ความคิดเห็นที่ 1 ดีใจจังเจอกระทู้นี้ เพราะเราเป็นคนหนึ่งที่เจอผลกระทบเต็มเหนี่ยว ซื้อบ้านราคาสองล้านตอนฟองสบู่ กู้ล้านแปด ตอนนั้นถือว่าใครกู้ได้มากคือคนเก่ง กู้น้อยคือคนโง่ จำได้แม่นเลยประโยคนี้พี่สาวเราพูดไว้ ตอนนั้นดอกเบี้ย 14 เราก็ฉลาดมากๆ ไม่คิดอะไร ซื้อเลย ซื้อแล้วดอกพุ่งเป็น 16 จ่ายเงินสองหมื่นสี่ทุกเดือน เป็นดอกเบี้ยสองหมื่นสอง บ้านสองล้านรวมตกแต่งสองแสน จ่ายดอกเบี้ยสามปีรวมจ่ายเพิ่มเป็นล้าน ขายได้แค่ล้านหก ขาดทุนรวมล้านสี่ ซึ่งถ้าเก็บออมไว้เฉยๆ จะซื้อบ้านเงินสดได้อย่างสบายๆ ในอีกปีสองปี หรือมิฉะนั้นดอกเบี้ยสองหมื่นกว่าเอาไปเช่าบ้านดีๆ อยู่ยังเหลือ / เอาไปเที่ยวตปท.ได้ทุกเดือน เนี่ยค่ะผลของฟองสบู่ นับจากนั้นกลายเป็นคนที่เข้าใจเรื่องอำนาจดอกเบี้ยซึ้งตรึงใจ การมีบ้านอาจไม่ใช่เรื่องฉลาดถ้าไม่เข้าใจเรื่องการเงิน ตอนที่ดอกเบี้ยบ้านลดเหลือ 3% ทำให้เข้าใจสัจธรรมของชีวิต ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ดังนั้น ดำรงชีวิตด้วยความพอเพียง อย่าประมาท อย่าโลภ และอย่ากลัวที่จะเรียนรู้เรื่องการเงินด้วยตัวเองค่ะ และอยู่คอนโด ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยวไม่ใช่เรื่องใหญ่ค่ะ อย่าสนใจคนอื่น ดูวิถีชีวิตของเราเองสำคัญที่สุด อย่าเป็นอย่างเพื่อนเราที่ย้ายบ้านให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายต้องย้ายอีกครั้งในวัยกลางคนเพราะ "มันใหญ่ไป เหนื่อย" จากคุณ : คนใกล้แก่ - [ 2 ก.ค. 50 12:10:09 A:124.120.174.26 X: TicketID:015714 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เราได้เรียนรู้ความมั่วของระบบในบ้านเมืองนี้ เรากู้ได้มาก...แต่กลายว่าโง่..เพราะต่อมาเมื่อโครงการถูกเปลี่ยนมือเป็นของต่างชาติเราต้องจ่ายร้อยละ19!!!!....หุหุ...          แต่มีคนบางคนที่หน้าทนฉันจะอยู่อย่างเงี้ย..กู้ไม่ได้ฉันก็จะอยู่ไม่ยอมเสียดาวน์ฟรีๆ..นี่พวกนี้ลักกี้ตัวจริงเลย...ต่างชาติที่เข้ามาเคลมก็ไม่ได้จัดการอะไรกับคนพวกนี้(คาดว่าคงจะอยู่ไกล..รึกินร้อยละ19จากพวกเราก้เต็มอิ่มแล้ว)ปล่อยให้อยู่เป็น10 ปีแล้วเมื่อมีธนาคารเข้ามาดำเนินการจึงบอกให้จ่ายเท่าที่สามารถ!!!! ............พวกซวยสุดคือที่ใจเสาะหน้าบาง...พอกู้แบงค์ไม่ได้ก็ยอมทำตามกติกาแต่โดยดีคือทิ้งเงินดาวน์ก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยความช้ำใจ..ไม่เรียกร้องอะไรจากใคร!!!เลยสูญหมดเลย!!! จากคุณ : อัปสรา2000 - [ 2 ก.ค. 50 14:01:06 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบใช้ทุนหลวง ทำงานเก็บเงิน   ฝากแบงค์ได้ดอกเยอะมาก แต่กลัวต้นหาย>>>   เห็นแต่บ้าน ที่ดินราคาถูกมาก   ว่าจะซื้อบ้านตั้งแต่ปีที่แล้วก็เลยรอมาปีนี้  เพราะราคาน่าจะลด เพราะดูตัวเลขการขายบ้านอืดๆ    เพิ่งจองมาเดือนกว่าๆครับ  ก็สมใจระดับหนึ่ง(ถูกกว่าเดิมพอควร)  เสียดายที่ค่าธรรมเนียมการโอนไม่ลดให้     ตอนนี้เป็นทุกข์อย่างเดียว กลัวเขาสร้างบ้านไม่เสร็จตามสัญญา   กำลังตีฝ้าเพดาน  ปูกระเบื้องห้องน้ำ  ลุ้นทุกอาทิตย์ จ่ายดาวน์ไปมากแล้ว  กู้ไม่มากครับ  ไม่ชอบเป็นหนี้  (ดอกเบี้ยฝากต่างกับดอกกู้มาก)  คงรีบผ่อนให้หมดๆเร็วที่สุด     ซื้อตามกำลัง  อย่าเกินตัว      ซื้อบ้าน  เอาไว้อยู่ ไม่ได้เอาไว้โชว์     ไปกลับที่ทำงานไม่ยาก  อยู่สบาย  ไม่เป็นภาระมาก มีอะไรฉุกเฉิน  มีเงินสำรองอีกก็อกไว้โป่ะแล้วครับ เพื่อนลงทุนซื้อคอนโด  ก็ปล่อยเขาไป  อย่าไปสน   ทำทีอย่างให้ดีๆก็พอ      สรุป>>>>>>>อย่าโลภ   อย่าเกินตัว จากคุณ : pungee1 - [ 2 ก.ค. 50 15:05:55 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ที่จริงอนาคตอันใกล้นี้ ( ไม่น่าเกิน 5 - 10  ปี )  ทุกคนบนโลกนี้น่าจะลำบากมากขึ้น ( ทุกปี )  โดยเฉพาะคนรุ่นหลัง ๆ ที่อยู่ระหว่างเรียน   และคนวัยทำงานที่ยังมีภาระผ่อนสิ่งจำเป็น  เช่นบ้าน   รถยนต์มือสอง ( ไม่ควรซื้อรถยนต์ป้ายแดง  หรือผ่อนสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตต่างๆ     เพราะจะเสียโอกาสนำเงินไปทำงานแทนเรา อย่างน้อย 2 - 3  แสนบาท ) -  เงินเฟ้อ  ประมาณ  3 - 4 %  ต่อปี   หมายความว่ามีเงิน  1  ล้านบาท   ผ่านไป  10  ปี  เงินต้นหายไป  3 - 4  แสนบาท   เหลือเงินเพียง  6 - 7  แสนบาท ( คำถาม : จะทำอย่างไรให้ชนะเงินเฟ้อได้ ) -  เทคโนโลยีในอนาคต   จะมาแทนที่คนมากขึ้น  น่าจะทดแทนได้อย่างน้อย  10 - 50  เท่า  ทำให้คนเรียนมาตกงานมากขึ้น ๆ ๆ - เคยอ่านเจอ กูรูด้านการเงินของไทย  แนะนำว่าหลังเกษียณควรมีเงินอย่างน้อย  4 - 5  ล้านบาทต่อคน ( ไม่ใช่ต่อครอบครัว )  และต้องมีการนำเงินไปลงทุน ( ใช้เงินทำงานด้วย )  จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ ( บ้าง )  โดยเงินยังเหลืออยู่จนถึงวันตาย ( เหลือแล้วยกให้ลูกหลานได้ ) -  ไม่ควรซื้อบ้านที่เกินกำลังมากเกินไป    เพราะจะทำให้มีภาระต้องผ่อนเงินต้น+ดอกเบี้ยมากไป     ทำให้มีเงินเหลือใช้ในวัยเกษียณ ( วัยที่ไม่มีรายได้จากเงินเดือน ) น้อยลง   และอาจไม่พอที่จะใช้เลี้ยงชีวิต ( อย่างมีคุณภาพ ) จนถึงวันตาย ( เงินหมดก่อนตาย ) -  อยู่อย่างจน   ทำตัวจน   จะไม่จน -  อยู่อย่างรวย   ทำตัวรวย   จะไม่รวย - รวยไม่ใช่สะกดด้วย  ร+ว+ย   แต่สะกดด้วยคำว่า   พ+อ =  พอ แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 50 17:24:39 จากคุณ : Learn and Live - [ 2 ก.ค. 50 17:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เข้ามาอ่าน ผ่านมาเจอ ตอนนี้ผมเรียนอยู่พึ่งปี1 ได้ข้อคิดจากกระทู้นี้มาก ขอโหวตให้ครับ จากคุณ : เจ้าชายไร้สตางค์ - [ 2 ก.ค. 50 17:41:22 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตอนนั้นที่เกิดพิษเศรษฐกิจเป็นช่วงก่อนเรียนจบ เรียนจบมาก็หางานลำบากมาก ทั้งที่เป็นคณะที่เคยเป็นที่ต้องการของตลาด เลยต้องเรียนต่อ จบโทมาก็ทำงานเตาะแตะๆ เพิ่งมาได้งานที่เป็นได้เงินเป็นกอบเป็นกำไม่กี่ปี ตอนนี้เริ่มอยากมีบ้าน มีรถ....กระทู้นี้ทำให้ได้หยุดคิด หยุดทบทวน ความอยาก และ กำลังของเรา อ่านแล้วให้ข้อคิดที่ดีจังค่ะ ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ จากคุณ : ถ้วยกลม - [ 2 ก.ค. 50 20:58:30 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เราเป็นคนหนึ่งที่ต้องช่วยเหลือพ่อแม่เมื่อปี 40 (ตกต่ำสุดๆ) พ่อแม่กลุ้มแบบไม่รู้ทำไง  เราเข้าใจดี วันนี้เราก็ซื้อบ้านเพราะแก่แล้ว มีครอบครัว และมีลูกที่ต้องดูแล พ่อแม่ก็เป็นหนึ่งในหลายๆปัจจัยที่ต้องซื้อบ้าน เราก็ไม่ได้ลืมสิ่งที่ผ่านมาแต่ก็ไม่จำฝังใจ  แต่คิดแล้วก็มีสติให้มากๆ ว่าอะไรควรไม่ควร ผ่อนเดือนหนึ่งเท่าไร กี่ปี ลูกต้องใช้เดือนๆเท่าไร แล้วคิดแบบแย่สุดๆที่หาได้ว่า เราหาเงินเข้าเท่าไร แต่ค่าใช้จ่าย fix   เราทุกคนควรเป็นเรื่องบัญชีค่ะ ไม่เป็นก็ต้องเริ่มที่ มีเท่าไรแล้ว แล้วใช้เท่าไร เราว่าสำคุญตรงนี้ บางที่เช่าบ้านเขาก็ไม่ใช่ว่าจะถูกกว่าซื้อ แล้วเมื่อไรละที่จะมีอะไรเพื่อตัวเองและลูกเรา น่าคิด เมื่อคิดแล้วก็ประเมินสถานการณ์ค่ะ อย่าให้ bank ประเมินค่ะ เราต้องทำเองก่อน ไอ้อยากมีทุกคนก็อยากค่ะ กิเลสมี อันนี้เลิกอยาก 55 จากคุณ : L'hivre - [ 3 ก.ค. 50 10:59:02 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ Learn and Live ครับ - เงินเฟ้อ ประมาณ 3 - 4 % ต่อปี หมายความว่ามีเงิน 1 ล้านบาท ผ่านไป 10 ปี เงินต้นหายไป 3 - 4 แสนบาท เหลือเงินเพียง 6 - 7 แสนบาท ( คำถาม : จะทำอย่างไรให้ชนะเงินเฟ้อได้ ) 3% ของ 1 ล้าน มันแค่ 3 หมื่น เองนะครับ .... 3 แสน มันคือ 30% ของ 1 ล้านนะครับ ..... จากคุณ : ปป - [ 3 ก.ค. 50 18:20:01 A:58.10.93.218 X: TicketID:074993 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ต้องเอาเวลา 10  ปี x กับ 30,000  บาท  ด้วยครับ 1  ปี  เงินต้น 1 ล้านบาท  ที่เงินเฟ้อ  3 %  เงินจะด้อยค่าลง  30,000  บาทต่อปี ถ้า  10  ปี  = 30,000 บาทต่อปี x 10  ปี  = 300,000  บาทครับ นี่คือเหตุผลที่ข้าราชการบำนาญ ( รับเงินรายเดือน )  ที่เงินเดือนไม่มากทุกคน   ถ้าไม่มีรายได้อื่น ๆ อีก   ในปัจจุบันจะไม่พอใช้ครับ   ซึ่งเป็นชีวิตที่น่าสงสารมาก  เพราะอายุมาก   ไม่มีงานทำ   ถ้าลูกหลานไม่ดูแลอีก  ผมว่ายิ่งกว่านรกครับ เคยอ่านหนังสือที่ ดร.ปัญญา  เปรมปรี  เขียนเรื่อง " แม่สอนลูกรวย "  เล่าว่าย้อนหลังไป  60  ปี  พ.ศ. 2490  ข้าวแกง  จานละ  20  สตางค์   ปัจจุบัน ( ปี 50 ) ข้าวแกงจานละ  20  บาท   ถ้าคิดเป็นเงินเฟ้อประมาณ  12  % ต่อปี ( สิบสองเปอร์เซ็นต์ต่อปี )   อนาคตผมว่าเงินเฟ้อ 2-3 %  ต่อปี   น่าจะหาได้ยาก   เพราะน้ำมันแพงขึ้นทุกวันเป็นต้นเหตุหลักครับ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 50 19:53:55 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 50 19:36:02 จากคุณ : Learn and Live - [ 3 ก.ค. 50 19:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เคยกู้ซื้อที่ดินปลูกบ้าน ดอกเบี้ยร้อยละ 12 เลยขอย้ายมาใช้สิทธิพนักงานของที่ทำงานดอกเบี้ย 6% ธนาคารถามน้อง ตอนนี้มีใครให้ refinance  ด้วยเหรอ บอกสวัสดิการค่ะ ได้เงินกู้เพิ่มขึ้นมาอีกค่ะ หนี้ทบต้นทบดอก สิบเอ็ดปี ยังผ่อนไม่หมด ย้อนรอย ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี อยากเปลี่ยนทรัพย์สินเป็นทุน ตอนนี้เห็นคนกู้บ้านห้าล้าน หนาวค่ะ คนสมัยนี้เขากล้ามาก แถมมีการบอก พวกเคยเห็นดอกเบี้ยบ้าน(14%) กลัวมากไป พี่เป็นหนี้ผ่อนเดือนละสามพัน ห้าหกเปอร์เซ็นของเงินเดือน น้องๆ ผ่อนเดือนละสามสี่หมื่นนี่เก่งจริงๆ สงสัยจะเป็นน้องสาวแรมโบ้ เก่งมาก ขอมอบถ้วยให้ จากคุณ : ยิ่งยงสะเด็ดยาดอวบอึ๋มสยึมกึ๋ย (เด็กเกาะสมุย) - [ 3 ก.ค. 50 23:24:38 ]

ความคิดเห็นที่ 11 รับทราบครับ ...... คุณ Learn and Live ขอบคุณ สำหรับ ความรู้ครับ จากคุณ : ปป - [ 4 ก.ค. 50 12:14:48 A:58.10.93.131 X: TicketID:074993 ]

ความคิดเห็นที่ 12 บทเรียนที่ได้คือ "ไม่มีหนี้..ดีที่สุด" ตอนวิกฤตปี 40 ตอนนั้นเพิ่งเข้าปี 1 อ.ที่ปรึกษาก็พูดปลอบใจว่า พอพวกเธอเรียนจบ เดี๋ยวเศรษฐกิจก็ดีขึ้นเอง ตอนนั้นจำได้ ดูข่าว สกู๊ปเกี่ยวกับ พนงของ ธ.กรุงเทพพาณิชยการ ครอบครัวนึง ทั้งสามีและภรรยา ทำงานอยู่ที่ธ.นี้ มีลูก 3 คน  บ้านก็ยังผ่อนอยู่ พอดูข่าวจบ คิดไว้เลยว่า ไม่เป็นหนี้ดีที่สุดๆๆๆๆๆ จากคุณ : =U_U= PoRpLe - [ 7 ก.ค. 50 17:58:39 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าเบี้ยน้อย หอยน้อยก็ขยับขยายที่อยู่อาศัยตามกำลังทรัพย์ และเงินออม คิดให้มากและนาน เพราะรายได้อาจไม่แน่นอนเมื่อเกิดวิกฤติการเงิน สำหรับคนมีเงิน ที่ไม่มีหนี้ ก็พิจารณาลงทุนเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ชิ้นงามๆที่เป็นหนี้เน่าได้ เพราะเป็นการลงทุนที่ดีมาก ให้ผลตอบแทนเร็วและแรง สำหรับคนที่ชอบดูอยู่วงนอกก็ให้เรียนรู้จากคนอื่นทั้งที่ผิดพลาด และรุ่งเรือง ผมผ่านมาทั้ง 2 ด้าน โชคดีที่อสังหาที่ซื้อ เป็นการซื้อเพื่อลงทุน ไม่ใช่บ้านหลัก ก็หยุดผ่อนไปนาน จนกลับมาชำระหมดภายหลังแล้วครอบครัวก็มาซื้อที่ดินหนี้เน่าได้ในราคาสุดถูก ของแบบนี้เหมือนเหรียญ 2 ด้าน มีได้ มีเสีย อยู่ที่ตัวเราครับ จากคุณ : Double07 - [ 11 ก.ค. 50 16:57:01 ]