวต้องเข้ามาอ่านอีกสัก2-3รอบ จะได้ซึมซับเข้าในสมอง จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร - [ 30 มี.ค. 50 10:13:40 ]

ความคิดเห็นที่ 69 รู้ไว้ ใช่ว่า .. คุณ ๆ เรา ๆ จะต้อง ลงมือ เอง รู้ไว้ ใช่ว่า .. คุณ ๆ เรา ๆ จะได้ มีความรู้ รู้ไว้ ใช่ว่า .. สิ่งเหล่า นี้ จะ ไม่ สำคัญ รู้ไว้ ใช่ว่า .. จริง ๆ นั้น ละ ฮับ_เมี๊ยว จากคุณ : ออตโตม่อน - [ 30 มี.ค. 50 10:19:37 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ผมใช้การบัดกรีเอา จากคุณ : PUFF The magic dragon - [ 30 มี.ค. 50 10:36:50 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ดำ L เทา  N ถ้ามีแท่ง G หลายจุด และไม่มี ELB ไฟรั่วจะวิ่งเป็นวงกลม โดนดูดได้ จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 30 มี.ค. 50 11:50:51 ]

ความคิดเห็นที่ 72 สังเกตุรูปใน คคห.ที่ 41 ด้วยนะครับ เท่าที่ผมทราบ ช่องขวาเล็กกว่าจะเป็น L ส่วนช่องซ้ายใหญ่กว่าจะเป็น N ถูกต้องรึเปล่าครับ จากคุณ : ... (Blur...) - [ 30 มี.ค. 50 11:52:52 ]

ความคิดเห็นที่ 73 อยากทราบว่า ปุ่ม test ของ ELB คือ - เทสไฟรั่ว 15mA - เทสการลัดวงจร (กระแสไหลผ่านเกินที่ระบุ เช่น 20A) - หรือว่าเทสทั้งสองอย่าง 2in1 จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 30 มี.ค. 50 11:54:33 ]

ความคิดเห็นที่ 74 คห. 72 ก็ถูกต้องแล้วครับ ไม่มีตรงไหนผิดครับ คห. 73 ทดสอบไฟรั่วอย่างเดียวครับ จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 12:12:23 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เพิ่มเติม จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 30 มี.ค. 50 12:17:56 ]

ความคิดเห็นที่ 76 รูป 41 ถูกต้อง  และบางปลั๊กแบบ 2 ขา  ด้านนึงจะต้องใหญ่กว่า เพราะว่าอุปกรณ์บางชนิด จะมีสวิทซ์ตัดไฟเฉพาะเส้น L ถ้าปล่อยให้ไฟไหลเข้ามาในอุปกรณ์หรือในวงจร แ้ล้วเกิดไปจับโดนเข้า สวิทซ์ไฟต่างๆต้องตัดวงจรที่เส้น L   เนื่องจากระบบไฟโบราณ เราให้สายเทาเป็น L  แต่ปัจจุบันเราให้สายดำเป็น L  เวลาไปซ่อมไฟตามบ้านต้องวัดไฟก่อนเลย แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 12:28:56 จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 30 มี.ค. 50 12:26:38 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบพระคุณท่าน จขกท. มาก ๆ นะคะ  เป็นประโยชน์มากเหลือเกินค่ะ จากคุณ : biebie999 - [ 30 มี.ค. 50 12:29:48 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ขอบคุณจขกทนะคะ ที่สละเวลาอธิบายในรายละเอียด โหวตให้ค่ะ จากคุณ : ป้าน้องเก่ง (ป้าน้องเก่ง) - [ 30 มี.ค. 50 16:52:06 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ได้ความรู้มากเลยครับ  ขอบคุณมาก แล้วถ้าผมจะตรวจสอบว่าสายดินที่บ้านทำงานจริงหรือไม่ ตรวจสอบได้อย่างไรครับ  และ ถ้าต้องการ เช็คระบบไฟว่าถูกต้องหรือเปล่า แล้วสายดินอยู่ตรงไหน เราทำได้อย่างไร เพราะถามโครงการก็บอกว่าฝังลงไปพร้อมกับเสา ตอนก่อสร้างแล้ว ผมก็ไม่เคยเห็น ก็เลยไม่แน่ใจ ว่ามันฝังจริงหรือเปล่า หรือต้องรอให้เกิดปัญหาก่อน  รบกวนพอจะแนะนำวิธีได้ใหม่ครับกับบ้านสร้างเสร็จแล้ว แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 17:17:02 จากคุณ : bettafish (bettafish) - [ 30 มี.ค. 50 16:57:34 ]

ความคิดเห็นที่ 80 โหวตค่ะ จากคุณ : m'_yui - [ 30 มี.ค. 50 18:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ผมว่า รูปวงจรใน 40 ถ้าไม่ต่อสายดินนี่ หลอดไฟ 1 จะได้ 220 V = หลอดติด ส่วนหลอดไฟ 2 กับ 3 มันจะอนุกรมกันอยู่ระหว่าง L กับ N ถ้าหลอดเหมือนๆ กัน มันก็ติดนั่นล่ะ หลอดละ 110 โวลท์ ติดแบบหรี่ๆ ไม่สว่างเต็มที่ ดังนั้นมันน่าจะเป็น ติด , หรี่ , หรี่   ส่วนถ้า N ไม่ต่อ มันก็น่าจะเป็นแบบ หรี่ , ติด  ,หรี่ จากคุณ : Ph - [ 30 มี.ค. 50 19:29:09 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ขอบคุณครับ คุณ Ph ตารางดังกล่าวเป็นอันที่ผมเคยทำโดยใช้หลอดนีออนเล็กๆ ซึ่งเวลาต่ออนุกรมกัน หลอดมันจะไม่ติดครับ ตารางข้างล่างนี้ผมได้แก้ไขตามที่ได้แนะนำมาแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 21:05:21 จากคุณ : pa_ul - [ 30 มี.ค. 50 20:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ปลาบปลื้มค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : u_bambam - [ 30 มี.ค. 50 21:47:12 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ผมว่าวงจรของคุณ pa_ul นี้ใช้หลอดนีออนเล็กๆ น่าจะดีที่สุด เพราะมันน่าจะ test วงจรที่มี ELCB ได้โดยไม่ทริป ทำให้ไม่ต้องไปบายพาสมัน(บางตัวก็บายพาสไม่ได้) หรือจะลองทำแบบชั่วคราว ก็ลองทำตามนี้ ใช้ไขควงวัดไฟ 2 อัน กับสายไฟสั้นๆ ท่อนนึงเท่าที่หาได้จากช่างไฟฟ้าที่โยนๆ ทิ้งไว้ในงานติดตั้งไฟฟ้า ให้เอาไขควรอันหนึ่งใส่ไปที่ช่อง L อีกอันใส่ช่อง N แล้วเอาสายไฟสั้นๆ นั้นต่อที่ท้ายไขควง 2 อันรวมกัน แล้วถ้ามันยาวพอก็พันๆ ให้ไขควงมันติดกันนั่นล่ะ แล้วเหลือปลายให้พอไปแหย่ที่ช่องกราวด์ โดยดัดให้มันยาวพอดีๆ แบบเสียบไปทีเดียวเข้าไปได้ทั้ง 3 ขั้ว ถ้าไฟสว่าง 2 ด้ามเลยก็ไม่มีกราวด์   เรียกว่าจิ้มเข้าไปที่ปลั๊กทีเดียวเห็นเลย จะเร็วดีไม่ต้องมาวัดจับคู่ที่ละรู แต่ถ้าสว่างไขควงด้ามเดียวก็จะเห็นเลยว่าถูกช่อง L N หรือเปล่า (ไขควงวัดไฟผมใช้ยี่ห้อ... ด้ามสีเหลือง ท้ายเป็นทองเหลือง ยี่ห้ออื่นๆ ก็น่าจะได้นะ) แต่ยังขาดกรณี N สลับ G นี่สิ  จะวัดยังไงดีให้ง่ายที่สุด ?? (สมมุตกรณีไม่มี ELCB ละกัน ถ้ามี ELCB มันคงทริปตอนเอาเครือ่งไฟฟ้าไปเสียบ) แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 22:01:27 แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 21:57:55 จากคุณ : Ph - [ 30 มี.ค. 50 21:56:04 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ... แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 50 03:52:38 จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 30 มี.ค. 50 23:34:41 ]

ความคิดเห็นที่ 86 โอ้ยกระทู้นี้ เจอพี่ๆเซียนๆ แชร์กันมากๆ ผมว่าเดี๋ยวเรา upload ไปให้การไฟฟ้าแจกเป็นแผ่นความรู้สำหรับประชาชนได้ 1 เล่มเลยครับ อ่านง่ายกว่าดูของการไฟฟ้าเยอะเลย รออ่านเพื่อเติมด้วยครับ อยากเห็นภาพการทำอุปกรณ์เช็คไฟปลั๊กแบบของ พี่ Ph & คุณหญิงยอดนักทดลองด้วยครับ จากคุณ : yayayo - [ 31 มี.ค. 50 00:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 87 แล้วมันไม่ช๊อตเหรอครับ ในวงกลมสีน้ำเงิน ในเมื่อมัน เป็นทองแดงเชื่อมถึงกันได้ จากคุณ : newcom - [ 31 มี.ค. 50 01:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เอาแบบง่ายๆก่อน   หลักการคือปกติ N กับ G มันช๊อตถึงกัน ดังนั้นถ้าสาย G ถูกต้อง ไฟจะไม่ติด และถ้า L ถูกต้อง ไฟก็จะไม่ติด เพราะ G ช๊อตกับ N อยู่ แต่ถ้า L กับ N สลับกัน ไฟจะติดทันที ถ้าสาย G ขาด หรือไม่ต่อกับ N  ไฟก็จะติด ง่ายไหม  ตัวต้านทานอาจใช้ค่า 250K ถึง 150K ก็ได้ ปล.  พวกหลอดนีออนจะเริ่มติดไฟที่ประมาณ 80v แล้วแต่หลอดแล้วแต่ยี่ห้อด้วย ควรจะทดสอบปรับค่าแสงสว่างให้เหมาะสม หลอดแบบนี้กินกระแสน้อยมาก วงจรดังรูป ใช้หลอดนีออน 110v นะ แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 05:43:03 จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 31 มี.ค. 50 02:17:01 ]

ความคิดเห็นที่ 89 #87 หมายถึงวิธีของผมหรือเปล่า มันต้องใช้ใขควงวัดไฟนะ ไม่ใช่ไขควงเหล็กธรรมดา ข้างในไขควงมันมีหลอดนีออนอนุกรมกับ R อยู่ข้างใน ตรงที่ให้ต่อรวมกันคือตรงปลาย (ที่เราเอามือแตะตอนจะวัด) เดี๋ยวผมไปถ่ายรูปให้ดูว่าทำไง กล้วคนทำผิดแล้วตูม.. จากคุณ : Ph - [ 31 มี.ค. 50 02:26:20 ]

ความคิดเห็นที่ 90 เอามือถือถ่าย ไม่ค่อยชัดนะ เพิ่งถ่ายเดี๋ยวนี้เลย รูปซ้ายคือมีสายดิน (ติดที่ไขควงขวา) รูปขวาไม่มีสายดิน  (ติดที่ไขควง 2 อันเลย) ถ้า L สลับ N มันจะเป็นแบบรูปซ้าย แต่ย้ายไปติดอีกข้างนึง ตอนวัดไม่ต้องเอามือไปแตะด้านบน (ถ้ามือไปโดนก็ไม่เป็นไร แต่อาจทำให้ผลการวัดคลาดเคลื่อนจากไม่มีสายดิน เป็น มีสายดินก็เท่านั้น) จากคุณ : Ph - [ 31 มี.ค. 50 02:40:56 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เพิ่งเห็นวงจรของ "หญิงยอดนักทดลอง" ก็เข้าใจง่ายดี คือ ไฟติดเมื่อไหร่ต้องแก้ไข เป็นการตรวจสอบความผิดพลาดหลักๆ เลย (ไม่มี G กับ LสลับN) แล้วกรณี N สลับ G ทำไงดี ?? ยังนึกไม่ออก เพราะต้นทางที่ตู้มันมีการเชื่อมต่อกันอยู่ด้วย จากคุณ : Ph - [ 31 มี.ค. 50 02:47:14 ]

ความคิดเห็นที่ 92 แบบยากหน่อย ใช้ R ต่อแบบ voltage divider zener diode ป้องกันไฟติด  ถ้ากิ่งนั้นสายมันขาด zener ใช้ 150v  ถ้าหลอดติดไฟที่ประมาณ 80v  สำหรับทดสอบไฟบ้านเรา 220v แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 05:45:39 จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 31 มี.ค. 50 04:20:17 ]

ความคิดเห็นที่ 93 อ่านแล้วงงนิดนึงครับ เท่าที่เห็นเดินสายตาม คคห. 4 หรือ 5 น่าจะถูกต้อง แต่ลักษณะของการเดินสายตาม คคห. 6 มันดูปลอดภัยกว่าไม่ใช่เหรอครับ? และตาม คคห. 30 (ผมอาจจะเข้าใจผิด) ถ้าไม่ต่อ G เข้ากับ N เบรคเกอร์ก็น่าจะตัดนะครับ? สรุปว่าผมยังดูไม่ออกครับ ว่าต่อ G เข้ากับ N หลังเบรคเกอร์ จะมีประโยชน์ยังไง? แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 50 08:11:01 จากคุณ : naipui - [ 31 มี.ค. 50 08:02:22 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ได้ความรู้มากๆเลยครับ แต่มีข้อสงสัย2ข้ออยากถามคุณ pu_al คุณ Ph คุณ ยอดหญิงฯ หรือใครก็ได้สักนิดนึงนะครับว่า จากรูปใน คคห.26 ถ้าสมมุติว่าต่อสายต่อหลักดินและหลักดินได้ตามมาตรฐานทุกๆอย่าง และเกิดการสลับสายระหว่าง L กับ N จะเกิดกระแสลัดวงจรลงดินอย่างรุนแรงใช่หรือเปล่าครับ แล้ว relay ที่ระบบจ่ายไฟของการไฟฟ้าหรือที่หม้อแปลงจำหน่ายมีหรือเปล่า และจะตรวจจับได้หรือไม่ และอีกข้อนะครับคือผมสงสัยว่าในรูป คคห.34 เมื่อมีกระแสลัดวงจรลงดินที่หลักดินที่เมนบอร์ด ผมสงสัยว่าทำไปกระแสไฟฟ้าถึงเลือกไปขึ้นที่ตัวคน แล้วใหลลงหลักดินที่ต่อแยกต่างหากที่เครื่องทำน้ำอุ่นแล้วไปขึ้นที่หลักดินของระบบจำหน่ายไฟฟ้าอีกที อ่ะครับ  ทำไมกระแสไฟฟ้าไม่เลือกไปขึ้นที่หลักดินที่ระบบจำหน่ายเลย ขอบคุณมากๆครับ แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 50 11:10:40 จากคุณ : safety first - [ 31 มี.ค. 50 11:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 95 โหวตครับ เก็บเข้าคลังด้วย จากคุณ : สุดยอด (คุณดล) - [ 31 มี.ค. 50 11:26:23 ]

ความคิดเห็นที่ 96 มาอ่านอีกรอบ มีปัญหามารบกวนด้วยครับ ต่อเติมบ้าน ไฟฟ้าที่เดินใหม่จะแยกตู้คอนซูมเมอร์ยูนิตย่อยมาจากตู้เมน ใช้สาย THW 1x4 มีสายดินมาด้วย(ตู้เมนมีสายดินลงหลักดินเรียบร้อย) -การเข้าสายที่ตู้แยกมานี้ สาย N ยังจะต้องไปร่วมกับสายดินที่กราวด์บาร์เหมือนที่ตู้เมนไหมครับ หรือจิ้มเข้าช่องสายเมนเบรกเกอร์ได้เลย ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่แบ่งปัน จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก - [ 31 มี.ค. 50 15:04:37 ]

ความคิดเห็นที่ 97 เยี่ยมมากครับ หนึ่งจึ๊ก จากคุณ : Jele - [ 31 มี.ค. 50 18:16:45 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ตอบ คุณ safety first   เพราะการไฟฟ้าจำเป็นรลงทุนในการติดตั้งระบบจำหน่ายน้อยเพราะติดทางด้านเศรษฐกิจนี่แหล่ะครับ   อยากได้แบบดีๆ ก็ลงทุนเยอะมาก .......โดยทั่วไปด้าน secondary ของหม้อแปลงในระบบจำหน่ายของการไฟฟ้ามักจะไม่มีอุปกรณ์ป้องกันโดยเฉพาะหม้อแปลงขนาดใหญ่ๆ  เนื่องจากค่ากระแสพิกัดด้านนี้มีค่าสูงมากๆ ตามขนาดหม้อแปลงทำให้ขนาดอุปกรณ์ป้องกันมีขนาดใหญ่ตามครับ     ถ้าจะถามว่าทำไมไม่ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านแรงต่ำทุกๆ หม้อแปลงนั้นคงต้องสอบถามไปที่การไฟฟ้าเองครับ เขาคงตอบได้ดีกว่าผม .......สำหรับด้าน primary ของหม้อแปลงนั้นมักจะมีฟิวส์เป็นอุปกรณ์ป้องกันก่อนเข้าตัวหม้อแปลง  สำหรับใครที่เรียนไฟฟ้าแล้วคงรู้นะครับว่าการเลือกขนาดฟิวส์นั้นเป็นเลือกอย่างไรกี่เท่าของกระแสพิกัด ???   ดังนั้นเมื่อเกิดการลัดวงจรที่ไม่รุนแรงทางด้านแรงต่ำนั้นฟิวส์มักจะไม่ตัด .......สาเหตุที่การไฟฟ้าไม่นิยมใช้รีเลย์ป้องกันในระบบจำหน่ายนั้นเพราะเมื่อก่อนตัวรีเลย์มีราคาแพงมากนี่ยังไม่รวมอุปกรณ์ตัดวงจรและตู้สำหรับติดตั้งรีเลย์ให้หม้อแปลงแต่ล่ะตัวนะครับ (ปัจจุบันแค่ตัวรีเลย์ป้องกันแบบแยกต่างหากก็หลายหมื่นบาทแล้วครับ เบรกเกอร์ตัดวงจรตัวเล็กแบบ MCCB ก็หลักหมื่นแต่ถ้าตัวใหญ่มากๆ แบบ ACB ก็ราคาเกือบแสนหรือหลายแสน)    ทำไปทำมาค่าอุปกรณ์ป้องกันราคาจะแพงกว่าราคาหม้อแปลงอีกครับ .......สำหรับรูปที่ 34 นั้น คุณ safety first ลงสมมุติ 1.ค่าความต้านทานของคนและสายไฟ 2.ค่าต้านทานระหว่างหลักดินต่างๆ กันบ และ 3.ค่าความต้านทานระหว่างหลักดินด้วยกันเอง  แล้วใช้ความรู้พื้นฐานวงจรไฟฟ้ามองก็เห็นแล้วครับ จากคุณ : arm_cc - [ 31 มี.ค. 50 20:40:26 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ขอถามมีวิธีตรวจสอบไหมว่าสายดินที่ตอกไว้ตอนนี้เป็นยังไง ไฟยังไหลลงคล่องหรือเปล่า จากคุณ : Dr.slump - [ 31 มี.ค. 50 21:44:35 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ตอบคุณ safety first เพิ่มเติมจากคุณ arm_cc ครับ สำหรับในรูป 34 นั้นเป็นการสมมุติของผมครับ ถ้าอ่านดูในย่อหน้าสอง "...ขึ้นกับความต้านทานของสายดินแต่ละจุด ที่จะเป็นตัวกำหนดว่ากระแสไฟฟ้าจะไหลไปมายังไง..." ตัวอย่างที่แสดงนั้นเพียงให้เห็นว่ามันเป็นไปได้ที่จะโดนดูดครับ อย่าลืมนะครับ กระแสเพียง 10-20 mA ก็อาจจะเกิดอันตรายกับผู้ใช้ได้แล้วครับ จากคุณ : pa_ul - [ 31 มี.ค. 50 21:47:08 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เข้าใจแล้วล่ะครับ ขอบคุณคุณ arm และคุณ pu_al มากๆครับ จากคุณ : safety first - [ 31 มี.ค. 50 21:59:13 ]

ความคิดเห็นที่ 102 #96 ถ้าต่อแยกมาตู้ที่ 2  สาย N ที่ตู้นี้ไม่ต้องต่อร่วมกับ G ให้ต่อร่วมกันที่ตู้แรกตู้เดียว จากคุณ : Ph - [ 31 มี.ค. 50 22:04:12 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ข้อมูลความรู้ล้วน ๆ ขอบคุณครับ จากคุณ : เพชรน้ำเงิน - [ 31 มี.ค. 50 22:10:38 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ตอบคห. 93 คุณ naipui นะครับ การต่อ G กับ N จะมีประโยชน์ในกรณีที่สาย L ลัดเข้ากับตัวถังโลหะโดยตรง และถ้าไม่มี ELCB หรือเป็น ELCB ที่ออกแบบมาสำหรับป้องกันไฟรั่ว แต่ไม่ได้ป้องกันกระแสลัดวงจร หรือ ELCB เสีย ในกรณีนี้ตัวเบรคเกอร์ย่อย หรือเมนเบรคเกอร์จะตัดวงจรทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ **ก่อน** ที่ใครจะไปแตะกับตัวถังครับ ซึ่งถ้าเทียบกับการต่อกราวนด์ต่างหาก แล้ว กระแสตรงนี้อาจจะไม่มากพอที่จะทำให้เบรคเกอร์ย่อย หรือเมนเบรคเกอร์ตัดวงจร เพราะกระแสจะถูกจำกัดด้วยความต้านทานระหว่างหลักดินครับ ลองดูรูปข้างล่างประกอบนะครับ สมมุติว่าเบรคเกอร์ย่อย กับเมนเบรคเกอร์มีขนาด 35A ถึงแม้ว่าสายดินของอุปกรณ์จะทำอย่างดีแล้วก็ตาม แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่กระแสบางส่วนซึ่งอาจจะเพียงไม่กี่สิบมิลลิแอมป์ จะไหลผ่านคนที่ไปแตะโดนได้ ก็จะได้รับอันตราย จากคุณ : pa_ul - [ 31 มี.ค. 50 22:24:55 ]

ความคิดเห็นที่ 105 แต่ถ้าต่อสาย G กลับไปเข้ากับ N ที่ตู้เมน กระแสลัดวงจรจะมากกว่าในกรณีแรก เพราะกระแสมันไหลกลับทางสาย G โดยตรง เนื่องจากความต้านทานที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับความต้านทานของระบบสายดินในกรณีก่อนหน้านี้ จึงทำให้เบรคเกอร์ทำงานทันทีก่อนที่จะมีใครไปแตะโดนครับ แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 50 22:34:36 แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 50 22:31:55 จากคุณ : pa_ul - [ 31 มี.ค. 50 22:28:05 ]

ความคิดเห็นที่ 106 คุณหญิงยอดนักทดลองครับ วงจรในคห.88 ดูเล็กกระทัดรัดดีครับ ขาดอยู่อีกนิดเดียวเองครับ คือถ้าไม่มีไฟมา หรือสาย L ไม่ต่อ มันจะไม่รู้ครับ ช่วยดัดแปลง อีกนิดสิครับ ให้มันสมบูรณ์ขึ้น จะได้ทำใส่ในตัวปลั๊กได้เลยครับ จากคุณ : pa_ul - [ 31 มี.ค. 50 23:06:51 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ขอบคุณ pa_ul ครับ ที่สละเวลามารวบรวมข้อมูลดีๆ ไว้ให้ (รู้สึกว่า คุณ ใส่ใจในทุกๆรายละเอียด ทุกคำถามและให้กำลังใจ ดีจริงๆ^^) ขอบคุณครับ จากคุณ : ผ้าม่านสีแดง - [ 1 เม.ย. 50 00:21:35 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ขอบคุณมากครับคุณ pa_ul ที่เข้ามาตอบอย่างละเอียดเลย ผมยังสงสัยอีกนิดนึงนะครับ (ด้วยความรู้ด้านไฟฟ้าระดับมัธยมปลาย) ในกรณี่ต่อ G ตามที่ คุณ pa_ul บอกใน คคห. 105 มันจะมีกรณีไหนบ้างครับ ที่ Ground Rod แท่งด้านขวาจะมีกระแสไหลผ่าน เพราะทางที่สะดวกที่สุดน่าจะเป็นเข้าไปที่ N รบกวนด้วยครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : naipui - [ 1 เม.ย. 50 00:49:32 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ตอบคุณ naipui คห.108 ครับ คำถามที่ถามมาผมตีความได้สองอย่างคือ 1 ถ้าระบบมันเป็นอยู่อย่างนี้อยู่แล้ว มีกรณีไหนที่จะมีกระแสไหลในสายดินทางขวาบ้าง ก็จะเฉพาะตอนที่มีไฟฟ้ารั่วที่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ต่อสายดินมาที่ตัวถังมัน แล้วมีใครไปแตะตัวถังมันเข้าครับ 2 แต่ถ้าต้องการถามว่าต่อสายกราวนด์ลงดินไว้ทำไม เพราะยังไงกระแสก็ไหลกลับผ่านสาย N อยู่แล้ว ไม่ต้องต่อสายกราวนด์ลงดินไม่ได้หรืออย่างไร คำตอบของคำถามนี้จะเป็นเรื่องวิชาการค่อนข้างมาก แล้วก็ต้องอธิบายกันอย่างยาวเลยครับ ถ้าหากต้องการถามอย่างนี้จริงๆ จะหาเวลามาอธิบายให้ครับ จากคุณ : pa_ul - [ 1 เม.ย. 50 02:14:10 ]

ความคิดเห็นที่ 110 รูปที่ 104 &  105  ชัดเจนดีจัง ขอเชฟรูปๆทั้งหลายไว้สอนหลานๆ จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 1 เม.ย. 50 03:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 111 เครื่องไฟฟ้าโลหะ อันตรายมากๆ ถ้าต่อเต้าปลั๊กไฟผิด หรือไฟรั่ว บ้านเรานะไม่อยากบอก  น้ำอุ่นติด ELB เพิ่งอีก 2 ตัว ด้านนอก (2 ยี่ห้อ  national กับ toyoku อะไรนิแหละ ตัวละ 400 บาทเองแต่คุ้มค่าต่อชีวิต )   แถม safe-t-cut ตั้งไว้  15 mA คลุมทั้งระบบ  (ตัวละ 4500 มั๊ง)  และบ้านมีระบบสายดิน   เคยปรับ safe-t-cut เหลือ 5 mA ไม่ได้  มันตัด มีไฟรั่วที่แอร์ เครื่องน้ำอุ่นถ้าใส้ heater แตกอันตรายมากๆ แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 05:34:52 แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 04:19:29 แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 04:17:37 จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 1 เม.ย. 50 03:52:34 ]

ความคิดเห็นที่ 112 รูป 88 หรอ     กรณีจะดูว่า  N ขาด หรือ L ขาด เราก็เอานีออน + ตัวต้านทาน 150k ถึง 250k  ต่อคร่อม  N กับ L  ธรรมดา     แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 06:03:47 จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 1 เม.ย. 50 04:00:23 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ^ ^ คุณหญิงฯ ครับ จะทำอย่างงั้นได้ก็ต่อเมื่อรู้ว่าขาไหนเป็น N กะ L ก่อน แต่ปัญหาคือเราสมมุติว่าเรายังไม่รู้สิครับ มันก็เลยซับซ้อน จากคุณ : pa_ul - [ 1 เม.ย. 50 09:57:11 ]

ความคิดเห็นที่ 114 หมายถึง N กับ L นะหรอ ถ้าสลับกัน ยังไงมันก็ติด ( หลอดนีออนไม่มีขั้ว) และหลอดเดิมก็จะติดเตือนว่า N กับ L สลับกัน แต่ถ้าหมายถึง ทั้ง 3 สายสลับมั่วๆ  ต้องใช้วงจร complex ซะแล้ว แต่ก็ยังติดปัญหา  N กับ G  ถ้าสลับกัน ไม่รู้จะตรวจยังไง จ่ายไฟ L ลง G สัก 20 mA เลยเป็นไง ให้ ELB มันตัด หุๆ วิธีทดสอบสาย G ว่ายังดีอยู่หรือเปล่า อาจต้องจ่ายไฟ L ลง G สัก 20 mA  ให้ ELB มันตัด และเป็นการทดสอบ ELB แบบขมังเวทย์ด้วย แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 12:09:27 จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 1 เม.ย. 50 12:01:33 ]

ความคิดเห็นที่ 115 เรียนคุณ pa_ul ตาม คคห. 109 ครับ ขอโทษด้วยที่ถามต่อไม่ชัดเจนครับ คือตั้งใจจะถามตามข้อ 2. ใน คคห. 109 น่ะครับ ถ้าวิชาการมากไปก็ ว่างๆ ค่อยมาตอบก็ได้ครับ เกรงใจครับ ความจิงสงสัยเพราะที่บ้านต่อแบบ G ไม่เชื่อมกะ N ทีนี้คุณพ่อเป็นวิศวะไฟฟ้าซะด้วยสิครับ เค้าบอกว่าต่อแบบไม่เชื่อมกะ N ถูกต้องกว่า ก็เลยไม่รู้จะบอกเค้ายังไง ผมเลยจะรบกวนถามรายละเอียดสักหน่อย จะได้ไปโน้มน้าวท่านได้ถูกน่ะครับ ยังไงผมก็เป็นคนใช้เครื่องทำน้ำอุ่นน่ะครับ กลัวๆ อยู่เหมือนกัน ขอบคุณครับ จากคุณ : naipui - [ 1 เม.ย. 50 20:42:08 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ขอบคุณคุณ pa_ul ที่ให้ความรู้ที่ละเอียดและยาวมากๆ อ่านยาวมากๆจนไม่แน่ใจว่าอ่านข้ามไปบ้างหรือเปล่า ถ้าข้ามไปแล้วทำให้เข้าใจไม่ถูกก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ ต้องขออภัยถ้าความเห็นอาจจะไม่ตรงกันบ้าง ขอให้ถือว่าแลกเปลี่ยนความรู้กันดีกว่านะครับ ผมเข้าใจว่าในนี้แนะนำให้ต่อสายNของการไฟฟ้าเข้ากับระบบหลักดินในบ้านก่อนหน้า ELCB คือต่อตรงไม่ผ่านตัวป้องกันอะไรเลย(ตามที่ตู้บางยี่ห้อแนะนำไว้ที่ตู้) อยากบอกว่าใครทำเช่นนั้นรีบๆเอาออกเถอะครับ อันตรายนะ ที่ผ่านมาผมเคยเห็นความเห็นในบางกระทู้เหมือนกันที่นิยมแบบนี้ ผมยังงงไม่หายว่าทำไมไม่กลัวเจ้าสายNกันบ้างเลยหนอ อันตรายจากสายNก็คือวันดีคืนดีเจ้าสายนี้ที่เคยผูกติดกับดินที่ต้นทางอาจจะไม่ผุกกันก็ได้ เกิดได้ง่ายๆครับ ถ้าเกิดเช่นนั้น จะทำให้ระบบดินในบ้านเราป่วนไปหมดมีแรงดันที่จะเกิดอันตรายต่อคนได้ และแรงดันนี้จะอยู่ในส่วนที่เราสัมผัสของอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชิ้นที่ต่อกับระบบดิน นอกจากอุปกรณ์ที่เป็น Double Insulation ตามรูปที่ความเห็น46ครับ อันตรายมากๆ เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น มาจากสายเส้นนี้เส้นเดียว แม้ถ้าไม่ต่อสายดินเลย เหตุการณ์ที่ว่าก็จะไม่เกิดเรื่องขึ้นมาครับ ถ้าใช้เครื่องทำน้ำอุ่นและมีที่พอผมอยากแนะนำให้ทำแท่งดินเฉพาะของเครื่องทำน้ำอุ่น และตอกให้ห่างจากแท่งดินอื่นๆอย่างน้อยสัก2เมตร(ถ้ามี)นะครับ และติด ELCB แบบที่ทำงานด้วยแม่เหล็ก ไม่แนะนำให้ใช้แบบที่เป็นวงจรอีเลคโทรนิคส์นะครับถึงแม้ว่าอาจจะตัดได้ไวกว่า แต่ความน่าเชื่อถือต่ำกว่ามากครับ ผมอาจจะเป็นคนรุ่นโบราณไม่ทันสมัยหนะครับ ถ้าซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นมาแล้ว ในเครื่องทำน้ำอุ่นมีแบบอีเลคโทรนิคส์ติดมาด้วย แนะนำว่าควรจะติดตั้งแบบแม่เหล็กเพิ่มที่ตู้ไฟหรือเฉพาะวงจรก็ได้ครับ (แต่ติดรวมน่าจะดีกว่าเสียตังแล้วก็ใช้ป้องกันให้หมดบ้านเสียเลย...เตรียมไฟฉายหรือไฟฉุกเฉินไว้ด้วยนะครับ เวลามีปัญหามักจะเป็นตอนกลางคืนเสมอ) ความเชื่อที่ว่าต้องต่อNเข้ากับระบบดินในบ้าน เป็นเรื่องอันตราย น่าจะเป็นความเข้าใจผิดของใครบางคนหรือหลายคน ระบบดินที่เป็นProtective Ground ไม่ควรต่อกับสายระบบไฟฟ้าใดๆแม้แต่สายNครับ การต่อสายNกับแท่งดิน เป็นการต่อในระบบส่งกำลังไฟฟ้า ซึ่งต้องทำเพื่อรักษาให้สายN มีระดับแรงดันต่ำ เมื่อส่งไฟฟ้าไปไกลๆ จะได้ไม่เป็นอันตราย เพราะบางทีเราไม่ได้ใช้สายNที่มีขนาดใหญ่เท่ากับสายอื่นๆ จึงต้องแบ่งกระแสที่เกิดจากการลัดวงจรหรือฟ้าผ่าให้ผ่านดินแทนที่จะผ่านสายN อย่ามาปนกับระบบดินเพื่อความปลอดภัยของคนครับ จากคุณ : SRT - [ 1 เม.ย. 50 22:19:23 A:125.24.21.202 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 117 คุณ SRT ครับ ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ เข้าใจว่าที่แย้งมาเป็นประเด็นดังแสดงในรูปข้างล่างใช่มั้ยครับ ซึ่งเป็นกรณีที่การต่อสายดินมีปัญหา ไม่แน่หนา หรือขาดหลุดไป ซึ่งทำให้เกิดอันตรายได้ เนื่องจากมีแรงดันไปรออยู่ที่ตัวถังโลหะผ่านทางสาย G ที่ต่อเชื่อมกับสาย N ที่ตู้เมน เมื่อมีใครไปแตะที่ตัวถังก็จะถูกดูดได้ จากคุณ : pa_ul - [ 2 เม.ย. 50 00:13:23 ]

ความคิดเห็นที่ 118 สวัสดีครับคุณ pa_ul ผมหมายถึงรูปในความเห็นที่2เลยครับ ไม่ควรต่อสายG เข้ากับสาย N ที่ขั้ว การต่อแท่งดินให้กับสายNแบบในรูป เป็นการต่อ Ground ของระบบส่งกำลัง เพื่อลดศักดาของN ไม่ใช่ Protective Earth ที่เป็นสายGครับ(น่าจะเรียกว่าสายP.E.จะได้ไม่สับสน) ต้องแยกออกจากกัน คนทำงานระบบส่งกำลังจะเรียกgroundไปหมด ไม่ได้แยกว่าเป็น ground หรือ P.E. จนบางคนสับสนคิดว่าเหมือนกัน เรื่องระบบ ground มีหลายสำนัก ความก้าวหน้าและความรอบคอบต่างกันไป ในสายตาผมเรื่องนี้อเมริกันยังห่างจากยุโรปมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะระบบไฟของอเมริกันใช้110ซึ่งดูดไม่ค่อยตาย จึงให้ความสำคัญไม่มากเท่าไหร่ จึงอาจจะผสมปนเปไม่ชัดเจนหรือเข้มงวดเท่าที่ควรครับ ถ้าต่อตามรูปในความเห็นที่2 ถ้าสายNของระบบ ลอยขี้นจากground แล้ว แท่งดินกระจิ๊ดในบ้านเราทำอะไรไม่ได้หรอกครับ เรื่องNลอยจากground เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ แม้จะไม่บ่อยนัก แต่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบระบบด้วย ในชีวิตผมก็เจอมาหลายครั้งแล้วขนาดยังไม่แก่เท่าไหร่ (ถ้าเป็นกฟภ.เป็นบ่อย เอาไขควงเช็คไฟ เจอสว่างมากกับสว่างน้อย สว่างน้อยแปลว่าเป็นสายNครับ) เมื่อปีที่แล้วร้านเพื่อนที่บรรทัดทองก็มีปัญหา ตู้ไฟฟ้าควันขึ้น สอบสวนได้ความว่าช่างไฟดันต่อแบบในรูปโดยอ้างว่าทำตามมาตราฐานการไฟฟ้านครหลวง แล้ววันนึงสาย N ของ กฟน.ก็ลอยขึ้นมา ไฟเลยวิ่งลงแท่งดิน สายไฟฉนวนไหม้ไปบางเส้น ควันขโมง บ้านแถวนั้นเสียหายไปหลายบ้านครับ ผมไม่รู้ว่า กฟน.กำหนดไว้แบบนั้นจริงหรือเปล่า ได้แต่บอกเพื่อนไปว่าต่อแบบนั้นมันผิด เป็นการมองแง่ระบบส่งกำลังเท่านั้น ไม่ได้มองเรื่องการป้องกันบุคคล ถ้ายังต่อแบบนั้นเท่ากับรอให้เกิดปัญหาซ้ำขึ้นเมื่อสายNลอยเกิดขึ้นอีก แต่คราวหน้าอาจจะไม่โชคดีอย่างคราวนี้ เพราะอาจจะมีคนเป็นอะไรไปก็ได้ อันตรายมากๆ ถ้ากฟน.กำหนดแบบรูปในความเห็นที่สองจริง คงต้องคุยกันหน่อยแล้วว่าคิดอะไรอยู่ แบบนี้กลับไปใช้ระบบไฟฟ้าในบ้านแบบที่ไม่มีสายดินจะปลอดภัยกว่าครับ เพราะปัจจุบันนี้อุปกรณ์ไฟฟ้าเปลี่ยนไปเป็นDouble insulation กันเป็นส่วนใหญ่แล้ว ที่เหลือต่อสายดินในอุปกรณ์ที่จำเป็นเอาเองไม่ต้องไปต่อกับ N จะดีกว่าครับ จากคุณ : SRT - [ 2 เม.ย. 50 01:10:25 A:125.24.21.202 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ผมเข้ามาแก้ไขคำตอบครับ หลังจากเห็นความเห็นของคุณ SRT ก็เลยรู้ว่าผมออกความเห็นไปผิดทาง ซึ่งถ้าเป็นประเด็นเรื่องสาย N ไม่ต่อกับกราวนด์ที่ต้นทางระบบจ่ายไฟ อย่างนี้คงไม่อยู่ในวิสัยที่ผมจะแสดงความเห็นอะไรได้ครับ ถ้าคุณ SRT อยู่ตรงนั้นก็ช่วยตั้งประเด็นถามให้ด้วยนะครับ ว่าถ้ายังไม่มีความพร้อมแล้วจะบังคับให้ใช้ระบบสามสายทำไมกันครับ แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 50 01:23:02 แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 50 01:14:23 จากคุณ : pa_ul - [ 2 เม.ย. 50 01:11:26 ]

ความคิดเห็นที่ 120 เห็นด้วย  การมีสาย Ground  เหมือนจะอันตรายกว่า ตอนแรกที่อ่านคู่มือ squreD ก็งงเหมือนกัน ทำใมเค้าให้ต่อ G กับ N สู้ใช้ ELB  กับ สาย 2 เส้น ไม่ปลอดภัยกว่าหรอ  โดนดูดแค่ 15mA จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 2 เม.ย. 50 01:42:09 ]

ความคิดเห็นที่ 121 พอดี updated program เสร็จจะเข้ามาบอกอีกเรื่องหนึ่งว่าการต่อสายดินแบบความเห็นที่58 จะใช้ได้กับสายดินขนาดใหญ่ๆ สายเล็กๆน่าจะหาแบบไม่ได้ หรือไม่ก็เสี่ยงที่จะละลายขาดไปเลยก็ได้ครับ เห็นความเห็นคุณ pa_ul แล้ว อยากเรียนว่าการที่สายN ไม่ต่อกับกราวน์ที่ต้นทางก็เป็นประเด็นหนึ่ง อีกประเด็นคือการบังคับใช้สายดินยังไม่ได้ทำทุกบ้าน ดังนั้นNจึงไม่เท่ากับดินแน่นอนแม้ว่าจะต่อที่ต้นทางแล้ว เพราะกระแสที่ไหลกลับไปต้นทางก็จะสร้างศักดาขึ้นมาด้วยความต้านทานของสายNเอง ในกรณีที่เกิดกระแสลัดวงจรแรงๆในวงจรที่สายใหญ่ๆ แล้วบ้านเราอยู่ตรงกลางในวงจรนั้น สายNที่บ้านเราก็จะลอยขึ้นมาได้ครับ ซึ่งสายดินแท่งดินขนาดจิ๋วของเราเอาไม่อยู่ครับ เหมือนอย่างที่บ้านเพื่อนผมที่บรรทัดทอง เดาว่าบ้านข้างๆเป็นโรงงานเกิดไฟลัดวงจร แต่แปลกที่เกิดขึ้นนานจนบ้านเพื่อนผมกระทบไปด้วย ตอนนั้นถ้ามีใครอาบน้ำอยู่ในบ้านแถวนั้นที่ต่อวงจรแบบบ้านที่เกิดปัญหาในข่าวก็คงเรียบร้อยไปแล้วครับ ผมไม่ได้อยู่ในการไฟฟ้าทั้งสองแห่งครับ เพียงแต่เคยคุยกับฝ่ายบริการของกฟน.เรื่องปัญหาเทคนิคที่ผมเห็นว่าไม่ถูกต้อง ระบบสามสายน่าใช้เหมือนกันนะครับแต่ต้องแยกกัน ไม่เอา Neutral ground ไปปนกับ Protective Earth ซึ่งผิดและอันตรายอย่างมาก กฟน.คงลืมคิดไปถึงเรื่อง N ลอย และคิดว่าเมื่อทุกบ้านใช้แท่งดินแล้ว N จะไม่มีทางลอยได้อีก เพราะต่อกันทุกบ้าน ซึ่งเป็นการมองแบบเด็กๆเกินไป ถ้าต่อวงจรตามรูปในความเห็นสองจริงในช่วงที่เริ่มทำไม่กี่บ้าน บ้านที่ทำจะมีอันตรายมากกว่าไม่ทำหนะครับ อีกเรื่องที่เจอคืออยู่ๆก็มีเจ้าหน้าที่มาเปลี่ยนมิเตอร์ที่บ้านเพราะว่าเก่ามากแล้ว โดยเราจะไม่รู้ล่วงหน้าเลย จะรู้ก็ต่อเมื่ออ่านแผ่นกระดาษที่เหน็บไว้ ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่เกิดใส่สายที่เข้าบ้านเราสลับเหมือนกับบ้านที่เกิดเหตุ ก็เป็นไปได้นะครับ เพราะเจ้าหน้าที่คงสนใจแต่ว่าสายที่เข้ามิเตอร์ต้องถูกข้าง ไม่งั้นโกงง่าย สายเข้าบ้านไม่รู้ว่าสนใจมากแค่ไหนครับ ยินดีที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะครับ จากคุณ : SRT - [ 2 เม.ย. 50 02:20:21 A:125.24.21.202 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 122 คุณหญิงยอดนักทดลองครับ สามสายก็ดีแล้วครับ แต่อย่าไปต่อ G กับ N ยี่ห้อที่ว่าเนี่ยแหละที่ทำให้ผมคิดว่าอเมริกันล้าหลังมาก ผมเคยใช้ตู้แบบที่ว่าเหมือนกันนานมากแล้ว แต่ผมแยก N bus ออกจากตัวตู้และสายดินครับ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตู้ไฟยี่ห้ออเมริกันนี่เยอะเหมือนกัน แต่ไม่อยากโดนหาว่าไปทำลายชื่อเสียงของเค้า ผมไม่ได้ใช้ของยี่ห้อพวกนี้มายี่สิบปีได้แล้ว เคยถามพวกที่ยังใช้เห็นบอกว่าเข้าสายง่าย เร็วและสวย ผมเคยถามพวกนั้นเหมือนกันว่ารู้ไหมว่ามีข้อเสียอะไรบ้าง แต่ละข้อหนักหนาแค่ไหน ข้อดีสำหรับลูกค้าไม่ใช่สำหรับช่างหนะมีอะไรบ้าง.... จะโดนข้อหาหมิ่นประมาทไหมครับ จากคุณ : SRT - [ 2 เม.ย. 50 02:35:07 A:125.24.21.202 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ตาม คห 92  เคยมีคนบอกว่ามีทำขายอยู่รูปร่างประมาณนี้ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ไทไท - [ 2 เม.ย. 50 08:13:04 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ได้รับทราบความเห็นของคุณ SRT แล้วก็อดไม่ได้ครับ ที่จะมาออกความเห็นอีก ผมสรุปอย่างนี้ได้มั้ยครับ ว่าเห็นตรงกันว่าอย่างไรก็ต้องต่อสายดิน (Protective Earth) แต่จะต่อยังไงถึงจะให้ความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งมีทางเป็นไปได้สามทางคือ 1.ต่อสายดินแยกอิสระที่อุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงแต่ละตัว อันนี้คงเปลืองไปหน่อยถ้ามีอุปกรณ์หลายๆ ตัว 2.ต่อสายดินรวมกันทั้งระบบ แล้วเอาไปต่อลงดินที่จุดเดียวกัน โดยไม่ต่อกับสาย N 3.เหมือนข้อสอง แต่ต่อสายดิน E เข้ากับ N ที่ก่อนเข้าเมนเบรคเกอร์ในบ้าน ปัญหาคือข้อไหนที่ปลอดภัยสูงสุดครับ ซึ่งผมคิดว่ามันขึ้นกับองค์ประกอบอีกมากมาย ทั้งที่เรา(เจ้าของบ้าน) ควบคุมได้ และที่ควบคุมไม่ได้ เช่นปัญหาที่การไฟฟ้า หรือปัญหาสภาพแวดล้อม (ฟ้าผ่าในบริเวณใกล้เคียง ฯลฯ) ผมจะเสนอภาพที่ควรจะเป็นก่อนนะครับ ตามความเห็นส่วนตัว(..แย้งได้นะครับ..)ของผมเอง ถ้าแต่ละบ้านต่อสายดินอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการที่ควรจะเป็นแล้ว ระบบจ่ายไฟทั้งระบบจะมีเสถียรภาพมาก แม้ว่าจะมีการลัดวงจรรุนแรงในบริเวณใกล้เคียง ปัญหาแรงดันในสาย N ก็จะลดความรุนแรงลงไปอย่างมากๆ รวมทั้งช่วยลดอันตรายในกรณีฟ้าผ่าได้ด้วย "...กฟน.คงลืมคิดไปถึงเรื่อง N ลอย และคิดว่าเมื่อทุกบ้านใช้แท่งดินแล้ว N จะไม่มีทางลอยได้อีก เพราะต่อกันทุกบ้าน ซึ่งเป็นการมองแบบเด็กๆเกินไป ถ้าต่อวงจรตามรูปในความเห็นสองจริงในช่วงที่เริ่มทำไม่กี่บ้าน บ้านที่ทำจะมีอันตรายมากกว่าไม่ทำหนะครับ..." มันก็จริงอย่างที่ว่ามาครับ ก็เป็นปัญหาไก่กับไข่ขึ้นมาสิครับ ว่าถ้าเกิดเจ้าของบ้านแต่ละคนคิดว่ายังไม่มีใครทำ ก็อย่างทำดีกว่า อ้าว...แล้วถ้าบ้านผมทำไปแล้วหละครับ ก็การไฟฟ้าบังคับให้ผมทำ ผมเป็นคนเชื่อฟังอยู่ในกฎเกณฑ์ ผมจะทำยังไงดีครับ ผมมีทางเลือกคือ 1 ปลดแท่งดินของผมออกซะ เพราะผมกลัวไฟไหม้ หรือ 2 ผมมองโลกในแง่ดีว่า เดี๋ยวอีกหน่อยหลายๆ บ้านก็ทำตามผมปัญหามันก็จะคลี่คลายไปเอง "...อันตรายจากสายNก็คือวันดีคืนดีเจ้าสายนี้ที่เคยผูกติดกับดินที่ต้นทางอาจจะไม่ผุกกันก็ได้ เกิดได้ง่ายๆครับ..." "...เรื่องNลอยจากground เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ แม้จะไม่บ่อยนัก แต่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบระบบด้วย ในชีวิตผมก็เจอมาหลายครั้งแล้วขนาดยังไม่แก่เท่าไหร่ ..." (ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้อย่างเพิ่งตกใจไปปลดออกนะครับ ค่อยๆ อ่านไปก่อนครับ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกระทู้นี้จะกลายเป็นกระทู้ปลุกระดมให้ตื่นตกใจไป ฮ่ะๆๆ) เอาหละครับ ถ้าภาพเป็นอย่างนี้จริง ผมก็คงต้องทำระบบสายดินอย่างในแบบที่ 3 ข้างต้น คือมีสายลงดินจุดเดียวทั้งบ้าน โดยไม่ต่อกับสาย N ถ้าปัญหาอย่างที่ยกตัวอย่างมาได้เกิดขึ้นจริงๆ และในบ้านมีอุปกรณ์ใดๆ ที่มีการเชื่อมทางไฟฟ้า ไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อม ก็จะมีกระแสไหลผ่านมาในสาย N ภายในบ้านเพื่อมาไหลลงดินที่อุปกรณ์ดังกล่าว ตัวอย่างเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ตามบ้าน ที่ส่วนใหญ่จะมีคาปาซิเตอร์ต่อไว้สำหรับบายพาสสัญญาณรบกวนให้ลงดิน ซึ่งผู้ที่ใช้งานอยู่ ณ ขณะนั้นก็อาจจะเห็นควันลอยออกมา เนื่องจากคาปาซิเตอร์มันไหม้ไปแล้ว หรือที่แย่กว่านั้นคือสาย N ในบ้านอาจจะร้อนละลาย หรือไหม้ได้เนื่องจากความต้านทานของสาย N มาถึงอุปกรณ์บวกกับความต้านทานของสาย E ที่ต่อจากอุปกรณ์กลับไปที่แท่งสายดิน ผมคิดว่าอย่างไรแล้ว ไม่ว่าเราจะเลือกรูปแบบ 1 หรือ 2 ข้างต้น เราก็ควรต้องต่อสายจาก N ลงดินเอาไว้ก่อนเข้าบ้านเพื่อเพิ่มความปลอดภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างน้อยไอ้สายดินกับแท่งกราวนด์อันกระจิ๊ดนี้ก็มีส่วนช่วยในการป้องกันได้มากครับ และจะมากยิ่งขึ้นถ้าเราให้ความสำคัญกับการต่อสายดินตรงนี้ เช่นการต่อที่แน่นหนา รวมทั้งใช้สายขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ ส่วนว่าจะต่อ E เข้ากับ N หรือไม่นั้นผมไม่มีคำตอบครับ และคงไม่พยายามแนะนำอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยครับ เพราะแต่ละอย่างมันมีข้อดี ข้อเสีย ในแต่ละสถานการณ์แตกต่างกันไป ผมทำได้แค่พยายามอธิบายว่าในแต่ละรูปแบบ แต่ละสถานการณ์นั้น มันจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ดีหรือเสียอย่างไรเท่านั้นเองครับ ผู้ที่ได้พยายามอ่านมาถึงตรงนี้ ทางเลือกที่ คงมีเหตุผลที่จะเลือกทางใดทางหนึ่งให้เหมาะสมกับความต้องการได้นะนะครับ แต่อย่าลืมนะครับ จะใช้วิธีไหนก็ตาม การติดตั้งต้องได้มาตรฐาน  และแน่นหนาที่สุดนะครับ อ้อเรื่องการต่อสายดินด้วยการหลอมละลายด้วยโมลด์ตามคห. 58 ขนาดสายดินที่เล็กสุด เท่าที่สอบถามจากช่าง เห็นบอกมาว่าควรจะต้องไม่น้อยกว่า 6 ตร.มม. ครับ แต่ถ้าได้ถึง 10 ตร.มม จะยิ่งดีครับ ซึ่งแนะนำให้ใช้ขนาด 10 ตร.มม.ไปเลยดีกว่าครับ ถ้ามีงบประมาณเพียงพอนะครับ อีกอย่างที่ว่าจะถามคุณ SRT ตั้งแต่แรกแล้วลืมก็คือไม่ทราบว่าคุณ SRT เป็นคุณพ่อของคุณ naipui ที่เป็นวิศวกรไฟฟ้าในคห. 115 รึเปล่าครับ เห็นมาในจังหวะที่เหมาะเจาะพอดีครับ จากคุณ : pa_ul - [ 2 เม.ย. 50 09:52:45 ]

ความคิดเห็นที่ 125 คห. 120 ครับ ยังไงมีสายดินก็ปลอดภัยกว่าแน่นอนครับ อย่าไปใช้แค่สองเส้น แล้วไปเชื่อมั่นกับ ELCB เลยครับว่าจะโดนดูดแค่ 15mA ผมว่าไม่โดนดูดเลยดีกว่าครับ จากคุณ : pa_ul - [ 2 เม.ย. 50 09:57:27 ]

ความคิดเห็นที่ 126 มาโหวต ให้..ทู้ดีๆ  ขอบคุณค๊า... จากคุณ : PAAmamai^_^ - [ 2 เม.ย. 50 12:35:33 ]

ความคิดเห็นที่ 127 เข้ามาฝากกระทู้ครับ ผมเจอปัญหาต่อ N-G แล้วไฟดูด จนต้องเอาสายต่อฝากระหว่าง N-G ออก http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5278637/X5278637.html จากคุณ : ยัยปุย - [ 3 เม.ย. 50 00:01:39 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ........มาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าในบ้านเราตั้งแต่เริ่มมีไฟฟ้าใช้ก็อ้างอิงไปทางมาตรฐาน NEC หรือ NFPA70 ของทางอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ครับ อาจมีบ้างที่บ้างแห่งจะใช้มาตรฐานอื่นๆ เช่น โรงงานต่างชาติที่ยกแบบติดตั้งหรือย้ายตัวโรงงานมาในเมืองไทยไงครับเช่น โรงงานญี่ปุ่นที่มีอายุมากกว่า 20 ปี หรือ โรงงานของจีนที่ยกเครื่องจักรมาหมดเลย ตอบ คุณ SRT ......."ความเชื่อที่ว่าต้องต่อNเข้ากับระบบดินในบ้าน เป็นเรื่องอันตราย น่าจะเป็นความเข้าใจผิดของใครบางคนหรือหลายคน" มันไม่ใช่ความเชื่อแบบที่ช่างไฟฟ้าจำต่อๆกันนะครับ แต่มาตรฐานเขียนไว้ชัดเจนครับ   อ้างอิงได้จาก มาตรฐานการติดตังทางไฟฟ้าสำหรับประเทศไทย พ.ศ. 2545 ของ วสท. ในบทที่ 4 ครับ   ส่วนมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้าหรือแนวทางการเดินสายไฟของการไฟฟ้านครหลวงกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นั้นวิศวกรไฟฟ้ารุ่นหลังๆ เขาเลิกใช้แล้วครับ(เนื้อหาก็เรียบเรียงมากจาก NEC เหมือนๆ กัน) สำหรับมาตรฐานก็คือกฎบังคับอย่างนึงครับซึ่งนิยมใช้ภาษาเขียบคล้ายๆ ภาษากฎหมาย  ดังนั้น การทำความเข้าใจในเนื้อหาอาจยากสักหน่อยสำหรับคนทั่วไปเพราะวิศวกรเองก็อ่านหลายรอบกว่าจะเข้าใจ จากคุณ : arm_cc - [ 3 เม.ย. 50 00:28:19 ]

ความคิดเห็นที่ 129 .......สำหรับมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าของทางยุโรปนั้นมักอ้างอิงไปทาง IEE Wiring หรือทาง IEC 60364 ครับ  ระบบไฟฟ้าของจะเรียกตามวิธีการต่อของดิน เช่น TN, TT, TN-C อะไรทำนองนี้แหล่ะครับ(แต่ละประเทศในยุโรปก็ใช้ระบบต่างกันนะครับ บางประเทศก็ให้ใช้หลายระบบรวมกันได้ครับ ถ้าจะให้เข้าใจดีก็ดูได้จากเวบ http://en.wikipedia.org/wiki/Earthing_system ที่อธิบายได้ดี)  ซึ่งแต่ล่ะแบบจะมีข้อกำหนดย่อยๆ อีกเยอะ   ถ้าศึกษาดูดีๆ จะเห็นว่าของ NEC นั้นเป็นแบบ TN-C-S ครับและบ้านใหม่ๆ ในยุโรปก็นิยมใช้ระบบ TN-C-S กันมากขึ้น สำหรับหนังสือในบ้านเราที่เขียนถึงระบบของทางยุโรปนั้นมีน้อยมากครับ เขียนแค่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง ถ้าสนใจเพิ่มเติมก็ดาวน์โหลดจากที่นี้เลยครับ http://www.electrical-installation.schneider-electric.com/ei-guide/pdf_files/EIG-E-LV-distribution.pdf จากคุณ : arm_cc - [ 3 เม.ย. 50 00:54:59 ]

ความคิดเห็นที่ 130 แล้ว safe-t-cut  ป้องกัน N ลอย ได้ไหม   ปล. เคยอ่านพวกยุโรบจะใช้ P, PE , N   เมกันใช้ L , G, N     Line บางทีก็เรียก Live จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 3 เม.ย. 50 04:34:21 ]

ความคิดเห็นที่ 131 ถ้าทุกบ้านในโลก เชื่อม N-G  จะเกิด N ลอยได้ไหม จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 3 เม.ย. 50 05:17:52 ]

ความคิดเห็นที่ 132 โห  ทู้นี้  สุดยอด!! จากคุณ : ยิ้มหน่อยน่า - [ 3 เม.ย. 50 10:44:27 ]

ความคิดเห็นที่ 133 อยากรบกวนคุณอาร์มนิดนึง คืออยากให้ช่วยเคลียร์ปัญหาของกระทู้นี้หน่อย ว่าปัญหาของคุณยัยปุยเกิดจากอะไร แล้วทฤษฏีของคุณ ascertain นั้นจริงมั้ย แล้วคุณ pzifriusพูดมาน่ะถูกต้องหรือเปล่า เห็นมีความคิดเห็นแยกเป็นสองอย่างคือ ไม่ควรต่อ N-G เข้าด้วยกันมันอันตราย กับควรต่อ N-Gเข้าด้วยกันน่ะครับ  ขอบคุณมากๆนะคร้าบ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5278637/X5278637.html แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 50 11:39:35 จากคุณ : แฟนๆขอมา (safety first) - [ 3 เม.ย. 50 11:33:36 ]

ความคิดเห็นที่ 134 อยากทราบว่า SquareD ELB แบบ 1 pole  ทำงานได้อย่างไง จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 3 เม.ย. 50 13:27:34 ]

ความคิดเห็นที่ 135 ถ้าเราเอามิเตอร์มาวัดแรงดันระหว่างสาย N กับ G แล้วปรากฏว่าไม่เท่ากับศูนย์ หมายความว่าอย่างไรครับ (กรณีสาย N ไม่ได้ต่อกับสาย G) จากคุณ : ... (Blur...) - [ 3 เม.ย. 50 15:33:12 ]

ความคิดเห็นที่ 136 คุณหญิงฯ ครับ มันเป็น 2 สายแหละครับ ไม่ใช่สายเดียว ตามรูปครับ หลายๆ คนนึกว่าเอามาใส่แทนที่เบรคเกอร์ขั้วเดียวได้ทันที แต่พอใส่ไปแล้วใช้ไม่ได้ ก็งงว่าทำอะไรผิด ขนาดใส่แทนได้ทันที แต่ต้องเดินสายเพิ่มนิดหน่อยครับ ต้องย้าย N ของโหลดมาต่อเข้าไปด้วยครับ จากคุณ : pa_ul - [ 3 เม.ย. 50 15:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 137 มีใครช่วยสรุปปัญหาหน่อยสิครับ งงแล้ว ที่พอจับได้คือ 1.ตกลงกรณีกระทู้ ไฟดูดเลือดสาด น่าจะเกิดจากอะไร 2.ยังไม่มีข้อสรุปการต่อ N กับ G ที่ตู้โหลดประจำบ้าน 3.กรณีของคุณ ยัยปุย ถ้ามีคำตอบหมด ก็จะดีมากครับ จะได้หายงง จากคุณ : ป๊าลูกหมู (ป๊าลูกหมู) - [ 3 เม.ย. 50 16:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 138 เดาล้วนๆ นะครับ 1. น่าจะกลับ N,L ตรงทางเข้าเป็นสาเหตุหลัก ระบบสายดินไม่ดีพอ เป็นปัจจัยเสริม (คห. 28-29) 2. สรุปไม่ได้ เพราะขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างมาก แต่ลองไปอ่านหนังสือพวกข้อกำหนดมาตรฐาน ข้อปฎิบัติ ทั้ง สสท. วสท. การไฟฟ้า  ทุกแห่งให้ต่อร่วมกันจุดเดียวที่ตู้เมนก่อนเข้าเบรคเกอร์หลักครับ การต่อกราวนด์สองระบบแยกกัน ไม่ใช่ไม่มีอันตรายนะครับ มันมีเหมือนกันครับ 3. ผมว่าสรุปไปก็เดาๆ เอาครับ ที่จริงน่าจะไปตรวจสอบ ณ สถานที่เกิดเหตุดีกว่าครับ มิเตอร์ซักอัน กับสโคปอีกตัวนึงก็น่าจะได้ข้อมูลแล้วครับ ที่จริงเรื่องระบบสายดิน มีประเด็นเกี่ยวเนื่องอีกเยอะครับ ทั้งเรื่องเสถียรภาพของระบบจ่ายไฟฟ้า, ความปลอดภัยต่อผู้ใช้เรื่องไฟฟ้ารั่ว หรือลัดวงจร, การป้องกันอันตรายจากกระแสกระชากสูงๆ เช่นฟ้าผ่า, หม้อแปลงระเบิด ถ้าจะป้องกันให้ได้ทุกอย่างจะต้องทำมากกว่าแค่การใส่ ELCB เบรคเกอร์ แล้วก็สายดินกับแท่งดิน 2 เมตรแท่งเดียวครับ แล้วก็ต้องทำให้หมดทั้งที่ระบบจ่ายไฟฟ้า(การไฟฟ้าฯ) แล้วก็ที่สถานที่ใช้งานด้วยครับ ซึ่งค่าใช้จ่ายจะสูงมากครับ ผมกำลังคิดว่าจะมาเปิดประเด็นเฉพาะเรื่องระบบสายดิน อีกซักกระทู้นึงดีกว่า ขอเวลาเตรียมข้อมูลให้รอบด้านก่อนครับ มันซับซ้อนทีเดียว แล้วก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพูดในเชิงวิชาการค่อนข้างมากครับ กำลังคิดอยู่ว่าจะอธิบายให้มันเข้าใจง่ายๆ ได้ยังไงครับ จากคุณ : pa_ul - [ 3 เม.ย. 50 17:02:55 ]

ความคิดเห็นที่ 139 เรียนคุณ pa_ul ครับ คุณ SRT ไม่น่าใช่พ่อผมครับ ท่านเป็นวิศวกรรุ่นหลายสิบปีมาแล้ว ท่านพิมพ์ไม่เป็นครับ คงไม่อดทนพอจะนั่งกดตอบยาวๆ ครับ ผมว่าผมพอจะสรุปได้ว่า เชื่อม G กับ N ถูกต้องตามมาตรฐานครับ แต่ว่า... มันเสี่ยงกว่าไม่ต่อน่ะสิครับ ที่บ้านคงต้องเลือกไม่เชื่อมไปก่อน จนกว่าจะมี Rod สองอัน ซึ่งอันนี้เท่าที่จับความได้การเชื่อม G กับ N เหมือนกันช่วยการไฟฟ้า มากกว่าทำให้ตัวเราปลอดภัยนะครับ ยังไงก็รอดูกระทู้ยาวๆ เรื่อง N และ G ต่อนะครับ เป็นความรู้มากเลยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : naipui - [ 3 เม.ย. 50 20:36:10 ]

ความคิดเห็นที่ 140 สุดยอด.. ค่ะ มาปรบมือให้ จากคุณ : Renka - [ 3 เม.ย. 50 20:49:59 ]

ความคิดเห็นที่ 141 คุณ pa_ul ครับ ผมไม่เกี่ยวกับ คุณ naipui นะ ยังไม่แก่ขนาดนั้นครับ และถ้าผมออกความเห็นไม่ถูกใจอะไรขออภัยด้วยนะครับ ขอบคุณ คุณ arm_cc ที่ให้คำแนะนำและข้อมูลครับ แสดงว่า วสท. ลอก NEC มาหละสิ น่าจะ NEC เมื่อหลายปีก่อนด้วย ผมไม่ได้ทำงานด้านนี้ เลยไม่ได้สนใจอ่านสักเท่าไหร่ ขอบคุณนะครับ เข้าเรื่องนะครับ ตามความเข้าใจ(ผิดๆ)ของผม เรื่องเหตุผลของการต่อสายดินในบ้านเข้ากับ N นั้น น่าจะมีจุดมุ่งหมายสองเรื่อง คือต้องการลดแรงดันของN ลง และต้องการให้ไม่ต้องพึ่งพาแท่งดินในบ้านมากนัก เพราะแท่งดินในบ้านอาจจะไม่มีคุณภาพดีพอ มีแท่งเดียว หากมีความต้านทานสูงไป ก็จะทำหน้าที่ที่คิดไว้ได้ไม่ดีเท่าที่คิดไว้ ในระบบที่มีแต่อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน แท่งดินและสายดิน วสท. คงต้องการให้ทำหน้าที่รับกระแสที่รั่วลงดินในอุปกรณ์ และต้องดี(ความต้านทานต่ำ)พอที่จะทำให้อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินทำงานได้โดยที่แรงดันที่ตัวถังอุปกรณ์นั้น จะไม่สูงเกินไปจนเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานที่อาจจะสัมผัสอยู่ ถ้าแท่งดินและสายดินที่ผู้ใช้ไฟติดตั้งเองไม่ดีพอหละครับ อะไรจะช่วยได้บ้าง การต่อกับNของระบบส่งไงหละ ที่พออาศัยเป็นทางให้ลงดินได้ ดังนั้นการต่อNกับระบบดินในบ้านจึงช่วยได้มากหากไม่แน่ใจคุณภาพของระบบดินในบ้านของผู้ใช้ ผลที่ตามมาหละครับ เมื่อต่อเข้าหากันแล้ว ศักดาที่ไม่ใช่0สนิทของN จะกลายเป็นศักดาของระบบดินในบ้านของผู้ใช้ อย่าลืมว่าแท่งดินตัวกระจิ๊ดในบ้านก็มีความต้านทานนะครับ(น่าจะแถวๆ2-3โอห์ม) ในกรุงเทพอาจจะต่ำหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ทุกที่ในประเทศไทย ดังนั้นแท่งดินและสายดินในบ้านไม่สามารถดึงให้Nเท่ากับดินได้สนิท แต่จะเป็นวงจรแบ่งแรงดัน ขึ้นอยู่ว่าสุดท้ายจะไปจบที่ตรงไหน ดังนั้นการต่อNกับระบบดินในบ้าน เราจะได้อย่างเสียอย่างใช่ไหมครับ แรงดันที่มาตราฐานทั้งหลายคิดว่าปลอดภัยสำหรับผู้ที่สัมผัสอยู่นั้น ปลอดภัยจริงๆสำหรับผู้ที่อาบน้ำอยู่หรือไม่ เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจนะครับ เนื่องจากผู้ที่อาบน้ำอยู่จะมีความต้านทานในการสัมผัสต่ำมาก แรงดันของสายNที่ป้อนเข้ามาที่บ้านเราปลอดภัยพอไหมหลังถูกแบ่งด้วยระบบดินในบ้านเราแล้ว? ระบบจ่ายไฟเมื่อเกิดลัดวงจรใหญ่ๆหรือฟ้าผ่า แรงดันของสายNจะเป็นอย่างไร อะไรเกิดขึ้นเมื่อ ELCB กลายเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้และใช้กันอย่างกว้างขวาง เมื่อเกิดไฟรั่วจากสาย L หรือ N ลงตัวถังอุปกรณ์ก็ตาม(ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด) ระบบไม่จำเป็นต้องใช้กระแสลัดวงจรมากๆเพื่อตัดวงจรด้วยอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน วงจรสามารถตัดได้ด้วยกระแสที่ไม่เท่ากันจำนวนเล็กน้อย (และกรณีสายNรั่วก็สามารถตัดได้ด้วย ถ้ามีแต่อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินอย่างเดียวจะทำไม่ได้) ความต้านทานของระบบดินก็ไม่จำเป็นต้องต่ำจนดึงให้เกิดกระแสเกินสูงๆให้อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินตัดเหมือนอย่างเดิมแล้ว แล้วเรายังจำเป็นต้องอาบน้ำไปเอามืออีกข้างกำสายNไปเหมือนเมื่อก่อนอีกหรือเปล่านะครับ การที่ยังต่อNกับระบบดินในบ้านที่มีELCB เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องหรือเปล่านะ คิดเห็นว่ายังไงกันบ้างครับ ถ้าแรงไปหรือไม่สุภาพก็ต้องขออภัยด้วย ผมแค่ขอแสดงความคิดเห็นเท่านั้น ไม่ได้ต้องการโต้แย้งหรือตำหนิใครนะครับ จากคุณ : SRT - [ 3 เม.ย. 50 22:05:00 A:125.24.31.86 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ผมว่าความเห็นของคุณ SRT ถูกต้อง แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 50 00:27:15 จากคุณ : ส/305 - [ 4 เม.ย. 50 00:22:31 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ขอบคุณที่เอารูป squreD 1 pole มาให้ดูนะ เพิ่งเข้าใจ ยังงงทำใมวิศวกรไฟฟ้าทั่วโลก เค้าไม่แย้งการต่อ N-G ถ้ามีอุปกรณ์ป้องกัน ไฟกระชากหรือ N ลอย ก็จะดีมาก หรืออุปกรณ์ตรวจคุณภาพ ทั้ง 3 สาย ยังไงตั้งกระทู้ใหม่เลยก็จะดีมาก จากคุณ : หญิงยอดนักทดลอง - [ 4 เม.ย. 50 05:16:31 ]

ความคิดเห็นที่ 144 ช่วยอธิบายรูปนี้ให้หน่อยครับ ไม่ค่อยเข้าใจ จากคุณ : ... (Blur...) - [ 4 เม.ย. 50 09:46:19 ]

ความคิดเห็นที่ 145 กรณี 1 อันนี้ PE ถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้า (สาย N) จะมีกระแสไหลในสาย PE และถ้าสายนี้มีปัญหาเช่นหลุด,ขาด,หรือชำรุด เท่ากับไม่มี PE จึงไม่ปลอดภัย กรณี 2 เป็นการใช้สาย N กับ PE ร่วมกัน ถ้าสาย N มีปัญหาเช่นหลุด ขาดหรือชำรุด จะทำให้ระดับความปลอดภัยเสียไปด้วยเหมือนกรณีที่ 1 กรณี 3 สาย PE ต้องต่ออย่างแน่นหนากับตัวถัง แล้วค่อยพ่วงไปเข้าสาย N เพื่อให้ความปลอดภัยสูงสุด ไม่ใช่ต่อสาย N แล้วค่อยพ่วงมาเข้าตัวถัง กรณี 4 สายเฟสมีขนาดที่เล็กเกินไปสำหรับระบบ TNC เพราะสาย N จะต้องรับทั้งกระแสลัดวงจร และกระแสเนื่องจากความผิดปรกติของระบบ จึงต้องมีขนาดใหญ่ จากคุณ : pa_ul - [ 4 เม.ย. 50 17:39:29 ]

ความคิดเห็นที่ 146 .......คุณ หญิงยอดนักทดลอง SquareD ELB แบบ 1 pole  ก็ใช้หลักการทำงานเช่นเดียวกับแบบ 2 Pole ตรวจจับจากผลรวมของกระแสตกค้าง(กระแสเข้าและออก) ครับ เพียงแต่ขนาดเล็กลงเท่านั้น .......สำหรับกรณีของคุณ ยัยปุย นั้นอาจจะหาข้อสรุปได้ยากเพราะไม่มีการตรวจสอบกันจริงๆ    โดยสัณนิฐานส่วนตัวน่าจะเกิดจากการทำหลักดินไม่ดีครับ  เนื่องจากสายนิวทรอลมีกระแสไฟไหลอยู่และแม้ว่าจะต่อลงดินที่หม้อแปลงแล้วแต่สายไฟมีความต้านทานอยู่จึงปรากฎว่าแรงดันของสายนิวทรอลไม่เป็นศูนย์เมื่อเทียบกับดิน  ดังนั้นกลุ่มผู้ที่เขียนมาตรฐานนี้จึงแนะนำให้นำสายนิวทรอลต่อลงดินที่ตู้เมนสวิทต์อีกครั้งเพื่อไม่ให้แรงดันระหว่างสายนิวทรอลกับดิน  ดั้งนั้นถ้าที่หม้อแปลงและเมนสวิทต์ต่อลงดินอย่างดีแรงดันระหว่างสายนิวทรอลกับดินจะเป็นศูนย์   ดังนั้นในกรณีของคุย ยัยปุย น่าจะเกิดจากหลักดินมีความต้านทานต่อดินสูงครับ  และการต่อนิวทรอลลงดินทำก่อนเข้าเมนเบรกเกอร์ดังนั้นจะ on หรือ off สายดินก็คงมีแรงดันเทียบกับดินไม่เท่ากับศูนย์ครับ .......เพราะเกือบ 100 % ของบ้านที่พักอาศัยหลังติดตั้งระบบกราวน์แล้วไม่มีการทดสอบความต้านทานของหลักดินและความต่อเนื่องของสายดินกันจริงๆ ครับ      ในการเดินสายไฟระบบจำหน่ายที่ยาวๆ นั้นทางการไฟฟ้าเขาจะเชื่อมนิวทรอลลงดินเป็นช่วงๆ เพื่อรักษาระดับแรงดันให้นิ่งๆ ไม่แกว่งขึ้นลงมากไปไงครับ .......ส่วนสมมุติฐานของคุณ ascertain ก็เป็นไปได้ครับ ถ้าลองไล่วงจรไฟฟ้าดู   แต่กรณีนี้ถ้าสายนิวทรอลขาดจริง อาคารที่มีต่อนิวทรอลลงดินและรับไฟหลังจากจุดนั้นน่าจะมีผลกระทบของแรงดันไฟฟ้าที่ไม่นิ่งมากพอสมควรจนเครื่องใช้ไฟฟ้ารวนได้ครับ   ส่วนอาคารที่ไม่ต่อนิวทรอลลงดินก็จะไม่มีไฟใช้เนื่องจากไม่ครบวงจร  ไม่ทราบว่าทางคุณ ascertain ได้รับข้อมูลของผู้ใช้ไฟที่อยู่หลังที่ๆ สายนิวทรอลขาดหรือไม่ การไฟฟ้าเขาได้ให้ข้อมูลอย่างไร   จริงๆ แล้วปัญหาสายไฟหรือสายนิวทรอลขาดนี้เป็นความรับผิดชอบของการไฟฟ้าโดยตรงเพราะบำรุงรักษาระบบไม่ดีเองแม้ว่าผู้ใช้ไฟจะเดินไฟตามมาตรฐานไหนๆ ก็ได้รับผลกระทบหมด (โดยส่วนตัวมักไม่เชื่อช่างหรือเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าของเขตครับ ยกเว้นระดับวิศวกรขึ้นไปถึงจะได้ข้อมูลที่ดีกว่า) .......ส่วนข้อความที่คุณ pzifrius เขียนมานั้นเน้นเปรียบเปรยมากไป และมีทั้งที่ถูกและไม่ถูก (เนื่องจากจบสาย power ทำให้อธิบายบางส่วนคลุมเคลือครับ) แต่เป็นการแสดงความเห็นที่ดีครับ     สำหรับปัญหาเกี่ยวกับการต่อสายนิวทรอลกับบัสของกราวน์นั้น   มาตรฐานของ NEC เขาจงใจให้เกิดเหตุและผลดังนี้ครับ 1. เพื่อให้แรงดันระหว่างนิวทรอลกับดินเป็นศูนย์ เพราะเป็นจุดเดียวกัน  ดังนั้นจึงเป็นภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องจัดหาระบบหลักดินที่มีประสิทธิภาพ ( บ้านเรามีแต่พูดว่ามี แต่ไม่มีว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่ ???? ) 2. เพื่อ Loop Impedance มีค่าต่ำๆ เนื่องจากเมื่อสาย Hot หรือ สาย Live นั้นเกิดสัมผัสกับส่วนสายไฟหรือโครงโลหะที่มีต่อลงดิน (โครงโลหะที่มีสายดินอุปกรณ์) ซึ่งถือว่าเป็นการลัดวงจรลงดิน กระแสลัดวงจรควรมีค่าสูงพอที่จะทำให้เบรกเกอร์หรืออุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินควรทำงานทันทีครับ   ถ้าค่า Loop Impedance สูงมาก (เช่นกรณีไม่ต่อสายนิวทรอลกับบัสของกราวน์หรือทำหลักดินแยกต่างหาก) จะทำให้กระแสมีค่าน้อยมากจนเบรกเกอร์ตัดช้าหรือไม่ตัดเลยซึ่งทำให้ระบบป้องกันนั้นไม่มีความเชื่อถือได้ 3. สายดินนั้นมีขนาดเล็กเกินไปที่จะรับกระแสลัดวงจรเป็นเวลานานๆ ได้ จึงต้องการให้กระแสลัดวงจรผ่านทางสายนิวทรอลซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า  และอีกอย่างค่าอิมพีแดนซ์ของสายนิวทรอบมีค่าต่ำและเปลี่ยนแปลงน้อยมากในขณะถ้าใช้ดินเป็นทางเดินของไฟลัดวงจรหรือไฟรั่วนั้นค่าความต้านทานของดินมีค่าไม่แน่นอนและอาจสูงหรือต่ำกว่าสายนิวทรอลก็ได้ จากคุณ : arm_cc - [ 5 เม.ย. 50 00:09:23 ]

ความคิดเห็นที่ 147 .......คุณ SRT ครับ ความเจริญทางวิชาการและเทคโนโลยี่บ้านเรามันล้าหลังครับ  เลยลอกหรือดัดแปลงมาตรฐานคนอื่นเลยจะง่ายและเร็วกว่าครับโดยมีคณะอนุกรรมการของทาง วสท. และสภาวิศวกร เป็นผู้ร่าง (ถ้าไม่ลอก NEC ก็ต้องลอกของ IEE Wiring หรือ อื่นๆ ครับ ท้ายสุดก็คือ ดัดแปลงมาใช้)      โดยส่วนตัวผมก็เห็นว่า NEC นั้นพัฒนากว่าของ IEE Wiring (IEC-60364) ครับเพราะครอบคลุมมากกว่าแต่เรากลับใกล้ชิดกับมาตรฐานอุปกรณ์ของ IEC มากกว่า NEMA หรือ ANSI ครับ (ไม่ใช่ IEE Wiring Regulation ไม่ดีนะครับ แต่บ้านเราเริ่มต้นด้วย NEC มาก่อน)    สำหรับ NEC นั้นปรับปรุงใหม่ทุก 3 ปีครับ โดยเนื้อหาหลักๆ นั้นไม่เปลี่ยนแปลงแต่เพิ่มของปลีกย่อยมากขึ้นและปัจจุบันเป็น NEC 2005 และในปลายปี 2008 คงเห็นที่ปรับปรุงใหม่เป็น NEC 2008 ครับ .......สำหรับระบบไฟฟ้าที่ต่อลงดินนั้น ไม่ว่าจะต่อตามมาตรฐานของ NEC ก็ดี หรือ IEC-60364 ก็ดี มีข้อดีข้อเสียต่างๆ กันดังนั้นควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบระบบไฟที่มาจากแห่งจ่ายไฟ (หม้อแปลงและการเดินสาย)  และเมื่ออ้างอิงมาตรฐานใดๆ แล้วควรทำตามที่เขาเขียนหรือกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดไม่ใช้เลือกทำแค่ข้อที่ทำง่ายๆ ครับ     .......และอีกอย่างนึงในการติดตั้งทางไฟฟ้าไม่ใช่แค่ดูด้วยตาเฉยๆ หรือ ใช้มือเปิดปิดสวิตท์แล้วเครื่องจักรทำงานได้ก็จบ หรือ ช่างจากการไฟฟ้ามาทำให้คงไม่มีปัญหาหรอก  นั้นไม่พอครับ        ระหว่างติดตั้งและหลังติดตั้งเสร็จต้องมีการ Inspect โดยเครื่องมีวัดทางไฟฟ้าเช่น Megger, Earth Resitance, Multimeter และอื่นๆ เข้ามาใช้งานด้วยครับ ไม่งั่นก็จะเกิดปัญหาต่างๆ เช่น ต่อสายถูกขั้วไหม?, สายไฟไหม้แล้วทำไมเบรกเกอร์ไม่ตัด?, จะรู้ได้ไงว่ากราวน์มีความต่อเนื่อง? และ หลักดินที่ตอกด้วยรอดยาว 3 เมตรมีประสิทธิภาพแค่ไหน? เป็นต้นครับ ท้ายสุดขอขอบคุณ คุณ SRT ที่แบ่งปันความรู้ครับ จากคุณ : arm_cc - [ 5 เม.ย. 50 00:43:44 ]

ความคิดเห็นที่ 148 .......ตอบ คุณ ... (Blur...) .......จาก Fig. E6       เข้าใจว่ามาตรฐานเขากำหนดให้ว่า ถ้าระบบของจ่ายไฟหรือระบบต้นทางเป็นแบบ TN-C นั้น ทางผู้ใช้ไฟหรือเจ้าของระบบสามารถเปลี่ยนการเดินสายไฟเป็นแบบจาก TN-C เป็น TN-S ที่หลังได้ครับ      แต่ถ้าต้นทางการเดินสายไฟเป็นแบบ TN-S แล้วไม่อนุญาตให้ผู้ใช้ไฟเปลี่ยนรูปแบบการเดินสายไฟเป็นระบบ TN-C .......จาก Fig. E7      อันแรกที่ผิดเพราะต่อสาย PEN ต่อตรงไปเข้าที่บัสนิวทรอลไม่ได้   ต้องต่อตรงไปเข้าที่บัสของ Earth ก่อนแล้วเชื่อมบัส Earth กับ Nuetral เข้าด้วยกัน      อันที่ 2 ผิด เพราะขนาดสายไฟที่ต่อตรงจากสาย PEN มาที่บัส Earth นั้นต้องมีขนาดสายไฟไม่น้อยกว่า 10 sqmm. ส่วนเหตุผลทำไมจึงกำหนดอย่างนั้นเป็นไปตามที่ คุณ pa_ul อธิบายครับ PE = Protective Earth PEN = Protective Earth Neutral แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 50 01:07:27 จากคุณ : arm_cc - [ 5 เม.ย. 50 00:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 149 ฟังดูเหมือนว่า ต่อ G เข้ากับ N มีข้อดีหลายอย่าง แต่เสี่ยงตาย ผมเข้าใจถูกไหมเนี้ย งง จากคุณ : 015217 - [ 5 เม.ย. 50 02:48:13 A:203.188.5.30 X: TicketID:015217 ]

ความคิดเห็นที่ 150 คห.149 ครับ ถ้าเสี่ยงตาย ข้อนี้ข้อเดียวก็ไม่สามารถเรียกว่าดีได้แล้วครับ การกำหนดมาตรฐานให้มีระบบสายดินนั้น ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้มีความสำคัญเป็นอันดับต้นเลยนะครับ ข้อดีหรือประโยชน์อื่นๆ มีความสำคัญเป็นอันดับรองๆ ลงไปครับ แต่ทีนี้อย่างที่เขียนไปในคห.138 ก่อนหน้านี้ คือมันไม่ใช่แค่ต่อสายดิน,แท่งดินที่บ้านแค่นั้นเป็นอันจบแล้ว มันต้องทำให้ถูกต้องตั้งแต่ที่ระบบจ่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า จนถึงปลายทางที่อุปกรณ์ไฟฟ้าครับ จึงจะได้ความปลอดภัยสูงสุด แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 50 05:13:24 จากคุณ : pa_ul - [ 5 เม.ย. 50 04:29:57 ]

ความคิดเห็นที่ 151 ได้ความรู้มากเลยครับ ขอบคุณทุกๆท่านที่ร่วมให้ความรู้ ผมใคร่ขอถามด้วยครับ ที่บ้านผมคนข้างบ้านทำงานด้านติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าแนะนำให้ ต่อสายN(ที่ไม่มีไฟฟ้า)ลงดินเลยโดยการปักหมุดทองแดงลงดิน ยาวประมาณ2เมตร ที่ปลักไฟแต่ละจุด โดยไม่ต้องต่อกลับเข้ากับสาย N ของการไฟฟ้า ผมทดลอง 2จุดที่ใช้ไฟฟ้ามากเช่นจุดที่ใช้ไฟฟ้าต้มน้ำ,หุงข้าว และจุดที่ใช้ไฟฟ้าทั้งวัน พบว่าอุปกรณ์ยังทำงานปกติ และรู้สึกว่าค่าไฟจะลดลงเล็กน้อย เรียนถามว่า การเช่นนี้ถูกต้องและจะเป้นอันตรายต่อคนและอุปกรณ์หรือไม่ (ผมติดมาหลายเดือนแล้วครับ แต่คนที่แนะนำเขาติดแบบนี้ทุกจุดของปลั๊กในบ้านมานานแล้ว) จากคุณ : ขอนเอง - [ 5 เม.ย. 50 11:24:14 A:unknown X:202.44.210.36 TicketID:142459 ]

ความคิดเห็นที่ 152 คุณ arm_cc ครับ ไม่ทราบว่าผมเข้าใจผิดหรือเปล่านะ ฟังดูเหมือนกับคุณ arm_cc ยังยืนยันให้ต่อ N กับระบบดินในบ้าน คือไม่เห็นด้วยกับที่ผมให้ความเห็นและเหตุผลว่าการต่อN กับระบบดินในบ้านที่มี ELCB เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขออภัยนะครับ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เอาเป็นว่าผมลองให้ความเห็นต่ออีกนิดหน่อยสำหรับผู้ที่กำลังคิดว่าจะต่อดีหรือไม่ดีนะครับ ในความเห็นที่141 ผมเล่าให้ฟังแล้วว่าเหตุผลของการที่ต้องเอาระบบดินไปผูกกับNนั้น จะได้ประโยชน์ในกรณีที่มีอุปกรณ์ป้องกระแสเกินแต่ไม่มีELCB ส่วนในบ้านที่มีELCBดูเหมือนไม่ได้ประโยชน์อะไร(ผมคิดไม่ออก) กลับมีข้อเสียที่ระบบดินในบ้านจะไปผูกกับศักดาของN เน้นว่าNนะครับ ไม่ใช่PEของระบบจำหน่าย ซึ่งNจะมีศักดาไม่เท่ากับดินเนื่องจากกระแสที่ไหลกลับผ่านความต้านทานของสายN นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงมีระบบจำหน่ายที่แยกสาย PE ออกจาก N (สาย PE ไม่ให้มีกระแสไหล) และสาย PE ควรที่จะมีการต่อหลักดินเป็นระยะๆ เพื่อกันการส่งศักดาของจุดลงดินหลักไปทำอันตรายต่อผู้ใช้ที่ห่างออกไปที่ศักดาของดินอาจจะไม่เท่ากัน (เช่นขณะเกิดFault ) ที่คุณ หญิงยอดนักทดลอง สงสัยว่า " ยังงงทำใมวิศวกรไฟฟ้าทั่วโลก เค้าไม่แย้งการต่อ N-G " ผมบอกเล่าความเข้าใจของผมแล้วกัน เพราะไม่ทราบว่าวิศวกรทั่วโลกจะคิดอย่างไรเหมือนกัน แต่วิศวกรควรจะเข้าใจว่ามาตราฐานเหล่านั้นกำหนดขึ้นมา"ทำไม" จะเลือกใช้มาตราฐานไหนในงานนั้นๆ คือผมคิดว่าการต่อN-Gไม่ใช่เรื่องผิดในเงื่อนไขนึง ในเงื่อนไขของ NEC นับว่ายอมรับได้ (โดยเฉพาะถ้าไม่มีการต่อเครื่องทำน้ำอุ่น) ส่วนการที่เราเลือกที่จะลอกNECมาใช้บังคับในประเทศไทยนั้น ผมคิดว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากความแตกต่างกันบางอย่าง ในอเมริการะบบจำหน่ายเป็นระบบใต้ดิน ดังนั้นการเกิด Fault จะต่ำกว่าระบบจำหน่ายในบ้านเราที่อยู่เหนือดิน บางแห่งแรงสูงก็ยังเป็นสายเปลือย ไม่ใช่สายArial เมื่อเกิดFaultด้านแรงสูงขึ้น ศักดาของดินที่จุดนั้นๆก็จะสูงขึ้นได้ ถ้าเป็นจุดที่ใกล้กับหลักดินของระบบ สายNก็จะถูกยกแรงดันขึ้น และต่อตรงไปถึงระบบดินของผู้ใช้ ขึ้นอยู่ว่าแท่งดินของผู้ใช้จะช่วยได้แค่ไหน ความต้านทานของสายNจะต่ำกว่าแท่งดินมาก ขึ้นอยู่ว่ามีแท่งดินอยู่ในระบบช่วงนั้นมากแค่ไหน ระบบของ NEC ใช้แรงดัน110โวลท์ เมื่อเกิดลัดวงจรในด้านแรงต่ำ โดยยังไม่ต้องพึ่งแท่งดินอะไร แรงดันที่ตัวอุปกรณ์เมื่อต่อกับสายN จะมีค่าอยู่แถวๆ50-60โวลท์ (วงจรแบ่งแรงดันปกติ) ซึ่งเกือบๆจะปลอดภัยได้เลย อาศัยการช่วยเหลืออีกนืดหน่อย แรงดันที่จุดลัดวงจรก็อยู่ในระดับปลอดภัยสบายๆ แต่ระบบในบ้านเราไม่ใช่ จะอยู่แถวๆ110 ดังนั้นเราจึงมีผลดีจากการต่อN-Gไม่เท่ากับที่ใช้ในNEC นี่คือที่มาของ Double Insulation และ ELCB ระบบ110ถ้าไม่ต่อกับNหรือPEของระบบจำหน่าย อาศัยเพียงหลักดินในบ้านผู้ใช้ โอกาสที่เมื่อเกิดลัดวงจรด้านแรงต่ำลงดินแล้วกระแสไม่เกินจนตัดวงจรได้นั้นมีค่อนข้างสูง เช่น ถ้าหลักดินมีความต้านทานสูงกว่า5โอห์ม กระแสลัดวงจรลงดินจะมีค่าไม่เกิน20แอมป์เท่านั้น ผมไม่เคยไปอยู่อาศัยในอเมริกา ดูตาม NEC แล้ว ระบบน่าจะมีแท่งดินยั้วเยี้ยไปหมด เพื่อต่อกับท่อน้ำ ชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ... ฯลฯ และมีการดูแลบำรุงรักาาอย่างดี ไม่งั้นโดนฟ้องหมดตัว ต่างจากบ้านเราที่ระบบจำหน่ายเองมีแท่งดินน้อย และน่าจะขาดการดูแล ถ้าเกิดสายNขาดระหว่างทาง บ้านที่อยู่คนละด้านกับแหล่งจ่ายไฟ ระบบดินหรือสายNจะกลายเป็นต่อกับ220ด้วยวงจรแบ่งแรงดัน ซึ่งโอกาสที่จะดึงกลับมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัยนั้นน้อยมาก นี่เป็นข้อเสียที่อันตรายที่สุดของการต่อ N-G (ตามวงจรที่คุยๆกันไม่มีอะไรช่วยได้เลย เพราะต่อระบบดินตรงกับN ELCB หรือ SafetyCut ก็ไม่ได้ตัดวงจรส่วนนี้ครับ) แต่ปัญหานี้จะไม่เกิดกับระบบจำหน่ายที่แยก N และ PE ออกจากกัน เรื่องที่คุณ arm_cc ชอบ NEC นั้น ผมคงต้องยอมรับมีส่วนจริง เพราะฟังดูแล้วคุณ arm_cc เชี่ยวชาญเรื่องมาตราฐานมากๆคนนึง คนที่เรียก NEC ว่า NFPA70 นี่ไม่ธรรมดานะครับ เหมือนทำงานในกลุ่มปิโตรเลี่ยมหรือปิโตรเคมี แต่บังเอิญผมจะกลับกับคุณ arm_cc คือชอบIEE หรือ IEC มากกว่า เรื่องที่NECแก้ไขทุก3ปีนั้น เป็นภาระที่หนักเกินไปที่จะจ่ายเงินซื้อ หรือแม้แต่อ่าน แก่แล้วอ่านไม่ไหว เล่มไม่ใช่เล็กๆ อ่านก็ยาก สุดท้ายก็ต้องแอบไปอ่าน NEC Handbook ช่วย ในแต่ละ3ปี หลายๆส่วนก็ไม่ได้เปลี่ยน แต่ก็ต้องดูว่าเปลี่ยนหรือเปล่า และด้วยความที่เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายบังคับ จึงดูว่าไม่ค่อยให้อะไรในแง่ของการถ่ายทอดแนวความคิดให้ผู้อ่าน ต่างจากIEE หรือ IEC นะครับ เกือบลืม ระบบที่ต่อ ELCB โดยไม่ต่อ N-G คือระบบ TT ไม่ใช่ผมเลือกทำตาม วสท. บางส่วนนะครับ วสท.ก็เก่งนะครับ ที่เลือกเอาNECมาใช้ได้ ผมอ่านทีไรเจอแต่ "ยกเว้นแรงดันเกิน150โวลท์" กว่าจะหาส่วนที่เอามาใช้ได้ ไม่ใช่ง่ายๆนะ....ล้อเล่นครับ จากคุณ : SRT - [ 5 เม.ย. 50 23:36:58 A:125.24.18.110 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 153 คุณ ขอนเอง ครับ ผมว่าระบบที่คุณว่านั้นดูแปลกๆน่าจะเป็นความรู้ชั้นเซียนเหยียบเมฆ.. อย่าใช้เลยครับ ทำแบบสามัญชนทำดีกว่า ถ้าเข้าหน้าฝนแล้วจะลำบาก ปกติถ้าเกิด Fault ขึ้น ระบบอาจจะถูกยกแรงดันขึ้น แต่จะยกทั้งสองสายไปด้วยกัน อุปกรณ์ไฟฟ้าก็มีโอกาสที่จะรอด ไม่เสียหาย ถ้าต่อแบบเซียนเหยียบเมฆที่ว่า ข้างนึงจะติดกับดินเหนียวแน่น เครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีโอกาสพังค่อนข้างสูงครับ ส่วนค่าไฟที่ลดลง น่าจะเป็นเพราะอุปกรณ์ได้รับแรงดันไฟฟ้าไม่เต็มที่ อุปกรณ์บางอย่างเช่นไฟแสงสว่างจึงกินไฟน้อยลง แต่เราก็ได้ประโยชน์ยิ่งน้อยลงด้วยนะครับ ส่วนตู้เย็นน่าจะกินไฟมากขึ้น ให้ช่างชั้นเซียนนั่นลองใช้กับแอร์ที่บ้านของช่างเองดูสิครับ โอกาสคอมแอร์ไหม้ค่อนข้างมาก ยิ่งเข้าหน้าแล้งแบบนี้... ส่วนข้อดีของวิธีนี้ ต้องขออภัยที่ผมนึกไม่ออกครับ จากคุณ : SRT - [ 5 เม.ย. 50 23:50:03 A:125.24.18.110 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 154 ได้ความว่า ต่อ G เข้ากับ N มีสิทธิโดนไฟดูดจากเครื่องทำน้ำอุ่น ถ้าเราไม่ต่อ G เข้ากับ N มีผลเสียอย่างไรบ้างครับ จากคุณ : 015217 - [ 7 เม.ย. 50 00:59:38 A:203.114.111.191 X: TicketID:015217 ]

ความคิดเห็นที่ 155 ขอสอบถามคุณ SRT เพิ่มเติมนะครับ สำหรับบ้านขนาดใหญ่ หรือ อาคารสำนักงานขนาดเล็ก ที่ใช้ไฟแรงต่ำสามเฟส สี่สาย (380V 3-phase) ถ้าเราไม่ต่อ N กับ G  เมื่อสาย N ที่ต่อเข้าบ้านจากการไฟฟ้าเกิดขาด แรงดันที่ป้อนอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านน่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 220V มากนะครับ เคยเกิดเหตุการณ์นี้กับบ้านเพื่อนผม เครื่องไฟฟ้าเสียหายไปหลายตัวเลยครับ ถ้าเป็นกรณีนี้ การต่อ N กับ G จะเป็นผลดีมากกว่าไหมครับ จากคุณ : ใต้สะพาน (ใต้สะพาน) - [ 7 เม.ย. 50 20:53:17 ]

ความคิดเห็นที่ 156 .......ตอบ คุณ SRT       คุณเข้าใจถูกแล้วครับที่ผมให้เชื่อมบัสนิวทรอลกับบัสกราวน์เข้าด้วยกัน สำหรับเหตุผลและการทำงานของระบบป้องกันนั้นผมอธิบายไปแล้ว การต่อ N กับ G ใน NEC นั้นเป็นข้อกำหนดหลักให้ทำครับไม่ใช่เงื่อนไขและ NEC ยอมรับไม่ได้ถ้าไม่ต่อ N กับ G เข้าด้วยกันที่เมนสวิทต์ (ข้อยกเว้นนะมีครับ เช่น สำหรับวงจรที่จ่ายไฟให้อุปกรณ์ทางการแพทย์)     และ ELCB นั้นเป็นตัวเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับระบบป้องกันครับ มีประโยชน์ในกรณีที่ Loop Impedance มีค่าต่ำเกินที่เบรกเกอร์ธรรมดาจะตรวจจับการลัดวงจรลงดินได้ไงครับ (ลองเช็ควงจรก็จะเห็นชัดเจนว่า ELCB นั้นทำงานตามฟังชันก์ได้ตามปกติ ผมไม่เห็นว่าไม่มีประโยชน์ตรงไหน) ใน NEC ไม่ได้ระบุว่า ELCB ไม่มีประโยชน์แต่ได้กำหนดให้มีใช้ในบ้างวงจรและบ้างพื้นที่เท่านั้น       ในขนาดเดียวกันที่ระบบ TT ของ IEC นั้นได้กำหนดชัดเจนเลยว่าจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ RCD หรือ ELCB เป็นตัวป้องกันในระบบเลยครับ ไม่ใช้ไม่ได้ครับเพราะเบรกเกอร์ธรรมดาจะป้องกันได้ไม่เติม 100% นั้นคือเบรกเกอร์อาจไม่ตัดไงครับ การใช้เบรกเกอร์ธรรมดาจะทำให้ความเชือถือของระบบเสียไป   อนึ่งนั้น ELCB ต้องใช้กับทุกวงจรครับและเป็นเรื่องยากที่จะตั้งค่าลำดับการป้องกันระหว่าง Main ELCB กับลูกย่อย ELCB ที่ระดับต่างๆ   ถ้าศึกษาดีๆ จะเห็นว่าระบบ TT นั้นมักไม่นิยมและไม่ยอมให้กับภายในบ้านหรืออาคารครับ มักเน้นใช้กับระบบนอกอาคารเช่า กองคาราวาน ไฟถนน เป็นต้น   และภายในบ้านหรืออาคารเขามักใช้ระบบ TN-S และ TN-C-S ครับ  และสำหรับระบบ TN-C-S นั้นทางปฏิบัติในการเดินสายไฟนั้นใกล้เคียงกับของ NEC มากๆครับ (ทางปฏิบัติมีการต่อสาย PEN กับบัสของ PE เข้าด้วยกันครับก่อนสาย PEN จะเข้าไปที่บัส Nuetral และอีกอย่างที่บัส PE นี้มีการต่อลงดินอีกครั้ง แต่ทั้งหมดนี้ทำก่อนเข้าตู้เมนสวิทต์)       โดยส่วนตัวผมไม่ได้ชอบ NEC เป็นหลักหรอกครับ (แต่ วสท. เขาก็อิงทาง NEC เลยเป็นการบังคับโดยปริยายครับ) อีกอย่างหนังสือที่อธิบายเกี่ยวข้องกับของ IEC มันหาอ่านยาก (หนังสือเกี่ยวกับ NEC นั้นหาซื้อง่ายทั้งในบ้านเราและในเน็ต) ในบ้านเราแทบไม่มีจำหน่ายแม้ว่ามาตรฐาน IEC 60364 หรือ IEE Wiring Regulation นั้นมีใช้กันเกิน 100 ปี ปรับปรุงกันมาประมาณ 16 ครั้งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังหาอ่านยากครับ           ผมเคยอบรมเกี่ยบกับการออกแบบ Substation และวิทยากรมาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตนั้นเวลาสอนจะอิง US Standard มากๆ แทบทุกส่วนเลยทั้งการคำนวณและเลือกอุปกรณ์ แต่อาจารย์จากมหาลัยนั้นส่วนใหญ่สอนคำนวนตาม IEC (มี ANSI/IEEE บ้าง)  แต่เวลาทำจริงนั้นบริษัทวิศวกรที่ปรึกษานั้นจะอ้างอิงมาตรฐาน IEC เกือบหมด  ดูๆ แล้วมันงงๆ ไหมครับ ปล. ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดเกี่ยบกับ IEC 60364 นั้นก็ขออภัยและช่วยแนะนำด้วยครับ จากคุณ : arm_cc - [ 8 เม.ย. 50 22:32:04 ]

ความคิดเห็นที่ 157 คุณ 015217 ครับ การต่อ N-G เข้าหากันเป็นการช่วยให้เรามีโอกาสที่จะตัดการลัดวงจรลงสู่ตัวถัง(ซึ่งเกิดได้บ่อยที่สุด) ได้ด้วยอุปกรณ์พื้นฐานที่สุดคืออุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน โดยไม่ต้องพึ่งELCB ถ้าไม่ต่อ N-G เข้าหากัน ในระบบที่ไม่มี ELCBหรือมีแต่เสีย และถ้าโชคร้ายว่าระบบดินในบ้านเราแย่ไม่ได้ดูแล หลุดหรือสนิมขึ้นจนความต้านทานสูงมากๆ ก็จะมีโอกาสที่จะเกิดการลัดวงจรที่มีความต้านทานสูง กระแสลัดวงจรที่เกิดขึ้นอาจจะน้อยจนไม่พอที่จะทำให้อุปกรณ์ตัดกระแสเกิน พวกเบรคเกอร์หรือฟิวส์ทำงานตัดวงจรได้ครับ แบบนี้จะอันตรายตรงที่กระแสลัดวงจรจะเกิดขึ้นได้เป็นเวลานาน พลังงานที่เกิดจะเป็นความร้อนซึ่งมีโอกาสเกิดไฟไหม้ได้ครับ อย่าพึ่งตื่นตกใจนะครับ เพราะเหตุอย่างที่ว่าจะเกิดได้ต้องมีการบกพร่องหลายๆอย่างพร้อมๆกัน ถ้าโชคร้ายได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วหละครับ แต่ถ้าเป็นระบบ110V ถ้าไม่ต่อ N-G โอกาสที่จะเกิดอย่างที่ว่าจะมีสูงกว่าระบบ220Vอย่างบ้านเราหนะครับ NECจึงบังคับเอาไว้เลย อย่างที่เคยกะให้ดูว่า กรณีไม่ต่อ N-G ถ้าระบบดินในบ้านมีความต้านทาน5โอห์ม ระบบ110Vจะมีกระแสลัดวงจรไปที่ระบบดินเพียงประมาณ22แอมป์เท่านั้น ในขณะที่ระบบ220Vอย่างบ้านเราจะมีกระแส44แอมป์ ถ้ามองผู้ใช้ไฟในบ้านเราที่เล็กที่สุดคือ5(15)แอมป์ ระบบตัดกระแสเกินอย่างมากก็จะอยู่ที่ไม่เกิน16แอมป์ แต่ถ้าเป็นผู้ใช้ไฟในขนาดที่เท่าๆกันในระบบ110 เนื่องจากแรงดันที่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง จึงจะมีระบบตัดกระแสเกินที่32แอมป์ (เพราะต้องใช้กระแสเป็นสองเท่าในการใช้งานอุปกรณ์ที่กินกำลังไฟเท่ากัน) ซึ่งโอกาสที่จะไม่ตัดวงจรเนื่องจากกระแสลัดวงจรเพียง22แอมป์จึงมีได้มาก ถ้ายิ่งมีการใช้ไฟมากขึ้น เป็นผู้ใช้ไฟรายใหญ่ขึ้น ยิ่งจะทำให้การตัดวงจรด้วยอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินในระบบ110 แทบจะเป็นไปไม่ได้ถ้าใช้หลักดินแท่งเดียวแต่ไม่มีการต่อ N-G เข้าหากัน แต่สำหรับบ้านเรา อาศัยหลักดินแท่งเดียว กระแสลัดวงจรสูงมากพออยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีการใช้ ELCB ด้วย สำหรับความคิดส่วนตัวของผมแล้ว ไม่จำเป็น แต่ก็จะขัดกับมาตราฐานของไทยที่ดูเหมือนกับจะลอกNECมาตรงๆมั๊งครับ ... คุณ ใต้สะพาน ครับ ผมไม่ได้ทำงานด้านนี้นะครับ เคยบอกไว้แล้วตั้งแต่แรก ดังนั้นความเห็นของผมอย่าเชื่อ ปัญหาร้ายแรงอย่างที่เจอ ลองปรึกษาวิศวกรจริงๆดู น่าจะดีกว่านะครับ ในกรณีที่ "ถ้าเราไม่ต่อ N กับ G เมื่อสาย N ที่ต่อเข้าบ้านจากการไฟฟ้าเกิดขาด การต่อ N กับ G จะเป็นผลดีมากกว่าไหม" มาลองกะกันเล่นๆดูนะครับ ก่อนอื่นคงต้องดูก่อนว่าขนาดการใช้ไฟฟ้านั้นเป็นเท่าไหร่และความแตกต่างของการใช้ไฟในแต่ละเฟสต่างกันมากแค่ไหน ถ้าขึ้นไปถึงระดับสามเฟสได้ น่าจะใช้ไฟเกิน100แอมป์ถ้าใช้ไฟเฟสเดียว ดังนั้นเมื่อขึ้นเป็นสามเฟส กระแสที่ใช้แต่ละเฟสไม่น่าตำ่กว่า30แอมป์ ตีว่า20แอมป์แล้วกันนะครับ ถ้าสายNหลุดเฉพาะที่จ่ายเข้าบ้านเรา แท่งดินที่รับกระแสที่ไม่สมดุลย์ ก็จะมีแรงดันเป็นสิบโวลท์ ซึ่งเครื่องไฟฟ้าก็อาจจะเสียหายหรือไม่ก็ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่ต่อเลย ปล่อยNลอยเฉยๆแน่นอนครับ ในกรณีนี้ถ้าจะต่อสายดิน คงต้องมั่นใจว่าสายดินและแท่งดินจะรับกระแสไหว เพราะกรณีที่เลวร้ายมากๆ สายดินและแท่งดินอาจจะรับกระแสใกล้เคียงกับกระแสที่ใช้ในหนึ่งเฟสเลยก็ได้นะครับ บางสูตรจึงก็บอกว่าสายดินไม่ควรเล็กกว่า1/8ของสายเมนที่เข้ามา ใหญ่ไว้ก็ปลอดภัยกว่า แท่งดินก็คงต้องใช้เป็นกลุ่มนะครับ ถ้าสายNของการไฟฟ้าขาดกลางทางของระบบส่ง ตอนนี้ต้องมาดูว่ามีแท่งดินกี่จุดที่จะช่วยแบ่งกระแสที่ไม่สมดุลย์ลงดินบ้าง ซึ่งกระแสที่ไม่สมดุลย์ย่อมมากกว่ากรณีที่ขาดเฉพาะที่ป้อนเข้าบ้านหลายเท่านะครับ มีโอกาสที่สายNที่เข้าบ้านเราอาจจะโชคร้ายรับกระแสเกินจนฉนวนเสียหายได้นะครับ วิธีแก้ปัญหาสายNหลุดในระบบสามเฟส ผมคิดว่าเลือกใช้เบรคเกอร์ที่รับไฟเข้า เป็นแบบที่มีระบบป้องกันแรงดันผิดปกติหรือแบบที่ต่ออุปกรณ์ป้องกันภายนอกเสริมได้ ดูจะเป็นทางออกที่เป็นไปได้ดีกว่าการแก้ปัญหาด้วยสายดิน ซึ่งปกติเบรคเกอร์ขนาดนี้ก็จะพอหาแบบที่ว่านี้ได้ครับ จากคุณ : SRT - [ 10 เม.ย. 50 01:22:52 A:125.24.10.103 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 158 คุณ arm_cc ครับ ผมเข้าใจว่าประเทศที่ใช้ไฟ220Vไม่น่าจะมีประเทศไหนนะครับที่บังคับให้ต่อ N-G ที่ตู้ไฟของผู้ใช้ไฟตามอย่างNEC แบบประเทศไทย ถ้าเข้าใจผิดก็ขออภัยนะครับ เพราะผมคุ้นเคยกับระบบแรงต่ำที่แยกPEออกจากNทั้งนั้น ส่วนเรื่องอ้างอิง NECนั้น ผมได้ให้ความเห็นถึงความจำเป็นที่ทำไมNECต้องบังคับให้ทำมาแล้ว อย่างที่คุณ arm_cc บอกนั่นแหละครับ ที่ข้อบังคับนี้ยกเว้นให้กับพื้นที่ที่เป็นคลีนิค และคงทราบว่าในกรณีไฟใต้น้ำของสระว่ายน้ำก็จะยกเว้นเช่นกัน แต่ในการยกเว้นนั้น ได้บังคับให้ใช้หม้อแปลงแยก(Isolation Transformer) กับระบบป้องกันกระแสรั่วลงดิน ผมไม่แน่ใจว่าNECปัจจุบันเป็นอย่างไร เนื่องจากไม่ได้ทำงานด้านนี้ ฉบับที่ผมอ่านเป็นอันสุดท้ายคือปี1993ครับ ดังนั้นอาจจะผิดพลาดไม่ทันสมัยก็ขออภัยและแนะนำด้วยนะครับ เครื่องทำน้ำอุ่นบ้านเรา น่าจะเข้าประเภทไหนใน NEC คงแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน ผมคิดว่าน่าจะเข้ากับคลีนิคหรือสระว่ายน้ำมากกว่าการใช้งานอื่นๆ เพราะเหมือนกันตรงที่ผู้ใช้อยู่ในสภาพที่ความต้านทานต่ำมากๆ ศักดาเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้ (เช่นเครื่องกรอฟัน ถ้าไฟรั่วลงไปที่โพรงประสาทฟันขณะกรอฟันแค่ไม่กี่โวล์ทก็น่ากลัวแล้ว) ผมจึงไม่เห็นด้วยที่จะให้ต่อ N-G ในกรณีที่มีการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นอย่างที่เราใช้กัน จริงอยู่นะครับที่วงจรที่ว่า เมื่อต่อ N-G แล้ว ELCBก็ยังทำงานได้ แต่ในวงจรนั้น ไม่มีการตัด PE ที่ต่ออยู่กับ N ไม่ว่าด้วยอุปกรณ์หรือสวิชที่คนควบคุมได้เลย นอกจากใช้คีมตัดหรือปลดสายออกเท่านั้น ดังนั้นถ้าความผิดพลาดเกิดขึ้นกับสายNของระบบจำหน่าย แรงดันของสายNจะเข้าถึงผู้ที่อาบน้ำอยู่ตรงๆเลยนะครับ เรื่องปัญหาสายNหลุดไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เจอกันได้ไม่ยากอะไรนัก เพื่อนคุณใต้สะพานก็เคยเจอ ถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้น คนที่อาบน้ำอยู่จะเป็นอย่างไรบ้างหละครับถ้าเราต่อ N-G เรื่องนี้คงแล้วแต่การชั่งน้ำหนักของแต่ละคนมั๊งครับ คนที่อาบน้ำอยู่นั้นอยู่ในสภาพที่เปราะบางมากนะครับ ถ้าถูกไฟดูดชั่วแวบเดียว ก็เสี่ยงต่อการล้มหัวฟาดพื้นได้.. จริงอยู่ระบบTTในประเทศพัฒนาแล้ว อาจจะไม่นิยมใช้ อาจเพราะประเทศเหล่านั้นมีการเดินสาย PE ที่เข้มงวดมาให้แล้ว ซึ่งจะปลอดภัยกว่า TT ที่ยังขึ้นกับ ELCB แต่ในความคิดผม TT ก็ยังปลอดภัยกับผู้ใช้กว่าระบบที่ต่อ N-G เข้าหากันที่ตู้ไฟของผู้ใช้ ถ้าระบบจำหน่ายมี PE ที่เข้มงวดพอ ผมก็ยินดีที่จะต่อระบบดินในบ้านกับ PE grid ของระบบจำหน่าย ผมจำไม่ได้ว่าเคยอ่านIEC 60364 หรือเปล่า ถ้าเคยก็คงตั้งแต่สมัยที่ไม่ได้ขึ้นด้วย 60xx เพียงแต่ผมเคยใช้ Spec ของโครงการณ์เมื่อ20กว่าปีมาแล้วที่มีบริษัทเยอรมันเป็นที่ปรึกษา ซึ่งน่าจะลอกมาจากVDE ระบบจะแยก N กับ PE ออกอย่างชัดเจน คล้ายกับ TN-C-S เพียงแต่จะไม่รวมกันเป็น PENก่อน N กับ PE เจอกันที่ Ground grid ซึ่ง VDE ปัจจุบันก็จะอ้างอิงกันไปมากับ IEC เสมอครับ เรื่องคนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตอ้างอิงกับ NEC ตลอดนั้น น่าจะเป็นคนจากก่อสร้างสายส่ง เพราะฝ่ายนี้ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับแรงต่ำ ดังนั้นจึงไม่อยากเปลี่ยนของเดิมตั้งแต่สมัยเมืองไทยใช้ไฟ110 จึงยังยึดNECอยู่ได้ เพราะการเปลี่ยนมาตราฐาน จะต้องกลับมาปรับปรุงระบบใหม่ เป็นเรื่องใหญ่มาก อีกอย่างหนึ่งคือกฟผ.ใช้ที่ปรึกษาเป็นปริษัทอเมริกัน B&V มายาวนานมากๆ ดังนั้น Spec จึงมักจะอ้างอิงกับ IEC ครับ การที่อาจารย์และที่ปรึกษาใช้IECนั้น ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าถูกต้องนะครับ การที่เราใช้แรงต่ำเป็น220V ไม่ควรฝืนใช้ NEC อยู่อีกต่อไป เราเปลี่ยนมานานมากแล้วนะครับ ผมเคยโดนฝรั่งถามว่าทำไมSocketเมืองไทยถึงเหมือนกับที่อเมริกาจัง ทั้งๆที่ใช้ไฟ220V รู้ไหมว่ารูปแบบนั้นเป็นการกำหนดระดับแรงดัน เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เอาอุปกรณ์มาเสียบแล้วเกิดความเสียหายด้วย......อึ้งครับ จากคุณ : SRT - [ 10 เม.ย. 50 02:34:39 A:125.24.10.103 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 159 ขออภัยครับ มีการผิดพลาด ที่ถูกเป็น "ที่ปรึกษาเป็นปริษัทอเมริกัน B&V มายาวนานมากๆ ดังนั้น Spec จึงมักจะอ้างอิงกับ NEC ครับ" จากคุณ : SRT - [ 10 เม.ย. 50 02:40:21 A:125.24.10.103 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 160 ตอนแรกไม่อยากโพสต์ต่อ เดี๋ยวจะยาวไปกันใหญ่ แต่กลัวว่าจะมีการสับสน แล้วไปเข้าใจผิดกัน ไม่อยากให้เข้าใจกันว่า การต่อสายนิวตรอลกับกราวน์ ที่การไฟฟ้าฯบอกให้ทำ เป็นสิ่งไม่ดีและอันตราย ซึ่งถ้าไม่ทำตาม  เมื่อการไฟฟ้าไปตรวจก่อนจ่ายไฟ สามารถระงับการจ่ายไฟได้ครับ (กฟน.บังคับใช้เมื่อ 1 สค. 2539 พร้อมมีวงจรให้ด้วย) เรื่องอันตรายนี้สำคัญและเป็นประเด็นที่เกิดโพสต์นี้ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไร แต่เชื่อและคิดว่าสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญและวิศวกรไฟฟ้าบ้านเราปฏิบัติกันอยู่ไม่ผิด ยิ่งออกมาเป็นมาตรฐานด้วยแล้ว คงไม่ใช่คิดกัน2-3คนแล้วบังคับให้ใช้กันทั่ว จึงเป็นที่มาของการหาเหตุผล และสิ่งที่ผมโพสต์นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ผมเก็บมาได้ ขอเสริมว่าปัจจุบัน(7-8 ปีมาแล้ว) บ้านเรานิยมใช้มาตรฐาน IEC มาปฏิบัติกันมาก ไม่ใช่ NEC อย่างที่บางคนเข้าใจ มีโอกาสได้ไปพูดคุยกับผู้รู้2-3ท่านในวงการไฟฟ้าบ้านเรา ได้ข้อคิดว่า “ไม่มีระบบไหนดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด” และอยากบอกไว้นิดว่า “มาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้าสำหรับประเทศไทย พ.ศ. 2545” โดยวสท. ร่างโดยผู้ทรงคุณวุฒิของไทยจำนวนมาก ทั้งที่มีและไม่มีรายนาม พัฒนาต่อมาจากทั้งกฏการไฟฟ้านครหลวง และภูมิภาค ที่สำคัญส่วนใหญ่สังเคราะห์มาจาก EN standard ซึ่งปัจจุบันคือ IEC standard   ผมได้หาประโยชน์ของการต่อสายนิวตรอลลงดิน ว่ามีดังนี้ -   เป็นแหล่งอ้างอิงเดียวกันกับการไฟฟ้า ทำให้แรงดันไฟฟ้าวัดเทียบกับดินมีค่าแน่นอน (แม้สายนิวตรอลลอยก็รู้ว่าสายไหนเป็นสายไลน์) -   เมื่อสายไลน์รั่วลงดินจะตรวจสอบได้ง่าย -   ลด EMC (electro magnetic compatibility) คือกันการรบกวนจากการเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่จะเข้ามาในระบบไฟฟ้าได้ -   แรงดันสายนิวตรอลเป็นศูนย์ ดักแรงดันเสิร์จที่เข้ามาตามสายไฟ ยังมีอีก แต่ไม่เกี่ยวกับผู้ใช้ตามบ้าน จึงไม่เอามาครับ จากคุณ : ป๊าลูกหมู - [ 11 เม.ย. 50 00:00:55 ]

ความคิดเห็นที่ 161 คราวนี้มาดูวงจรไฟฟ้ากันบ้าง จากคุณ : ป๊าลูกหมู - [ 11 เม.ย. 50 00:11:24 ]

ความคิดเห็นที่ 162 วงจรครับ จากคุณ : ป๊าลูกหมู - [ 11 เม.ย. 50 00:17:35 ]

ความคิดเห็นที่ 163 ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ระบบ TT -ไฟรั่วลงตัวถังอุปกรณ์ กระแสต่ำ CB หรือฟิวส์ ไม่ตัดวงจร ทำให้เป็นอันตรายกับคนสัมผัสได้ -ต้องใช้ RCD ป้องกันเท่านั้น ทำให้ต้องเชื่อมั่นอุปกรณ์นี้สูง จากคุณ : ป๊าลูกหมู - [ 11 เม.ย. 50 00:25:45 ]

ความคิดเห็นที่ 164 ต่อไประบบ TN ภาพแรก เมื่อลัดวงจรลงตัวถังอุปกรณ์ จากคุณ : ป๊าลูกหมู - [ 11 เม.ย. 50 00:28:07 ]

ความคิดเห็นที่ 165 - การต่อสายกราวน์กับนิวตรอล ทำให้คตท.ลัดวงจรต่ำ กระแสลัดวงจรสูง จนอุปกรณ์ป้องกันปกติที่มี(CB หรือฟิวส์ )ตัดวงจรได้ในเวลาอันสั้น (กระแสสูงกว่าค่าปกติของอุปกรณ์ป้องกันมาก) อ้อ ระยะจากแหล่งจ่ายถึงจุดลัดวงจรต้องคำนึงถึงด้วย ปกติไฟฟ้ากำหนดระยะการจ่ายของแต่ละหม้อแปลงอยู่แล้ว -ใส่อุปกรณ์ RCD เป็นอุปกรณ์เสริม และกระแสป้องกันของ RCD ก็ไม่ต้องต่ำ (เป็น100มิลลิแอมป์ได้) จึงไม่จำเป็นต้องใช้ RCD ที่ไวมาก และมันจะทำงานได้แน่นอนขึ้น จากคุณ : ป๊าลูกหมู - [ 11 เม.ย. 50 00:41:54 ]

ความคิดเห็นที่ 166 ระบบจึงตัดอย่างรวดเร็ว โอกาสเกิดอันตรายจึงลดลง รูปผมได้มาจาก ไฟล์ของบริษัทผู้นำด้านไฟฟ้าของโลกครับ ซึ่งจริงๆน่าจะอยากขาย RCD มากๆด้วย = ล้อเล่นนะครับ= จากคุณ : ป๊าลูกหมู - [ 11 เม.ย. 50 00:50:07 ]

ความคิดเห็นที่ 167 เรียน ป๊าลูกหมู จากรูป166เป็นลักษณะคล้ายๆ คห.151 ที่ผมทำแต่ละจุดของปลั๊กไฟ2เฟสที่บ้านครับ ใช้เฉพาะอุปกรณ์ที่กินไฟมากเช่น หม้อหุ้งข้าว กาต้มน้ำครับ แต่ไม่ใช้กับพวกแอร์หรือตู้เย็น ผมทำมานานแล้วครับ ไม่พบว่ามีปัญหาอะไร แต่ให้หลักดินฝังลึกและชัวร์ว่าไม่หลุด จากคุณ : ขอนเอง (คุณขอน) - [ 11 เม.ย. 50 08:42:33 ]

ความคิดเห็นที่ 168 สวัสดีอีกครั้งครับ ที่จริงรู้สึกเหมือนคุณป๊าลูกหมูครับ คือไม่อยากโพสต์ต่อ มันจะยาวไปกันใหญ่ ทั้งที่ประเด็นนี้เริ่มต้นเป็นแค่การอธิบายสาเหตุของอุบัติเหตุต้นเรื่อง ลงท้ายกลับกลายเป็นการโต้แย้งเรื่องการต่อสาร N,E ก่อนเข้าตู้เมนไปเสียแล้วครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยให้ความเห็นไว้กลางๆ ในเรื่องการต่อสาย N,E เข้าหากัน อันนั้นเป็นมุมมองทางด้านเทคนิค แต่เข้าใจว่าคุณ SRT (แล้วก็คุณ ส/305 อีกคน แต่ไม่ได้ให้ความเห็นอะไร) จะไม่เห็นด้วยอย่างมากกับการต่อ N,E เข้าหากัน โดยให้เหตุผลจากปัญหาการมีศักดาในสาย N เนื่องจากความผิดพลาดของระบบจ่ายไฟ ข้อนี้ข้อเดียวเท่านั้น โดยยกตัวอย่างบ้านเพื่อนที่บรรทัดทอง "...สอบสวนได้ความว่าช่างไฟดันต่อแบบในรูปโดยอ้างว่าทำตามมาตราฐานการไฟฟ้านครหลวง แล้ววันนึงสาย N ของ กฟน.ก็ลอยขึ้นมา ไฟเลยวิ่งลงแท่งดิน สายไฟฉนวนไหม้ไปบางเส้น ควันขโมง บ้านแถวนั้นเสียหายไปหลายบ้านครับ..." อยากเรียนถามคุณ SRT นะครับว่าเจอปัญหานี้ถึงขนาดสายดินฉนวนละลายเพราะอย่างที่บอกกี่ครั้งแล้วครับ ในรอบกี่ปีครับ ไม่ใช่อะไรครับ ผมต้องการคำยืนยันว่าบ่อยที่ว่าไว้นั้นบ่อยแค่ไหน แล้วสาเหตุเป็นอย่างที่ว่าจริงหรือเปล่าครับ หรือแค่ "คาดว่า" "...ติด ELCB แบบที่ทำงานด้วยแม่เหล็ก ไม่แนะนำให้ใช้แบบที่เป็นวงจรอีเลคโทรนิคส์นะครับถึงแม้ว่าอาจจะตัดได้ไวกว่า แต่ความน่าเชื่อถือต่ำกว่ามากครับ ผมอาจจะเป็นคนรุ่นโบราณไม่ทันสมัยหนะครับ..." เรียนตามความสัจจริงเลยนะครับ ผมไม่ชอบการอธิบายแบบนี้คือไม่มีที่มาที่ไปครับ แค่บอกว่าอิเลคทรอนิคส์ไม่น่าเชื่อถือ แล้วก็แค่ออกตัวว่าผมคนโบราณแค่นั้นเอง ในพันทิพย์มีคนมาตอบแบบนี้เยอะมากแล้วครับ แล้วคนอ่านที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ก็ยังคงไม่รู้อยู่ดี แต่ก็มีหลายคนที่เชื่อตามครับ ผมทำงานด้านไฟฟ้า และอิเลคทรอนิคส์มานานมาก มากจนรู้ว่ามีการใช้อิเลคทรอนิคส์ควบคุมระบบไฟฟ้าที่เกี่ยวกับความปลอดภัยอยู่มากมายทีเดียวครับ "...ความเชื่อที่ว่าต้องต่อNเข้ากับระบบดินในบ้าน เป็นเรื่องอันตราย น่าจะเป็นความเข้าใจผิดของใครบางคนหรือหลายคน..." ผมว่าจำนวนคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้มีมากกว่าร้อยคนนะครับ ในประเทศไทย "...ผมไม่รู้ว่า กฟน.กำหนดไว้แบบนั้นจริงหรือเปล่า..." จริงครับ "... อันตรายมากๆ ถ้ากฟน.กำหนดแบบรูปในความเห็นที่สองจริง คงต้องคุยกันหน่อยแล้วว่าคิดอะไรอยู่ ..." ผมอยากให้คุณ SRT แสดงตัวเข้าไปคุยกับ กฟน. วสท. สอบถามเลยครับ โต้แย้งยืนยันความคิดของคุณด้วยครับ แล้วมาบอกพวกเราด้วยครับ ว่าได้ความว่าอย่างไรครับ ผมเองก็อยากรู้ครับว่าถ้ามันไม่ดี ทำไมคนหลายสิบคนยืนยันอย่างนั้น จะว่าพวกเหล่านั้นหลับตาตามก้นอเมริกาไม่ลืมหูลืมตา ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ "...ตามความเข้าใจ(ผิดๆ)ของผม เรื่องเหตุผลของการต่อสายดินในบ้านเข้ากับ N นั้น น่าจะมีจุดมุ่งหมายสองเรื่อง คือต้องการลดแรงดันของN ลง และต้องการให้ไม่ต้องพึ่งพาแท่งดินในบ้านมากนัก..." ถ้าเหตุผลเป็นอย่างนี้จริง คงไม่ต้องกำหนดมาตรฐานให้ต่อแท่งดินหรอกครับ และผมว่าคุณ SRT ก็รู้ว่ากำหนดไว้เพื่อให้อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินในวงจรทำงาน เมื่อเกิดปัญหา "...อะไรเกิดขึ้นเมื่อ ELCB กลายเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้และใช้กันอย่างกว้างขวาง..." คุณ SRT น่าจะระบุยี่ห้อ ELCB ที่ทำงานด้วยระบบแม่เหล็กด้วยนะครับ ผู้อ่านจะได้รู้จักมากขึ้นด้วยครับ ว่าไม่ใช่มีแต่เซฟๆอยู่ยี่ห้อเดียว "...กลับมีข้อเสียที่ระบบดินในบ้านจะไปผูกกับศักดาของN เน้นว่าNนะครับ ไม่ใช่PEของระบบจำหน่าย ซึ่งNจะมีศักดาไม่เท่ากับดินเนื่องจากกระแสที่ไหลกลับผ่านความต้านทานของสายN..." ก็แท่งดินในบ้านนี่แหละครับ ที่เป็นตัวทำให้ศักดาของ N ในบ้านใกล้เคียงกับ 0 มากที่สุด ส่วนเรื่องที่ว่าดินที่อื่นไม่เหมือนดินกรุงเทพฯ ทำให้ความต้านทานดินมากเกินไป มันก็มีผลกับการต่อสายดินทั้งหมด ไม่ว่าจะต่อ N,E เข้าหากัน หรือต่อแยกต่างหากอย่างที่คุณ SRT แนะนำก็ตาม คือมันทำให้ประสิทธิภาพของระบบดินเสียไปครับ ทางแก้ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็คือต้องทำให้ความต้านทานมันต่ำสิครับ ที่จริงคุณ SRT มีความรู้อยู่มากทีเดียว มากกว่าผมมากๆ เลยครับ เห็นได้จากกระทู้หลังๆ ที่โต้แย้งกับคุณ arm_cc คุณ SRT น่าจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะนำเสนอประเด็นดังกล่าวเข้าไปในหน่วยงานของรัฐได้นะครับ ถ้ามันไม่ดีจริงจะได้แก้ไขครับ แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 50 08:43:28 จากคุณ : pa_ul - [ 11 เม.ย. 50 11:28:07 ]

ความคิดเห็นที่ 169 ปัญหาของคุณใต้สะพานในกรณีที่ใช้ไฟฟ้าสามเฟส แล้วสาย N ที่เข้าบ้านขาดไปนี่ สามารถทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหายได้ เพราะจะกลายเป็นว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต่ออยู่คนละเฟสกันจะมาต่ออนุกรมกัน โดยรับแรงดันที่ 380V ซึ่งถ้าความต้านทาน(เอาง่ายๆ)ของเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่เท่ากัน การแบ่งแรงดันก็จะไม่เท่ากัน ชุดนึงจะได้รับแรงดันต่ำกว่าในขณะที่อีกชุดจะได้รับแรงดันสูงกว่า ก็อาจจะเสียหายได้ครับ ถ้าต่อ N,E เข้าหากัน อย่างน้อยระดับแรงดันในสาย N ในบ้านก็จะเข้าใกล้ 0 (ถ้าสายจาก N ไปหาแท่งกราวนด์ใหญ่พอที่จะรับกระแสไม่สมดุลย์ได้นะครับ) โอกาสที่เครื่องใช้ไฟฟ้าจะได้รับแรงดันเกินก็ลดลงครับ จากคุณ : pa_ul - [ 11 เม.ย. 50 11:35:43 ]

ความคิดเห็นที่ 170 ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความเห็นครับ ต้องขออภัยที่ความเห็นที่ผมให้ไปอาจจะเป็นการทำให้หลายคนไม่สบายใจ หรืออาจจะไม่พอใจ ขอเน้นอีกครั้งว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของผม ที่ไม่ได้ทำงานด้านนี้ตรงๆ การแสดงความเห็นของผมเพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นประเด็นบางอย่างที่ผมเห็นว่าไม่ถูกต้องเพราะมีความเสี่ยงอยู่ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะตำหนิใคร สุดท้ายคงต้องแล้วแต่ว่าวิจารณญาณของแต่ละคนจะเป็นอย่างไรนะครับ ผมเห็นด้วยว่ากระทู้นี้ยาวมากแล้ว สมควรจะปิดได้เสียที ผมจึงขอชี้แจงสั้นๆ เพียงบางประเด็น เผื่อว่ายังมีใครเข้ามาอ่านอีก คุณ ป๊าลูกหมู ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ผมอาจจะอธิบายไม่ดี ทำให้บางคนเข้าใจความหมายของผมผิดไปมังครับ ผมไม่ได้หมายความว่าการต่อ N-G ของระบบจำหน่ายนั้นผิดครับ เห็นด้วยที่ว่าระบบแทบทุกแห่งต้องต่อ N-G เข้าด้วยกันเสมอ ไม่ว่าจะต่อตรงหรือผ่านค่า Impedance ครับ เพียงแต่ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมไม่เห็นด้วยกับการกำหนดให้ต่อระบบดินของผู้ใช้ไฟเข้ากับสายNของระบบจำหน่ายตรงไม่ผ่านอุปกรณ์ป้องกันหรีอตัวตัดแยกอะไรเลย ทั้งที่ผู้ใช้ไฟมีELCBอยู่แล้ว และผู้ใช้หลายๆคนก็ต่อระบบดินนั้นเข้ากับเครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้อยู่ในภาวะที่ความต้านทานต่ำมาก ปัญหาอยู่ที่ผมไม่มั่นใจในศักดาๆไฟฟ้าของสายNของระบบจำหน่าย (ซึ่งต่อตรงไปถึงเครื่องทำน้ำอุ่น) ว่าปลอดภัยพอ ซึ่งอาจจะขัดกับความคิดของหลายๆคนที่คิดว่าต้องต่อ N-G ที่ตู้ไฟของผู้ใช้ตามมาตราฐาน... ผมคิดว่าถ้าจะต่อระบบดินเข้ากับระบบจำหน่าย ควรเป็นการต่อกับPEของระบบจำหน่ายที่มีคุณภาพและเข้มงวดดีพอ ตามมาตราฐาน ไม่ใช่ต่อกับN ผมมีคำถามที่คิดว่าน่าจะลองคิดและหาคำตอบดู - ถ้าการเดินสายของระบบอย่างบ้านเรา ที่มีแค่ L กับ N ดีพอ แล้วระบบที่มี PE แยกออกมาอีกเส้นหนึ่งทำเพื่ออะไรกัน - ถ้าเราต่อสายN ของระบบจำหน่ายเข้ากับระบบดินที่ตู้ไฟของเรา หากเกิดมายN มีศักดาขึ้นมา อันตรายต่อผู้ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นหรือไม่ ถ้าอันตรายอะไรจะช่วยป้องกันได้บ้างเมื่อเกิดขึ้น - โอกาสที่สายNมีศักดาขึ้นมามีหรือไม่ แล้วเทียบกับโอกาสที่ELCBเสียไม่ทำงาน อะไรมากกว่ากัน - กรณีบ้านที่เป็นข่าวจะเกิดไหมถ้าไม่ต่อ N-G - กรณีของคุณ ยัยปุย ยอมรับได้ไหม ที่เหลือก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนแล้วหละครับ การต่อแบบ TT ที่ผมหมายถึงนั้น มีทั้งELCBและระบบดินภายในบ้านเพื่อช่วยการทำงานของELCBครับ ผมเห็นด้วยกับที่ว่าวิธีนี้มีข้อเสียที่ต้องเชื่อใจELCBเท่านั้น คุณ pa_ul ครับ ถ้าความเห็นผมทำให้ไม่พอใจอะไรก็ขออภัยด้วยนะครับ ผมตอบเป็นบางข้อแล้วกันนะ เรื่องสายNของการไฟฟ้ามีศักดาขึ้นมา ที่ถึงกับสายไหม้ก็ที่บรรทัดทองครั้งเดียว และไม่ได้เจอด้วยตัวเองอย่างที่เล่าไปแล้ว แต่เจอกับบ้านเพื่อนครับ แต่ถ้าเจอว่าสายN มีศักดา นับตั้งแต่เกิดมาเลย ผมเจอตอนไฟดับแล้วลองเอาไขควงเช็คดูน่าจะ2-3ครั้ง ไม่ได้เช็คทุกครั้งที่ไฟดับนะครับ ส่วนต่างจังหวัดนอกเมืองหน่อยเจอตอนใช้ไฟปกตินี่แหละ เจอหลายครั้งเหมือนกัน แต่ที่ไม่เกิดปัญหาสายไหม้ก็เพราะไม่ได้ต่อแท่งดินกันครับ เรื่องที่บรรทัดทองผมก็ไม่ได้เห็นด้วยตา เพียงแต่เพื่อนโทรมา แล้วผมก็"คาดว่า"แค่นั้น สายดินวิ่งไปแท่งดินฉนวนละลายไหม้ เกิดพร้อมกับบ้านแถวนั้น ผม"คาดว่า"ได้สาเหตุเดียวครับ ถ้ามีคำแนะนำว่าเกิดจากอย่างอื่นได้ แนะนำด้วยครับ แล้วอย่างนี้เรียกว่าบ่อยไหมครับ ถ้าเกิดขึ้นแล้วมีคนได้รับอันตราย เท่าไหร่ถึงรับได้ครับ เรื่อง ELCB แบบแม่เหล็กนั้น จะให้ระบุยี่ห้อ รุ่นเลยหรือครับ ผมคิดว่าไม่เหมาะสมเลยพยายามหลีกเลี่ยงการระบุยี่ห้อ อย่าระแวงว่าผมมีเจตนาโจมตียี่ห้อหนึ่งเพื่อขายอีกยี่ห้อหนึ่งเลยครับ ELCBแบบแม่เหล็กคือของที่มาจากยุโรปมีอยู่หลายยี่ห้อ ABB Siemens Merlin-Gerin F&G. .. หรือจากญี่ปุ่น National Mitsubishi Kyukubo .... ถ้าผิดก็ขออภัย พวกนี้จะปรับไม่ได้ ตัวเล็ก กระแสที่ต่างกันจะไปออกที่คอยล์ที่3 ไปที่โซลินอยด์ปลดสลักล็อคกระเดื่องตรงๆ ง่ายๆ แต่ต้องทดสอบบ้างกันกลไกฝืด ส่วนแบบอีเลคโทรนิคส์ที่บอกว่าความน่าเชื่อถือน้อยกว่านั้น เดิมเป็นวงจรเปรียบเทียบโดยใช้OpAmp หรือ Comparator โดยเอากระแสที่คอยล์ที่3มาผ่านความต้านทาน และเปรียบเทียบกับอีกด้านที่มักจะเป็นความต้านทานปรับได้ ในวงจรแบบนี้ OpAmp หรือ Comparator รุ่นเก่าๆ จะมีปัญหาเรื่อง OFFSET ที่จะเปลี่ยนไปตามอายุและอุณหภูมิ รวมทั้งCapacitorที่ทำหน้่าที่กรองสัญญาณอาจจะรั่ว จนทำให้การเปรียบเทียบไม่ตรงได้ ผมจึงบอกว่าความน่าเชื่อต่ำกว่า ส่วนที่ผมบอกว่าผมโบราณนั้น ก็เพราะปัญหาที่ว่าเป็นปัญหาของอุปกรณ์เมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันนี้อาจจะแก้ปัญหาไปมากแล้ว หรืออาจเปลี่ยนไปใช้Microcontroller แล้ว ส่วนที่บอกว่าปัจจุบันนั้นอีเลคโทรนิคส์ใช้กันเยอะก็จริงครับ แต่อุปกรณ์เหล่านั้น จะมีสิ่งที่เรียกว่า Fail safe คือเมื่อไม่ทำงานหรือทำงานไม่ถูกต้อง จะต้องทำงานไปในสถานะที่ปลอดภัย ในกรณีนี้ก็คือตัดวงจร เรื่องนี้ออกจะทำได้ยากถ้าต้องให้อุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ทำหน้าที่ได้ขณะPower upด้วย ซึึ่งถ้า ELCB อีเลคโทรนิคส์ยี่ห้อดังทำได้ คงไม่มีในหมายเหตุของโฆษณาทำนองว่าเมื่อเครื่องทำงานปกติ ผมว่าก็ยังได้ยินหมายเหตุนี้อยู่นะ ถ้าทำได้แล้วก็บอกกันมั่งนะครับ เรื่องความต้านทานของระบบดิน คงทราบนะครับว่าแท่งดินมีความต้านทานสูงกว่าสายทองแดง ถ้าต่อ N-G แท่งดินจะต้องทำหน้าที่ดึงศักดาของสายN ให้ลงมาที่ระดับที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ ลองกะดูกันนะครับ ถ้าต้องการแบ่งแรงดันที่สายNที่มิเตอร์ลงครึ่งหนึ่งเมื่อถึงตู้ไฟ คิดว่าสายNเป็นบัส สายจากมิเตอร์ถึงตู้ไฟขนาด10ตร.มม.ยาว30เมตร (ความต้านทาน1.83โอห์มต่อกิโลเมตร)มีความต้านทาน0.06โอห์ม ดังนั้นถ้าต้องการแบ่งแรงดันให้เหลือครึ่งหนึ่ง ระบบดินในบ้านจะต้องมีความต้านทานแถวๆ0.06โอห์มเหมือนกัน...แล้วระบบดินที่บ้านเรามีความต้านทานเท่าไหร่นะ.... ส่วนเรื่องไปคุยกับการไฟฟ้าหรือวสท ผมคงหาดูเพื่อนๆถ้ามีก็จะแวะไปคุยดู บางทีผมอาจจะเข้าใจมาตราฐานเสียที จริงครับที่ไม่มีระบบไหนดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด แต่ก็มีหลายๆระบบที่วันนึงเรารู้สึกว่าไม่ดีพอ นั่นคือจุดเริ่มของความก้าวหน้าไงครับ จากคุณ : SRT - [ 12 เม.ย. 50 04:52:20 A:125.24.6.212 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 171 ขอบคุณครับ คุณ SRT ที่เข้ามาตอบนะครับ กระทู้นี้ยาวมากเกินไปแล้วจริงๆ ด้วยครับ แล้วก็ยังสงสัยว่าจะมีกี่คนที่เข้ามาอ่านท้ายๆ นี้บ้าง ผมขออีกนิดเดียวเองครับ เรื่อง ELCB ที่ผมอยากให้คุณ SRT ระบุยี่ห้อนี่ ไม่ใช่ผมระแวงคุณ หรือเชียร์ยี่ห้อที่เป็นอิเลคทรอนิคส์ ผมกลับไปอ่านที่ผมพิมพ์ไปก็รู้สึกว่ามันพาให้เข้าใจอย่างนั้นได้จริงๆ คงต้องเข้าไปแก้ไขครับ ถึงแม้อิเลคทรอนิคส์จะเชื่อถือได้ แต่ถ้าการออกแบบไม่ดีมันก็เชื่อถือไม่ได้อยู่ดี แต่คนซื้อส่วนใหญ่ไม่เคยและไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันออกแบบมาดีหรือไม่ ยี่ห้อเซฟๆ นี่ผมเคยเจอเอง(...แต่นานหลายปีมาแล้วครับ ไม่ใช่ตอนนี้...) ในงานที่เค้าไปออกบู้ธ แล้วคนขายท้าให้ลองแตะดู ใครจะกล้าไปแตะ คนขายก็แสดงเองด้วยความมั่นใจ ก็สะดุ้งไปครับ ผมก็ยืนยิ้มๆ คิดอยู่ว่าได้เงินเดือน ค่าคอมฯ คุ้มค่าเสี่ยงชีวิตมั้ย ผมเองกลับยินดีด้วยซ้ำไปที่ผู้ทีเข้ามาอ่านได้รับรู้ผ่านทางผู้มีประสบการณ์โดยตรงว่ามี ELCB อีกหลายยี่ห้อในตลาดที่สามารถเลือกหามาใช้งานได้ครับ ไม่ใช่แค่ยี่ห้อที่เห็นหรือได้ยินโฆษณาบ่อยๆ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นข้อมูลที่คนอื่นที่เข้ามาอ่านน่าจะได้รู้ไว้ ผมเองประสบการณ์น้อยครับ เคยใช้แค่สองสามยี่ห้อในที่ระบุมาเท่านั้นเอง เรื่องความต้านทานสายดินผมหมายถึงภาพรวมของระบบที่ทุกๆ บ้าน หรือส่วนใหญ่ในบริเวณที่มีปัญหา มีการต่อสายดิน ความต้านทานรวมของระบบจะต่ำลง ทำให้ศักดาของ N ต่ำลงครับ จากคุณ : pa_ul - [ 12 เม.ย. 50 08:41:41 ]

ความคิดเห็นที่ 172 จากการเข้ามาพูดคุยในกับคุณ pa_ul ทำให้ผมนึกได้อย่างนึงว่า ผมอาจจะเข้าใจผิดว่า ELCB ของมิตซูบิชิ ตัวเล็กๆนั่นเป็นแบบแม่เหล็ก เพราะผมเคยเอาไปทดสอบโดยป้อนกระแสผ่านไปที่ข้างใดข้างหนึ่งเดียว ปรากฎว่าไม่ทำงาน จนกว่าจะจ่ายไฟ220ไปที่ขั้วเข้าด้วย แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร นอกจาก งงและไม่เข้าใจเหตุผล มาตอนนี้เลยคิดอีกที ชักไม่แน่ใจ ถ้าว่างๆจะลองหามาแงะดูสักตัวครับ จากคุณ : SRT - [ 12 เม.ย. 50 10:11:22 A:125.24.23.193 X: TicketID:094778 ]

ความคิดเห็นที่ 173 .......กระทู้นี้ยาวจริงๆ ตอบ คุณ SRT ........สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการช่วยชีวิตในโรงพยาบาลนั้น ที่ไม่ต่อ N กับ G นั้นเพราะเป็นเรื่องของ สัญญาณรบกวน เป็นหลักครับ ไม่ได้เน้น เรื่องไฟลัดวงจรและไฟรั่ว เพราะ หลักการของการป้องกันเขานั้นดีอยู่แล้ว .......ไฟสำหรับสระว่ายน้ำนั้น ผมไม่ทราบว่าเขาให้ต่อ N กับ G หรือไม่ ส่วนนี้ตอบให้ไม่ได้ครับ แต่ไฟต่ำขนาด 12 หรือ 24 V นี้ดูดไม่รู้สึกครับ .......ส่วนเรื่องปัญหาของ N ต่อ G เมื่อ N ขาดหรือเกินลัดวงจรนั้น ผมบอกแล้วว่า เกิดจากการทำกราวน์ไม่ดีพอที่ดึงให้แรงดันใน N เท่ากับดิน ปัญหานี้คือต้นเหตุไงครับ  ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุโดยแยก  N กับ G   ตรงนี้ผมได้บอกปัญหาของระบบนี้ไปบางส่วนแล้วครับและที่ไหนๆ   ถ้าทำตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด (ไม่ว่าจะมาตรฐานไหนๆ) ก็จะไม่มีปัญหาไฟรั่วแล้วไม่ตัดหรือไฟดูดได้ครับ .......ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานไหนๆ นั้น ถ้าทำไม่ได้ตามที่มาตรฐานบังคับไว้ทั้งหมด ยังไงก็คงต้องมีไฟไหม้ไฟดูดอยู่ดีครับ .......ส่วนการคำนวนกระแสลัดวงจรของคุณ SRT นั้นไม่น่าเชื่อถือ ผมจะไม่อธิบายในส่วนนี้เพราะจะยืดยาวเกินความเข้าใจของคนทั่วไป ....... NEC นั้นเป็นมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าที่ใช้ในระบบแรงดันต่ำครับ (น้อยกว่า 1000 V, ผมว่า 220 V ไม่ใช่ปัญหาที่จะนำมาใช้) ส่วนแรงดันสูงปานกลางนั้นมักกล่างถึงในส่วนของหม้อแปลงที่จ่ายไฟให้ระบบเท่านั้นครับ   NEC บอกไว้แต่แรกแล้วว่ามาตรฐานนี้ไม่ครอบคลุมตรงส่วนไหนๆ บ้าง   การไฟฟ้าเขาใช้ NEC สำหรับแรงต่ำครับ ส่วนแรงดันสูงเขาใช้มาตรฐานอื่น   ในขณะที่ IEC จะมีทั้งมาตรฐานการติดตั้งและมาตรฐานของอุปกรณ์    ดังนั้นสรุปได้ว่า ประเทศไทยได้ดัดแปลงมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าจากมาตรฐาน NEC เป็นหลักอาจจะมี IEC ปนมาบางหรือคล้ายกันบ้าง   แต่ส่วนมาตรฐานของอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปนั้นจะอ้างอิง IEC เป็นหลัก .......ส่วนระบบ TT ของ IEC นั้นก็ให้ใช้เฉพาะระบบบ้างอย่าง เนื่องจากความไม่แน่นอนของกระแสลัดวงจรและกระแสรั่วไหล(ทำให้ต้องใช้ RCD เท่านั้นในการป้องกัน) บวกกับ ความยากในการทำ Coordination ของระบบป้องกัน จากคุณ : arm_cc - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 15:47:42 ]