ความคิดเห็นที่ 1 เท่าที่ใช้แบบโฟมกันความร้อน พ่นใต้หลังคาก็ประหยัดค่าไฟแอร์ได้ดีครับ เห็นที่เซ็นทรัลทาวน์ รัตนาธิเบศ ก็ใช้ได้ครับ จากคุณ : Joel** - [ 2 พ.ค. 50 14:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โฟม ดีกว่า ดีกว่าใช้ฟอลย์สะท้อนความร้อน ทุกกรณี (จริงๆมันใช้หลักการป้องกันความร้อน คนละเเบบ,คนละวิธี)  การใช้โฟม เหมือนการใช้โฟมเป็นฉนวนกันความร้อนจริงๆเหมือนถังเเช่ของเย็นหรือตู้เย็น แน่นอนหากคุณวัดเป็นค่าสัมประสิทธ์กันความร้อนย่อมดีกว่าครับ ส่วนเเบบใช้ฟอลย์สะท้อนความร้อน เป็นเพียงเเค่การสะท้อนรังสีไม่ให้ลงมาบนเพดานได้ส่วนนึงเท่านั้น และประสบการณ์จริง การสะท้อนความร้อนจะลดไปเรื่อยๆจากฝุ่นที่มาเกาะที่หน้าฟอลย์ครับ( ฝุ่นบ้านเรามีปริมาณเยอะจนใกล้ค่าปริมาณ อันตรายที่กําหนดจาก องค์การอนามัยโลก เเล้วครับ)   เเต่ความคิดเห็นผม ไอ้โฟม เนี่ยผมก็ไม่ใช้ครับเพราะอีกหน่อย โฟมบนหลังคาจะเป็นที่ดักเก็บฝุ่นดีๆ( เตรียมใจว่า อีกหน่อยลูกชายลูกสาวเป็นโรคภูมิเเพ้ โดยหาสาเหตุไม่เจอว่าฝุ่นมันมาจากไหน?)อันนี้จากประสบการณ์ที่เจอหน้างานบ้านลุกค้า จะเชื่อไม่เชื่อก็พิจารณาเองครับ     บ้านเราเนี่ย มันเเปลกตรงว่า เจ้าของบ้าน+สถาปนิก ติดรูปแบบ บ้านทรงยุโรป เอามาทั้งดุ้น,ไอ้บริษัทที่นําเข้า พวกฉนวนกันความร้อน ก็เอามาขายโดยบอกเเต่ข้อดี เเต่ไม่เคยพูดถึงข้อด้อย-สถาปนิกที่เลือกใช้ของ,กําหนดของที่ใช้ก็แย่ลง ไม่ใส่ใจในเรื่อง รายละเอียดดูเเม่งเเต่จาก โบว์ชัวร์ อย่างเดียวไม่เคยทดลองว่ามันดีจริงมั้ย (ที่บริษัทผม เคยปวดหัวกับ พวกบล๊อกก่อผนังกันความร้อน ที่จะเอาไปใช้ให้ลุกค้า มีเซลล์เสนอมากว่า4ยี่ห้อหลักการใช้โฟมผสมในบล๊อกก็ไม่เหมือนกันเลยแต่พี่ท่านก้ต่างเกทับว่าของตนดีกว่า เลยสั่งมาอย่างละ 50ก้อน มาตั้งก่อกลางลานจอดรถให้เเดดโดนเต็มๆตอนบ่ายๆทั้ง4ยี่ห้อ  เอาเทอร์โมมิเตอร์ทั่วไปถูกดีมา4อันตั้งสุง1เมตรห่าง10ซ.ม. วัดว่าด้านหลังบล๊อกก่อผนังกันความร้อนยี่ห้อไหน ความร้อนออกมาด้านหลังน้อยที่สุด ตูก็เลือกซื้อยี่ห้อนั้น?)   การป้องกันความร้อนจากหลังคา คุณต้องให้ความร้อนจากหลังคาลงมาน้อยที่สุด เเละต้องระบายความร้อนในห้องใต้หลังคา ที่ได้รับความร้อนจากหลังคาส่วนนึง+จากตัวบ้านที่ผ่านมาทางเพดาน,ตัวบ้าน ให้ออกจากห้องใต้หลังคาเร็วที่สุด อันนี้คือหลักการที่ถูกต้อง(ไม่งั้น บ้านคุณก็ไม่ต่างจาก ตู้เย็นที่ไม่เสียบปลั๊กนานๆอย่างนั้นเลยครับ) จากคุณ : pinhead (pinhead2000) - [ 2 พ.ค. 50 14:46:54 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถึงพ่นโฟมจะดี แต่ผมมักจะใช้กับหลังคาเหล็กมากกว่า ถ้ามุงโมเนียร์ใช้ฉนวนใยแก้ว 3"หรือ 6"วางบนฝ้าดีกว่า ถูกกว่าครับ จากคุณ : อืมม...V2 - [ 2 พ.ค. 50 15:17:22 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ฉนวนใยแก้ว เนี่ยตัวดี เวลาพสากติกที่หุ้มฉีกขาดจาก เหล็ก ทีบาร์ งานฝ้าหรือเปื่อยยุ่ยเองจากความร้อนในหลังคา ขนไยไฟเบอร์ปลิวลงมาห้องนอน(มองไม่เห็น) เเต่ผู้ใหญ่ที่ผมรู้จัก เข้าๆออกร.พ. บํารุงราษฎร์ หมดไปหลายเเสน จนเจ้าของบ้านนัดผมไปเจอหมอเจ้าของไข้ให้คําเเนะนําให้ไปช่วยดูภายในบ้าน พบว่าจริงอย่างที่หมอว่า ฉนวนใยแก้วฉีกขาดยุ่ยเต็มใต้หลังคา (อาการป่วยของเจ้าของบ้านคือ คันคอเเละในโพรงจมูกอักเสบทําให้ หายใจติดขัด มากว่า1ปีครับ)  ไปถามหมอโรค ภูมิเเพ้ ได้ว่าไอ้ไยไฟเบอร์ เนี่ยตัวเเสบเลยครับ จากคุณ : pinhead (pinhead2000) - [ 2 พ.ค. 50 15:27:26 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตอนตัดต่อเขาต้องเอาเทปอลูมิเนียมเก็บให้เรียบร้อย ไม่มีขาดออกมาครับ ใยแก้วครับไม่ใช่ใยไฟเบอร์ จากคุณ : อืมม...V2 - [ 2 พ.ค. 50 15:48:13 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ใช้พวก Cellulose Fiber น่าจะดีกว่านะ จากคุณ : ตาตี๋ - [ 2 พ.ค. 50 15:51:53 A:203.107.214.245 X: TicketID:014314 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณค่ะ ทุกๆ ท่าน ได้ยินผู้ใหญ่บอกมาเหมือนกันค่ะว่าพวกฉนวนกันความร้อนให้ระวังใยของมัน ถ้าเข้าปอดแล้วทีนี้แย่แน่ๆ ไม่ว่าจะเลือกใช้แบบไหน ระยะยาวก็จะมีปัญหาเรื่องฝุ่นทั้ง 2 ตัว ถึงตอนนั้น คงรื้อหลังคาลงทำใหม่อีกรอบ ยินดีรับคำแนะนำเพิ่มเติมนะคะ จากคุณ : teru teru bozo (Teru Teru Bozo) - [ 2 พ.ค. 50 16:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เซลลูโลสไฟเบอร์นี่แหละ นานๆไปโดนน้ำยุ่ยเละ ไม่ควรครับ จากคุณ : อืมม...V2 - [ 2 พ.ค. 50 16:30:20 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เกี่ยวกับวัสดุกันความร้อนหรือค่ะ ขอเก็บความรู้มาแลกเปลี่ยนกันด้วยคนคะ  เมื่อพูดถึงวัสดุกันความร้อนแบ่งกันเป็นประเภทใหญ่ได้ 2 แบบ แบบแรก เป็นวัสดุกันความร้อนที่กันความร้อนด้วยมวลสาร(Mass Insulation) อันนี้ความความว่าวัสดุที่ใช้ต้องมีค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อน หรือ ค่า K ต่ำ แบบเป็นจุดทศนิยมเลยเชียวค่ะยิ่งน้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น (ค่า K ไม่ใช่ค่าโง่ทางด่วนนะจ๊ะน้อง.....5555) วัสดุกันร้อนประเภทนี้ได้แก่ ฉนวนใยแก้ว, โฟม, เซลลูโลส, Rock Wool ฯลฯ วิธีเลือกใช้ ดูที่ค่า K ต้องน้อยๆ ความหนาต้องเยอะ โดยมากจะวางไว้บนฝ้าเพดาน ส่วนแบบที่ฉีดพ่นใต้หลังคาก็มีค่ะโดยมากมักจะเป็นพวกโฟมหรือเซลลูโลส (ที่จริงก็คือเยื่อกระดาษนั่นเอง) แบบที่สอง เขาเรียกว่าแผ่นต้านรังสีความร้อน (Radiant Barrier) หรือ แผ่นสะท้อนความร้อน (Reflective Insulation) โดยใช้หลักการสะท้อนรังสีความร้อน ที่รู้จักกันดีก็คือแผ่นสะท้อนความร้อนที่ทำจากอลูมิเนียฟอล์ย มีหากหลายยี่ฮ้อ ทั้งดีจริงและดีเทียม  แล้วจะเลือกอย่างไรถูกล่ะค่ะคุณพี่  ........ แผ่นสะท้อนความร้อนที่ดีต้องทำจากอลูมิเนียมฟอล์ยแท้ทั้งสองด้าน ด้านบนทำหน้าที่สะท้อนรังสีความร้อนซึ่งอลูมิเนียมสามารถสะท้อนรังสีความร้อนได้สูงถึง 95% ทำให้ความร้อนที่แผ่จากกระเบื้องหลังคาลงมาถูกสะท้อนกลับขึ้นไป แต่รังสีความร้อนนี้ไม่ได้ทะลุหลังคาไปไหนจะถูกอากาศที่อยู่เหนือแผ่นสะท้อนความร้อนและกระเบื้องดูดซับเอาไว้ และสะท้อนกลับไปมาอยู่อย่างนี้ ผลก็คือทำให้โพรงอากาศใต้ท้องกระเบื้องร้อนขึ้น อากาศที่ร้อนนี้จะถูกระบายออกผ่านรอยต่อกระเบื้อง เราเรียกว่าการหายใจของหลังคา..... ขณะที่ความร้อนส่วนที่เหลือจากการสะท้อนรังสีความร้อนจะแผ่ลงด้านล่างในอัตราที่ต่ำมากๆคะ เพียง 5% เท่านั้น เพราะอลูมิเนียมีความสามารถในการแผ่รังสีความร้อนต่ำนั่นเอง ....... เกือบลืมไปค่ะ........ ฉนวนประเภทนี้ไม่ต้องมองหาค่า K เสียให้ยากเพราะเป็นการสะท้อนรังสีความร้อนจึงต้องดูจากค่าความสามารถในการสะท้อนรังสี (Reflectivity) ซึ่งต้องมีค่ามากกว่า 90% ในขณะเดียวกันต้องแผ่รังสีความร้อนต่ำ (Emissivity) น้อยกว่า 10% ...... แล้วที่สำคัญต้องใช้ให้ถูกวิธีด้วยนะค่ะ คือ อย่าติดแนบใต้ท้องกระเบื้องนะค่ะ ต้องมีโพรงอากาศอย่างน้อย 5 ซม. และห้ามวางบนฝ้า  ........ วัสดุกันความร้อนประเภทนี้เป็นการสะท้อนรังสีความร้อน (Long Wavelength Infrared) ไม่ใช่สะท้อนแสงสว่าง ดังนั้นกรณีที่มีฝุ่นปกคลุมจึงไม่ทำให้ความสามารถในการกันความร้อนหมดไป แต่ประสิทธิจะลดลงบ้าง ~15% ส่วนการสะท้อนแสงสว่างจะเกิดที่ผิววัสดุเมื่อถูกฝุ่นปกคลุมก็ไม่สะท้อนแสงแล้วนะจ๊ะ ....... ตำราเข้าว่าไว้ แหมพูดมาเสียยาว......เดี๋ยวต้องกลับไปทำงานก่อนนะค่ะ....ไว้จะคุยให้ฟังใหม่......... Windflower who always captures everyone's dream!!! จากคุณ : Windflower (Windflower) - [ 8 พ.ค. 50 14:08:36 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ได้ความรู้มากมายค่ะ ขอบคุณมากนะคะ K.Windflower จากคุณ : Teru Teru Bozo - [ 11 พ.ค. 50 14:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ดูเหมือนแบบโฟมจะน่าใช้ที่สุดจริงไหมครับ  ถ้าเป็นเป็นโฟม PS นี่หนูชอบกัดแต่โฟม PU หนูไม่กัดเหรอครับ  ผมไม่ค่อยแน่ใจ  และก็ไม่รู้จะเลือกใช้แบบฉีดพ่นหรือแบบแผ่นดี  ช่วยแนะนำหน่อยครับ จากคุณ : บักงู - [ 11 พ.ค. 50 23:09:04 ]

ความคิดเห็นที่ 12 You are welcome ka...K. Teru Teru Bozo........ ว่างเว้นเสียหลายเพลา จากสังคม Cyber ไปเสียหลายวันค่ะ ....... ขอต่อความรู้กันอีกสักหน่อย "เรื่องเกี่ยวการใช้วัสดุกันความร้อน"   เดี๋ยวนี้ใครไม่เคยกล่าวถึง / ได้ยินคำว่า Global Warming เห็นที่ต้องอยู่หลังเขาแน่ๆ ..... แต่ที่จริงคนที่อยุ่หลังเขา พวกเขาเย็นสบายกว่าบ้านในเมืองตั้งเยอะค่ะ   บ้านในเมืองมันร้อน .... จะไม่ร้อนอย่างไงไหวล่ะคะท่าน มองไปที่ไหนก็เจอแต่สิ่งปลูกสร้างที่ทำจากการก่ออิฐถือปูนทั้งนั้น ทั้งบ้านก้เป็นตึก ถนนหนทางก้นไม่คอนกรีตก็ยางมะตอย ซึ่งล้วนแต่เก็ความร้อนกันทั้งนั้นเลยค่ะ  บ้านในเมืองจึงเผชิญกับปัญหาที่เขาเรียกกันว่า "เกาะแห่งความร้อน - Heat Island" อย่างในกรุงเทพบ้านเราเขาพบว่ามีโดมแห่งความร้อนคลุมเอาไว้ทำให้อุณหภูมิสูงกับพื้นที่ชายเมืองถึง 2-3 เซลเซียลเชียวนะค่ะ  ดังนั้นจะวิธีแก้ร้อนของคนกรุงอย่างเราคือ ติดแอร์ค่ะ  แต่พอติดแอร์แล้วก็ต้องเปลืองกระแสไฟฟ้ามากขึ้น ต้องเผาผลาญพลังงานเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ามากขึ้น แถมยังผลิตก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอีกด้วย ผลสุดท้ายโลกก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ  เราก็คงร้อนนนน...ก็ต่อไป.......เห็นไหมคะ....จุดเริ่มต้นเกิดจากพวกเรากันเองทั้งนั้น   การใช้วัสดุกันความร้อนไม่สามารถทำให้บ้านเย็นเหมือนการติดแอร์ไปได้หลอกคะ  เพียงแต่ทำให้ลดพลังงานความร้อนที่เข้าสู่ตัวบ้าน ..... ถ้าติดแอร์ก็จะเปลืองไฟน้อยลง.....อย่างไปหลงลม(ปาก)ใครเข้าเชียวนะค่ะ ว่าวัสดุกันความร้อนมีคุณสมบัติค่า K / ค่า r เท่านั้นเท่านี้ เพราะการกันความร้อนไม่ได้พิจารณาเฉพาะคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้เท่านั้นนะค่ะ  เขาต้องพิจารณาเป็นระบบ  โดยคำนึงวัสดุที่ใช้กันความร้อนและการจัดวางตำแหน่งด้วยค่ะ  ตัวอย่างเช่น หลังคาบ้านที่ใช้กระเบื้องโมเนีย ติดตั้งฉนวนใยแก้วหนา 6 นิ้ววางบนฝ้า ก็ต่างกับการติดไว้ใต้ท้องกระเบื้องโดยเว้นช่องว่างระหว่างฉนวนใยแก้วกับกระเบื้อง 10 ซม. หรือติดแผ่นฟอล์ย/แผ่นสะท้อนความร้อน วางบนฝ้าเพดาน กับติดบนหลังคาก็ได้ค่าในการกันความร้อนต่างกันเยอะเลยทีเดียวค่ะ  ทั้งๆที่ใช้วัสดุกันความร้อนอย่างเดียวกันแท้ๆๆๆๆ.......  การพูดถึงประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อนจึงไม่ได้หมายถึงตัววัสดุที่ใช้กันความร้อนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเขาจึงวัดประสิทธิภาพของการใช้วัสดุกันความร้อนจากค่าสัมประสิทธิการในการถ่ายเทความร้อน (Coefficient of Thermal Transmittance; U-value) ค่ะ ถ้าคำนวณออกมาได้ค่ายิ่งน้อยเท่าไรก็ยิ่งดีค่ะ เพราะมันหมายความว่ามีความร้อนถูกส่งถ่ายเขามาในห้องยิ่งน้อยลงไปนั่นเอง.......... แต่วัสดุกันความร้อนต้องใช้ให้เป็นนะคะ....เพราะบ้านเราเป็นเมืองร้อน และชื้น  การจะใช้วัสดุกันความร้อนเพียงอย่างเดียวคงไม่พอหลอกคะ   ลองดูภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของเรากันบ้างจะเห็นได้จากบ้านทรงไทย ที่เน้นการระบายอากาศคะ.....เขาเอาอากาศเย็นมา Cool Down ตัวบ้านบ้านโบราณจึงเย็นสบายยยย......  ดังนั้นที่แน่ๆประเทศไทยเรา....บ้านต้องมีการระบายอากาศด้วยดีด้วยค่ะ......... สำหรับวันนี้ขอพักก่อนนะคะ.......แล้วจะคุยให้ฟังเกี่ยวกับการกันร้อนกันต่อค่ะ...... Windflower who always captures everyone's dream......... จากคุณ : Windflower (Windflower) - [ 13 พ.ค. 50 19:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอคำแนะนำด้วยค่ะ  เพื่อนฝากมาให้ช่วยถาม บ้านเค้ามุงกระเบื้องซีแพคฉีดโฟมด้านใต้กระเบื้อง เมื่อเดือนก่อนเพื่อนตามไปดูช่างเปลี่ยนเสาทีวี ช่างเหยียบกระเบื้องแตกไป 2 แผ่น จะเปลี่ยนกระเบื้องได้ใหมค่ะ ( ไม่กล้ารื้อกระเบื้องออกกลัวโฟมที่ฉีดด้านล่างจะเสียหายค่ะ ) รบกวนผู้รู้ช่วยตอบด่วนค่ะ กลัวมากฝนตกหนักทุกวันเลย จากคุณ : อิ่มไออุ่น (อิ่มไออุ่น) - [ 18 พ.ค. 50 16:42:35 ]

ความคิดเห็นที่ 14 K. Windflower ค่ะ รอฟังเรื่องการกันร้อนต่อค่ะ สรุปว่าแผ่นสะท้อนความร้อนต้องปูตามแนวกระเบื้อง(บนแปหรือใต้แป) ดีกว่าวางบนฝาใช่ไหมค่ะ แล้วการตีระแนงหรือใช้ฝ้านอกชายคาแบบมีรูระบายอากาศช่วยเรื่องระบายความร้อนได้ดีแค่ไหน พอดีผู้รับเหมาจะตีฝาฉาบเรียบ แต่เราอยากได้แบบที่ระบายอากาศให้อากาศบนหลังคามีการระบายความร้อนนี่สิค่ะ คงต้องเพิ่มเงินในส่วนนี้อีกค่ะ รบกวนด้วยค่ะ จากคุณ : teru teru bozo (Teru Teru Bozo) - [ 18 พ.ค. 50 23:44:15 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ...รู้สึกว่าช่วงนี้ดิฉันจะชอบเพลง Beautiful Sunday มากเลยค่ะ เพราะมีเวลาว่างแวะเวียนมาคุยกับเพื่อนพ้องน้องพี่ก็ช่วงวันอาทิตย์เท่านั้นค่ะ   วันนี้ขอตอบแบบหมอลักษณ์ฟันธงเลยนะค่ะ.....สำหรับคุณ Teru teru Bozo ว่า ถ้าจะใช้แผ่นสะท้อนความร้อน หรือ แผ่นฟอล์ย ถ้าให้ดีที่สุดควรปูไว้ใต้แปค่ะ เพราะจะทำให้ Air Gap (ช่องว่างระหว่างกระเบื้องกับแผ่นสะท้อนความร้อน) มีขนาดที่สม่ำเสมอและเหมาะสม แต่พอพูดถึงตรงนี้ตรงขอขยายความสักหน่อย เพราะการติดไว้ใต้แปหมายความว่าให้ปูแผ่นสะท้อนความร้อนในแนวตั้งฉากกับจันทันแล้วใช้แปกดทับเอาไว้ ดังนั้นถ้าจะทำอย่างนี้ได้ถ้าหลังคาเป็นโครงไม้คงจะไม่มีปัญหาหลอกค่ะ....แต่หลังคาเป็นโครงเหล็กนี่สิปวดหัว......เพราะต้องให้ช่างเขาใช้แปประเภทแปกัลวาไนซ์ที่ติดตั้งด้วยตะปุเกลียวแทนการเชื่อมอ๊อกเหล็กถึงจะปูแผ่นสะท้อนความร้อนไว้ใต้แปได้นะจ๊ะ...... แหมพอพูดถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะบอกว่า"ถ้าบ้านใช้การเชื่อมแปไปแล้วทำอย่างไรล่ะคะ?" ......วิธีทำมันอยู่ที่ความเข้าใจในวัสดุกันร้อนประเภทนี้ว่ามันต้องการ Air Gap ดังนั้นเวลาติดตั้งให้ปูแผ่นสะท้อนความร้อนไปบนแปโดยให้แผ่นสะท้อนความร้อนหย่อย (ในลักษณะที่ตกท้องช้าง ... คนที่เคยลอดท้องช้างแก้บนคงจะนึกภาพออกนะค่ะ) แล้วมุงกระเบื้องทับตามปกติ เท่านี้ก็เท่ากับเราได้สร้าง Air gap แล้วล่ะคะ  ถึงแม้จะสู้เมื่อเทียบกับการติดไว้ใต้แปไม่ได้ แต่ก็ถือว่า Performance ยัง OK อยู่ค่ะ  ข้อดีของการติดบนแปก็คือ มันติดตั้งง่ายกว่าติดไว้ใต้แปค่ะ .....อย่างที่เคยบอกไว้นะคะ ว่าแผ่นสะท้อนความร้อนที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร  ระวังอย่าไปหลงคารม Saleman เข้าเชียวนะคะ เพราะแผ่นสะท้อนต้องทำมาจากอลูมิเนียฟอล์ยแท้ทั้งสองด้าน ไม่ใช่อะไรก็ไม่รู้สีเงินๆ เงา ก็เรียกว่าแผ่นสะท้อนความร้อนกันไปเสียหมด บางผู้ผลิตเอาเทคโนโลยีในการผลิตบรรจุภัณฑ์ - Metallised Foil / Plastic Foli ซึ่งใช้ในการถนอมอาหาร มาทำแผ่นสะท้อนความร้อนใช้กับหลังคาขาย (ขายแพงเสียด้วยซิ) ...เคยสังเกตุไหมค่ะ ว่าเวลาเราทานม่าม่า ฉีกซองออกมาจะเป็นสีเงินๆ.....พวก Metallised Foil / Plastic Foil นี้ถ้าในทางวิชาการแล้ว ค่า Reflectivity; r ไม่ถึง 90% หลอกค่ะ (ประมาณ 45% - 55% เท่านั้นเอง) แต่ทุกคนกลับบอกว่าค่า r ของเขาสูงด้วยกันทั้งนั้นล่ะคะ......เพราะฉะนั้น....ควรเลือกใช้จากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้นะค่ะ ......ต่ออีกสักนิด....เดียวนี้ทางซีแพคเขาออกแผ่นสะท้อนความร้อนรุ่นใหม่ รุ่นอัลตร้าคูล ซึ่งเป็นการนำแผ่นสะท้อนความร้อนมาผสมกับฉนวนใยแก้ว ซึ่งดูเข้าท่าดี เหมือนซื้อแบบ 2 in 1 นะค่ะ อย่างที่กล่าวในตอนที่แล้ว.....บ้านเราต้องมีการระบายอากาศด้วย ใช้วัสดุกันร้อนอย่างเดียวไม่พอ ....ฝ้าชายคาภายนอก...ต้องให้ระบายอากาศถูกต้องแล้วค่ะ ควรตีระแนงไม้เว้นร่อง หรือ ใช้ฝ้าชายคาแบบรูระบายอากาศในตัว (Soffit) เช่นของ Panalle เป็นต้น  การระบายอากาศที่ฝ้าชายคา (Soffit Ventilation) โดยปกติถือว่ามีประสิทธิภาพไม่สูงมากนักค่ะ เพราะหลักของการระบายอากาศจะต้องเกิดการ Flow Through - อากาศที่เย็นกว่าเข้ามาในโถงหลังคาแล้วถ่ายอากาศร้อยออกไปได้สมบูรณ์ (air exhange) แต่การระบายอากาศที่ชายคาไม่สามารถถ่ายเทอากาศได้สมบูรณ์หลอกค่ะ  ประสิทธิผลเพียงประมาณ 0.3 (ค่าประสิทธิผลการระบายอากาศ; E สูงสุด = 1 เช่นหลังคาทรงจั่ว มีช่องระบายอากาศ/Gable Louver ทั้งสองฝั่งตรงข้ามกัน เวลาลมพัดเข้าช่องลมทะลุไปอีกข้างหนึ่ง ค่า E = 0.7 เชียวคะ  แต่พอลมพัดมาอีทางไม่เข้าตรงช่องลม ค่า E เหลือเพียง 0.3 เองค่ะ) ปัญหาหนึ่งที่สำคัญของการระบายอากาศที่ฝ้าชายคาคือการอุดตันของรูระบายอากาศเมื่อมีฝุ่นมาปกคลุมค่ะ เพราะจะทำให้ประสิทธิผลการระบายอากาศลดลง   แต่การระบายอากาศตรงชายคานี้นอกจะเกิดบริเวณฝ้าเพดานภายนอกแล้วนะคะ ยังเกิดตรงบริเวณลอนกระเบื้องตรงไม้เชิงชายด้วยอีกค่ะ ดังนั้นอย่าใช้ไม้คว้านลอนไปปิดรูกระเบื้องนะค่ะ ถึงแม้จะดูสวยดี แต่ทำให้ความสามารถในการระบายอากาศเสียไป .... ใช้แผ่นปิดลอนเชิงชาย/แผ่นกันนกที่เข้ามีขายกันทั่วไปโดยเลือกให้เข้ากับชนิดกระเบื้องที่เราใช้อยู่นะคะ คงเป็นประโยชน์นะค่ะ ...... จริงๆแล้วเรื่องวัสดุกันความร้อนยังไม่จบนะคะ ไว้จะหาโอกาสมาคุยกันต่อนะค่ะ ปล. สำหรับ คุณอิ่ม ไอ อุ่น เป็นภาพสะท้อนอย่างหนึ่งของปัญหาการใช้โฟมฉีดพ่นใต้ท้องกระเบื้องค่ะ จะเปลี่ยนกระเบื้องหรือค่ะขอติดต่อทางซีแพคดู เข้ามีบริการด้านหลังคาอยู่ค่ะ Windflower who always captures everyone's dream!!!.... จากคุณ : Windflower (Windflower) - [ 20 พ.ค. 50 16:24:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 แหม...เสียดายจัง  ไม่รู้ว่าช่วงนี้คุณ Windflower จะชอบเพลง Beautiful Sunday  ผมเลยมัวแต่ไปฟังเพลง Sleepy Sunday  เมื่อวานเลยไม่ได้เปิดดู  ได้ความรู้ช้าไปเป็นวันแหนะ คุณ Windflower ตอบแนะนำสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารอได้ละเอียดยิบเลย  สงสัยต้องเป็นอจ. แน่เลย  แต่ที่บอกจะฟันธงๆ ก็เห็นเงื้อง่าแล้วแต่ไม่ฟันซักที  นี่ถ้าพวกโฟมมันมีจิตใจมันคงน้อยใจไปแล้ว  ไม่เห็นคุณ Windflower เปรียบเทียบกับพวกฟอยล์หรือใยแก้วซักที  ให้มันเห็นดำเห็นขาวกันไปเลยว่าอย่างนี้ดีกว่าอย่างนั้นแต่มีข้อเสียคือแพง ... ฯลฯ อาทิตย์หน้าจะเฝ้าหน้าจอเลยนะครับ  ป่านนี่คุณ Teru Teru Bozo สงสัยสร้างบ้านเสร็จไปนานแล้ว  ฮ่าๆๆ จากคุณ : บักงู - [ 21 พ.ค. 50 13:15:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ยังรอคุณ Windflower มาฟันธงได้เรื่อยๆ ค่ะ ต้องท่องไว้จะสร้างบ้านทั้งที ต้องใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเลื่อนโครงการซ่อมแซมใหญ่ ตอนนี้ซ่อมเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อนค่ะ ขอบคุณค่ะ คุณ Windflower (สงสัยเหมือนคุณบักงู ท่าทางจะเป็นอจ. แน่เลย) จากคุณ : Teru Teru Bozo - [ 24 พ.ค. 50 14:20:45 ]

ความคิดเห็นที่ 18  ขอบคุณคะคุณ Teru Teru Bozo และคุณบักงูด้วยนะค่ะ  .....ขอทำหน้าที่กรรมการชาติเป็นกลางต่อตามประสานักวิชาการนะคะ....... ทุกคนต้องการให้บ้านเย็นสบาย ไม่ร้อนอบอ้าวด้วยกันทั้งนั้น (หนึ่งใน Human Comfort สภาวะน่าสบายของมนุษย์ ก็คือ Thermal Comfort สภาวะน่าสบายเชิงความร้อน  ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่บ่นมากที่สุด  แต่แท้ที่จริงแล้ว สภาวะน่าสบายของมนุษย์ยังรวมไปถึงการระบายอากาศ-ต้องมีลมพัด และมีความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมด้วยค่ะ)   วัสดุกันความร้อนหรือฉนวนกันความร้อนจึงถูกนำมาใช้ในบ้านเมืองเราด้วยความหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยกันความร้อนไม่ให้เข้ามาในบ้านได้ บ้านจะได้เย็นสบาย......แต่ผู้ที่มีประสบการณ์ในการใช้วัสดุกันความร้อนหลายท่านคงบอกเป็นเสียเดียวกันว่า....."ไม่เห็นว่าบ้านเย็นอย่างที่วาดหวังไว้เลย....!!!"   ที่จริงแล้ววัสดุกันความร้อนนั้นมีความหมายเป็นสองนัย คือทั้งกันความร้อนไม่ให้เข้า หากเข้ามาแล้วก็กักให้ออกยากด้วยเช่นกัน.......ลองนึกภาพถึงตู้เย็นกับกระติกน้ำร้อนดูสิคะ  ทั้งสองต่างเหมือนกันที่เป็นโครงสร้างที่ Insulated ทั้งคู่  ตู้เย็นตัวตู้ก็กรุฉนวนกันความร้อนทั้งหมด สร้างความเย็นโดยการดูดความร้อนในตัวตู้ออกมาทิ้งข้างนอก  ....ส่วนกระติกน้ำร้อนตัวกระติกก็กรุฉนวนกันความร้อนทั้งหมดจึงทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิของน้ำร้อนในกระติกได้    แต่ลองนึกภาพมุมกลับว่าหากตู้เย็นไม่มีเครื่อง Compressor ที่คอยดูดความร้อนออกไปทิ้งข้างนอกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น......สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือตู้เย็นก็จะกลายเป็นกระติกน้ำร้อนสิคะ  เพราะอย่างไรเสียความร้อนก็ยังสามารถถ่ายเทจากภายนอกตู้เย็นเข้ามาในตู้เย็นได้อยู่ดีค่ะ ดังนั้นการใช้วัสดุกันความร้อนจึงต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าไม่ใช่การสร้างความเย็น เป็นเพียงการลดปริมาณความร้อนที่เข้าสู่ตัวบ้าน......เนื่องจาก "บ้าน" ไม่ใช่ระบบปิดเหมือนอย่างตู้เย็นและกระติกน้ำร้อน  บ้านมีช่องเปิดทั้งหน้าต่าง ประตู มากมายหลายจุด มีการถ่ายเทของอากาศตลอดเวลา  ดังนั้นการใช้วัสดุกันความร้อนเพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบทั้งหมดนะค่ะ พูดเกริ่นมาเสียยาวววว......ขอเข้าเรื่องเสียที  วันนี้ขอพูดถึงหลักเกณฑ์ในการเลือกใช้วัสดุกันความร้อนจำพวก Mass Insulation (ฉนวนใยแก้ว  โฟม  เยื่อกระดาษ/เซลลูโลส  Rockwool etc.) ว่ามีหลักทางวิชาการอย่างไร จะได้มีเกณฑ์ในการตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผลกันนะค่ะ 1) พิจารณาจากคุณสมบัติความเป็นฉนวนกันความร้อน โดย Key Attribute ของฉนวนประเภทนี้ก็คือค่า K - ค่าสัมประสิทธิ์ในการนำความร้อน(มีหน่ายเป็น W/m.K)  โดยค่ายิ่งน้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น  น้อยชนิดเป็นจุดทศนิยมเชียวคุณ  เมื่อพิจารณาในข้อนี้ดูเหมือนวัสดุกันความร้อนในตระกูลโฟมจะดีที่สุดค่ะ (โพลียูรีเทนโฟม K=0.023 - 0.025,  ฉนวนใยแก้ว K=0.035 - 0.038, เยื่อกระดาษ K=0.039 - 0.045, Rockwool K= 0.035 - 0.090) ==> ในทางวิชาการนะคะ  ค่า K จะแปรผันตามอุณหภูมิของวัสดุที่เพิ่มขึ้น ค่าที่ผู้ผลิตเขาบอกเรานั้นเป็นค่าที่วัดที่อุณหภูมิ 24 องศาเซลเซียส  เมื่อวัสดุกันความร้อนกักหน่วงความร้อนไปสักพักอุณหภูมิของมันก็จะสูงขึ้น และค่า K ก็เพิ่มตามไปด้วย  นั้นหมายความว่าความสามารถในการกันความร้อนลดลง 2) ต้องมีความหนา เพราะการกันความร้อนของวัสดุกันความร้อนประเภทนี้จะต้องมีความต้านทานความร้อน (Thermal Resistence - sq.m. K/W) ที่เหมาะสม  ซึ่งค่าความต้านทานความร้อนสามารถหาได้จาก การเอาความหนาของวัสดุกันความร้อนตั้งหารด้วยค่า K ของวัสดุกันความร้อนของวัสดุนั้น  เท่านี้ก็สามารถรู้ได้ว่าวัสดุกันความร้อนที่จะใช้ ชนิดไหนมีประสิทธิภาพในการกันความร้อนดีกว่ากัน โดยค่า R ยิ่งมีมากก็ยิ่งดี เช่น โพลียูรีเทนโฟม K=0.023 หนา 5 มม. จะมีค่า R = 0.217  หากเปรียบเทียบกับฉนวนใยแก้ว ซึ่งมีค่า K = 0.035 หนา 50 มม. จะมีค่า R = 1.428  ....... เห็นไม่คะว่าความหนามันมีอิทธิพลขนาดไหน  อย่าไปดูแต่ค่า K เพียงอย่างเดียวนะคะ ==> ค่า R ขั้นต่ำสำหรับหลังคาต้องไม่น้อยกว่า 2.143   และถ้าใช้กับผนังต้องไม่น้อยกว่า 1.428 ค่ะ 3) ให้ความหนาแน่น(Density) ของวัสดุกันความร้อนประกอบด้วยค่ะ  ถึงแม้ความหนาแน่นจะไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับค่า R แต่อย่างใด  แต่มีผลกับการใช้งานในระยะยาว เพราะ Mass Insulation โครงสร้างจะมีโพรงอากาศอยู่จำนวนมาก  ดังนั้นหากเนื้อวัสดุกันความร้อนยุบตัวลงความหนาก็จะน้อยลงไปด้วย  เมื่อความหนาลดลง ค่า R ก็จะลดตามไปด้วยนะคะ   ดังนั้นวัสดุกันความร้อนที่มีความหนาแน่นสุงกว่า ความเสถียรของเนื้อมวลย่อมสูงกว่า(ยุบยาก) 4) วิธีการติดตั้ง (ความยาก-ง่าย) และการบำรุงรักษา   โดยปกติการติดตั้งวัสดุกันความร้อนสำหรับหลังคามีด้วยกัน 3 วิธีหลักคือ   4.1 แบบฉีดพ่นใต้ท้องกระเบื้อง (โพลี-ยูเรเธนโฟม)  วิธีนี้ต้องระวังในเรื่องการ Maintenance หลังคากรณีหลังคารั่ว หากต้องเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาจะเปลี่ยนยากมากๆๆๆขอบอก  และควบคุมความหนาได้ยาก บางจุดหนาบางจุดบางไม่สม่ำเสมอ  และการฉีดพ่นใต้ท้องกระเบื้องต้องทำภายหลังมุงหลังคาแล้วเสร็จดังนั้น Pressure ที่ใช้ฉีดพ่นอาจจะแรงพอทำให้กระเบื้องเผยอ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลังคารั่วซึมได้....หลายท่านเข้าใจว่าเมื่อฉีดพ่นวัสดุกันความร้อนทั่วใต้ท้องกระเบื้องแล้ว ทำไมหลังคายังรั่วอีกได้ล่ะคะ.....อ๋อ...มันเนื่องมาจาก....ในความจริงแล้วการฉีดพ่นวัสดุกันความร้อนไม่สามารถฉีดเข้าไปได้ทุกซอกทุกมุมคะ   และในระยะยาววัสดุกันความร้อนที่ฉีดพ่นอาจหลุดร่อนได้ (ขณะฉีดพ่นต้องทำความสะอาดพื้นผิวที่จะฉีดพ่นให้ดี มิฉะนั้นจะมีปัญหาเรื่องการยึดเกาะของวัสดุกันความร้อนตามมาค่ะ)   4.2) กรณีที่ฉีดพ่นบนฝ้าเพดาน (เยื่อกระดาษ) ก็เช่นกัน  หากจะซ่อมบำรุงฝ้าเพดาน ระบบไฟฟ้า ระบบประปาที่อยู่บนฝ้าเพดาน จะดำเนินการได้ยากมากๆๆ ***** การฉีดพ่นต้องระวังเรื่องการกัดกร่อนที่เกิดขึ้นกับโครงหลังคาเหล็ก / กระทงฝ้าเพดาน อันเนื่องมาจากสารเคมีบางตัวที่ผสมอยู่ในเนื้อวัสดุกันความร้อนค่ะ   4.3 ชนิดเป็นแผ่น/เป็นม้วน ติดตั้งไว้ใต้หลังคา (ฉนวนใยแก้ว) ต้องพิจารณาถึงว่าวัสดุกันความร้อนนั้นๆ มีปัญหาเรื่องการกันความชื้นหรือไม่ เพราะความชื้นที่เข้าไปในเนื้อวัสดุกันความร้อนจะทำให้คุณสมบัติในการกันความร้อนเสียไป  และการติดตั้งต้องไม่ทำให้เกิดการกดทับ ยุบตัว อันทำให้ความหนาของวัสดุกันความร้อนลดลง   4.4 ชนิดเป็นแผ่น / ม้วนวางบนฝ้าเพดาน (ฉนวนใยแก้ว  โพลี-สไตรีนโฟม) ไม่ควรติดตั้งให้วัสดุกันความร้อนวางทับตรงตำแหน่งหลอดไฟ โดยเฉพาะการใช้กับหลอดไฟประเภทดาวน์ไลท์  นอกจากจะทำให้อายุการใช้งานของหลอดไฟสั้นลงเนื่องการการสะสมความร้อนระหว่างการใช้งานแล้วยังเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีได้นะค่ะ 5)  วัสดุกันความร้อนที่ดีต้องไม่ติดไฟ และไม่สร้างก๊าซพิษนะค่ะ  บางชนิดไม่ติดไฟแต่เกิดควันพิษ (จำพวกสารไซยาไนด์) 6)  ผลกระทบด้านสุขภาพ     6.1 ฝุ่นของวัสดุกันความร้อน ที่เป็นประเด็นมาที่สุดก็คือฉนวนใยแก้ว  เมื่อใยแก้วเสื่อมสลายตัวจะแตกเป็นฝุ่นละอองลงมาซึ่งจะเกิดการระคายเคือง / โรคภูมิแพ้ได้  ดังนั้นฉนวนใยแก้วจึงควรบรรจุในห่อที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว   6.2 กลิ่น บางชนิดมีกลิ่นในเนื้องตั้งแต่แรก  หรือติดตั้งไปแล้วเกิดความอับชื้นในโถงหลังคาแล้วเกิดกลิ่นสร้างความรำคาญขึ้น 7) สุดท้ายหนีไม่พ้นต้องคุยกันเรื่องราคา แต่ขอให้พิจารณาเป็น 3 มิตินะคะ   7.1 Initial Cost พิจารณาจากว่าถ้าเราตกลงใช้วัสดุกันความร้อนชนิดนั้นชนิดนี้แล้ว ต้องจ่ายเงินทั้งหมดกี่บาท (อย่าเทียบเป็นบาทต่อตารางเมตรนะคะเพราะพื้นที่ติดตั้งไม่เท่ากัน  ติดตั้งบนหลังคาใช้พื้นที่เยอะกว่าบนฝ้าเพดานค่ะ)  7.2 Maintenance Cost หากใช้ไปๆ แล้วต้องซ่อมบำรุงเสียใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหน  ต้องซ่อมอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกัน ........ บอกตรงๆนะคะ เมืองไทยเราไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ  คิดอย่างเดียวใช้ของดีที่สุดตอนปลูกบ้านแล้วจบ  แต่ลืมนึกไปทุกอย่างย่อมมี Service Life ทั้งนั้น ถ้าต้องการจะทำให้ประสิทธิภาพต่างยัง Perform ได้ดี ต้องมีการบำรุงรักษาเข้ามาด้วยเสมอค่ะ   7.3 Cost Effectiveness จ่ายเงินไปแล้วคุมหรือไม่ ถ้าพิจารณาอย่างง่ายคำนวณได้จาก (Initial cost) หารด้วย (R-Value) ค่ะ  เท่านี้ก็รู้แล้วว่าอะไรดีกว่ากัน วันนี้บรรยายมายาวมากแล้วค่ะ  ไว้โอกาสหน้าจะคุยเรื่อง Reflective Insulation บ้างว่าเขาเลือกกันอย่างไร......วันนี้....สวัสดีค่ะ.... Windflower who always captures everyone's dream!!! แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 50 20:11:12 จากคุณ : Windflower (Windflower) - [ 26 พ.ค. 50 14:04:04 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อันนี้เป็นผนังที่ บริษัทฯผมออกแบบกันความร้อนให้ลูกค้า เนื่องผนังด้านนี้โดนเเดดเต็มๆ หลักการง่ายๆ ทํากําเเพง2ชั้น โดยตรงกลางเล่นยึด ไมโครไฟเบอร์หนามากกว่า 4 นิ้ว เเล้วทําก่อฉาบเรียบปูวอลเปปเปอร์สวยหรู สร้างให้ลูกค้า ปีพ.ศ.2547 เนี่ยก็ 3 ปีเเล้วครับ เคยสอบถามเจ้าของบ้านที่ผมทําไป พอใจมากเพราะกําเเพงเย็น ไม่ร้อน เเละ เก็บเสียงดีมากครับ แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 50 23:04:40 จากคุณ : pinhead (pinhead2000) - [ 28 พ.ค. 50 23:03:01 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ต้องขอขอบพระคุณอจ.Windflower เป็นอย่างสูงที่ได้กรุณาสละเวลามาให้ความรู้กับพวกเราอย่างละเอียดยิบๆๆๆ  จะขอติดตามตอนต่อไปในสุดสัปดาห์นี้นะครับ ตอนนี้ผมคงต้องเลือกตัดสินใจระหว่างโฟมแบบแผ่น(ไม่รู้จะมีชนิดที่เหมาะสมหรือเปล่า) กับฉนวนใยแก้วที่มีฟอยล์ห่อหุ้ม(อย่างมิดชิดจนวางใจได้ว่าไม่รั่ว)  เฮ้อ....รักพี่ก็เสียดายน้อง  เอ๊ย...ต้องเรียกว่าแต่ละอย่างก็มีข้อดีข้อเสียสูสีกันมากต่างหากถึงจะถูก ไม่ทราบว่าแบบโฟมที่มีฟอยล์หุ้มด้วยนี่มีที่ไหนขายบ้างไหมครับ สวัสดีครับคุณ pinhead  พวกอิฐมวลเบาบางรุ่นเดี๋ยวนี้ทำเหมือนแบบคุณเลย  ตรงกลางแผ่นใส่ไส้ eps  แต่ความหนาแค่ 1/3 ของคุณเท่านั้น  เอ.... แต่ว่าคุณใช้ใยแก้ว ไม่ได้ใช้โฟม  ใยแก้วนี่ประมาณ 10 ปีจะป่นเป็นผงหรือเปล่าครับ  ถ้ามันหมดอายุใช้งานแล้วต้องเปลี่ยนนี่คงยากน่าดู จากคุณ : บักงู - [ 29 พ.ค. 50 11:57:04 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ......สวัสดีค่ะกลับมาตามคำสัญญา......เท่าที่เห็นการพูดคุยในกระทู้นี้มีทั้งท่านที่เคยใช้ Fiber Glass, Foam, และ Cellulose กันมาบ้างแล้ว  ซึ่งล้วนแต่เป็นวัสดุกันความร้อนประเภท Mass Insulation ทั้งนั้นเลย.....วันนี้เดิมตั้งใจจะแวะเวียนไปคุยเรื่อง Reflective Insulation บ้างคงจะไม่ดี เพราะบางท่านคุยมาหลังไมค์อยากทราบเกี่ยวกับเรื่องโฟม (Foam) ดังนั้นวันนี้จึง Share ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยคะ ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่าโฟมกันความร้อน(Foam Insulation) คืออะไร......แน่นอนโฟมกันความร้อนเป็นวัสดุทีมนุษย์สร้างขึ้น  หลักการสร้างวัสดุกันความร้อนประเภท Mass Insulation ก็คือ การหาวัสดุที่มี Thermal Conductivity (ค่า K) ต่ำมาทำให้เกิดโพรงอากาศ มีทั้งที่เป็น Bubble ในเนื้อมวลวัสดุเอง-Closed Cell เช่น โฟมบางประเภท หรือ เกิดคความฟู มีโพรงอากาศภายนอกเนื้อมวล-Open Cell อย่างฉนวนใยแก้ว เป็นต้น......แต่ในBubble ของโฟมกันความร้อนนั้นยังบรรจุก๊าซเฉื่อยเข้าไปด้วยทำให้การนำความร้อนเกิดได้ยากขึ้น ดังจะเห็นว่าค่า K ของโฟมจะต่ำมากค่ะ ==> สมัยก่อนเข้าใช้สาร CFC ในการทำโฟมแต่ปัจจุบันได้เลิกใช้กันหมดตาม Kyoto Protocol ค่ะ เพราะสาร CFC เป็น Green House Gas ส่งผลให้เกิดปัญหาโลกร้อนตามมาไงคะ  แต่มีความจริงอยู่ว่าก๊าซเฉื่อยที่นำมาใช้แทน CFC มีประสิทธิภาพในการกันความร้อนด้อยกว่าเดิมด้วยคะ โฟมกันความร้อนมีหลายประเภททั้งชนิดที่ป็นแผ่น และชนิดที่เป็นของเหลวใช้ฉีดพ่น  โฟมกันความร้อนที่รู้จักกันดีก็คือ 1) Extruded Polystyrene Foam Insulation Board (XPS) มีลักษณะเป็นแผ่น เนื้อละเอียด โครงสร้างแข็งแรง และมีค่า K ต่ำกว่า EPS (ดูข้อ 2)  สามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งการติดตั้งบนหลังคา ที่ผนังและพื้น  ที่นิยมใช้ในการกันความร้อนจะมีการจะหุ้มผิวด้วย polypropylene sheet ซึ่งให้ความแข็งแรงเพิ่มขึ้นและเป็น Moisture Barrier ในกรณีเกิด Condensation ด้วย (โดยปกติโฟมประเภทนี้เป็น Closed Cell Structure อยู่แล้วจึงไม่มีการดูดซึมน้ำ).....ติดไฟได้แต่ผู้ผลิตก็ผสมสาร Fire Retardant เอาไว้จึงไม่ค่อยมีปัญหา แต่ก็อย่างลืมเป็น Check List อย่างหนึ่งในการเลือกซื้อนะค่ะ........แต่ที่สำคัญโฟมพวกนี้เหมือนสาววัยใสทั่วไปที่กลัวต่อการสัมผัสกับ UV ค่ะ จะทำให้ Deteriorate ได้นะค่ะ 2) Expanded Polystyrene Foam Insulation Board (EPS) เนื้อจะหยาบกว่า XPS (ในข้อ 1) มีค่า K สูงกว่า (แสดงว่ากันความร้อนได้น้อยกว่านั่นเอง) มีราคาถูกว่าแบบแรก แต่มีปัญหาเหมือนกันเกี่ยวกับเรื่อง UV ทำให้เกิดการเสื่อมสลายจึงต้องมีใช้วัสดุปิดผิวด้วยเช่นกัน  แต่กันน้ำสู้ XPS ไม่ได้ ที่สำคัญหากติดไฟจะเกิดก๊าซคาร์บอนมอนอ๊อกไซด์ (CO) ซึ่งเป็นก๊าซพิษชนิดหนึ่ง 3) Spray Applied Polyurethane Foam (PU Foam) เป็นสารประเภทพลาสติกโพลิเมอร์ประเภทหนึ่ง มีโครงสร้างเป็นเซลแบบกึ่งปิดทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมน้ำ และน้ำจะทำให้ค่า K เพิ่มขึ้นหากมีการดูดซับเข้าไปในเนื้อมวล .....ปัญหาที่สำคัญของ โฟม PU แบบฉีดพ่นก็คือ ค่า Thermal resistance ต่ำลงตามระยะเวลาการใช้งานเนื่องจากเกิดการแพร่ของอากาศเข้าไปในเซลทำให้ความเป็นฉนวนลดลง.....ค่า R-Value อาจลดลงได้ 10 - 15% ภายหลังใช้งานไป 1 ปีค่ะ    และมีปัญหาเลือก UV ด้วยเช่นกัน   อีกประการหนึ่งเมื่อติดไฟยังเกิดสารที่มีองคืประกอบของไซยาไนด์ด้วยคะ ......การฉีดพ่นใต้ท้องวัสดุมุงหลังคาต้องระวังปัญหาหลังคารั่ว (ดูความเห้นของคุณอิ่ม ไอ อุ่น ข้างบน) ซ่อมเปลี่ยนกระเบื้องได้ยากมาก   ระวังเรื้อง Corrosion ที่จะเกิดกับโครงหลังคาเหล็ก  การหลุดร่อนภายหลัง  โดยปกติแล้วนิยมใช้หากฉีดพ่นในโครงสร้างแบบปิดเช่นผนังห้องเย็น นับได้ว่าเป็นฉนวนที่ดีมากๆเลยคะ  แต่พอมาใช้กับบ้านที่เป็นโครงสร้างแบบเปิดอาจด้อยประสิทธิภาพลงตามที่รียนให้ทราบข้างต้น 4) Polyethelene Foam (PE Foam) มีโครงสร้างฉนวนเป็นแบบ Closed Cell ต้านทานความชื้นได้ดี บางชนิด Laminate ด้วยแผ่นฟอล์ย ซึ่งช่วยในการป้องกัน UV และกันชื้น  โฟมชนิดนี้เมื่อเกิดการติดไฟจะสร้างควันพิษ (ก๊าซคาร์บอนมอนอ๊อกไซด์)  ในการใช้งานจะเป็น PE Sheet มีความหนาไม่มากทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานไม่สูงพอ ทุกอย่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียล่ะคะ  ดังนั้นการพิจารณาเลือกใช้วัสดุกันร้อนประเภท Mass Insulation จึงต้องพิจารณาร่วมกันในหลายมิติ (ดูหลักเกณฑ์ในการเลือกใช้ Mass Insulation ทั้ง 7 ข้อที่กล่าวไว้ในครั้งที่แล้วค่ะ) หวังใจเป้นอย่างยิ่งคงจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านที่ติดตามอยุ่นะค่ะ........ครั้งหน้าค่อยพบกันใหม่.......วันนี้ขอยุติเพียงเท่านี้ก่อนนะค่ะ Windflower who always captures everyone's dream!!! จากคุณ : Windflower (Windflower) - [ 3 มิ.ย. 50 15:50:59 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ต้องขอขอบพระคุณอจ. Windflower อีกครั้งและขอสอบถามเพิ่มเติมปัญหาของตัวเองแทนท่านจขกท. หน่อยนะครับ ส่วนตัวผมเองคงสนใจตัว xps มากกว่าอย่างอื่น  แต่จนใจหาผู้ขายไม่ได้ซักที  เซิร์ชยังไงก็ไม่เจอ  วานอจ. หรือท่านผู้อื่นช่วยแนะนำหน่อยนะคร้าบ จากคุณ : บักงู - [ 6 มิ.ย. 50 11:55:22 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มาติดตามต่อค่ะ ข้อมูลเพียบวิชาการล้วนๆเลย ขอบคุณท่านอาจารย์ Windflower ค่ะ ขอบคุณคุณ Pinhead 2000 ที่นำภาพตัวอย่างมาฝากอีกทีค่ะ จากคุณ : teru teru bozo (Teru Teru Bozo) - [ 11 มิ.ย. 50 09:23:42 ]

ความคิดเห็นที่ 24     สวัสดีค่ะทุกท่าน.......ก่อนอื่นขอเรียน "คุณบักงู" ให้ทราบเกี่ยวกับ XPS Foam เพิ่มเติมหน่อยนะคะ  เท่าที่ดิฉันทราบโฟมชนิดนี้ยังไม่สามารถผลิตได้ในเมืองไทยต้องนำเข้าจากต่างประเทศค่ะ มี Treader บางรายนำเข้ามาขาย......แต่ขออนุญาตนะค่ะที่จะไม่แนะนำในกระทู้ค่ะเพราะอยากทำหน้าที่ของนักวิชาการอิสระต่อไปเรื่อย....ขอบคุณค่ะ วันนี้ขอเข้าเรื่องที่ตั้งใจไว้เสียทีเกี่ยวกับ Reflective Insulation หรือ ทางวิชาการเราเรียกมันว่า "Radiant Barrier" หรือ ที่รู้จักกันดีในนามของ "แผ่นสะท้อนความร้อน หรือ แผ่นฟอล์ย".......ซึ่งมีการใช้อยู่สอง application ใหญ่ด้วยกันคือ A) การใช้เป็นแผ่นกันชื้น (Vapour Barrier) โดยมากมักจะใช้ปิดผิวของแผ่นฉนวนใยแก้ว เพื่อป้องกันความชื้นเข้าไปในเนื้อใยแก้ว อันจะทำให้ความสามารถในการกันความร้อนของฉนวนใยแก้วลดลง ...... ซึ่งตรงนี้เองแหละค่ะที่สร้างความสับสนให้กับผู้บริโภคว่าสามารถใช้ใน Application ของแผ่นสะท้อนความร้อนได้หรือไม่????  .....เอาฉนวนใยแก้วชนิดเป็นแผ่นปิดผิดด้วยฟอล์ยทั้งสองด้านไปว่าบนฝ้าเพดาน  ดูเหมือนจะได้ของ 2-in-1 เลยมีทั้งแผ่นสะท้อนความร้อนจาก Foil บวกกับความสามารถในการหน่วงความร้อนของฉนวนใยแก้วอีก......As a matter of fact.....อันที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดคะ  มันทำหน้าที่เพียงแต่กักหน่องความร้อนโดยเนื้อฉนวนใยแก้วเท่านั้น   แต่ Function ในการสะท้อนรังสีความร้อนมันไม่เกิด ..... ที่ไม่เกิดเพราะ    1) ไม่มี Air Gap ที่เหมาะสม อยู่ในที่จำกัด โดยปกติ Air Gap ที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 20 - 100 มม. ค่ะ......เหตุที่ต้องบีบ Gap อากาศให้จำกัดก็เพราะ หากมี Air Gap ใหญ่ไป เกินกว่า 100 มม. มันจะกลายเป็น Air Space คะ เกิดการไหลของความร้อนโดยการพาความร้อน หรือ การระบายอากาศได้โดยง่าย    2) เมื่อวางอยู่บนฝ้าเพดาน แผ่นฟอล์ยด้านล่างซึ่งจะต้องทำหน้าที่ในการแผ่รังสีลงสู่ด้านล่างในปริมาณที่น้อยมาก (ตามคุณสมบัติของฟอล์ยที่มี emissivity เพียง 5% ) .......... แต่พอวางไว้บนฝ้าเพดาน แทนที่แผ่นฟอล์ยจะเกิดการแผ่รังสีความร้อนแต่กลับกลายเป็นการนำความร้อนแทน ซึ่งแท้ที่จริงฟอล์ยก็คืออลูมิเนีย   อลูมิเนียก็คือโลหะ  และโลหะทุกชนิดเป็นตัวนำความร้อนอย่างดีมากๆคะ.....ดังนั้นเมื่อความร้อนเมื่อเดินทางมาถึงแผ่นฟอล์ยด้านล่างจะเกิดการรั่วทางความร้อนทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมลดลงค่ะ B) การใช้เป็นแผ่นสะท้อนความร้อน (Radiant Barrier) ตามที่เคยกล่าวมาบ้างแล้วข้างต้นว่าแผ่นสะท้อนความร้อนอาศัยหลักการในการสะท้อนรังสีความร้อนสูงของแผ่นฟอล์ยด้านที่รังสีความร้อนตกกระทบ (แผ่นฟอล์ย หมายถึงแผ่นอลูมิเนียแท้ บริสุทธิ์ ~98% รีดจนเป็นแผ่นบางๆ หนาประมาณ 6-8 ไมครอน) ซึ่งมีค่าการสะท้อนรังสีความร้อน (Reflectivity; r) สูงมาก สูงถึง 95% ในการสะท้อนรังสีความร้อนที่คายมาจากกระเบื้องสะท้อนกลับขึ้นไป ผ่าน Air Gap ที่จำกัด ที่มีขนาดเหมาะสม ซึ่งปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นตลอดเวลา........กระเบื้องคายรังสีความร้อน พอตกกระทบแผ่นสะท้อนความร้อนก็สะท้อนกลับขึ้นไป         กลับไปกลับมาอยู่อยากนี้....มันจะทำให้อากาศร้อนขึ้นเรื่อย.....ใน Ideal นะค่ะ อากาศนี้ก็จะไม่เกิดการนำและพาความร้อน เกิดเฉพาะการแผ่รังสีความร้อนเท่านั้นค่ะ.....ซึ่งสภาพเช่นจะเกิดฉนวนอากาศเกิดขึ้น........แต่ในทางปฏิบัติมวลอากาศร้อนที่กักเก็บใน Air Gap เหนือแผ่นสะท้อนความร้อนจะมีการถ่ายเทออกไปสู่ภายนอกผ่านทางรอยซ้อนทับของกระเบื้องด้วยเนื่องจากเกิดการเหนี่ยวนำความร้อนกับมวลอากาศที่เย็นกว่าภายนอก          ในขณะเดียวกันเมื่อแผ่นสะท้อนความร้อนดูดซับความร้อนเข้าไปเมื่อพลังงานความร้อนเดินทางลงมาถึงแผ่นฟอล์ยด้านล่าง  แผ่นฟอล์ยด้านล่างก็จะต้องคาย/แผ่รังสีความร้อนให้กับโถงอากาศด้านล่างด้วย  แต่เนื่องจากด้านล่างก็เป็นอลูมิเนียดังนั้นจึงแผ่รังสีความร้อนออกมาในปริมาณที่ต่ำมาก  เนื่องจากอลูมิเนียมีความสามารถในการแผ่รังสีความร้อนให้กับอากาศ (Emissivity; e) ต่ำมาก ~5% เท่านั้นค่ะ ....... นี่แหละทำไมแผ่นสะท้อนความร้อนถึงกันความร้อนได้.......ที่สำคัญต้องติดตั้งให้ถูกวิธี โดยที่ต้องมีอากาศรองรับทั้งผิวฟอล์ยด้านบนและด้านล่าง  ด้านบน (ถ้าเป็นพื้นผิวที่รังสีตกกระทบ) Air Gap ต้องมีขนาดจำกัด Gap อยู่ระหว่าง 20 - 100 มม.เท่านั้นนะคะ        แล้วก็อย่าลืมแผ่นสะท้อนความร้อนต้องมีอลุมิเนียฟอล์ยแท้ทั้งด้านบนและด้านล่าง........อย่าใช้ประเภทฟอล์ยด้านเดียว (Single sided foil) หรือ พวก Metallised Foil นะค่ะ ........ไว้ค่อยขยายต่อในสัปดาห์หน้านะค่ะ  วันนี้ขอยุติเท่านี้ก่อนคะ.......... Windflower who always captures everyone's dream!!!!!!! แก้ไขเมื่อ 13 มิ.ย. 50 13:24:15 จากคุณ : Windflower (Windflower) - [ 11 มิ.ย. 50 19:20:01 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อาจารย์ไม่แนะนำผู้ขาย xps ให้แล้วผมจะไปหาที่ไหนล่ะครับ  ฮือๆๆๆ ผมรู้สึกว่ามันจะกันความร้อนได้ดีกว่าพวกแผ่นสะท้อนความร้อนบางๆ จากคุณ : บักงู (บักงู) - [ 12 มิ.ย. 50 10:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อจ. Windflower แล้วระบบหลังคาเย็นของ ซีเมนต์ไทยเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ เพราะทราบมาว่าใช้หลักการ Air gap เช่นเดียวกัน ขอความกระจ่างด้วย ขอบพระคุณมากครับ จากคุณ : ลุงวี - [ 13 มิ.ย. 50 12:34:30 A:125.24.243.43 X: TicketID:147332 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อาจารย์ครับ  มีคนแนะนำให้ใช้แผ่นอลูมิเนียมหนา 2 มม. ปูใต้แป  แล้วใช้แผ่นสะท้อนความร้อนแบบฟอยล์ปูบนแป  จะดีไหมครับ จากคุณ : บักงู - [ 16 มิ.ย. 50 22:47:45 ]

ความคิดเห็นที่ 28  สวัสดีคะทุกท่าน....สำหรับวันนี้ขอแวะมาตอบคำถาม The New Comer - คุณลุงวี สักหน่อยนะคะ ....อันที่จึงเรื่องที่สอบถามมา....."ระบบหลังคาเย็น ของซีแพคโมเนีย / ซีเมนต์ไทย" ......ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะนำมาเล่าสู่กันฟัง  เพราะโดยส่วนตัวแล้วต้องบอกว่าเป็นหลักการที่ดีมากๆเลยคะ......เท่าที่ทราบประวัติของการพัฒนาแนวคิดนี้เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากการใช้ Roof Solar Collector ใน Bio-climatic House ของท่าน ศ.ดร.จงจิตร์ หิรัญลาภ และ Prof. Dr. Joseph Khedari (ขออนุญาตที่ต้องเอ่ยนาม) ซึ่งทั้งสองท่านเป็นนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ทางอาคารที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าในระดับ International คะ.......และถ้าจำไม่ผิด  เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับรางวัล Top Ten Finalist Economic Awards 2548 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ด้วย.........    สำหรับหลักการทำงานเป็นดังนี้คะ.......จากหลักการป้องกันความร้อนโดยการใช้แผ่นสะท้อนความร้อนที่สามารถสกัดกั้นการแผ่รังสีความร้อนจากกระเบื้องหลังคาลงมาได้สูงถึง 95% โดยการสะท้อนรังสีความร้อนกลับขึ้นไป ส่งผลทำให้อากาศในโพรงอากาศ (Air Gap) ที่อยู่ระหว่างแผ่นสะท้อนความร้อนกับกระเบื้องหลังคามีอุณหภูมิสูงขึ้น โพรงอากาศนี้ทำหน้าที่เสมือนเป็น Air Pocket ในฉนวนกันความร้อนทั่วไป ซึ่งสภาพอากาศใน Air Gap จะเป็นเข้าใกล้สภาวะ Stagnation ที่อากาศจะไม่เกิดการนำและการพาความร้อน เกิดเฉพาะการแผ่รังสีความร้อนเท่านั้น ตามที่อธิบายให้ทราบแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่อย่าลืมว่าอากาศใน Air Gap ซึ่งเป็นอากาศร้อนย่อมมี Potential ที่จะเกิดการไหลได้ หากเงื่อนไขของการเกิด Ventilation ครบสมบูรณ์ กล่าวคือ ต้องมีอากาศเย็นไหลเข้ามาแทนที่อากาศร้อน และต้องมีทางระบายอากาศร้อนออกถึงจะเกิดการระบายอากาศ  ซึ่งในทางปฏิบัติพบว่าอุณหภูมิของอากาศในโพรงอากาศที่อยู่ระหว่างแผ่นสะท้อนความร้อนกับกระเบื้องหลังคานั้น ที่บริเวณสันหลังคาจะมีอุณหภูมิสูงกว่าที่บริเวณชายคาอย่างมีนัยสำคัญ สามารถเกิดการระบายอากาศตามหลักการของ Thermal Effect ขึ้นได้ โดยอากาศร้อนในโพรงอากาศที่อยู่ระหว่างแผ่นสะท้อนความร้อนกับกระเบื้องหลังคาจะลอยตัวสูงขึ้นระบายออกไปตรงบริเวณสันหลังคาผ่านทางครอบระบายอากาศ และเกิดการเหนี่ยวนำให้อากาศที่เย็นกว่าไหลเข้ามาแทนที่ผ่านทางฝ้าระแนงชายคา โดยอากาศเย็นจากภายนอกจะถูกดูดเข้ามาแทนที่นั้นจะทำให้เกิดชั้นอากาศหล่อเย็น (Air Cooling Layer) ขึ้นที่ใต้ท้องกระเบื้องหลังคา ทำให้สามารถลดการส่งถ่ายความร้อนในระบบหลังคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ.......หรือ อาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าระบบนี้เป็น Integrated System ระหว่างการใช้แผ่นสะท้อนความร้อน ซึ่ง Reflective System มาบูรณาการกับการระบายอากาศ (Ventilation System) เกิดเป็นระบบในการป้องกันความร้อมที่มี Performance ขึ้นขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ......ระบบใหม่นี้ก็คือ Reflective-Ventilated System (RV System).......หรือถ้ามองอีกมุมหนึ่ง....ระบบนี้ก็คือการนำความร้อนมาสร้างความเย็นด้วยการสร้าง Air Cooling Layer ไว้ใต้กระเบื้องนั้นเองคะ   อย่างที่ดิฉันเรียนให้ทราบตั้งแต่ตอนแรกๆแล้วว่าการเลือกใช้วัสดุกันความร้อนไม่ได้ควรพิจารณาจากคุณสมบัติของวัสดุกันความร้อนเพียงอย่างเดียว  เพราะการกันความร้อนต้องทำเป็นระบบคะ  วัสดุกันความร้อนชนิดเดียวกันติดตั้งกันคนละแบบประสิทธิภาพก็ไม่เท่ากันคะ สำหรับรายละเอียดของผลิตภัณฑ์"ระบบหลังคาเย็น" ลองติดต่อกับซีแพคโมเนียเจ้าของสินค้าเขาโดยตรงจะได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนคะ สำหรับวันนี้ขอยุติเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ  แล้วพบกันใหม่ในโอกาสหน้า Windflower who always captures everyone's dream!!!!! แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 50 15:01:12 แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 50 06:31:36 จากคุณ : Windflower (Windflower) - [ 17 มิ.ย. 50 20:59:20 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบพระคุณอย่างสูงคร้าบ จากคุณ : บักงู - [ 17 มิ.ย. 50 22:30:04 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขออภัยที่เข้ามาดูล่าช้า (ลุงแก่แล้ว.... ฮิฮิ) ถ้าเป็นเช่นที่อาจาร์ยว่า ก็แสดงว่าระบบหลังคาเย็นนี้น่าสนใจ และคุ้มค่าที่จะลงทุนนะสิครับ เฮ้อ! จะได้หายร้อนซะที ขอบคุณอาจาร์ยอย่างสูงครับ จากคุณ : ลุงวี - [ 25 มิ.ย. 50 08:22:50 A:125.24.243.21 X: TicketID:147332 ]

ความคิดเห็นที่ 31  สวัสดีคะทุกท่าน  ช่วงที่ผ่านมาติดภาระกิจเลยไม่มีเวลาเข้ามาคุยให้ฟังเกี่ยวกับวัสดุกันความร้อน......วันนี้ขอเล่าสู่กันฟังต่อและขอเป็นการตอบคำถามสำหรับท่านที่ถามมาหลังไมค์ด้วยนะคะ มักจะมีคำถามอยู่เสมอว่า ใช้วัสดุกันความร้อนชนิดนั้นชนิดนี้ ชนิดไหนดีกว่ากัน  เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะมี Bias มากๆๆๆเลยที่เดียวว่าชนิดไหนดีกว่ากัน  เพราะผู้ผลิตทุกรายย่อมว่าของเขาดีด้วยกันทั้งนั้นล่ะคะ  ไม่มีใครบอกว่าของตัวเองไม่ดี....เพียงแต่เราในฐานะของผู้บริโภคจึงต้องพยายามเสนาะแสวงหา Information ให้ได้มากที่สุดเพื่อประกอบการตัดสินใจ.......ตรงนี้เองแหละที่ดิฉันตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะขอทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูลเชิงวิชาการให้แก่ทุกท่านที่สนใจ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อไทยเรานำเสนอสินค้าในรูปแบบของ Product Approach กล่าวคือพิจารณาเลือกใช้สินค้าเป็นตัวๆไม่ได้พิจารณาในเชิงระบบ เช่น คนขายใยแก้ว / โฟม ก็จะบอกว่าวัสดุกันร้อนของต้นมีค่า K (Thermal conductivity) เท่านั้นเท่านี้ ของใครมีค่าน้อยกว่ากันแสดงว่าดีกว่า   แต่ในนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วผู้ผลิตทุกรายจะนำเสนอในรูปแบบของ System Approach ซึ่งหมายความว่า เขากำลังขายว่าวัสดุนั้นๆถ้านำไปใช้งานเป็นส่วนหนึ่งของระบบใดระบบหนึ่งมันจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างไร  เช่น หากติดตั้งฉนวนใยแก้วหนา 6 นิ้ววางบนฝ้าเพดานยิปซั่มหนา 9 มม. โดยหลังคามุงด้วยกระเบื้องซีแพคโมเนียที่มีความลาดชัน 30 องศาแล้วจะทำให้ค่าความต้านความร้อน(R: Thermal resistance) ของหลังคามีค่าเป็นเท่าไร  ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเห็นภาพเลยว่าเมื่อเขาซื้อไปใช้แล้วจะได้ผลอย่างไร ติดตั้งอย่างไร เสียค่าใช่จ่ายเท่าไหร่ คุ้มหรือไม่.......ขอยกอ้างอิงที่อเมริกาหน่อยนะคะ  ที่นั่นเทศบัญญัติเขาจะระบุไว้เลยว่าหลังคาต้องมีค่า R เท่าไร เช่น หลังคาในเงื่อนไขนี้ต้องการ R16 ดังนั้นเวลาผู้บริโภคไปเลือกใช้ก็เพียงแต่เลือกระบบหลังคาที่มีค่า R ไม่น้อยกว่า 16 ส่วนจะเลือกใช้ระบบไหนก็แล้วแต่งบประมาณ หรือความต้องการของแต่ละคน ถ้าต้องการใช้แบบ Extra Premium Roof กันร้อนกันหนาวเยอะๆๆก็ต้องจ่ายเงินแพงเป็นธรรมดาแหละคะ ถ้าพูดถึงการกันร้อนกับหลังคาก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า หลังคาเขาแบ่งเป็น layer ๆ ดังนี้ 1) On Roof หมายถึง Exterior Layer ที่ Expose สู่สิ่งแวดล้อม 2) Batten Height หมายถึงส่วนที่เป็น Interior Layer ที่อยู่ระหว่างกระเบื้องมุงหลังคากับระแนง (แปหลังคา) 3) Ceiling Height หมายถึงส่วนที่เป็น Interior Layer เช่นกัน อยู่ที่ระดับหลังฝ้าเพดาน การกันความร้อนในแต่ละ Layer มีเทคโนโลยีที่ต่างกันหลายรูปแบบกล่าวคือ 1) On-Roof system - มักจะใช้ Coating Technology เป็นหลักซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป้น 2 ระบบย่อยคือ  1.1 On-top Coating เป็นการพ่นเคลือบผิวของวัสดุมุงหลังคา เช่น Ceramic Coating, Cool White Paint etc. เดี๋ยวนี้กระเบื้องบางชนิดก็มีการ Coat สารจำพวกนี้แล้วออกขายใน Concept ของ Cool Tile อย่างเช่น กระเบื้อง Trilon Kool ที่โฆษณากันในโทรทัศน์ที่ชาวเอสกิโมใช้ทำหลังคา Igloo ของตน........การ Coating นี้ต้องอาศัยสารที่มี Total Solar Reflectance สูงมากๆ (At lease TSR 70) และในขณะเดียวกันเจ้าสารเคลือบนี้ก็ต้องค่า Infrared Emittance สูงด้วยเช่นกัน (At least = 0.75) ซึ่งหมายความว่าทั้งสะท้อน Solar Energy กลับไปสู่บรรยายกาศได้สูงมากในขณะเดียวกันก็พยายามไม่รับความร้อนหรือถ่ายเทความร้อนลงบนพื้นผิวด้านล่างให้น้อยที่สุดด้วยการคายความร้อนสูงและเร็ว  ถ้าเป็นอย่างนี้ได้บอกตรงๆว่าสุดยอดมากเลย.......แต่ปัญหาที่สำคัญที่ทำให้วิธีการนี้ด้อยประสิทธิภาพลงเกิดจากชั้นของ Coating เองจะถูกทำลายจากสภาพอากาศ (weathering and erosion) ภายใน 2-3 ปีประสิทธิภาพอาจลดลงเกินครึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือ Biological Effect และฝุ่นละอองในอากาศที่จะทำให้พื้นผิวที่เคลือบไว้เกิดคราบดำ ทำให้ดูซับความร้อนแทนที่จะสะท้อนพลังงานความร้อน  (จะเห็นได้ว่าสารเคลือบที่ใช้ใน Concept นี้ทั้งหมดจะต้องมีสีโทนขาว สีอ่อน - Light Color ทั้งสิ้น หากสีเปลี่ยนไปดำขึ้นประสิทธิภาพก็จะตกลง) ...อ้อเกือบไป การ Coating นึ้ทำได้เพียงแต่ชั้นเคลือผิวบางๆ ความหนาน้อยมากดังนั้นในแง่ของการกันการนำความร้อนจึงไม่ดี 1.2 Under-Tile Coating ได้แก่การฉีดพ่นโฟมใต้กระเบื้อง หรือการ Laminate ใต้ Metal Sheet ด้วย PE Foam เป็นต้น  ได้เคยพูดเกี่ยวกับการฉีดพ่นโฟมใต้กระเบื้องไว้บางแล้วในช่วงที่ผ่านมา (ลองอ่านทบทวนข้างบนดูนะคะ) แต่อีกมุมมองหนึ่งการใช้โฟมฉีดพ่นใต้กระเบื้องก็คือ ปกติการฉีดพ่นโฟมใต้กระเบื้องนี้จะทำให้หลังคาเป็นระบบหลังคาแบบ Warm Roof Concept ซึ่งใช้ในบ้านแถบเมืองหน้า ข้อด้วยในเชิงระบบหลังคาที่สำคัญหากมาใช้ในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศใน Tropical Climate ทั้งร้อนและชื้น ก็คือความสามารถในการระบายอากาศผ่าน Tile Gap หรือที่เรียกว่าการหายใจของหลังคาจะหมดไปทันที เหมือนคนเป็นหวัดรูจมูกตันเต็มไปด้วยน้ำมูกต้องหายใจทางปากแทน  หลังคาก็เช่นกันเมื่อการระบายอากาศไม่ดีก็ทำให้เกิดสภาวะ Heat Sink ได้คะ 2) Batten Height System ตรงนี้ถือว่าเป็นด่านแรกในการสกัดกั้นความร้อนที่ผ่านกระเบื้องลงมา วัสดุกันความร้อนที่นิยมใช้กันก็ได้แก่ วัสดุกันความร้อนประเภท Reflective Insulation / แผ่นสะท้อนความร้อน และอนุพันธ์ของแผ่นสะท้อนความร้อน  บางครั้งก็มีการใช้ Mass Insulation ประเภทโฟมแผ่น หรือ ฉนวนใยแก้ว ตั้งบน Wire Mesh ก็มี (ดูรายละเอียดเกี่ยวกับ Mass & Reflective Insulation เพิ่มเติมจากข้างบน) 3) Ceiling Height System ตรงนี้เป็นด่านสุดท้ายในการกันความร้อนที่จะเข้าสู่ห้อง เพราะหากความร้อนทะลุฝ้าเพดานลงมาก็เป็นอันจบกัน   ณ ระดับฝ้าเพดานนี้ วัสดุกันความร้อนที่ใช้ก็คือพวก Mass Insulation เท่านั้นคะ  ห้ามใช้ประเภท Reflective Insulation ตามที่เคยอธิบายไว้ข้างต้นแล้ว เห็นไหมคะจะใช้วัสดุป้องกันความร้อนกันทั้งทีมีรายละเอียดต้องให้ศึกษาหลายด้าน...... สำหรับวันนี้ขอจบการบรรยายเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ....โอกาสหน้าจะมาเล่าสู่กันฟังอีกคะ Windflower who always captures everyone dream!!! จากคุณ : Windflower (Windflower) - [ 8 ก.ค. 50 16:54:18 ]

ความคิดเห็นที่ 32 มีประโยชน์มากมายครับผม จากคุณ : RockTheMonk - [ 9 ก.ค. 50 15:24:55 ]