ความคิดเห็นที่ 1 น่าจะปรึกษาสำนักงานกฏหมายดีกว่า เรื่องละเอียดอ่อน เขาเข้ามาอยู่ได้กี่ปีล่ะ??? จากคุณ : piyak (piyakh) - [ 2 ก.พ. 51 11:01:25 ]

ความคิดเห็นที่ 2 1. แนะนำให้นำโฉนดที่มีอยู่ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดิน ถ้ายังไม่เปลี่ยนชื่อดำเนินการตาม 2 2. แจ้งความข้อหาบุกรุก จากคุณ : van_n&n - [ 2 ก.พ. 51 11:34:39 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ปกติการครอบครองแบบนี้จะทำได้สองแบบคือ 1.หนังสือยินยอม 2.การยินยอมโดยชอบธรรม(ไม่มีหนังสือยินยอม แต่ต้องมีพยานแวดล้อม) หากไม่มีทั้งสองกรณีนี้ ไม่มีทางที่จะมาอ้างได้ว่า เป็นการครอบครองปรปักษ์ จริงๆแล้วที่บ้านที่ต่างจังหวัดผม ก็เคยอยู่ในลักษณะแบบนี้ คือที่ดินเป็นของลุง แล้วอนุญาตให้ที่บ้านผมปลูกบ้านได้ ก็อยู่ๆๆกันเป็นสิบ ยี่สิบปี (ถามว่าครอบครองก็ได้ แต่ไม่ทำครับ) มาตอนหลังเลยซื้อที่ดิน แล้วเอาโฉนดมาทำให้ถูกต้องเลย สบายใจ แต่ของที่บ้าน จะเป็นลักษณะการยินยอมแบบข้อ2 มีพยานแวดล้อมมากมาย ปล.แน่ใจมั๊ยครับ ว่าไม่เคยบอกเค้าให้เข้ามาตั้งรกรากได้ ถ้ามั่นใจ ฟ้องร้องเลยครับ จากคุณ : ปลาวาฬสีฟ้า..หางกุด - [ 2 ก.พ. 51 11:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ปกติการครอบครองโดยปรปักษ์ จะได้สิทธิต้องมีองค์ประกอบดังนี้ 1.ครอบครองมาเกิน 10 ปีขึ้นไป 2.ครอบครองโดยสงบและเปิดเผย โดยมีเจตนาเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครองต้องฟ้องศาล เพือให้ศาลสั่งเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ แต่ส่วนใหญ่ต้องใช้พยานบุคคลมาช่วยสืบด้วย ถ้าใน 10 ปีเราเคยแย้งสิทธิหรือแสดงความเป็นเจ้าของจะเริ่มนับเวลาใหม่ทุกครั้ง ผมว่ากรณีอย่างนี้ไม่น่ายากครับ แจ้งความเลยครับข้อหาบุกรุก ตามความเห็นที่3 ถ้าเราให้ความยินยอมให้เค้าอยู่ โดยเราแสดงเจตนาเป็นเจ้าของ ถึงครอบครองเกิน 10 ปี ก็ไม่ถือเป็นการครอบครองปรปักษ์(ชื่อก็บอกอยู่ว่าครอบครองแบบไม่เป็นมิตรซักเท่าไหร่ อยากได้ของๆเรา) แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 51 12:34:02 จากคุณ : big head - [ 2 ก.พ. 51 12:26:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ^ ^ ^ แบบบ้านผมต้องเข้าข่ายสิครับ ถ้ายินยอมให้ครอบครองและทำการปลูกบ้านได้ อยู่ๆมา สิบปี แล้วจะให้มาทุบบ้านทิ้งใครจะยอมล่ะครับ แต่อันนี้ยกตัวอย่างรูปแบบบ้านผมมาเฉยๆ เพราะลุงที่บ้านไม่ได้ใจร้ายแบบนั้น จากคุณ : ปลาวาฬสีฟ้า..หางกุด - [ 2 ก.พ. 51 13:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 6 การครอบครองปรปักษ์ จะต้องเป็นการเข้าครอบครองทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิของบุคคลอื่น โดยสงบโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์เมื่อครอบครองครบสิบปีแล้ว ผู้ครอบครองจะได้กรรมสิทธิโดยครอบครองปรปักษ์ แต่ถ้ายังไม่มีการจดทะเบียนการได้กรรมสิทธิมาโดยครอบครองปรปักษ์ จะยกการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอก ที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยสุจริตและมีการจ่ายค่าตอบแทนไม่ได้ ถ้าครอบครองทรัพย์สินโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ แม้จะครอบครองนานเพียงใด ผู้ครอบครองก็ไม่ได้กรรมสิทธิ เช่น การให้อยู่อาศัยในที่ดินเพราะเป็นเครือญาติ หรืออยู่โดยการเช่า ฯลฯ เหล่านี้ ถือว่าครอบครองโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของ จะครอบครองนานเพียงใดก็ไม่เป็นการครอบครองปักษ์ จากคุณ : บุณฑริก - [ 2 ก.พ. 51 13:27:51 ]

ความคิดเห็นที่ 7 การแย่งการครอบครอง ถ้าเป็นที่ดินมือเปล่า เช่น ที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส3 ,น.ส.3 ก. ,น.ส.3 ข.  ฯลฯ จะไม่ใช่การครอบครองปรปักษ์ เพราะผู้มีชื่อในหนังสือเหล่านั้น ยังไม่มีกรรมสิทธิในที่ดินนั้น จะมีก็แต่เพียงสิทธิครอบครอง ถ้ามีบุคคลอื่นเข้ามาครอบครองโดยสงบโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของครบ 1 ปี ผู้ครอบครองจะได้สิทธิครอบครองไปจากผู้มีสิทธิครอบครองเดิม ซึ่งเรียกกันว่าการแย่งการครอบครอง จากคุณ : บุณฑริก - [ 2 ก.พ. 51 13:39:58 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เอ่อ สงสัยมานานแล้วเหมือนกัน แล้วไอ้กฏหมายข้อนี้มันมีไว้ทำประโยชน์อะไรเหรอครับ เหมือนเขียนขึ้นมาเพื่อให้คนมาแย่งของกัน จากคุณ : Purity - [ 3 ก.พ. 51 17:41:02 ]

ความคิดเห็นที่ 9 การยินยอมให้ครอบครองและทำการปลูกบ้านได้ อยู่ๆมา สิบปี แล้วจะให้มาทุบบ้านทิ้งใครจะยอมล่ะครับ แต่อันนี้ยกตัวอย่างรูปแบบบ้านผมมาเฉยๆ เพราะลุงที่บ้านไม่ได้ใจร้ายแบบนั้น ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เจ้าของอนุญาตให้ปลูกสร้างบ้านนั้นก่อให้เกิดเพียงสิทธิปลูกบ้านและอาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าวเท่านั้น การอยู่อาศัยของผู้ปลูกสร้างจึงอยู่อาศัยโดยรู้ว่าตนมิใช่เจ้าของทรัพย์  เป็นแต่เพียงที่ผู้ปลูกสร้างบ้านอาศัยในที่ดินดังกล่าวโดยมีเจตนาครอบครองแทนผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่ได้มีคำอนุญาตแล้วจากเจ้าของที่ดิน ฉะนั้นแล้วผู้ปลูกสร้างบ้านจึงไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ด้วยเพราะขาดหลักเกณฑ์ที่ว่า "ครอบครองโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของ" ผู้ปลูกบ้านบนที่ดินของคนอื่น เมื่อสร้างโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นการปลูกสร้างในที่ดินที่มิใช่ของตน  การกระทำนี้ของผู้ปลูกสร้างบ้านจึงเป็นการกระทำด้วยความยินยอมสมัครใจของตน และรู้สำนึกในการกระทำของตนว่าตนอาศัยอยู่ในบ้านที่ตั้งบนที่ดินของผู้อื่นโดยเป็นการครอบครองที่ดินนั้นแทนเจ้าของ เมื่อเจ้าของที่ดิน ใช้สิทธิความเป็นเจ้าของ มาติดตามเอาคืนที่ดินของตน อันเป็นสิทธิเด็ดขาด ผู้ปลูกสร้างบ้านโดยการครอบครองที่แทนเจ้าของก็จำต้องคืนที่ดินนั้นแก่เจ้าของที่ดินโดยไม่สามารถยกเอาข้ออ้าง การอยู่อาศัยมา 10 ปีนั้นของตนได้ จากคุณ : เด็กหัดฝึก^v^ - [ 3 ก.พ. 51 22:42:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 การครอบครองปรปักษ์ครับ ถ้าเราล้อมรั้วลวดหนามโดยรอบพื้นที่เรา แล้วทิ้งไว้ 10 ปี แล้วมาดูอีกทีปรากฎว่ามีคนเข้ามาอยู่แล้วอ้างสิทธ์เป็นเจ้าของ โดยมีการรื้อลวดหนามที่ทำไว้ นี่ถือว่าเค้าได้สิทธ์ การเป็นเจ้าของแทนเราได้มัยอ่ะครับ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เมื่อบุคคลผู้นี้กระทำการรื้อลวดหนาม ที่เจ้าของที่แท้จริงได้ทำการล้อมรั้วลวดหนามนั้น การล้อมรั้วลวดหนามโดยรอบพื้นที่เป็นเพียงการประกาศให้บุคคลภายนอกรู้แจ้งโดยทั่วกันถึงอาณาเขตพื้นที่ที่ดิน และถือเป็นการใช้ประโยชน์บนที่ดินของเจ้าของทรัพย์ ซึ่งเป็นลักษณะหวงกันอย่างหนึ่งอันเจ้าของทรัพย์จะกระทำได้  แต่การล้อมรั้วลวดหนาวมดังกล่าวแล้วบุคคลผู้นี้ได้รื้อลวดหนามถือได้ว่าบุคคลผู้นี้บุกรุกเข้าไปอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าว เป็นการกระทำโดยลักษณะการเข้าครอบครองที่ดินนั้นโดยเป็นปรปักษ์กับเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริง บุคคลเข้าอยู่ในที่ดินของผู้อื่น เป็นเวลา 10 ปี โดยเจ้าของที่ดินที่แท้จริงมิได้ยื้อแย้งหรือขจัดให้พ้นไปจากที่ดินที่บุคคลผู้นี้เข้าครอบครอง และบุคคลอยู่ในที่ดินโดยเขาได้อ้างสิทธิเป็นเจ้าของ ตามกม.ม.1382 ที่บัญญัติว่า "บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้ โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาฯได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี..ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ" ฉะนั้น บุคคลผู้นี้จึงมีสิทธิตาม กฎหมาย มาตรา 1382 และสามารถกล่าวอ้างว่าตนได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินดังกล่าว เนื่องจากบุคคลผู้นี้ได้ครอบครองที่ดินอันเป็นอสังหาฯของผู้อื่นติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี โดยความสงบที่ว่ามิได้มีการถูกยื้อแย้งหรือถูกขจัดให้พ้นจากที่ดินที่ครอบครองเลยตลอดระยะเวลาที่ครอบครองเพราะไม่มีการปรากฎตัวผู้เป็นเจ้าของเลยตลอดระยะเวลา 10 ปี อีกทั้งบุคคลผู้นี้ได้ครอบครองที่ดินโดยเปิดเผย มิได้หลบซ่อนปิดบังตัวตน และเป็นการครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของในที่ดิน โดยบุคคลผู้นี้ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการปลูกสร้างบ้าน และมีการเข้าอยู่อาศัยในบ้านบนที่ดินดังกล่าว อันเป็นลักษณะที่ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์จะใช้สอยทรัพย์ เช่นนี้ย่อมถือว่าบุคคลผู้นี้มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินแล้ว แต่แม้บุคคลผู้นี้จะมีสิทธิกล่าวอ้างว่าตนได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นการอ้างสิทธิตามกฎหมาย  อันเป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ว่าบุคคลผู้นี้ได้มาซึ่งทรัพย์สิทธิโดยผลของกฎหมาย อันจะต้องกระทำการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ของทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์  จึงจะเป็นผู้ทรงสิทธิที่บริบูรณ์ตามกฎหมาย อันสามารถใช้ยันบุคคลภายนอกได้ บุคคลผู้นี้จะได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ ก็ได้ตาม ม.4 ทวิ(ป.ที่ดิน)ว่าต้องมีการทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน แต่ตามปัญหาไม่มีการทำเป็นหนังสือเพราะเป็นการได้รับทรัพยสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ ฉะนั้นบุคคลผู้นี้จึงทำเพียงการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน การจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานนั้นไม่อาจกระทำเองโดยตรงได้ บุคคลผู้นี้จำต้องร้องต่อศาลขอให้มีการรับรองสิทธิของตนตามที่มีกฎหมาย มาตรา1382 บัญญัติว่า บุคคลผู้นี้มีสิทธิครอบครองปรปักษ์เหนือที่ดินดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ตามบัญญัติของ มาตรา 1299 ++++++++++++++++++++++ ข้อเพิ่มเติม บุคคลผู้นี้มีสิทธิครอบครองปรปักษ์ แม้สิทธิที่รับไปนั้นจะบริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิแล้วก็ตาม แต่ภายใต้กฎหมาย มาตรา 1299 ว.2 เป็นผลให้เมื่อบุคคลผู้นี้ที่ยังมิได้จดทะเบียน ก็จะทำการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และจะใช้ยันบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริต และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ซึ่งเป็นการโอนสิทธิจากเจ้าของที่แท้จริงเดิมหาได้ไม่ +++++++++++++++++++++++++++ เมื่อบุคคลผู้นี้ได้ยื่นคำร้องขอฝ่ายเดียวต่อศาลขอให้ศาลพิพากษาว่าตนเป็นผู้มีกรรมสิทธิ แล้วเอาคำพิพากษานั้นมาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขอจดทะเบียนชื่อจากเจ้าของเดิมเป็นของตน ซึ่งเป็นผู้ได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เมื่อเจ้าหน้าที่เปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินแล้ว จึงจะถือได้ว่าบุคคลผู้นี้มีกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินดังกล่าวโดยสมบูรณ์ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เจ้าของที่ดินสามารถปฏิบัติตาม คห.2 ความคิดเห็นที่ 2   คุณ : van_n&n 1. แนะนำให้นำโฉนดที่มีอยู่ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดิน ถ้ายังไม่เปลี่ยนชื่อดำเนินการตาม 2 2. แจ้งความข้อหาบุกรุก เพราะเมื่อตรวจสอบโฉนดที่ดินแล้ว พบว่ายังมิได้เปลี่ยนชื่อ จึงเป็นว่าบุคคลผู้นี้อยู่ตามสิทธิครอบครองปรปักษ์ โดยยังมิได้จดทะเบียน เมื่อเจ้าของที่ดินแจ้งความข้อหาบุกรุก ถือว่าบุคคลผู้นี้อยู่บนที่ดิน  แต่โดนเจ้าของขจัดให้พ้นไปจากที่ดิน อันมีผลทำให้บุคคลผู้เป็นเจ้าของที่ดินไม่อาจอ้างสิทธิครองครองปกปักษ์อีกต่อไป และจำต้องยอมออกจากที่ดินเพราะถูกขับไล่จากเจ้าของที่ดินตามวิธีทางกฎหมาย แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 51 00:07:05 จากคุณ : เด็กหัดฝึก^v^ - [ 3 ก.พ. 51 23:50:18 ]

ความคิดเห็นที่ 11 กฎหมายข้อนี้ เขียนขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมาย  มิให้มีการครอบครองที่ดินโดยไม่ดูแลรักษา จึงต้องลงโทษผู้เป็นเจ้าของที่ดินนั้น และเป็นการบัญญัติกฎหมายตามแนวความคิดว่า "ที่ดินเป็นทรัพย์อันมีจำกัด"  จึงควรมีการให้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน พัฒนาสร้างความเจริญ มิควรปล่อยให้ทิ้งไว้รกร้างว่างเปล่าโดยไม่มีการใช้ประโยชน์บนที่ดิน มิฉะนั้นที่ดินจะตกเป็นทรัพย์ของผู้มีอันจะกินที่ซื้อที่ดินทั้งหลายมากมายไว้แล้วปล่อยให้ที่ดินรกร้าง ไม่มีการใช้ประโยชน์  อันจะส่งผลให้ไม่มีการพัฒนาประเทศ ประเทศไทยก็จะเสียประโยชน์ด้วยเนื่องจากทรัพย์ที่ดินที่มีจำกัด มีการครอบครองแต่ไม่มีการทำประโยชน์ หากเป็นเช่นนี้กว่าค่อนประเทศ ประเทศไทยและประชาชนคนไทยจะสูญเสียทรัพย์และโอกาสพัฒนาไปโดยไร้ประโยชน์ กฎหมายจึงเขียนให้ประโยชน์แก่บุคคลผู้ประสงค์ทำมาหากิน ที่แม้จะรู้ว่าเป็นที่ดินของผู้อื่น แต่เขาได้ใช้ทรัพย์ที่ดินของผู้อื่นมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยเจ้าของได้ปล่อยปละละเลยไม่มีการดูแลรักษาที่ดินของตนเลยตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงควรให้โอกาสแก่บุคคลที่ได้ใช้ทรัพย์หาเลี้ยงชีพตนมาเป็นเวลานาน  ว่าควรให้สิทธิแก่บุคคลเหล่านี้มากกว่าเจ้าของทรัพย์ที่มีอันจะกินแล้วปล่อยปละละเลยทรัพย์ของตนมากกว่า เพื่อประโยชน์แก่สังคม ประชาชน และแผ่นดินไทย จากคุณ : เด็กหัดฝึก^v^ - [ 4 ก.พ. 51 00:00:32 ]

ความคิดเห็นที่ 12 รบกวนขอถามเป็นความรู้ครับ ถ้าผู้ครอบครองปรปักษ์ ใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ครอบครองเพียงบางส่วน จะสามารถครอบครองสิทธิที่ดินทั้งแปลงหรือไม่ ขอบคุณครับ จากคุณ : ฉันนี่แหละคือฉัน - [ 5 ก.พ. 51 08:14:36 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จุดมุ่งหมายของกม.มาตรานี้ที่มุ่งประโยชน์เพื่อผู้ที่ครอบครองทำมาหาได้บนที่ดินคนอื่น ถ้าตอบตามหลักการแล้ว ก็คือ ไม่ได้ เพราะว่าเขาจะได้ที่ดินตามการครอบครอง ว่ามีการครอบครองเพียงใด ก็ได้เท่านั้น เขาจะอ้างการครอบครองเพียงบางส่วนแล้วขอรับรองสิทธิเอาที่ดินทั้งแปลงหาได้ไม่ เป็นต้นว่า ที่ดินมีพื้นที่ 20 ไร่ เขาครอบครองบางส่วน เพียง 5 ไร่ เขาก็อ้างสิทธิการครอบครองของเขาได้เพียงตามที่เขาได้ครอบครองจริง ซึ่งเขานำสืบต่อศาลว่าเขาได้ครอบครอง 5 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 20 ไร่ แล้วศาลจึงรับรองให้เขา 5 ไร่ตามที่เขาได้ครอบครองเพื่อตน พื้นที่ที่ดินส่วนอื่นที่เขามิได้เข้าครอบครองเพื่อตน ส่วนนั้นก็ยังคงเป็นของเจ้าของเดิม ซึ่งจะเห็นได้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของหน้าที่นำสืบตามภาระการนำสืบของผู้ครอบครองที่ร้องขอให้ศาลรับรองการครอบครองปรปักษ์บนที่ดิน ว่าเขาจะนำสืบให้ศาลได้เพียงใด และเท่าไหร่ หากตามจริงเขาใช้เพียงบางส่วน คือ 5 ไร่ แต่เขานำสืบได้มากกว่านั้น เช่น พื้นที่ไถ่หว่านทำสวน จัดเป็นแปลงๆ และสร้างบ้านอยู่ในพื้นที่ 5 ไร่  และเขาได้เข้าดูแลต้นไม้ จัดสภาพพื้นที่รกร้างในที่ดินให้อยู่ในสภาพที่คนจะอยู่ได้ อีก 1 ไร่ พร้อมกับกำลังบุกเบิกพื้นที่รกร้างในที่ดินอีก 1 ไร่ ฯลฯ ตามแต่จะอ้างเพื่อให้ศาลเชื่อ ศาลเชื่อเช่นไร ศาลก็จะรับรองให้เขาตามนั้น ดังนั้น การที่เขาจะได้ที่ดินเพียงใด เท่าใดนั้นจึงขึ้นอยู่กับการนำสืบให้ปรากฎความแก่ศาล จึงเป็นไปได้ว่า สามารถได้ทั้งแปลงหรือบางส่วน +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 10:06:08 จากคุณ : เด็กหัดฝึก^v^ - [ 5 ก.พ. 51 09:04:42 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยให้คำตอบนะครับ ได้ความรู้เป็นกระบุงเลย ขอถามเพิ่มนะครับ ถ้าเค้าเดินตัดผ่านที่ของเราเกิน 10 ปีล่ะครับ โดยเราไม่ได้ขัดขวางใดๆ อันนี้เราต้องยกทางเดินนี้ให้ตกเป็นของเค้ามั๊ยครับ จากคุณ : syncronicia - [ 6 ก.พ. 51 19:37:19 ]