ความคิดเห็นที่ 1 ด้านหลังก็เป็นอย่างนี้ ไว้เสียบกับเต้ารับสามขาของทางอเมริกา ซึ่งทางบ้านเราเอามาเป็นแบบอย่าง จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:05:21 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ของที่ซื้อมามันปิดตายถาวร ถ้าเสียเค้าให้ซื้อตัวใหม่ แต่ผมแงะมันออกมาเพื่อแก้ไขให้ใช้กับไฟฟ้า 220VAC ในบ้านเรา ลืมบอกไปว่าตัวนี้ไปเดินซื้อมาจากร้าน superstore ในอเมริกา นานมาแล้วครับ มันใช้กับไฟฟ้า 110VAC ถ้าเอามาใช้กับบ้านเราก็ได้เรื่องครับ เสียบปุ๊บมันก็"ฟุ่บ"ปั๊บเลย ข้างในมีเท่านี้แหละครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 50 11:10:10 จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:09:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ลงภาพผิด เอาใหม่ครับ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:11:18 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ข้างในเลอะเทอะหน่อยครับ เคยเสีย คือมันทำงานแล้วตัวป้องกันมันชอร์ตเสียหายไปครั้งนึง ก็ต้องถอดออกมาเปลี่ยนครับ ตัวที่ว่าเรียกว่า วาริสเตอร์ (varistor) เห็นเป็นตัวสีขาวๆเทาๆ ด้านซ้ายบน ในภาพข้างบนครับ ส่วนสีแดงๆ เป็นคาปาซิเตอร์ ใช้ลดสัญญาณรบกวนนิดหน่อย หลอดแก้วใกล้ๆ กันก็เป็นหลอดนีออนสีส้มๆ ไว้แสดงว่าวาริสเตอร์มันชอร์ตขาดไปรึยัง ถ้าไฟไม่ติด ก็แสดงว่ามันเคยชอร์ตตัวมันสละชีวิตเสียหายไปแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 50 12:01:28 จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:16:19 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มือไวไปเคาะ enter ก่อนติดรูป จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:16:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ดูอีกมุมนึง จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:18:33 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตัววาริสเตอร์ที่ว่านี้ มีหลายสีหลายขนาด หน้าตาคล้ายกัน อย่างอันนี้เป็นตัวที่ผมซื้อจากบ้านหม้อ ขนาดประมาณเหรียญห้าสิบสตางค์ ตัวมันมีแค่สองขาเท่านั้นเองครับ จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:21:16 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าจะซื้อมาใช้งาน ก็บอกคนขายว่าเอาวาริสเตอร์ขนาด 430V หรือ 470V จะกี่ตัวก็ตามใจ ตัวนึงไม่น่าถึงสิบบาทนะ ผมไม่ได้ซื้อนานแล้ว ไม่รู้กี่บาท ใครรู้ช่วยตอบด้วยครับ ถ้าที่ร้านมีหลายขนาดให้เลือกตัวขนาดประมาณเหรียญห้าสิบสตางค์ หรือเหรียญบาทก็ได้ครับ ไม่ต้องเอาตัวใหญ่มากๆ นะครับ เกะกะที่ทาง จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:24:00 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ซื้อมาแล้วก็ซื้อปลั๊กตัวผู้เปล่าๆ มาด้วยซักตัวสองตัว เอาตัววาริสเตอร์ใส่เข้าไปในปลั๊ก ต่อขาแต่ละขาเข้ากับขาปลั๊กแต่ละข้าง จะไขน๊อตเอา หรือจะบัดกรีให้แน่นหนาก็ยิ่งดี ระวังอย่าให้ขาชอร์ตกัน อาจจะเอาเศษสายไฟอ่อน ดึงทองแดงออก เอาแต่ปลอกพลาสติกสวมแต่ละขาของวาริสเตอร์กันมันชอร์ตกันก่อนบัดกรีก็ได้ครับ จัดวางตัววาริสเตอร์ให้เหมาะๆ แล้วก็ปิดฝาให้เรียบร้อย เป็นอันเสร็จพิธีการสร้างตัว surge suppressor ที่วางขายกันหลายร้อยบาท จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:29:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 (....เฮ้ย....ง่ายอย่างนี้มั่วอ๊ะป่าว....) จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:29:19 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แล้วสายพ่วงยี่ห้อ Tochino ล่ะครับ ผมเห็นว่าหลังกล่อง เขียนว่าป้องกันไฟกระชากได้ จะใช้ได้ไหม จากคุณ : รังสิโยภาส - [ 26 ก.ค. 50 11:32:54 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่มั่วครับ แต่ไม่สวยเหมือนของขายอะครับ ต่อตัววาริสเตอร์เข้ากับขาปลั๊ก จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:47:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ภาพข้างบนไม่ได้บัดกรี ใช้ไขน้อตเอา แนะนำให้พันขารอบน๊อตรอบนึงในทิศทางตามเข็มนาฬิกา เวลาไขจะได้แน่นไม่หลวมหลุดง่ายๆ (ในภาพยังไม่ได้ไขแน่น) จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:48:44 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไขเสร็จก็จัดวางให้เข้าที่ เวลาทำจริงอาจจะต้องมีการตัดแต่งพลาสติกในตัวปลั๊กเพื่อให้วางได้เหมาะ และปิดฝาปลั๊กได้สนิท จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:50:17 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เสร็จแล้วก็ปิดฝาครอบให้เรียบร้อย ใช้งานได้แล้วครับ จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:51:25 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ภาพที่เห็นข้างบนผมทำอย่างเร็วๆ เพื่อถ่ายภาพ ก็เลยยังไม่ได้ตัดขา ไม่ได้พันขากับหัวน๊อต ก็เลยเห็นขาวาริสเตอร์โผล่ๆ ออกมาครับ ของจริงต้องตัดออกให้เรียบร้อยนะครับ จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:53:09 ]

ความคิดเห็นที่ 17 วิธีใช้ก็แค่เอาปลั๊กที่มีตัววาริสเตอร์ที่ว่าอยู่ข้างในไปเสียบในเต้ารับในบริเวณที่ต้องการป้องกันครับ อย่างเช่นเสียบในช่องเต้ารับที่อยู่ข้างๆ ช่องที่เราใช้เสียบคอมพิวเตอร์ หรือทีวี หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ต้องการป้องกันครับ นานๆ หนก็ถอดออกมาเมียงๆ มองๆ หน่อยว่าตัววาริสเตอร์มันร้าว หรือแตกกระจายหรือไม่ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นแสดงว่าตัวมัน...สละชีวิต...ป้องกันอุปกรณ์ใกล้เคียงไปแล้ว ก็เอาซากไปไปทำบุญกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้ แล้วก็เอาตัวใหม่มาใส่เข้าไปแทนครับ เห็นมั้ยว่ามันง่ายๆ แค่นี้เองจริงๆ แต่ถ้าจะให้เนี๊ยบสวยงาม ดูมีสง่าราศีสมฐานะกับคอมพิวเตอร์ หรือโฮมเธียเตอร์ราคาหลักแสน ก็ซื้อเอาได้ครับ ตามสะดวกครับ แต่อย่าลืมว่า วาริสเตอร์ มันกันได้แค่ครั้งเดียว ถ้ามัน...สละชีวิต...แล้วต้องเปลี่ยนด้วยนะครับ ถ้าจะซื้อลองมองๆ หาอย่างที่เวลามัน...สละชีวิต...แล้วมีไฟติด (หรือดับ) ให้เรารู้ได้ ก็ดีครับ หรืออย่างที่เปิดออกมาดูได้ง่ายๆ ไม่ใช่ปิดตายถาวร ..... ก็เอวังด้วยประการฉะนี้.... แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 50 23:33:41 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 50 12:00:12 จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 11:59:40 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณมั่กๆ สำหรับความรู้ที่ D.I.Y. ครับ มีประโยชน์มากครับ ขอให้จำเริญๆ นะครับ เดี๋ยวจะลองไปทำดูครับ จากคุณ : มีบ้านแย้วว - [ 26 ก.ค. 50 13:00:07 A:203.144.215.242 X: TicketID:142717 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณค๊า ขอโหวตนะจ้ะ เก็บเข้าคลังด้วยค่ะ จากคุณ : biebie999 - [ 26 ก.ค. 50 13:08:01 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ลองเช็คราคากัน http://www.es.co.th/search.asp?WORD=varistor&PC=012010&Mode=2&tb=012010&stk=checked&pb=&F1=&F2=&F3=&F4=&F5=&F6=&F7=&F8=&F9=&F10=&F11=&F12=&F13=&F14=&F15=&View=Selection&PAGE=1&ColumnSort=P1%2EPROD+Asc&dstk=&pic= จากคุณ : Pun_Pom - [ 26 ก.ค. 50 13:16:44 ]

ความคิดเห็นที่ 21 โหวตครับ เก็บครับ จากคุณ : ปะป๋าน้องมุก - [ 26 ก.ค. 50 13:32:06 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าซื้อตามคห.27 ก็ต้องประมาณเบอร์ S14K275 ใช้ได้ S20K275, S20K300 สองตัวนี้ตัวใหญ่ไปหน่อยใส่เข้าปลั๊กลำบาก TVR10431KSY, TVR10471KSY ก็ใช้ได้เหมือนกัน TVR14431KSY, TVR14511KSW สอง  ตัวหลังดูแล้วถูกดีครับ ขนาดก็กำลังเหมาะเจาะครับ ราคาตัวละ 2 บาทกว่าๆ เอง ถูกดีจัง ถ้าซื้อก็ซื้อซักสิบยี่สิบตัวเลยก็ได้ครับ เก็บไว้ทำหลายๆ อัน หรือไว้เปลี่ยน หรือถ้าปลั๊กใหญ่หน่อยก็ใส่ตัวเล็กๆ สองตัวซ้อนกันไว้ก็ได้ครับ ปรกติมันจะเสียทีละตัว ยกเว้นเจอไฟกระชากแรงๆ หรือหลายครั้งซ้อนๆ กันครับ จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 15:10:41 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากๆค่ะ อย่างงี้ต้อง โหวต จากคุณ : Tigress-KOP - [ 26 ก.ค. 50 15:35:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณค่ะ ต้องไปหาไว้ใช้บ้างแล้ว ไฟดับไฟตกบ่อยจังเดี๋ยวนี้ จากคุณ : Me & Simple Life - [ 26 ก.ค. 50 16:28:58 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอเพิ่มเติมนิดนึงนะครับ ต้องแน่ใจด้วยนะครับว่าระบบไฟในบ้านมีการต่อนิวทรอลลงดินที่ต้นทาง เนื่องจากการทำงานของอุปกรณ์ลดทอนอันตรายจากไฟฟ้ากระชากหรือฟ้าผ่ามันจะทำการดักแรงดันและกระแสที่สูงเกินนี้ลงดินนะครับ จากคุณ : yo_x - [ 26 ก.ค. 50 17:43:20 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขออนุญาตนะครับ ต้องตามแก้ข่าวหน่อย ที่ว่าsurge protector ใช้ได้ครั้งเดียว หรือเสียแล้วไม่รู้ Surge protection ของเราตอนนี้ยังไม่เสียครับ ปีที่แล้วทั้งปีที่มีฝนมีฟ้า หลังจากซื้ออุปกรณ์ตัวนี้ ก็ไม่มีเครื่องมือที่ใช้อุปกรณ์ตัวนี้ชำรุดเสียหาย แต่ก่อนซื้อ ทีวีพัง๒เครื่อง อื่นๆอีกหลายอย่าง ปีนี้โดยเฉพาะช่วงนี้ เมื่อวานนี้ก็มี เราเปิดทีวีเปิดNBไว้เลย ฟ้าลง ทีวี ไฟในบ้านก็ดับไปวูบนึง(คงเพราะsurgeทำงาน) แล้วสัญญานก็มาใหม่ เป็นแบบนี้๒-๓รอบ แต่NBจะมีแบตอยู่ แต่สัญญานจากModem ก็หายไปแว้ปนึง ถ้าเช็คตอนซื้อแล้วว่าใช้ได้ครั้งเดียว ตัวละ๓๖๐๐ ก็คงไม่ซื้อหรอกครับ เคยมีเซ่อครั้งนึง คือไม่ได้เสียบสายโทรศัพท์(ก่อนเข้าโมเด็ม)เข้ากับsurge protector ปรากฎว่าโมเด็มพัง ช่องLanเสีย จนตอนนี้ต้องใช้สายLanเสียบเข้าUSBของคอม โดยใช้ตัวแปลงสัญญานช่วย ไม่ได้มาค้านความคิดความเห็นดีๆนะครับ มาบอกเท่านั้นเอง ด้วยความเคารพ จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร - [ 26 ก.ค. 50 22:11:39 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณต้นโพธิ์ฯ ครับ ถ้าคุณต้นโพธิ์ฯ หมายถึงความเห็นของผมในกระทู้ต้นทางที่อ้างถึงรูปภาพของคุณต้นโพธิ์ฯ ผมขออภัยอย่างสูงครับ ผมไม่ได้มีเจตนาระบุว่ายี่ห้อที่คุณต้นโพธิ์ฯใช้ไม่ดี แค่ต้องการสื่อถึงปลั๊กพ่วงทั่วๆ ไปที่บอกว่าป้องกันไฟกระชากได้ครับ ผมได้ไปลบข้อความที่กล่าวอ้างออกแล้วนะครับ คุณต้นโพธิ์ฯจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลกับการแนะนำอุปกรณ์ที่เคยใช้อยู่ครับ แล้วผมก็ไม่เคยพูดถึงตัว"...surge protector..." เป็นการเจาะจง ผมพูดถึงแต่ตัว varistor กับ surge suppressor ครับ ส่วนในกระทู้นี้ที่ผมพูดถึง "สละชีพ" ในความเห็นที่ 4 และ 17 ผมหมายถึงตัววาริสเตอร์ตัวละไม่กี่บาทที่ผมเอามาสาธิตครับ มันถูกออกแบบมาป้องกันไฟกระชากรุนแรงโดยเฉพาะ เช่นตอนฟ้าผ่าแล้วมีไฟกระชากสูงขึ้น มันจะลัดวงจรตัวมันเองให้กระแสจำนวนมากไหลผ่านตัวมันอย่างรวดเร็ว และตัวมันจะร้อนและเสียหายอย่างถาวรครับ แต่ถ้าเป็นไฟกระชากไม่รุนแรงและช่วงเวลาสั้นมากๆ ก็อาจจะไม่เสียหายได้ครับ แต่ไฟกระชากสั้นๆ น้อยๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวนี้ป้องกันครับ คุณ Me & Simple Life ครับ ตัวนี้ไม่สามารถป้องกันไฟตกได้ครับ ป้องกันได้แต่ไฟกระชากสูงเกินระดับปรกติเท่านั้นครับ คุณ yo_x ครับ ตัวที่ผมสาธิตให้ดูตามภาพนี้เอาไว้สำหรับปลั๊กตามบ้านทั่วๆ ไปที่มีแค่สองสาย ไม่มีสายดินก็ได้ครับ ตอนทำงานมันจะลัดวงจรจากสายนึง ไปสายนึงโดยตรงครับ ซึ่งกระแสจะไหลลงดินได้โดยผ่านกลับออกไปทางสาย N ไปลงดินที่สายดินของระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าครับ แต่ถ้าระบบไฟฟ้าในบ้านเป็นสามสาย มันก็จะลงดินได้ที่แท่งดินของบ้าน (ถ้าระบบสายดินทำไว้ดี) ในระบบสามสายอาจจะใช้วาริสเตอร์สองตัว โดยตัวแรงต่อระหว่างสาย L กับ N เหมือนเดิม อีกตัวต่อระหว่างสาย L กับ G หรือจะต่อสามตัวเลยก็ได้ครับ เพิ่มระหว่าง G กับ N เข้าไปอีกตัวก็ได้เช่นกันครับ แต่ไม่ค่อยจำเป็นนักครับถ้าระบบสายดินทำไว้ดี แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 50 23:30:55 จากคุณ : pa_ul - [ 26 ก.ค. 50 23:23:44 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เจ๋งดีอ่ะครับ ถามนิด ถ้าเอาแบบตัวใหญ่ๆ ไม่กลัวว่าจะยัดไม่ลง เพราะจะทำกล่องต่างหาก ให้เลือกซื้อตัวสละชีพ เบอร์ใด  มันดีกว่าตัวเล็กหรือเปล่าครับ จากคุณ : drof - [ 27 ก.ค. 50 20:45:10 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ต่อไปใช้แบบไหนครับ จากคุณ : the artist - [ 27 ก.ค. 50 21:33:04 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าใส่กล่องใหญ่ๆ จะใช้เบอร์ที่ตัวใหญ่ 20mm หรือจะเอาขนาด 30mm (ไม่อยู่ในรายการในคห.20) ก็ได้ครับ ตัวที่ใหญ่กว่ามันก็สามารถจะรับกระแสกระชากสูงๆ ตอนที่ฟ้าผ่ารุนแรงได้มีประสิทธิภาพดีกว่าตัวเล็ก แนะนำให้ใส่เต้ารับตัวเมียรวมไปด้วยเลยครับ หาเต้ารับดีๆใส่ไปเลยครับ จากคุณ : pa_ul - [ 27 ก.ค. 50 21:40:29 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เออ เนอะ ใส่มันที่รางปลั้กก็ได้นี่   แกะมาดูแล้วมันโล่งๆ  มีที่ว่างเยอะ ขนาด 30mm ดูแล้ว เอาลงได้   ฮาฮา มีของสนุกๆ มีประโยชน์ เล่นอีกแล้ว เซี่ย เซี้ย หนี่ ครับผม จากคุณ : drof - [ 28 ก.ค. 50 01:18:29 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอถามบ้างครับ แล้วมีวิธีเช็คหรือไม่ครับ ว่าตัวไหนถึงแก่กรรมไปแล้วอะครับ จะได้เปลี่ยนตัวใหม่ พวกมัลติมิเตอร์จะใช้ Mode / ย่านการวัดอะไรครับ จากคุณ : Pun_Pom - [ 28 ก.ค. 50 10:38:39 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ the artist คห. 29 ครับ วิธีใช้อธิบายไว้ในคห. 17 แล้วนะครับ คือไม่ต้องต่อสายไปใช้งานที่ไหน แต่ให้เสียบไว้ในเต้ารับชุดเดียวกัน หรือในบริเวณเดียวกันกับอุปกรณ์ที่ต้องการป้องกันครับ แต่ถ้าจะต่อสายจากปลั๊กตัวนี้ออกไปใช้ก็ให้ต่อตามรูปที่ 1 ที่ถามมาครับ คุณ Pun_Pom คห. 32 ครับ ใช้มิเตอร์วัดไม่ได้เลยครับ แต่ตัวที่เคยรับกระแสกระชากจนเสียหายไปแล้วตัวมันจะร้าว หรือแตกออกมาครับ มองเห็นด้วยตาเปล่าครับ จากคุณ : pa_ul - [ 28 ก.ค. 50 22:40:35 ]

ความคิดเห็นที่ 34 รบกวนคุณ pa_ul ช่วยดูวงจรตรงหลอดนีออนเล็กๆ ให้หน่อยครับ ว่ามันต่ออย่างไร เพราะดูจากรูปแล้วมันเหมือนแทบจะไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย ผมสงสัยกลไกการทำงานของมัน ว่ามันแสดงความพร้อมของตัววาริสเตอร์ได้อย่างไร มันรู้ได้อย่างไรว่าวาริสเตอร์ได้รับกระแสกระชากจนเสียไปแล้ว เพราะตามปกติของมันช่วงที่ไฟยังไม่เกินระดับของมัน ตัวมันเองจะเสมือน Open-circuit และตอนมันเสีย มันก็เป็นแบบ Open - circuit  อีกเช่นกัน จากคุณ : Ph - [ วันอาสาฬหบูชา 01:18:27 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ Ph ครับ วงจรตรงหลอดนีออนนี้ไม่ได้แสดงโดยตรงว่าวาริสเตอร์ขาด มันก็แค่ indicator ธรรมดาคือ R ต่ออนุกรมกับหลอดนีออนเล็กๆ นี่แหละครับ เพียงแต่เลือกใช้ R ตัวเล็กๆ แค่ 1/8w แล้วค่าก็ค่อนข้างต่ำกว่าการใช้งานเป็นหลอดแสดงผลตามปรกติ มันแสดงผลโดยวิธีอ้อมๆ คือพอแรงดันกระชาก กระแสที่ผ่านหลอดนีออนนี้ก็จะสูงไปด้วยจน R มันขาดไปครับ ตอนที่เคยขาดมาครั้งนึงนี่ก็คือ R ตัวนี้มันขาดครับ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกหลอดนีออนก็เสียไปด้วย คือข้างในมันดำเนื่องจากขั้วมันระเหิดครับ ถ้าจะถามว่ามันแสดงผลได้แน่นอนมั้ย เราสามารถออกแบบเลือกระดับแรงดันที่หลอดนีออนทำงาน(ชนิดพังทะลาย) ต่ำกว่าแรงดันที่วาริสเตอร์ทำงาน เท่ากับเป็นการป้องกันสองชั้น คือหลอดทำงานลัดวงจรจนเสียไปก่อน ถ้าแรงดันยังกระชากสูงอยู่ วาริสเตอร์ก็เสียไปด้วยครับ ไม่ว่าจะเสียอย่างเดียว หรือทั้งสองอย่าง มันก็ลดแรงดันกระชากได้ครับ แต่ตอนผมเปลี่ยนผมขี้เกียจไปหา R ตัวเล็กๆ ก็เลยค้นเอา R ขนาด 1/4w ที่มีอยู่มาใส่แทนครับ ก็คือที่เห็นในรูปครับ อ้อ...ที่จริงในอดีตก่อนที่จะมีการคิดค้นวาริสเตอร์นี่ การป้องกันไฟกระชากก็ใช้หลอดนีออนนี่แหละครับเป็นตัวป้องกัน ลองไปหาวงจรพวกเครื่องส่งเก่าๆ ดูสิครับ จะเห็นหลอดนีออนทำหน้าที่ป้องกันอยู่ครับ ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างหลอดนีออกกับวาริสเตอร์ก็คือความเร็วในการทำงาน ซึ่งวาริสเตอร์ทำงานเร็วกว่ามากครับ แล้วก็สามารถกำหนดระดับแรงดันที่เริ่มทำงานได้แม่นยำกว่ามากๆ โดยการควบคุมขนาด และส่วนผสมในขบวนการผลิตวาริสเตอร์ครับ จากคุณ : pa_ul - [ วันเข้าพรรษา 10:52:42 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณคุณ pa_ul ครับที่เข้ามาให้รายละเอียดเพิ่มเติม จริงๆ ผมเคยคิดว่ามันใส่หลอดมาหลอกเฉยๆ ว่ามีไฟ(ไฟเข้า)แค่นั้นไม่น่าจะดับเมื่อวาริสเตอร์เสีย ถ้าอย่างนั้นถ้าดัดแปลงโดยการเอาวาริสเตอร์อีกสักตัวมาต่อขนานตรงหลอดนีออน เพื่อเร่งการขาดของ R ให้เร็วขึ้นเมื่อเกิดไฟกระชาก น่าจะดี จะได้ลดโอกาสที่ว่าวาริสเตอร์แตกไปแล้วแต่หลอดไฟ ยังติดอยู่ (หลอดนีออนเริ่มนำกระแสช้าทำให้R 1/4 ขาดไม่ทัน จะเป็นไปได้หรือไม่กรณีหากเกิดการกระชากช่วงสั้นๆ) หรือมีวิธีไหนที่จะทำ indicator ที่เรียกว่าดูแล้วรู้ว่าต้องเปลี่ยนวาริสเตอร์แล้วแบบชัวร์ๆ เลย  ?? (เอาแบบที่เรียกว่าเจอไฟกระชากแรงๆ หลอดดับแน่นอน แม้ว่าวาริสเตอร์อาจจะยังดีอยู่ก็ได้ เพราะการเปลี่ยนโดยที่เข้าใจว่ามันเสีย มันคุ้มค่ากว่าเอาอุปกรณ์ทั้งระบบไปเสี่ยง) หรือว่าวิธีนี้ให้ผลเป็นที่น่าพอใจและเชื่อถีอได้เพียงพอแล้ว แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 50 00:33:25 จากคุณ : Ph - [ 1 ส.ค. 50 00:27:42 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณ ph ครับ อันที่จริงที่ผมพูดไปในคห.ต้นๆ ว่าวาริสเตอร์รับไฟกระชากได้ครั้งเดียวมันก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะว่าตัววาริสเตอร์มันจะเสียหรือไม่นั้นขึ้นกับปัจจัยหลักๆ สองสามอย่าง คือกระแสที่ไหลผ่านตัวมัน ช่วงเวลาที่กระแสจำนวนนั้นไหลผ่านตัวมัน และขนาดหน้าตัด(เส้นผ่าศูนย์กลาง)ของตัวมัน นั่นหมายความว่าถ้าเราเลือกขนาด และระดับแรงดันของตัววาริสเตอร์ให้เหมาะสม มันก็สามารถใช้งานป้องกันได้หลายๆ ครั้งเช่นกัน อย่างเช่นที่ใช้อยู่ในอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์หลายๆ อย่างนั้น ถ้าไฟกระชากนิดๆ หน่อยๆ ซักไม่เกิน 350V (ระดับสูงสุด) เวลาไม่นานนัก อย่างนี้ก็คงใช้ได้หลายครั้ง แต่ที่บอกไปว่าใช้ครั้งเดียวเสีย นั่นตั้งใจให้ใช้ป้องกันกรณีที่เกินฟ้าผ่าอยู่ใกล้ๆ ซึ่งกรณีนี้โอกาสเสียหายมีสูงมาก เพราะทั้งระดับกระแส แรงดัน และช่วงเวลานั้นมากพอที่มันจะเสียหายได้ ถ้าเป็นไปได้ผมแนะนำให้ใช้ตัวใหญ่ๆ เข้าไว้ มันจะใช้ได้ทนกว่าตัวเล็กๆ ที่ระดับแรงดันเท่าๆ กันครับ กลับมาที่คำถามที่ถามมา ผมว่าอาจจะยุ่งยากถ้าต้องการตัวแสดงผลที่บอกว่าวาริสเตอร์เสียหายไปแล้วได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่วิธีที่คุณบอกมาโดยใช้วาริสเตอร์ต่อขนานกับหลอดนีออนนั้น คิดๆ ดูแล้วก็น่าจะได้ผลดีพอสมควรอย่างที่ว่ามาครับ แต่มันก็ไม่แม่นยำอยู่ดีที่จะบอกว่าวาริสเตอร์เสียไปแล้วหรือไม่ แต่อย่างน้อยถ้า R ขาด หลอดดับไป มันก็น่าจะบอกได้ว่าได้เคยมีไฟกระชากเข้ามาในระบบครับ ซึ่งถ้าสังเกตเห็นแล้วไปถอดดูตัววาริสเตอร์ว่าไหม้/แตกหรือไม่ก็น่าจะได้อยู่ครับ อย่างไรก็ตามผมต้องบอกว่าวาริสเตอร์ไม่ได้ป้องกันได้อย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์นะครับ เพราะระดับไฟกระชากนั้นเป็นไปได้ตั้งแต่น้อยๆ ไปจนมากมายหลายพันแอมแปร์ก็ได้ ซึ่งถ้าเจอระดับสูงๆ อย่างเช่นฟ้าผ่าใกล้ อย่างนี้คงป้องกันลำบากครับ ถ้าจะทำได้อย่างเราๆ ท่านๆ ก็คงได้แก่การเลือกตัววาริสเตอร์ที่มีระดับแรงดันที่เหมาะสม แล้วก็ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาซื้อได้ครับ วาริสเตอร์ตัวใหญ่ๆ รับกระแสได้เป็นพันๆ แอมป์ได้หลายๆ ครั้ง โดยตัวมันไม่เสียหายนั้นก็มีใช้ในระบบไฟฟ้ากำลังสูงๆ อยู่ครับ แต่เราไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วๆ ไป ถ้าต้องการจริงๆ ก็ต้องสั่งซื้อเอาครับ จากคุณ : pa_ul - [ 1 ส.ค. 50 23:46:20 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณคุณ pa_ulครับ วาริสเตอร์นั้น ผมเข้าใจครับว่ามันไม่จำเป็นต้องพังทุกครั้งเสมอไป เพียงแต่กำลังคิดหาวิธีที่จะทำ Indicator เพิ่มในเครื่องสำรองไฟฟ้าเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแกะเครื่องออกมาดู แต่คิดอีกที ผมทำแบบปลั๊กตัวผู้แบบนี้แล้วเสียบไว้ร่วมกับปลั๊กไฟเข้าเครื่องUPSน่าจะดีเหมือนกันเพราะถอดเช็ค/เปลี่ยนง่ายดี ผมเคยซื้อปลั๊กกันไฟกระชากมาเพื่อหวังจะดูวงจรตรง Indicator มัน  แต่กลับเจออย่างที่คุณ pa_ul เอามาแกะให้ดู ก็เลยคิดว่าโดนหลอก(จากวงจรแบบนั้นทำให้ผมเข้าใจว่าเป็นแค่ไฟ Power เฉยๆ) นึกได้อีกอย่างคือ หากเราทำเป็นปลั๊กแบบในกระทู้นี้ขณะเกิดกระแสกระชากแล้ว  แรงดันที่ขาของวาริสเตอร์น่าจะถูกจำกัดไว้ไม่เกินระดับอันตรายของโหลดแต่แรงดันที่โหลดจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีค่ามากกว่าตรงขาของวาริสเตอร์เพราะความต้านทานที่เกิดจากการต่อเชื่อมวาริสเตอร์ด้วยปลั๊กตัวผู้แบบนี้ ? หากผมต่อโดยใช้วิธีที่ให้ขาของวาริสเตอร์เป็นจุดร่วมของสายป้อนเข้ากับสายออกไปโหลดจะมีผลดีกว่ามากน้อยสักแค่ไหนครับ ?  (กำลังตัดสินในว่าหากดีกว่าเยอะจะได้ต่อไว้ในรางปลั๊กแบบบัดกรีติดตรงขาสวิทช์เลย) จริงๆ ผมไม่หวังว่ามันจะ 100 % ครับแต่อยากจะให้มันได้ผลดีที่สุดเท่าที่ควรจะเป็นครับ ขอบคุณอีกครั้งครับที่เข้ามาตอบกระทู้ให้อย่างชัดเจน ทุกประเด็น จากคุณ : Ph - [ 2 ส.ค. 50 00:39:51 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ตอบคุณ Ph (ไม่รู้กรดหรือด่าง...) เรื่อง indicator นั้นผมเคยคิดเหมือนกัน แต่ไปๆมาๆ วงจรเฉพาะตรงนี้จะซับซ้อนเกินความจำเป็น และคงไม่ได้ประโยชน์จากมันคุ้มค่าทุนและแรงที่ลงไป และผมว่าไอ้แค่เจ้าหลอดนีออน กับ R ตัวเล็กๆ นั้นก็ใช้ได้ดีแล้วครับ ติดนิดเดียวว่าหลอดนีออนที่ขายอยู่ตามบ้านหม้อมันไม่มีเบอร์ ไม่มีสเปค ทำให้ไม่สามารถเลือกใช้ หรือนำมาคำนวณค่าต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมครับ ที่ถามมาว่าแรงดันที่โหลดจะมากกว่าแรงดันที่จำกัดที่ขาวาริสเตอร์หรือไม่นั้น ก็ต้องบอกว่าเป็นไปได้ครับ เพราะมีเรื่องของค่าเหนี่ยวนำของสายไฟที่ใช้ ระยะทางจากตัววาริสเตอร์ไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วก็ลักษณะของแรงดันกระชากที่เกิดขึ้นครับ ก็เลยแนะนำในวิธีใช้ว่าให้เสียบให้ใกล้กับจุดที่ต้องการป้องกันให้มากที่สุดครับ ที่ผมสาธิตวิธีทำอย่างง่ายๆ ก็ไว้สำหรับคนที่พอจะมีฝีมือบ้างนิดๆ หน่อยๆ จะได้ทำกันได้ง่ายๆ แต่ถ้ามีฝีมือมากกว่านั้น แนะนำให้หาที่มันตัวใหญ่ๆ บัดกรีติดในรางเต้ารับเลยครับ เป็นการต่อที่ดีที่สุดครับ จากคุณ : pa_ul - [ 3 ส.ค. 50 19:12:51 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ถ้าอย่างนั้นผมคงทำแค่ R+นีออน เล็กๆ พอ  ซึ่งดูแล้วน่าจะคุ้มค่ากับความง่ายของมัน และตรงนี้มันก็มีอยู่ในโครงสร้างของ Switch ที่รางปลั๊กด้วยแล้ว เท่ากับว่ามันน่าจะดับได้เมื่อเจอไฟกระชาก?? หรือไม่ก็ผมเปลี่ยนใจไปคิดทำตัวตรวจเช็คดีกว่า (เผื่อกรณีเสียแต่ตัวมันไม่แตกร้าว ? เป็นไปได้ไหม) โดยปลดวาริสเตอร์ออกมาเช็ค โดยการสร้างแรงดัน DC สัก 500 Volt  เพื่อให้ถึงจุดที่วาริสเตอร์จะนำกระแส โดยอนุกรมกับ R แล้ววัดแรงดันคร่อมวาริสเตอร์ หากวัดได้เท่ากับแหล่งจ่ายคือประมาณ 500 V  จะสรุปว่าเสีย อย่างนี้ได้ไหม  ผมไม่แน่ใจกรณีไฟ DC จะมีผลอะไรกับภายในตัววาริสเตอร์หรือไม่ ผมตั้งใจจะใช้กระแสทดสอบสัก 10 mA พอ (ผมวางแผนว่าจะต่อลงใปในรางปลั๊กเลยตัววาริสเตอร์นี่ล่ะ โดยต่อไว้หลังฟิวส์แต่ก่อนสวิทช์ เวลาทดสอบก็ถอดสายออกจากรางปลั๊กให้หมด กดปิดสวิทช์เพื่อตัดวงจรส่วนนีออน+R ของสวิทช์ไม่ให้เข้ามาในระบบ แล้วเอาหัวสายของรางปลั๊กมาเสียบที่ตัวทดสอบนี้ น่าจะทดสอบได้เร็วที่สุดโดยไม่ต้องแกะออกมา) จากคุณ : Ph - [ 4 ส.ค. 50 02:08:19 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ...เผื่อกรณีเสียแต่ตัวมันไม่แตกร้าว ? เป็นไปได้ไหม.... อืม....ไม่เคยเห็นอย่างนั้นเหมือนกันครับ เห็นเสียทีไรก็แตกร้าว หรือไหม้ดำทุกที คืออย่างนี้ครับ ตอนที่มันเสียมันยังไม่แตกหรอกครับ แต่ว่าเวลามันเสียมันจะเสียแบบลัดวงจรเสมอ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเนื่องจากโครงสร้างภายในของวาริสเตอร์เอง ซึ่งถ้าวงจรในส่วนนั้นมีการป้องกันการลัดวงจรด้วยฟิวส์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ก็ตาม ถ้ามันทำงานทันฟิวส์ก็จะขาดไป(หรือวงจรป้องกันทำงาน)โดยวาริสเตอร์อาจจะไม่ทันแตก แต่ถ้าอุปกรณ์ป้องกันทำงานช้ากระแสจำนวนมากจะไหลผ่านวาริสเตอร์ทำให้มันร้อนอย่างรวดเร็วจนแตกร้าว แล้ววงจรป้องกันหรือฟิวส์ถึงทำงานครับ เราก็เลยเห็นมันแตกทุกทีไป ที่จริงในการใช้งานตัววาริสเตอร์ควรต่ออยู่หลังฟิวส์เสมอครับ ...สร้างแรงดัน DC สัก 500 Volt  เพื่อให้ถึงจุดที่วาริสเตอร์จะนำกระแส โดยอนุกรมกับ R แล้ววัดแรงดันคร่อมวาริสเตอร์.... ถ้าจะใช้คงต้องจำกัดกระแสให้น้อยกว่านี้ครับ ตัววาริสเตอร์ขนาด 14mm รับกำลังสูญเสียสูงสุดแถวๆ ครึ่งวัตต์ ถ้าใช้แรงดัน 500Vdc กระแสก็ต้องให้น้อยกว่า 1mA ครับ มันไม่เหมือนแรงดันกระชากในระบบไฟฟ้านะครับ ที่มันเกิดเป็นช่วงสั้นมากๆ ไม่กี่ไมโครวินาที ซึ่งถ้าเป็นแรงดันกระชากลักษณะนี้ มันรับได้เป็นหลายร้อยแอมป์เลยครับ โดยตัวมันยังไม่เสีย แต่ถ้าป้อนแรงดันไฟตรงตามที่ว่านานซักวินาทีนึง มันคงไหม้แหละครับ แล้วถ้าจะทำจริงยังไงก็ระวังคนวัดโดนไฟดูดเอาหละครับ แรงดันระดับ 500V ถึงจะจำกัดไว้แค่สิบมิลลิแอป์ โดนเข้าไป (ถ้าไม่มีวงจรป้องกัน) ก็สาหัสเหมือนกันครับ จากคุณ : pa_ul - [ 4 ส.ค. 50 17:38:26 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้าหลังเจอไฟกระชากแล้วมันเสียแบบลัดวงจร  อย่างนี้ตัวมันต้องแตกระเบิดออก  เลยเป็นเหตุผลที่เขาใช้ท่อหดหุ้มมันไว้ ผมเห็นใน UPS หลายๆ ตัวจะใช้ท่อหดหุ้มไว้ เพื่อไม่ให้ชิ้นส่วนมันกระจายออกไป?? หรือว่าหุ้มไว้เพราะเหตุผลอื่น เพราะตอนนี้ผมใส่ลงรางปลั๊กโดยไม่ได้หุ้มท่ดหดไว้ด้วย ส่วนเรื่องความปลอดภัยผมตั้งใจจะทำให้คนวัดต้องปลอดภัยที่สุดครับ เนื่องจากผมอาจจะไม่ได้ทำไว้ทดสอบเองคนเดียว จากข้อมูลตรงนี้ผมจะทำลงกล่องให้เรียบร้อย แล้วมีปลั๊กตัวเมียไว้ พร้อม Volt meter แบบเข็ม ยึดติดไว้ที่กล่องเลย ตั้งใจว่าจะให้คนที่ทดสอบเอารางปลั๊กที่มีวาริสเตอร์อยู่ภายในมา โดยเอาหัวปลั๊กตัวผู้ที่ปลายสายรางปลั๊กมาเสียบที่กล่องนี้ (กดปิดสวิทช์ที่ปลั๊กก่อนเพื่อไม่ให้นีออนสีแดงตรงสวิททำงาน) แล้วดูเข็ม Volt meter เอา ถ้าเสียบแล้วเข็ม Volt ตกลงมาก็แสดงว่าวาริสเตอร์ยังนำกระแสอยู่ แค่นี้ก็พอจะรู้ว่ารางปลั๊กอันนี้ยังพร้อมใช้ป้องกันไฟกระชาก ตั้งใจจะทำแค่ประมาณนี้ครับ เพื่อให้มันง่ายที่สุดและใช้อุปกรณ์น้อยที่สุด เพราะผมมีรางปลั๊กจำนวนมาก วิธีนี้ก็แค่เสียบสายไม่ต้องขันสกรูแกะฝาปลั๊กออกทำให้ใช้เวลาน้อยในการทดสอบ อาจจะใช้ทดสอบทุกๆ เดือน เดือนละครั้ง น่าจะสดวกดี ถึงตรงนี้ผมจะลองสร้างตัวทดสอบขึ้นมาจริงๆ ครับ ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำครับ จากคุณ : Ph - [ 5 ส.ค. 50 00:25:31 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ฟังไปฟังมาชักสงสัยว่าคุณ Ph ทำไมมีรางปลั๊กเยอะจังครับ ถึงขนาดต้องให้คนอื่นช่วยทดสอบ ถ้าต้องใช้เยอะขนาดนี้ น่าจะหาตัวใหญ่ๆ ติดตั้งเข้าไปในระบบไฟฟ้าโดยตรงเลยจะดีกว่ามั้ยครับ จากคุณ : pa_ul - [ 5 ส.ค. 50 11:58:58 ]