ความคิดเห็นที่ 3
หรืออ่านดูนีก็ได้เอาจาก www.home.co.th ===================================================
Home : คุณกำลังอยู่ที่ : Home > ความรู้คู่บ้าน > รายละเอียดความรู้ ความรู้เกี่ยวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรีไฟแนนซ์-ตกแต่ง-ต่อเติม-ซ่อมบ้าน การรีไฟแนนซ์ (Refinance) คือ การกู้เงินก้อนใหม่เพื่อไปใช้คืนเงินกู้ก้อนเก่า โดยผู้กู้ได้ประโยชน์ มากกว่าจากเงินกู้ก้อนใหม่ เนื่องจากได้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่าเดิม สามารถลดเงินต้นได้เร็วขึ้น เงินงวดต่อเดือนถูก ลง เป็นต้น
เวลาที่คิดจะรีไฟแนนซ์นั้น ส่วนใหญ่มักจะมองไปที่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าแหล่งเงินกู้เดิม เท่านั้นแต่ที่จริงยังมีเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรีไฟแนนซ์ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องคำนึกถึงหากต้อง การจะรีไฟแนนซ์ ให้คุ้มค่า
หลักง่าย ๆ ในการพิจารณาว่าการรีไฟแนนซ์แต่ละครั้งจะคุ้มค่าหรือไม่ ให้พิจารณาจากการประหยัดจาก อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง โดยเทียบจากค่างวดที่ต้องผ่อนชำระระหว่างแหล่งเงินกู้เดิมกับแหล่งเงินกู้ใหม่ และ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรีไฟแนนซ์ หากเสียค่าใช้จ่ายน้อยแต่ประหยัดได้มากกว่าก็น่าจะรีไฟแนนซ์ได้
ฉะนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจ “รีไฟแนนซ์” คุณควรจะต้องพิจารณาในประเด็นต่อไปนี้ และชั่ง น้ำหนักให้ดีว่า “คุ้ม” หรือไม่
อัตราดอกเบี้ย ถึงจะไม่ใช่ประเด็นเดียวที่ใช้ในการคิดคำนวณก่อนจะตัดสินใจย้ายแหล่งเงินกู้ แต่ดอกเบี้ยเป็นประเด็นที่ สำคัญที่สุดในการรีไฟแนนซ์ ถ้าเห็นดอกเบี้ยต่ำคงที่ในปีแรกๆ เพราะในปัจจุบันดอกเบี้ยคงที่ปีแรกลงมาถึง 1% 2.5% และ 3%
ต่ไม่ใช่ว่า จะดูเฉพาะดอกเบี้ยในปีแรกๆ เท่านั้น เพราะสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นสินเชื่อที่มีระยะเวลาการผ่อน ชำระเป็นสิบปีขึ้นไป ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการรีไฟแนนซ์ การซื้อบ้านใหม่ ก็ควรจะคำนึงถึงอัตราดอกเบี้ย หลังจากหมดระยะดอกเบี้ยคงที่ด้วย
ขณะที่บางคนอาจจะตื่นเต้นกับ “เอ็มแอลอาร์ลบ” มากกว่าเอ็มแอลอาร์โดดๆ โดยไม่สนใจว่าปกติแล้ว ดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ หรือดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีของธนาคารนั้นอยู่ที่เท่าไร และต่างจากธนาคารอื่น อย่างไรบ้าง
โดยปกติแล้วสถาบันการเงินขนาดเล็ก มักจะกำหนดดอกเบี้ยอ้างอิงไว้สูงกว่าสถาบันการเงินของธนาคาร ใหญ่ เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะลดลงจากดอกเบี้ยอ้างอิงแล้ว ก็อาจจะได้อัตราเดียวกับสถาบันการเงินขนาด ใหญ่
ดังนั้น ทางออกอย่างเดียว คือ นอกจากจะต้องเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยระหว่างสถาบันการเงินแล้ว ยังต้อง ดูประวัติดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินนั้นๆ ด้วยว่า เป็นอย่างไร สูงหรือต่ำกว่าธนาคารที่เราใช้บริการ อยู่
ถ้าดอกเบี้ยลดลงจากเดิม 1% นอกจากจะช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยจ่ายในแต่ละปีลงแล้ว ค่างวดที่ ต้องผ่อนในแต่ละเดือนยังจะลดลงด้วย
แต่หากยอดหนี้เหลืออยู่ไม่มาก ก็อาจจะประหยัดดอกเบี้ยลงได้ไม่มากนัก เช่น หากคุณมีหนี้เหลือ เพียง 500,000 บาทและดอกเบี้ยลดลง 1% เท่ากับประหยัดดอกเบี้ยจ่ายได้ปีละ 5,000 บาท หรือเดือนละ 416 บาท คุณจะพอใจหรือไม่หรือในกรณีที่ระยะเวลาเหลืออยู่ไม่กี่ปี และดอกเบี้ยลดลงไม่มาก ก็อาจจะ ไม่คุ้มหากต้องไปเริ่มต้นกระบวนการสินเชื่อใหม่อีกครั้ง
ถ้ารีไฟแนนซ์ให้คุ้มค่า ดอกเบี้ยจะต้องลดลงอย่างน้อย 2-3% เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจาก การรีไฟแนนซ์
ประวัติการผ่อนชำระ เป็นสิ่งแรกของคนที่ต้องการรีไฟแนนซ์ว่า ตลอดเวลาอย่างน้อย 6-12 เดือนที่ผ่านมา ประวัติการ ชำระค่างวดของคุณเป็นอย่างไร เพราะถ้าคุณเป็นประเภทขี้หลงขี้ลืม ผ่อนชำระไม่ตรงเวลาที่สถาบันการ เงินกำหนดไว้ และอาการยิ่งหนักขึ้น ถ้าคุณไม่ชำระค่างวดติดต่อกันสัก 2 งวด แล้วล่ะก็ลืมเรื่องรีไฟแนนซ์ ไปสถาบันการเงินอื่นไปได้เลย เพราะสถาบันการเงินบางแห่งกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า คนที่ต้องการย้ายมา จากสถาบัน การเงินอื่น มาใช้บริการของเขา จำเป็นต้องมีประวัติการผ่อนชำระที่ดีติดต่อกันเป็นเวลาอย่าง น้อย12 เดือน ขณะที่บางแห่งอาจจะระบุไว้เพียง 2-6 เดือน
แต่ไม่ใช่ว่า คุณจะหมดหนทางเลยทีเดียว แม้ว่า ประวัติการผ่อนชำระของคุณจะติดๆ ขัดๆ อยู่บ้างก็ตาม แต่คุณก็ยังสามารถรีไฟแนนซ์ได้เหมือนเดิม เพียงแต่เป็นการรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินเดิม ที่อาจจะ ช่วยให้ภาระทางการเงินของคุณ “ผ่อนคลาย” ลงไปบ้าง เพราะนอกจากจะได้ดอกเบี้ยถูกลงตาม โครง การใหม่ๆ แล้ว ค่างวดที่ต้องผ่อนจะลดลงตามไปด้วย
รวมถึงค่าใช้จ่ายที่จะเกิดจากการรีไฟแนนซ์จะน้อยกว่าการย้ายสถาบันการเงินค่อนข้างมาก เพราะสถาบัน การเงินเดิมอาจจะคิดเพียงค่าธรรมเนียมเงินกู้หรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีกเล็กน้อย ซึ่งไม่น่าจะเกินหลักพัน บาท
ตรวจสัญญาสถาบันการเงินเดิม ถ้ามั่นใจว่า ประวัติการผ่อนชำระไม่มีด่างพร้อย และได้อัตราดอกเบี้ยที่พอใจ ก็เริ่มขั้นตอนต่อไป คือตรวจสอบสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินเดิมว่า เปิดทางให้เรารีไฟแนนซ์ได้หรือไม่ และต้องเสียค่าปรับ ในการชำระคืนเงินกู้ทั้งก้อนก่อนกำหนดหรือไม่
ธนาคารพาณิชย์เกือบทุกแห่งกำหนดระยะค่าธรรมเนียมอันนี้ไว้ในอัตราและเงื่อนไขที่ใกล้เคียงกัน คือ หาก ชำระคืนทั้งหมดภายใน 3 ปี หลังจากทำสัญญา ผู้กู้ต้องเสียค่าปรับ 2% ซึ่งบางแห่งจะคิดยอดหนี้คงเหลือ บางแห่งอาจจะคิดจากมูลค่าหนี้ตามสัญญา ขณะที่บางแห่งจะกำหนดระยะเวลาไว้ถึง 5 ปี และคิดค่าธรรม เนียม 3%
นอกจากนี้ ยังมีธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งหนึ่งที่กำหนดเงื่อนไขไว้มากกว่านั้น คือ หากชำระหนี้ทั้งหมด ภายใน 3 ปี ต้องเสียค่าปรับ 2% แต่หากหลังจากปีที่ 3 ไปแล้วนำ “เงินสด”มาชำระจะไม่เสียค่าธรรมเนียม แต่ หากเป็นการรีไฟแนนซ์โดยที่ธนาคารได้รับชำระหนี้ด้วย “แคชเชียร์เช็ค” จากสถาบันการเงินใดก็ตาม ลูกหนี้ยังคงต้องเสียค่าปรับ 2% เช่นเดิม
ในทางปฏิบัติคุณอาจจะเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบสัญญาก่อนที่จะดูดอกเบี้ยและประวัติการผ่อนชำระก็ได้ เพราะถ้าคุณจะต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก บางทีคุณอาจจะล้มพับโครงการรีไฟแนนซ์ของคุณไปได้เลยก็ได้
ค่าใช้จ่าย ถ้าเป็นไปได้อยากให้คนที่คิดจะรีไฟแนนซ์ทำเครื่องหมายดอกจันใหญ่ๆ ไว้ที่หน้าหัวข้อนี้ เพราะ การรีไฟแนนซ์ของคุณจะคุ้มหรือไม่คุ้ม มันขึ้นกับข้อนี้เป็นสำคัญ เพราะแม้ว่า เราจะได้ดอกเบี้ยถูกลงมาก แต่เมื่อมีค่าใช้จ่ายสูงลิบ จนกินส่วนต่างที่ควรจะประหยัดลงไปเสียหมด เราก็คงไม่ต้องรีไฟแนนซ์กันให้ เสียเวลา
ค่าใช่จ่ายที่จะเกิดจากการรีไฟแนนซ์มีอยู่ 6 รายการหลัก ซึ่งลูกค้าแต่ละรายจะเสียไม่เท่ากัน เพราะนอกจาก สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะกำหนดอัตราที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอีกมาก
1.ค่าปรับกรณีคืนหนี้ก่อนกำหนดของสถาบันการเงินเดิม ในกรณีที่สัญญาเงินกู้ยังไม่พ้น “ระยะต้องห้าม” คุณจะต้องจ่ายแน่ๆ แล้ว 2-3% ของยอดหนี้คงค้างหรือยอดหนี้ตามสัญญา
2.ค่าจดจำนองใหม่กับกรมที่ดิน ยังถือเป็นโชคดีขึ้นมาอีกนิดหนึ่งสำหรับคนที่มีบ้านอยู่ในโครง การที่ดินจัดสรรของกรมที่ดิน เพราะปีนี้และอาจจะรวมถึงปีหน้าด้วย ที่ค่าธรรมเนียมการจดจำนองเหลือ เพียง 0.01% ของราคาประเมินที่ดินในกรณีทั่วไปยังต้องเสียในอัตรา 1%
3.ค่าประเมินราคา เป็นอัตราที่ธนาคารแต่ละแห่งกำหนดขึ้นมาในอัตราที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ย แล้วจะอยู่ประมาณ 2,500 บาท หรือ 0.24% ของราคาประเมิน ขณะที่สถาบันการเงินบางแห่งอาจจะยกเว้น ให้ ในบางกรณี เช่น บ้านที่ทำสัญญาเงินกู้ไม่เกิน 3 ปี หรือ เป็นช่วงส่งเสริมการขายของสถาบันการเงิน นั้นและถ้าเป็นการรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินเดิมอาจจะไม่ต้องประเมินราคาใหม่ก็ได้
4.ค่าธรรมเนียมเงินกู้กับสถาบันการเงินใหม่ ซึ่งในสถาบันการเงินแต่ละแห่ง อาจจะเรียกชื่อค่า ธรรมเนียมนี้แตกต่างกัน และมีรายละเอียดค่าธรรมเนียมต่างกันด้วย อย่างไรก็ตาม ในบางแห่งอาจจะไม่ มีรายการนี้เลยก็ได้ ซึ่งโดยเฉลี่ยค่าธรรมเนียมเงินกู้จะอยู่ประมาณ 0.25-0.50% ของวงเงินกู้
5.ค่าประกันอัคคีภัย โดยปกติจะอยู่ประมาณ 0.1-0.2% ของวงเงินกู้ใหม่ อย่างไรก็ตาม สถาบัน การเงินบางแห่งอาจจะกำหนดอัตราที่แตกต่างจากนี้ ซึ่งจากการทำประกันอัคคีภัยบ้านจะทำเป็นรายปีเพราะ ฉะนั้น สำหรับคนที่เพิ่งต่ออายุกรมธรรม์สามารถใช้กรมธรรม์เดิมได้ โดยไม่ต้องทำประกันใหม่
6.ค่าอากรแสตมป์ ที่ผู้กู้จะต้องจ่ายในอัตรา 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่ หรือ 10,000 บาท ละ 5 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่สูงมากนัก ฉะนั้น บางคนอาจจะลืมคิดถึงค่าใช้จ่ายตัวนี้ไปแล้ว
คุ้มหรือไม่ ในปัจจุบันคุณคงหาสถาบันการเงินให้อัตราดอกเบี้ยถูกกว่าสถาบันการเงินเดิมถึง 3-5% ได้ค่อน ข้างยาก เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้เคียงกัน เพราะฉะนั้น หากคุณจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ทั้ง 6 ข้อข้างต้น คุณจะต้องจ่ายระหว่าง 2.66-4.90% ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักจะมาจากค่าปรับในการไถ่ถอนก่อน กำหนด และค่าประเมินราคา จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่การรีไฟแนนซ์ครั้งนี้จะทำให้คุณนอนอมยิ้ม เพราะ ประหยัดค่าใช้จ่าย
แต่หากคุณเป็นลูกหนี้ที่ปลอดระยะต้องห้าม และมีบ้านในโครงการที่จัดสรรที่ดินถูกต้อง ต้นทุนในการรี ไฟแนนซ์ของคุณจะต่ำมาก เพราะจะเสียค่าใช้จ่ายไม่ถึง 1% เพราะฉะนั้น ก็สามารถหาสถาบันการเงินที่ ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าที่เดิมสัก 2-3% ก็เรียกได้ว่า คุ้มค่ากับการยอมเสียสละเวลา
ลูกค้าสินเชื่อบ้านในปัจจุบันส่วนใหญ่น่าจะเสียดอกเบี้ยกันประมาณ 6% ถ้าใครจ่ายเกินกว่านี้ หรือแม้แต่ คนที่จ่ายเกินกว่า 5% คงต้องเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองได้แล้วว่า ควรจะรีไฟแนนซ์เสียทีดีหรือไม่
ถ้าคุณมียอดหนี้คงเหลือ 1 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 6% ผ่อนชำระเดือนละประมาณ 10,000 บาท หากคุณรีไฟแนนซ์มาที่ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.5% คุณจะผ่อนต่อเดือนเหลือเพียง 7,500 บาท เท่ากับคุณ ประหยัดเดือนละ 2,500 บาท ปีละ 30,000 บาท
กรณีที่เสียค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ 1% หรือ 10,000 บาท คุณคงต้องตอบคำถามนี้ได้ว่า เงิน 20,000 บาท ในระยะเวลา 1 ปี นั้น คุ้มหรือไม่กับค่าเสียเวลาในการดำเนินการ
ในกรณีที่ต้องจ่ายค่าปรับให้สถาบันการเงินเดิมอีก 2% รวมเป็น 3% หรือ 30,000 บาท ก็คงไม่จำเป็นต้อง เหนื่อยเพราะคุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากการรีไฟแนนซ์ เว้นแต่เป็นเหตุผลส่วนตัว
ท้ายที่สุดก่อนที่จะตัดสินใจ “ย้าย” ให้เดินเข้าไปหาสถาบันการเงินเดิม แล้วบอกเขาไปตรงๆ ว่า เราจากเขา ไปแล้ว ต่อรองกับเขาอีกหน่อย ไม่แน่ว่า เราอาจจะได้เงื่อนไขที่ดีกว่า ถ้าเราเป็นลูกหนี้ดีมาตลอด …………………………………………………………………………………………..
จากคุณ :
vibig
- [
8 พ.ย. 50 01:40:32
]
|
|
|