ความคิดเห็นที่ 1 เอาเรื่องการคิดค่าไฟฟ้าก่อนนะครับ ในระบบหลอดฟลูออเรสเซ้นจะประกอบไปด้วย บัลลาส สตาร์ตเตอร์ และตัวหลอด หลอดฟลูออเรสเซ็นหลอดกลม กินไฟ 32 w(หรือเปล่าครับ จำไม่ได้) บัลลาสแกนเหล็กกินไฟ 10 w สตาร์ตเตอร์ ใช้แค่ช่วงเปิดหลอด ตัดทิ้งไปไม่คิด เพราะฉะนั้น หลอดฟลูออเรสเซ็นที่ใช้บัลลาสแกนเหล็ก 1 ชุดจะกินไฟ  42 w คับ ถ้าคุณเปลี่ยนมาใช้ บัลลาสอิเล็กแทน บัลลาสอิเล็กจะกินไฟ แค่ 1w แต่ถ้าคุณใช้บัลลาสอิเล็กค่าความสว่างที่คุณได้จากหลอดเดิมจะมากขึ้น (จำได้ว่าประมาณ 10 %) เลยถัว ๆ กันว่า ค่าไฟที่คุณเสียไป 1 w แต่ได้ความสว่างเพิ่มมาแทน จึงคิดค่าไฟฟ้าแคตัวหลอดอย่างเดียวที่่ี่ 32 w มาคำถามนะครับ ถามว่าประหยัดไฟจริงมั้ย จริงครับ ที่ประหยัด เพราะตัวบัลลาสไม่มีแกนเหล็กให้สูญเสียความร้อนครับ แต่ด้วยเพราะที่มันเป็นอิเล็ก อายุมันจึงไม่ค่อยยืนเท่าไหร่ ถ้าเทียบว่า บัลลาสแกนเหล็กจะมีอายุการใช้งาน ประมาณ 20 ปี อิเล็กของเรา ได้ 5 ปี นี่ก็เก่งเกินทนแล้วคับ ในโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ค่อยนิยมเปลี่ยนไปใช้อิเล็กเท่าไหร่ เพราะว่า อายุการใช้งานของมันเนี่ยแหล่ะ ยิ่งโรงงานที่ไม่ได้ติดแอร์นะครับ เลิกพูดไปเลย ไม่มีใครใช้หรอกครับ เจอ อากาศร้อน ๆ หน่อย เผลอ ๆ ไปไวกว่า 5 ปี อีก ถึงจะคุ้มค่าไฟ แต่ อายุการใช้งานสั้น แถมราคาแพงกว่าแกนเหล็ก อีกคิดไป คิดมาแล้วไม่คุ้ม แถม ตัวบัลลาสยังมีการปล่อยฮาโมนิกออกมารบกวนอีกตะหาก มันเลยมีบัลลาสอีกตัวออกมา เค้าเรียกว่า บัลลาสโลลอส(หรือ บัลลาส เบอร์ 5) เจ้าตัวนี้กินไฟแค่ 4-6 w แต่อายุการใช้งาน ใช้กันลืม เพราะมันคือบัลลาสแกนเหล็กนั่นเอง ส่วนหลอดประหยัดไฟ ที่เอามาใช้แทนหลอดไส้ มันก็คือ หลอดที่เป็นชุดมาพร้อมบัลลาสอิเล็กนั่นเองครับ ที่ตอนแรกเค้าโฆษณาว่าประหยัดไฟได้ 70 % เค้าเทียบกับหลอดไส้ครับ ไม่ได้เทียบกับหลอดฟลู เพราะ ถ้าเทียบกันมันไม่ได้ประหยัดกว่ากันเท่าไหร่เลย สรุปนะครับ อธิบายเรื่องอื่นไปด้วยยืดยาว ผมว่า 2 ระบบที่คุณว่ามา ประหยัดไฟเหมือนกัน แต่ ค่าความสว่าง ไม่เท่ากันแน่นอน นิยมแบบไหนก็ เอาปแบบนั้นแหล่ะครับ แต่ถ้าเป็นผม ผมก็ซื้อแค่บัลลาสมาเปลี่ยนดีกว่าครับ เพราะถ้าเปลี่ยนไปใช้คอมแพค ของเดิม ๆ ไม่รู้เอาไปทิ้งไว้ไหน เสียดายครับ แถมต้องซื้อ พวกขั้วหลอดใหม่ด้วย จากคุณ : Marine Red - [ 18 เม.ย. 51 01:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ก่อนอื่นขออธิบายเพิ่มเติมก่อนนะครับ คำว่า"หลอดประหยัดไฟ"ที่เรียกๆ กันอยู่นั้น มันก็คือหลอดฟลูออเรสเซนต์ขนาดเล็ก ที่นำมาขด หรือดัดให้กระทัดรัด โดยมาพร้อมกับวงจรจุดหลอดอิเลคทรอนิคส์ ที่ไม่ได้ใช้บัลลาสต์ หรือสตาร์ทเตอร์ วงจรที่ว่าถูกบรรจุอยู่ที่ฐานหลอดครับ ส่วนคำว่า"บัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์" มันก็คือวงจรจุดหลอดอิเลคทรอนิคส์ แต่ทำรูปแบบออกมาเป็นตัวเหลี่ยมๆ หน้าตาเหมือนบัลลาสต์ เพื่อให้สามารถเปลี่ยนใส่เข้าไปในขาหลอดที่ใช้ๆ กันอยู่ได้ ก็เลยเรียกๆ กันว่าบัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์ สรุปแล้วหลอดประหยัดไฟ มันก็คืออันเดียวกับหลอดฟลูออเรสเซนต์บวกกับบัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์ครับ แต่เป็นหลอดขนาดเล็กกว่า กินไฟฟ้าน้อยกว่า แต่ก็ให้ความสว่างน้อยกว่าด้วยครับ คราวนี้มาถึงคำถาม ....อยากทราบว่าบัลลาสต์อิเล็คทรอนิค ช่วยประหยัดไฟได้30%จริงหรือเปล่า... ถ้าเทียบในกรณีที่ใช้หลอดเดิม แต่เปลี่ยนเป็นบัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์ มันจะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้เนื่องจากมีการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าเป็นความร้อนน้อยกว่าบัลลาสต์ธรรมดา ซึ่งเป็นขดลวดทองแดงพันบนแกนเหล็ก ส่วนจะประหยัดได้แค่ไหนนั้นก็ขึ้นกับว่าวงจรและชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ที่ใช้ได้รับการออกแบบมาดีแค่ไหน เฉพาะที่ตัวบัลลาสต์ธรรมดากินไฟราวๆ 8-10w ส่วนบัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์จะกินไฟไม่เกิน 2w แต่ถ้านับรวมกับการกินไฟฟ้าของหลอดก็อยู่ในช่วง 5-20%   ส่วนกรณีของเจ้าของกระทู้นั้น ที่แน่ๆ ก็คือประหยัดจากการใช้หลอดที่วัตต์ต่ำลงจาก 32w เหลือ 20w ตรงนี้เห็นๆ เลยว่าประหยัดไปอย่างน้อย 12w/32w ก็ราวๆ 36% แล้วครับ ยังไม่รวมถึงการประหยัดจากการสูญเสียน้อยกว่าในบัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์ เมื่อเทียบกับบัลลาสต์ธรรมดา ...แล้วนอกจากนี้ยังมีข้อดีอะไรอีกครับ...มีอีกเยอะเลยครับ อย่างแรกก็ร้อนน้อยกว่า ถ้าเป็นห้องติดเครื่องปรับอากาศ ก็จะเปลืองน้อยกว่าด้วย ตรงนี้จะเห็นได้ชัดในอาคารสำนักงานที่ต้องเปิดไฟให้แสงสว่างจำนวนมาก ถ้าเปลี่ยนมาใช้บัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์แล้วจะลดค่าไฟฟ้าสำหรับเครื่องปรับอากาศได้มากพอสมควรเลยครับ บางทีมากกว่าค่าไฟฟ้าที่ลงจากการใช้บัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์เองเสียอีกครับ แต่ตามบ้านพักอาศัยทั่วๆ ไป ตรงนี้จะไม่มากนัก แต่ก็ลดลงครับ แล้วก็แสงจากหลอดจะนิ่งกว่า สว่างกว่า ถ้าอ่านหนังสือนานๆ แล้วสบายตากว่า ไม่ปวดตา อันนี้คนหนุ่มๆ สาวๆ อาจจะไม่ค่อยรู้สึก แต่ลองไปถามคนสูงอายุดูสิครับ บางคนเป็นมากจนพาลไปปวดหัวก็มีครับ แล้วอายุหลอดก็ยืนยาวกว่าการใช้บัลลาสต์แกนเหล็กธรรมดามากพอสมควร แล้วก็มีสนามแม่เหล็กความถี่ต่ำกระจายออกไปรบกวนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าบัลลาสต์แกนเหล็กมากๆ ข้อนี้นี่มีการศึกษาในหลายๆ ประเทศถึงการรบกวนของสนามแม่เหล็กความถี่ต่ำ ต่อการทำงานของสมองของเราด้วยนะครับ เท่าที่อ่านผ่านๆ มา ผลค่อนข้างออกมาว่ามันมีผลต่อการทำงานของสมองแน่ๆ ครับ แล้วก็สามารถช่วยประหยัดเงินค่า VAR ได้ อันนี้สำหรับพวกโรงงานอุตสาหกรรม หรือพวกอาคารสำนักงานที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณมากๆ นะครับ ที่ต้องจ่ายเงินส่วนนี้ พวกบ้านอยู่อาศัยของเราๆ ท่านๆ ไม่ต้องเสียส่วนนี้ครับ แล้วก็เปิดปุ๊บติดปั๊บ หรือช้านิดหน่อย แต่ไม่กระพริบแว็บๆ แล้วก็ไม่มีเสียงคราง อื่อๆๆๆ ของบัลลาสต์ให้น่ารำคาญ (ข้อนี้สำหรับคนขี้รำคาญ) ...แล้วระบบการทำงานของบัลลาสตัวนี้เป็นยังไงครับถึงช่วยประหยัดไฟได้...แล้วส่วนของหลอดปรหยัดไฟมีระบบการทำงานยังไงถึงช่วยประหยัดไฟ... อธิบายไปข้างบนแล้วครับ ...เมื่อเทียบกันแล้วใช้แบบไหนช่วยประหยัดได้มากกว่ากันเมื่อใช้แทนหลอดกลมบนเพดาน... อธิบายไปแล้วเช่นกัน อ้อ...ในคำถามของจขกท.ใช้คำว่าหลอดกลม ซึ่งคงหมายถึงหลอดฟลูออเรสเซนต์วงแหวน 32w แต่ถ้าเทียบกับหลอดไส้กลมๆ นี่จะประหยัดมากยิ่งขึ้นเนื่องจากหลอดไส้กลมนั้นพลังงานไฟฟ้าที่เสียไป(ตามขนาดวัตต์ของหลอด) ส่วนใหญ่มากกว่า 90% จะกลายเป็นความร้อน มีเพียงราวๆ 10% หรือน้อยกว่า ที่แปลงเป็นแสงสว่าง ในขณะที่หลอดฟลูออเรสเซนต์โดยทั่วๆ ไปแล้วสามารถแปลงพลังงานที่ใช้ไปให้เป็นแสงสว่างได้มากกว่า 65% ครับ แปลว่าถ้ากินไฟ(วัตต์)เท่ากัน หลอดไส้จะสว่างน้อยกว่า ถ้าให้สว่างเท่ากัน หลอดไส้ต้องใช้วัตต์สูงกว่า เช่นถ้าเทียบหลอดไส้ 40w กับหลอดฟลูออเรสเซนต์ 40w หลอดไส้จะให้กำลังงานแสงราวๆ ไม่ถึง 4w ในขณะที่หลอดฟลูออเรสเซนต์ จะให้กำลังแสงสว่างมากกว่า 26w ครับ ที่จริงในตัวอย่างที่ยกมา ถ้าใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ 40w จริง จะกินไฟฟ้ามากกว่านั้นนะครับ เนื่องจากตัวบัลลาสต์เอง หรือตัววงจรจุดหลอดอิเลคทรอนิคส์ แล้วแต่กรณีครับ .... .... ถ้ายังสงสัยอะไรอยู่ก็ยินดีตอบนะครับ แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 51 02:06:55 จากคุณ : pa_ul - [ 18 เม.ย. 51 01:43:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เก็บเข้าคลัง บุคมาร์คไว้อ่านทีหลัง ไปเถียงพ่อตา ระวังโดนยึดลูกสาวคืนนะ จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร - [ 18 เม.ย. 51 06:47:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตอนแรกจะเลือกนีออนบัลลาสอิเล็คทรอนิกเหมือนกันเพราะดูสวยกว่าแบบธรรมดา แต่คนที่บ้านเป็นช่างไฟฟ้า บอกว่า สวย แพง อายุการใช้งานน้อย ก็เลยเลือกใช้แบบธรรมดาแทน สวยน้อยหน่อย แต่ทนทานกว่า และถูกกว่าด้วย จากคุณ : เอื้ออารี - [ 18 เม.ย. 51 09:30:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 โคมไฟฟลูออเรสเซนต์ สามารถใช้บัลลาสต์ได้ 3 แบบ คือ .......บัลลาสต์อิเล็คทรอนิค มี Loss ที่ 4-5 W ครับ  ที่พูดโม้กันว่า 1 W นี้เกินความจริงครับ   เรื่องอายุการใช้งานนี่ก็ยังคลุมเคลือพอสมควร มีแต่บอกว่ารับประกัน 5 ปี   ตอนติดตั้งก็คำนึงปัญหาเรื่องการระบายความร้อนด้วย   ราคาก็แพงที่สุดด้วย  หลังๆ ตัดฟังก์ชั่นบางตัวทิ้งเพื่อลดราคา .......บัลลาสต์โลลอสต์ Low Loss มี loss ประมาณ 5-6 W   ใช้งานเหมือนบัลลาสต์ธรรมดา อายุใช้งานยาวนานกว่า 10 ปี แต่น้ำหนักจะมากกว่าประมาณ 50-70 %   รุ่นใหม่ๆ นี่ดีกว่ารุ่นก่อน เพราะรูปร่างคล้ายแบบธรรมดาแต่ยาวกว่า  ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี่ใหญ่อ้วนเทอะทะหาที่วางไม่ได้เลยล่ะ    ค่าตัวก็ราคา 2 เท่าของแบบธรรมดา .......บัลลาสต์ธรรมดา มี Loss ประมาณ 10-12 W   รุ่นนี้ควรยกเลยผลิตได้แล้วถ้ารัฐบาลมีนโยบายประหยัดพลังงานในทุกระดับ   มีดีอยู่ 2 อย่างคือ ราคาถูก และ อายุใช้งานยาวนานกว่า 10 ปี กำลังไฟฟ้าที่โคมไฟใช้ คือ  กำลังของหลอดไฟ + Loss ในบัลลาสต์ หลอดประหยัดไฟ หรือ หลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์   กินไฟตามป้ายที่ติดไว้เลยครับ เพราะได้รวมกำลังสูญเสียเข้าไปแล้ว       อีกอย่างที่ต้องคำนึงถึงคือ ความส่องสว่างที่เพียงพอครับ   หลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์ เมื่อเที่ยบ ปริมานแสงต่อวัตต์ แล้ว ยังแพ้ หลอดฟลูออเรสเซนต์ธรรมดาครับ คือ  ที่วัตต์เท่าๆ กัน หลอดธรรมดาให้แสงสว่างมากกว่า   สำหรับความสว่างนี้ดูได้ที่ข้างกล่องหรือขั่วหลอดครับดูตรงที่มีหน่าย lm หรือ Lumen หรือ ลูเมน        กรณีห้องครัว ห้องทำงาน นี่ ถ้าเปลี่ยนเป็นหลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์ อาจไม่สว่างพอครับ  เดี๋ยวมีปัญหาเรื่องสายตาตามมาอีก    แต่ถ้าเป็นห้องน้ำ ห้องเก็บของ บันได หรือ บริเวณทางเดิน นี่ใช้ได้เลยครับ ************* ........ทางออกที่ดีคือ  สำรวจว่าในบ้านมีหลอดไฟแบบไหนที่ไหนบ้าง  หลังจากนั้นต้องกำหนดให้ห้องไหนหรือบริเวณไหนควรลดความสว่าง ห้องหรือบริเวณไหนควรคงความสว่างไว้เท่าเดิม     .......เมื่อกำหนดได้แล้วก็ตามนี้เลยครับ   ห้องหรือบริเวณที่ต้องการความสว่างเท่าเดิมก็เปลี่ยนมาใช้บัลลาสต์อิเล็กทรอนิคหรือแบบโลลอสต์      ห้องหรือบริเวณที่ควรลดความสว่างก็เปลี่ยนมาใช้หลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์ แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 51 10:46:28 จากคุณ : arm_cc - [ 18 เม.ย. 51 10:38:42 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณครับ -คุณMarine Red -ประหยัดไฟพอกัน กับการเปลี่ยนเป็นบัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์กับเมื่อเทียบกับหลอดคอมแพ็ค20วัต -คุณpa_ul- แล้วคิดว่าแบบไหนประหยัดไฟกว่ากับการเปลี่ยนเป็นบัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์กับเมื่อเทียบกับหลอดคอมแพ็ค20วัต อ่านแล้วยังงงนะ -คุณต้นโพธิ์ต้นไทร - พ่อตาแกคัดผมทุกเรื่องและแกมักคิดว่าสิ่งที่แกคิดต้องถูกเสมออ้างจากประสปการณ์อันยาวนาน(แต่ไม่เคยทะเลาะกันนะ)แต่ฟังแกทีไหงุดงิดนิดๆ ตั้งแต่เรื่องก่อสร้างบ้าน ปลูกต้นไม้ ทำบ่อปลา ปั้มน้ำ เซฟทีคัด จะโดนว่าประจำว่าไม่ ว่าเลือกมาได้ไงไม่สวย ยี่ห้อไม่ดี ต้องวางแบบนี้สิแบบนั้นสิ -คุณเอื้ออารี -แสดงว่าเป็นฝั่งเดียวกับพ่อตาผมเลย -arm_cc-ให้เลือกติดตามความเหมาะสมต่อการใช้งาน แล้วถ้าเทียบด้านประหยัดไฟไหนดีกว่า จากคุณ : redboy - [ 18 เม.ย. 51 22:55:27 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อายุการใช้งานของหลอดคอมแพ็คฟูออเรสเซนส์ กับ หลอดฟูออเรสเซนส์ที่ใช้บัลลาสต์อิเลคทรอนิคอย่าไหนอายุใช้งานนานกว่ากันครับ จากคุณ : redboy - [ 18 เม.ย. 51 23:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ต้นโพธิ์ต้นไทร -ช่วยดูหน่อยว่าควรเปลียนใบพัดปั้มน้ำหรือเปล่าครับ เรื่องมีอยู่ว่า ปั้มยี่ห้อ ฟูคงที่250 ใช้ได้1เดือน อยู่ก็หยุดทำงาน และก็มีเสียงอื่อๆตลอดเวลา จึงโทรไปที่บ.ทางพนักงานแนะนำให้รองเปิดดูตรงบัดพัดว่ามีอะไรไปติดอยู่ จึงทำการเปิดดูก็พบว่ามีเศษทองเหลืองยาวขนาด1.5ซม.หลุดออกมา แล้วที่ใบพัดก็มีปิ่นเป็นบางซที่ดังรูป ถามทางพนังงานก็บอกไม่ทราบว่าเศษทองเหลืองมาได้อย่างไร เพราะผมใส่ตัวกรองของที่ทางบ.แถมมาด้วยก่อนที่จะทำการเดินด้วยซ้ำ ผมคิดเองว่าคงมาจากตัวเครื่องนั้นและ ทางพนักงานบอกว่าถ้าประกอบกลับแล้วแรงดันตกจะมาเปลี่ยนใบพัดให้ แต่พอเดินเครื่องใหม่ก็แรงดันไม่ตกทุกอย่างกลับเป็นปกติ จึงถามว่าควรให้ทางบ.เปลี่ยนใบพัดให้หรือไม่ จากคุณ : redboy - [ 19 เม.ย. 51 00:02:20 ]

ความคิดเห็นที่ 9 2 จากคุณ : redboy - [ 19 เม.ย. 51 00:03:35 ]

ความคิดเห็นที่ 10 3 จากคุณ : redboy - [ 19 เม.ย. 51 00:04:16 ]

ความคิดเห็นที่ 11 2 จากคุณ : redboy - [ 19 เม.ย. 51 00:05:13 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ความรู้ดี เก็บเข้าคลังครับ จากคุณ : คนบ้าบิต - [ 19 เม.ย. 51 17:01:59 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตอบ ความจริงครับความจริง 1. ช่วยประหยัดไฟมากกว่า 30% หลักการคำนวนง่ายๆ ให้ดูที่ตัว บัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์ กับตัวบัลลาสต์ธรรมดา จะมีระบุค่ากระแสใช้งานอยู่ ตัวบัลลาสต์ธรรมดาทั่วไป จะอยู่ที่ ประมาณ 0.35-0.45 แอมป์ บัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์ทั่วไป จะอยู่ที่ ประมาณ 0.16-0.17 แอมป์ ลองเปรียบเทียบดูครับ ว่าใด้กี่เปอร์เซ็น ส่วนหลักการที่ทำให้ประหยัดไฟ คือการแก้ค่า power factor ในตัว บัลลาสต์ ให้มีค่าใกล้เคียง 1 ให้มาก ที่สุด ตัวบัลลาสต์ธรรมดาทั่วไป จะอยู่ที่ ประมาณ 0.4-0.5 pf. บัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์ทั่วไป จะอยู่ที่ ประมาณ 0.95 pf. งง! ซิครับ ค่า power factor คืออะไร ตอนผมเรียนใช้เวลาตั้งนานกว่าจะเข้าใจ อย่าไปสนใจเลยครับ ส่วนที่ คห. อื่นๆ คำนวนค่า กำลังไฟฟ้าที่โคมไฟใช้ คือ กำลังของหลอดไฟ + Loss ในบัลลาสต์ ต้อง หารด้วย ค่า power factor พระเอก ของเราด้วยครับ จึงจะใด้กำลังไฟฟ้าที่โคมไฟใช้ อย่างแท้จริง (เมื่อลองคำนวนดูแล้วใด้ค่ากำลังไฟฟ้ามากกว่าค่า วัตต์ของหลอด เป็นเพราะพระเอก ของเราอีกแล้วครับ อย่าสงสัยต่อเลยครับ) 2. ส่วนของหลอดประหยัดไฟมีระบบการทำงาน เหมือนกับ ข้อ 1 เพียงแต่ย่อส่วนให้เล็กลงแล้วเอาไปใส่รวมกันเท่านั้น 3.เมื่อเทียบกันแล้วใช้แบบไหนช่วยประหยัดได้มากกว่ากันเมื่อใช้แทนหลอดกลมบนเพดาน ถ้า เพิ่มหลอดประหยัดไฟ เป็น 20 w.+11 w. จะใช้กำลังไฟฟ้า และ ค่าความสว่าง ใกล้เคียงกันกับใช้หลอดกลมบนเพดาน (32 w.)ที่ใช้บัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์ ครับ อายุการใช้งานของหลอด ประมาณ 8,000 ชม. เท่ากันครับ 4. อายุการใช้งานของบัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์ ตามที่ผ่านตามา เห็นระบุ ใม่ต่ำกว่า 100,000 ชั่วโมง ลองคำนวน เป็นค่าปีดูครับ ถ้าต้องการข้อมูลมากกว่านี้ ต้องให้คุณ power lady ช่วยแล้วละครับ จากคุณ : Mr Eng. - [ 21 เม.ย. 51 16:20:34 A:125.24.88.99 X: TicketID:172418 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ........คุณ Mr Eng.  ครับ   ค่าไฟตามบ้านเขาคิดที่หน่วย kW-Hr ครับ  ดังนั้นค่า power factor ไม่จำเป็นต้องนำมาคิดครับ   บ้างโคมที่ใช้บัลลาสท์ธรรมดาที่ใสตัวเก็บประจุเข้าไปก็ได้ค่า pf = 0.95 แล้วครับ  แต่ยังเสียค่าไฟเท่าเดิมเพราะว่า loss ในบัลลาสท์เท่าเดิมแม้ว่ากระแสเข้าโคมไฟจะน้อยลง    อย่าพึงคิดไปไกลอย่างในโรงงงานอุตสาหกรรมเลยครับ        และก็จากประสบการที่ผ่านมาของหลายๆ ท่านและตัวผมเองนั้น บัลลาสท์อิเล็กทรอนิคนั้นมักเสียก่อนเวลาอันควร  ผมเคยเจอประมาณว่าเสียหมดทั้ง 100% (เสียทุกโคมที่ใช้บัลลาสต์อิเล็กทรอนิค) เมื่อใช้ผ่านไปแค่ 1 ปีกว่าๆ เองครับ    บางครั้งโฆษณานั้นมักไม่ได้บอกข้อเท็จจริงหรือเงื่อนไขทั้งหมดครับ   เมื่อก่อนบอกว่ารับประกัน 5 ปี  ตอนนี้บ้างยี่ห้อบอกว่า 100,000 ชม.   ผมเชื่อว่าทำได้แน่นอนครับแต่มันคงไม่ใช้ตัวล่ะ 200-300 บาทที่เราซื้อกันหรอกครับ จากคุณ : arm_cc - [ 21 เม.ย. 51 21:19:24 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ชี้แจง ครับ ชี้แจง คุณ คห.14 1. การคิดค่ากำลังไฟฟ้าใช้งานจริง ถ้าอุปปกรณ์ไฟฟ้าเป็น อุปปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ขดลวด เป็นปัจจัยหลักในการทำงาน (ในทางไฟฟ้าเรียกว่าโหลด L. ) เช่น มอเตอร์ และ บัลลาสท์ จะต้องคิดค่า power factor ด้วยครับ แต่ถ้าเป็น อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องนำมาคิดครับ เช่น เตารีด ทีวี (ผมบอกแล้วว่าอย่าสงสัยต่อ เรื่องมันยาว ตอบยาก) 2. ผู้ผลิต ที่ผลิตบัลลาสท์อิเล็กทรอนิคนั้นมีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุง ค่า power factorและค่า watt lossในบัลลาสท์ ให้ดีขึ้น เพื่อให้กินไฟใด้น้อยลง ถ้า ค่า power factor ไม่เกี่ยวข้อง จะผลิตมาทำไมครับ ส่วนที่ไม่ต้องใช้สตาร์ทเตอร์ เป็นผลพลอยใด้ครับ 3. ค่า watt lossในบัลลาสท์ เป็นค่าคงที่ทั่วไป ซึ่งจริงๆแล้ว ค่า watt loss มีอยู่ในอุปปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ค่า watt loss คือ......ค่าความสูยเสียที่ใม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่ออุปกรณ์ไฟฟ้านั้นๆ.....ออกมาในลักษณะเช่น ความร้อน เสียง เพียงแต่ ไม่ใด้ระบุใว้ใน อุปปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆเท่านั้น ลองเอามือไปจับข้าง ทีวี ดูครับ รู้สึกอุ่นๆนั่นละครับ watt loss (แล้วทำไมอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ไม่ระบุwatt loss ทำไมบัลลาสท์ระบุwatt loss อย่าถามครับอย่าถาม!!!!!) 4. ที่ว่า บัลลาสท์อิเล็กทรอนิคนั้นมักเสียก่อนเวลาอันควร เคยเจอประมาณว่าเสียหมดทั้ง 100% (เสียทุกโคมที่ใช้บัลลาสต์อิเล็กทรอนิค) เมื่อใช้ผ่านไปแค่ 1 ปีกว่าๆ..........เกิดจาก แรงดัน surge( แรงดัน surge คืออะไร ถาม คุณ power lady ครับ) เข้ามาในระบบ ทำให้ บัลลาสท์อิเล็กทรอนิคเสียทั้งหมด.....นี่เป็นข้อเสียหลักอย่างหนึ่งของ บัลลาสท์อิเล็กทรอนิคครับ ไม่เกียวกับอายุการใช้งาน ส่วนราคาเท่าที่ดูก็ อยู่ที่ 200-300 บาท ครับ บ้านผมใช้ หลอดกลมบนเพดาน (32 w.)เหมือนกัน มีทั้งเปลี่ยนใช้ บัลลาสท์อิเล็กทรอนิค และ ใส่ตัวเก็บประจุ(capacitor)เข้าไปเพิ่ม แล้วแต่จะสะดวก..... อันนี้ผมทำตอน พ่อตาไม่อยู่บ้านครับ จากคุณ : Mr Eng. - [ 22 เม.ย. 51 15:29:01 A:125.24.86.155 X: TicketID:172418 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอร่วมแจมชี้แจงดังนี้ค่ะ เวลาคิดค่าไฟจะคิดจาก กำลังไฟฟ้าจริง watt โดย 1 หน่วย เท่ากับ 1000 watt-hr.(วัตต์-ชม.) หรือเท่ากับ 1 kilowatt-hr.(กิโลวัตต์-ชม.) หรือถ้าเราใช้พลังงานไฟฟ้า 1000 วัตต์ใน 1 ชั่วโมง เท่ากับ 1 หน่วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 51 19:09:21 จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 18:53:05 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอทวบทวนเรื่อง สามเหลี่ยมกำลังไฟฟ้า โดยทั่วไปแล้วกำลังงานในระบบไฟฟ้ากระแสสลับ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ กำลังงานจริง (real power) มีหน่วยเป็นวัตต์ หรือกิโลวัตต์ (W or kW) เป็นกำลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงโดยอุปกรณ์ไฟฟ้าไปเป็นพลังงานรูปอื่นได้ เช่น ความร้อน  แสงสว่าง  หรือพลังงานกล  กำลังงานส่วนนี้เกิดจากกระแสไฟฟ้าใช้งาน (active current) และอีกส่วนหนึ่งคือ กำลังงานรีแอกตีฟ (reactive power) มีหน่วยเป็นวาร์ หรือกิโลวาร์ (VAR or kVAR) เป็นกำลังงานที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นพลังงานรูปอื่นได้  แต่อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องทำงานโดยอาศัยสนามแม่เหล็ก เช่น หม้อแปลง  มอเตอร์  บัลลาสต์ ฯลฯ ต้องใช้กำลังรีแอกตีฟนี้สร้างสนามแม่เหล็ก  ถ้าไม่มีสนามแม่เหล็กอุปกรณ์ดังกล่าวจะไม่สามารถทำงานได้  กำลังงานในส่วนนี้เกิดจากกระแสไฟฟ้ารีแอกตีฟ (reactive current)  ผลรวมทางเวกเตอร์ของกำลังงานทั้งสอง เรียกว่า กำลังงานปรากฎ (apparent power) มีหน่วยเป็นโวลต์  แอมแปร์  หรือกิโลโวลต์แอมแปร์ (VA or kVA) เป็นกำลังงานที่แหล่งจ่ายกำลังงานไฟฟ้าต้องจ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ และมีขนาดเท่ากับ     ผลคูณของกระแสไฟฟ้าในวงจร กับแรงดันของแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้า  กำลังงานทั้งสามสามารถเขียนเป็นสามเหลี่ยมกำลังไฟฟ้าได้ดังรูป จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 18:54:43 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าหรือค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ (power factor ; PF) คือ อัตราส่วนของกำลังงานจริง (real power) ต่อกำลังงานปรากฎ  (apparent power) จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 18:57:38 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าอาจเป็นแบบนำหน้า (leading) หรือแบบตามหลัง (lagging)    ก็ได้  ขึ้นอยู่กับโหลดทางไฟฟ้า  ถ้าโหลดทางไฟฟ้าจำเป็นต้องใช้พลังงานส่วนหนึ่งเพื่อสร้างสนามแม่เหล็ก เช่น มอเตอร์  หม้อแปลง  บัลลาสต์  ค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าจะเป็นแบบตามหลัง  แต่ถ้าโหลดทางไฟฟ้าสามารถจ่ายกำลังงานรีแอกตีฟเข้าสู่ระบบไฟฟ้าได้ เช่น ตัวคาปาซิเตอร์  ซิงโครนัสมอเตอร์ เป็นต้น  ค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าจะเป็นแบบนำหน้า จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 18:58:21 ]

ความคิดเห็นที่ 20 โดยทั่วไปค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม หรืออาคารต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบตามหลังทั้งสิ้น ค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าหรือค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ จะมีค่าเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ 0 ถึง 1  ค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้านี้ยิ่งมีค่าสูงยิ่งดี ในผู้ใช้ไฟบางประเภท เช่นโรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม ห้างสรรพสินค้า จะโดนคิดค่าปรับ ถ้ามีค่าต่ำกว่า 0.85 จะต้องเสียค่าปรับเนื่องจากตัวประกอบกำลังไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฯ โดยคิดจากกิโลวาร์ที่เกิน 61.97 % ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในรอบเดือนนั้น  กิโลวาร์ละ 14.02 บาท ในส่วนนี้ผู้ใช้ไฟฟ้าตามบ้านอยู่อาศัยไม่โดนปรับค่ะ จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 19:05:22 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ความสัมพันธ์ของกำลังไฟฟ้าในระบบไฟฟ้ากำลัง จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 19:29:43 ]

ความคิดเห็นที่ 22 กำลังไฟฟ้าปรากฎ จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 19:31:15 ]

ความคิดเห็นที่ 23 กำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 19:32:26 ]

ความคิดเห็นที่ 24 กำลังไฟฟ้าจริง จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 19:33:02 ]

ความคิดเห็นที่ 25 การคิดการประหยัดพลังงานไฟฟ้า ต้องคิดจากกำลังไฟฟ้าจริง ที่มีหน่วยเป็นวัตต์ หรือ กิโลวัตต์ คิดเปรียบเทียบจากกระแสไฟฟ้าไม่ได้ค่ะ กำลังไฟฟ้าจริง เท่ากับ แรงดันไฟฟ้า คูณด้วย กระแสไฟฟ้า คูณด้วย ค่าตัวประกอบกำลัง ค่ะ มิเตอร์การไฟฟ้าที่ใช้วัดการใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อนำมาคิดค่าไฟฟ้า ก็คือ วัตต์มิเตอร์ประเภท watt-hour meter ค่ะ (ในระบบการจ่ายไฟฟ้าบางครั้ง จะมีวาร์มิเตอร์ด้วยค่ะ) แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 51 21:38:46 จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 19:40:57 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ความสัมพันธ์ของกำลังไฟฟ้าทั้งสามนี้สามารถเขียนเป็นแผนภูมิได้ดังนี้ จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 19:55:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 หน่วยของกำลังไฟฟ้าทั้งสาม กำลังไฟฟ้าจริงมีหน่วยเป็น watt(วัตต์) หรือ Kilowatt(กิโลวัตต์) กำลังไฟฟ้าปรากฎมีหน่วยเป็น VA (วีเอ) หรือ KVA (เควีเอ) กำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟมีหน่วยเป็น var (วาร์) หรือ kvar(กิโลวาร์) จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 20:06:59 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ข้อดีและข้อเสียของบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ ข้อดี - ช่วยประหยัดไฟได้ประมาณ 8-10 วัตต์ต่อหลอด (เมื่อเทียบกับหลอดที่ใช้บัลลาสต์แกนเหล็ก) - มีการสูญเสียพลังงานในตัวต่ำประมาณ 2-4 วัตต์ และมีค่าตัวประกอบกำลังที่ดี - ไม่ต้องใช้สตาร์ทเตอร์ภายนอกมาต่อเติม - ได้ระบบไฟฟ้าและแสงสว่างที่มีคุณภาพดีขึ้น เนื่องจากไม่มีการกระพริบ และได้แสงที่มีความสว่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะมีผลต่อสายตามในระยะยาว - ทำให้หลอดไฟมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น 30-50% - เมื่อเปิดสวิตซ์ หลอดไฟจะติดทันทีไม่มีปัญหาของการกระพริบ - ให้แสงที่นุ่มนวล ไม่มีการกระพริบที่ชั้วหลอด (Stroboscopic Effect) ซึ่งจะช่วยถนอมสายตา - บัลลาสต์ที่ออกแบบพิเศษสามารถหรี่ไฟในหลอดฟลูออเรสเซนต์ได้ แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 51 20:48:11 จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 20:34:58 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ข้อเสีย - มีราคาแพงกว่าบัลลาสต์ธรรมดา - มีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานที่หรือบริเวณที่มีอุณภูมิสูง มีละอองไอน้ำสูง ไอน้ำมันหรือฝุ่นผงสูงเป็นพิเสษ มักจะทำให้บัลลาสต์มีอายุการใช้งานที่สั้นลง - อาจก่อให้เกิดผลกระทบเพิ่มเติมในระบบไฟฟ้า หรือบัลลาสต์อาจมีระบบคลื่นความถี่แทรกซ้อนได้ บัลลาสต์อาจมีอายุการใช้งานสั้น ไม่ทนทาน ถ้าเป็นบัลลาสต์ที่ไม่ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน และเลือกใช้วัสดุชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ดี รวมไปถึงมาตรฐานในการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน - ช่างไฟฟ้าทั่วไปไม่คุ้นเคยกับการใช้งานและการติดตั้ง - อายุการใช้งานสั้นอาจสั้นหรือเสียได้ ทางใช้ในบางพื้นที่ที่ระบบการจ่ายไฟฟ้าไม่ได้มาตราฐาน เช่น ผลกระทบจากฟ้าผ่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ไฟกระโชก อาจต้องเลือกใช้โลว์ลอสบาลาสต์(low lost ballast)แทน จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 20:35:32 ]

ความคิดเห็นที่ 30 วงจรการต่อใช้งานของบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 20:36:32 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ระยะเวลาการคืนทุนและผลประหยัดที่จะได้รับนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ เงินลงทุน อายุการใช้งาน ชั่วโมงการเปิดใช้งานของหลอดไฟ ค่ะ จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 21:41:38 ]

ความคิดเห็นที่ 32 การประหยัดพลังงานไฟฟ้าในระบบแสงสว่าง ไม่ใช้ดูแค่เปลี่ยน ชนิดของหลอดไฟ บาลาสต์ แต่ต้องพิจารณาถึงโคมไฟ ว่ามีการสะท้อนแสงที่ดีด้วยค่ะ ควรมีการทำความสะอาด หลอดไฟและโคมไฟ สวิทช์เปิดไฟควรแยกเปิดปิดได้เป็นจุด ขึ้นกับบริเวณใช้งาน ไม่ใช้เปิดสวิทชืเดียวหลายหลอด หลายบริเวณค่ะ หลอดคอมแพ็คหรือหลอดตะเกียบชนิดบัลลาสต์ภายในเสียต้องเปลี่ยนทั้งชุด หลอดคอมแพ็คชนิดบัลลาสต์ภายนอก เสียหลอดเปลี่ยนหลอด เสียบาลาต์เปลี่ยนบาลาสต์ หลอดคอมแพ็คหรือหลอดตะเกียบชนิดบัลลาสต์ภายใน ต้องเลือกโคมไฟดาวน์ไลท์ ที่มีการออกแบบการระบายความร้อนที่ดีด้วยค่ะ หลอดฟลูออเรสเซนต์เดิมที่ใช้แกนเหล็ก ควรเลือกเปลี่ยนใช้บัลลาสต์ประหยัดพลังงานเช่น บัลลาสต์โลว์ลอส บัลลาสต์อิเล็คทรอนิคส์ จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 21:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 33 สรุปถ้ามีหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบกลมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นหลอดคอมแพ็ค หรือ หลอดตะเกียบ แค่เลือกเปลี่ยนบาลาสต์แกนเหล็กเดิมเป็น บัลลาสต์ประหยัดพลังงานเช่น บัลลาสต์โลว์ลอส บัลลาสต์อิเล็คทรอนิคส์ จากคุณ : powerlady - [ 22 เม.ย. 51 21:57:21 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ..........โอโห้ คุณ Mr Eng.  คุณเข้าใจการคำนวณค่าไฟไหมครับ    และเรื่อง power factor ก็ไม่ใช่อะไรที่ยากเกินอธิบายครับ ดูคุณ powerlady เขียนมาซะขนาดนั้น มันยากตรงไหนถ้าคุณเป็นวิศวกรไฟฟ้า !!!                  จาก ความคิดเห็นที่ 16 และ 25 ของคุณ powerlady นั้น บอกชัดอยู่แล้วว่า คิดค่าไฟจากขนาด watt ที่ใช้งานครับ   อุปกรณ์หลายอย่างบอกการกินไฟเป็น Watt คงที่อยู่แล้วเช่น หลอดไฟ   ไม่จำเป็นต้องใช้ค่าตัวประกอบกำลังในการคำนวณครับ      (1) หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ 36W + บัลลาสต์ธรรมดา กินไฟ เท่ากับ 36+10 = 46 watt ที่ pf = 0.55      (2) หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ 36W + บัลลาสต์ธรรมดา + ตัวเก็บประจุ กินไฟ เท่ากับ 36+10 = 46 watt ที่ pf = 0.95       ทั้ง 1 และ 2 เสียค่าไฟเท่ากันครับ    ค่าตัวประกอบกำลังไม่ถูกนำมาคำนวณเพราะการคิดค่าไฟใช้ค่า watt เท่านั้น (สำหรับที่พักอาศัย)         สำหรับบัลลาสต์นั้นมีค่ากำลังสูญเสียค่าหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิแวดล้อมครับ ทั่วไปเราเลยให้คงทีเพราะคำนวณง่ายดี ใช้ค่าวัตต์นั้นได้เลย ไม่ต้องแปลงอะไรอีก      บัลลาสต์แทบทุกยี่ห้อที่เป็นแบบธรรมดาจะไม่มีการระบุค่ากำลังสูญเสียโดยตรงเอาไว้ครับ    เท่าที่มีระบุว่ามีกำลังสูญเสียเท่าไรคือ บัลลาสต์ความสูญเสียต่ำ ครับ  บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกยังไม่ยอมบอกเลยครับเพราะว่ากำลังสูญเสียน้อยกว่าบัลลาสต์ความสูญเสียต่ำ 1-2 Watt เอง         ส่วนเรื่องมอเตอร์จะกินไฟเท่าไรนั้น ต้องใช้เครื่องวัดวัตต์ครับ     ขนาดมอเตอร์ทั่วไปก็บอกเป็นขนาดกำลังขาออกเป็น watt อยู่แล้ว ถ้าคิดหยาบๆ ก็ใช้ watt ค่านั้นได้เลย  ไม่ต้องใช้ค่า power factor เลย         บัลลาสต์อิเล็กทรอนิคที่เกิดมาทีหลังเพื่อน  ค่าตัวที่สูงแต่ถ้าต้องการขายออกก็ต้องมีจุดเด่นกว่าคนอื่นเขาครับ   นอกจากประหยัดไฟแล้วจึงต้องทำให้มีค่า pf ที่ดีกว่าบัลลาสต์ทั่วไปที่ต้องเพิ่มตัวเก็บประจุเข้ามา    บัลลาสต์อิเล็กทรอนิคไม่ต้องใส่ C อีกตัวในวงจรเพื่อปรับปรุง pf อีกทีไงครับ  สังเกตโฆษณาบัลลาสต์อิเล็กทรอนิคเขาจะไม่ชูประเด็นว่าได้ปรับค่า pf ให้สูงขึ้น         บัลลาสต์อิเล็กทรอนิคที่ผมใช้เสียเกือบ 100% นี่ไม่ใช่เพราะเสียจากแรงดันเกินชั่วครู่นะครับ  เป็นสาเหตุอื่นๆ เพราะ ทยอยๆ เสียไล่เลี่ยกัน   อุปกรณ์อื่นๆ ในวงจรไม่เห็นเป็นไร         บัลลาสต์อิเล็กทรอนิคที่ราคา 200-300 บาท เขาตัดวงจรป้องกันแรงดันเกินและวงจรกรองความถี่ออกไป    ผู้ใช้งานควรศึกษาผลกระทบและผลเสียก่อนเลือกใช้งาน     เช่น บัลลาสต์อิเล็กทรอนิคของฟิลิปป์นั้นมี 2 เกรด คือ เกรดราคาประหยัด(ตัวสีดำ) และ เกรดมาตรฐาน(ตัวสีขาว)    ทั้งสองราคาต่างกันเกือบเท่าตัว  แน่นอน ยอมมีอะไรที่แตกต่างกัน แต่คุณๆ ท่านๆ ทั้งหลายรู้ไหมว่าที่แตกต่างกันนั้นคืออะไร .........หลักการประหยัดพลังงานคือ ใช้ให้พอดีกับความต้องการครับ  ส่วนที่เกินความจำเป็นไม่ว่ามาจากการติดตั้งหรือการออกแบบ   ก็ควรตัดออกไปให้พอดี และ เพียงพอ ครับ จากคุณ : arm_cc - [ 22 เม.ย. 51 23:35:22 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ arm_cc, power lady ครับ สั้นๆ นะครับ ตาม คห 16. เป็นความเข้าใจ ทั่วๆไป ขอผ่าน ครับ แต่ คห 25. ขอ จั่ว ครับ........ถ้านำ คห 25.และ คห 34.มาคำนวนจะใด้ดังนี้ ครับ 46 w x 0.55 = 25.3 w หารด้วย 220 v = 0.115 amp และ 46 w x 0.95 = 43.7 w หารด้วย 220 v = 0.198 amp จะเห็นว่า ที่ค่า power factor =0.95 กินกระแสไฟมากกว่า.......แล้วจะผลิต บัลลาสต์อิเล็กทรอนิค ออกมาขายเพื่อการใดครับ และ watt-hour meter จะ คิดค่าไฟฟ้า ตามค่า V-A (โวลท์ x แอมป์) ส่วนคำว่า watt-hour meter เป็นชื่อเรียกรวมๆ ครับ การไฟฟ้าคงจะไม่นำเอา กำลังงานจริง (real power)มาคิดเป็นค่าการใช้ไฟฟ้าแน่ๆ แต่ใช้ กำลังงานปรากฎ (apparent power) เป็นตัวคิดค่าไฟ ลองตั้งสมาธิ พิจารนา คห 17 และ คห 26 ให้ดีครับ แล้วตอบว่าการไฟฟ้า จะใช้ค่าใหน เป็นตัวคิดค่าไฟฟ้า ตาม คห 34 ข้อที่ 1 และ 2 ลองให้เด็ก ปวช. ข้างบ้านต่อวงจรทดสอบโดยผ่าน watt-hour meter เปรียบเทียบดูครับ แล้วจะทราบความจริง เรื่องหลักการประหยัดพลังงาน เห็นด้วยครับ ส่วนเรื่องอื่นๆ !!!!!! เคาะครับเคาะ!!!!!! จากคุณ : Mr Eng. - [ 23 เม.ย. 51 14:13:43 A:125.24.94.202 X: TicketID:172418 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ..........Uhhh คุณ Mr Eng.   เป็นวิศวกรไฟฟ้าใช่ไหมครับ !!!!!!! อัตราค่าไฟแบบต่างๆ นั้นสามารถดูได้ที่เวบของการไฟฟ้าครับ การไฟฟ้านครหลวง http://www.mea.or.th การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค http://www.pea.co.th ตัวอย่างการคิดค่าไฟ http://www.mea.or.th/howto_calcu44.htm http://www.weloveshopping.com/template/e1/show_article.php?shopid=10737&qid=13028 ให้ โคมไฟฟ้าทั้ง 4 แบบ ตามนี้ (1) หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ 36W + บัลลาสต์ธรรมดา อัตราการใช้ไฟเท่ากับ       กำลังไฟฟ้าจริง = 36W+10W = 46 watt ที่ pf = 0.55 เนื่องจากยังไม่ได้ปรับปรุงตัวประกอบกำลัง       กำลังไฟฟ้าปรากฎ = 46/0.55 =  83.64 VA  กินกระแส 83.64/220 = 0.38 A (2) หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ 36W + บัลลาสต์ธรรมดา + ตัวเก็บประจุ อัตราการใช้ไฟเท่ากับ       กำลังไฟฟ้าจริง = 36W+10W = 46 watt ที่ pf = 0.95 เนื่องจากปรับปรุงตัวประกอบกำลังแล้ว       กำลังไฟฟ้าปรากฎ = 46/0.95 =  48.42 VA  กินกระแส 48.42/220 = 0.22 A (ที่โหลดเดียวกัน ค่า pf สูง กระแสจะน้อยลงครับ ไม่ใช่มากขึ้น) (3) หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ 36W + บัลลาสต์ความสูญเสียต่ำ + ตัวเก็บประจุ อัตราการใช้ไฟเท่ากับ       กำลังไฟฟ้าจริง = 36W+6W = 42 watt ที่ pf = 0.95 เนื่องจากปรับปรุงตัวประกอบกำลังแล้ว       กำลังไฟฟ้าปรากฎ = 46/0.95 =  44.21 VA  กินกระแส 44.21/220 = 0.20 A (4) หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ 36W + บัลลาสต์อิเล็กทรอนิค อัตราการใช้ไฟเท่ากับ       กำลังไฟฟ้าจริง = 36W+4W = 40 watt ที่ pf = 0.95 เนื่องจากปรับปรุงตัวประกอบกำลังในตัวแล้ว ไม่ต้องเพิ่มตัวเก็บประจุ       กำลังไฟฟ้าปรากฎ = 40/0.95 =  42.11 VA  กินกระแส 42.11/220 = 0.19 A ถ้าโคมไฟทั้งสี่ชนิดนี้ใช้งานที่บ้าน  ที่นี้มาดูว่าแต่ล่ะโคมนั้น เสียค่าไฟเท่าไร  เพื่อง่ายแก่การอธิบายและเปรียบเทียบจะสมมุติให้เปิดไฟทุกวัน วันล่ะ 5 ชั่วโมง จาก 18:00-23:00   ค่าไฟฟ้าให้คิดที่ 3 บาทต่อหน่วยคงที่  ในการคำนวณได้ตัดเงื่อนไขของอายุหลอดไฟและบัลลาสต์ออกไป โคมไฟแบบที่ 1 ธรรมดาทั่วไป        จากค่าไฟฟ้าคิดเป็นหน่วย หรือ unit หรือ kW-Hr  โดยการไฟฟ้าจดจากมิเตอร์หน้าบ้าน     สูตรคำนวณ คือ กำลังไฟฟ้าจริง(หน่วยเป็น kW)คูณด้วยเวลาการใช้งานเป็นชั่วโมง = Real Power x time = Pxt         ดังนั้น จำนวนหน่วยที่ใช้  = (46/1000) x 5 unit/day                                         = 0.23 unit/day                                         = 6.9 unit/month                                         = 83.95 unit/year                ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย = 83.95*3 = 252 บาทต่อปี โคมไฟแบบที่ 2         ดังนั้น จำนวนหน่วยที่ใช้  = (46/1000) x 5 unit/day                                         = 0.23 unit/day                                         = 6.9 unit/month                                         = 83.95 unit/year                ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย = 83.95*3 = 252 บาทต่อปี โคมไฟแบบที่ 3         ดังนั้น จำนวนหน่วยที่ใช้  = (42/1000) x 5 unit/day                                         = 0.21 unit/day                                         = 6.3 unit/month                                         = 76.65 unit/year                ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย = 76.65*3 = 230 บาทต่อปี โคมไฟแบบที่ 4         ดังนั้น จำนวนหน่วยที่ใช้  = (40/1000) x 5 unit/day                                         = 0.20 unit/day                                         = 6.0 unit/month                                         = 73 unit/year                ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย = 73*3 = 219 บาทต่อปี            ลองเปรียบเทียบอัตราการกินไฟสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยนั้น ดูสิครับ   จะเห็นว่าโคมแบบบัลลาสต์อิเล็กทรอนิคนั้น กินน้อยสุด     จะเห็นว่าโคมแบบที่ 1 และ 2 เสียค่าไฟเท่ากัน แม้ว่าโคมที่ 2 จะมีการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังแล้วนั้นเป็นเพราะยังคงมีความสูญเสียในตัวบัลลาสต์เท่าเดิม            ที่นี้แบบไหนจะคุ้มค้ากว่ากัน   ส่วนระยะเวลาคืนทุนคิดแบบง่ายๆ คือ ค่าลงทุนเปลี่ยนอุปกรณ์ หาร ค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้           เช่น เปลี่ยนจากบัลลาสต์ธรรมดาเป็นแบบอิเล็กทรอนิค   ค่าตัวของบัลลาสต์อิเล็กทรอนิค คือ 250 บาท   แต่ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ 252-219 = 33 บาทต่อปี    ระยะเวลาคืนทุนคือ 250/33 = 7.6 ปี เมื่อใช้วันล่ะ 5 ชั่วโมง               ระยะเวลาการคืนทุนจะเร็วขึ้นถ้าเปิดเปิดไฟนานขึ้น   แต่ที่บ้านมันไม่เหมาะเพราะจะไปเพิ่มทำไมเมื่อใช้งานแค่ 18:00-23:00 น.   ถ้าเป็นที่สำนักงานล่ะ 7:00 ถึง 20:00 หรือ 13 ชั่วโมง  ลองคำนวณเล่นๆ เองนะครับ จากคุณ : arm_cc - [ 23 เม.ย. 51 20:17:19 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ...46 w x 0.55 = 25.3 w หารด้วย 220 v = 0.115 amp และ 46 w x 0.95 = 43.7 w หารด้วย 220 v = 0.198 amp.... ผิดครับ ผิดอย่างจังๆ เลยครับ ....และ watt-hour meter จะ คิดค่าไฟฟ้า ตามค่า V-A (โวลท์ x แอมป์).... นี่ก็ผิดอย่างจังๆ เหมือนกันครับ ทดลองโดยใช้คาปาซิเตอร์เป็นโหลดดูสิครับ แล้วดูว่ามันหมุนช้าหรือเร็วกันแน่ครับ ....ลองให้เด็ก ปวช. ข้างบ้านต่อวงจรทดสอบโดยผ่าน watt-hour meter เปรียบเทียบดูครับ แล้วจะทราบความจริง.... ตอนผมเรียนนี่ผมต่อเองเห็นเองรู้เองเลยครับ จากคุณ : pa_ul - [ 27 เม.ย. 51 00:30:39 ]