ผมขอนำข้อมูลเรื่องธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)ที่กระทำต่อลูกค้าธนาคารฯ ลงในเว็บไซต์ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับถึงการกระทำของธนาคารฯที่เอาเปรียบลูกค้า และเผื่อว่าธนาคารฯดังกล่าว จะชี้แจงแก้ต่างหรือแก้ตัวก็ตาม ประชาชนทั่วไปจะได้รับรู้กัน รายละเอียดของข้อเท็จจริงมีดังนี้
4 มิ.ย.2550 ผมทำสัญญาซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) (ซึ่งมีผู้พักอาศัยอยู่ ธนาคารฯจะดำเนินการขับไล่ให้) ในราคา1,800,000.00บาท(หนึ่งล้านแปดแสนบาท) โดยทางธนาคารฯรับเงินมัดจำจากผมไป 180,000.00บาท(หนึ่งแสนแปดหมื่นบาท)ในวันที่ทำสัญญาซื้อขายฯ
4 ธ.ค.2550 เป็นระยะเวลา 6 เดือนเต็ม ผมได้โทรศัพท์สอบถามทางธนาคารฯ ได้รับคำตอบจากทางธนาคารฯว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านที่ซื้อขายยังไม่ยอมย้ายออก และทางธนาคารฯได้ดำเนินการตามขั้นตอน ของกฏหมายในการฟ้องขับไล่ครบถ้วนทุกขั้นตอนแล้ว ถ้าผมจะไม่รอต่อไปก็สามารถรับเงินมัดจำคืนได้(แต่จะไม่ได้ดอกเบี้ยจากเงินของผมที่ทางธนาคารฯเอาไปใช้ประโยชน์)
4 ก.พ.2551 เป็นระยะเวลา 8 เดือนเต็ม ผมได้ส่งจดหมายลงทะเบียนตอบรับถึงธนาคารฯ ให้ทางธนาคารฯจัดส่งเอกสารหลักฐานการดำเนินการของทางธนาคารฯ เพื่อแสดงว่าธนาคารฯได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมายในการฟ้องขับไล่ครบถ้วนทุกขั้นตอนแล้วหรือไม่ (แต่ไม่ได้รับเอกสารหรือคำตอบใดๆจากธนาคารฯ)
1 มี.ค.2551 เป็นระยะเวลาประมาณ 9 เดือน ผมได้ส่งจดหมายลงทะเบียนอีเอ็มเอสถึงธนาคารฯ ให้ทางธนาคารฯจัดส่งเอกสารหลักฐานการดำเนินการของทางธนาคารฯ เพื่อแสดงว่าธนาคารฯได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมายในการฟ้องขับไล่ครบถ้วนทุกขั้นตอนแล้วหรือไม่
6 มี.ค.2551 ได้รับเอกสารจากทางธนาคารฯ เป็นสำเนาคำร้องขอหมายตั้งพนักงานบังคับคดี ณ ศาลจังหวัดนนทบุรี ลงวันที่ 22 มกราคม 2550 เพียงอย่างเดียวไม่มีคำชี้แจงใดๆมาด้วย (ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นับตั้งแต่ทำสัญญาซื้อขายฯ ธนาคารฯไม่ได้ดำเนินการในการฟ้องขับไล่ ต่ออีกเลย)
10 มี.ค.2551 ผมได้ติดต่อสอบถามไปที่ศาลจังหวัดนนทบุรี ได้รับคำตอบว่าได้แจ้งเรื่องไปที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรีแล้ว จึงได้ติดต่อสอบถามไปที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรี ได้รับคำตอบว่าทางธนาคารฯไม่ได้มาดำเนินการติดต่อที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรีเลย
31 มี.ค.2551 ผมได้โทรศัพท์สอบถามทางธนาคารฯอีกครั้ง ได้รับคำตอบว่าให้ผมติดต่อกับสำนักกฎหมาย ที่ธนาคารฯจัดจ้างมาเป็นทนายให้กับธนาคารฯ เอาเอง
8 เม.ย. 2551 ผมได้โทรศัพท์สอบถามทางทนายความ ที่ธนาคารฯอ้างว่าจัดจ้างมาเป็นทนายให้กับธนาคารฯ ได้รับแจ้งว่าได้ไปเดินเรื่องที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรีแล้ว เมื่อปลายเดือนมีนาคม2551ที่ผ่านมา และทางสำนักงานบังคับคดีฯนัดทำเรื่องในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม2551 แต่ไม่ยอมส่งสำเนาเอกสารหลักฐานการเดินเรื่องที่สำนักงานบังคับคดีฯให้ผมได้รับทราบว่าได้ทำการเดินเรื่องไว้จริง
24 เม.ย. 2551 ผมได้เข้าไปดูในเว็บไซต์ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) พบว่ามีการลงประกาศขายบ้านแฝด ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกับบ้านที่ทางธนาคารฯทำสัญญาซื้อขายกับผม มีขนาดของที่ดินใกล้เคียงกัน(ต่างกัน1.70 ตร.ว.) และอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน(ตัวบ้านห่างกันประมาณ200เมตร) ซึ่งระบุไว้ว่าสภาพขาดการดูแลรักษา ราคาขาย 3,000,000.00 บาท (สามล้านบาท)
29 พ.ค. 2551 เป็นระยะเวลาประมาณ 12 เดือน ผมได้โทรศัพท์สอบถามทนายความที่ธนาคารฯจัดจ้าง ได้รับคำตอบจากทนายว่าได้ทำการปิดหมายขับไล่แล้ว อีก 8 วัน ถ้าผู้อยู่อาศัยยังไม่ยอมออก จะขอให้ศาลออกหมายจับ
24 มิ.ย. 2551 ผมได้โทรศัพท์สอบถามทนายความที่ธนาคารฯจัดจ้าง ได้รับคำตอบจากทนายว่ากำลังดำเนินการขอให้ศาลออกหมายจับ ให้ผมรอเวลาอีกสักนิด
14 ก.ค. 2551 ผมได้โทรศัพท์สอบถามทนายความที่ธนาคารฯจัดจ้าง ได้รับคำตอบจากทนายว่าการขอให้ศาลออกหมายจับนั้นต้องใช้ระยะเวลาให้ทางศาลได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานและความเป็นมาของผู้อยู่อาศัยนั้นก่อน
23 ก.ค. 2551 เป็นระยะเวลาประมาณ 14 เดือน ผมได้โทรศัพท์สอบถามทนายความที่ธนาคารฯจัดจ้าง ได้รับคำตอบจากทนายว่าได้ตรวจสอบทะเบียนบ้านแล้ว ไม่พบว่ามีชื่อผู้อยู่อาศัยในทะเบียนบ้าน ต้องใช้เวลาสืบดูว่าผู้อยู่อาศัยนี้คือใคร จึงค่อยหาวิธีดำเนินการขับไล่ต่อไปได้
ทั้งนี้ผมได้แนบไฟล์ของเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่ผมได้กล่าวถึงมาด้วย เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ผมกล่าวหาธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เป็นเรื่องจริง และพร้อมที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติม(ถ้ามี)
จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นว่าธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) รับเงินมัดจำจากผมไป หนึ่งแสนแปดหมื่นบาท แล้วไม่ได้ดำเนินการใดๆต่ออีกเลย เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า9เดือน การกระทำของธนาคารฯที่เที่ยวได้โฆษณาตามสื่อต่างๆว่าเป็นธนาคารที่ให้บริการต่อลูกค้าดีเยี่ยม มีสาขามากที่สุด และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ทำกับลูกค้าแบบนี้เองหรือ
ทำให้ผมคิดได้ว่าทางธนาคารฯพยายามยืดระยะเวลาออกไปเรื่อยๆ เพื่อต้องการให้ผมรับเงินค่ามัดจำคืน ซึ่งจะทำให้ธนาคารฯได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น ส่วนตัวผมก็มีแต่เสียผลประโยชน์ เช่น
- ธนาคารฯนำเงินค่ามัดจำของผมไปใช้ทำประโยชน์ โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยให้ผม และอาจธนาคารฯอาจจะทำแบบนี้กับลูกค้ารายต่อๆไปอีก
- ธนาคารฯคงจะนำบ้านหลังที่เคยทำสัญญาซื้อขายกับผมนี้ ไปขายใหม่จะได้ราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากราคาประเมินค่าที่ดินเพิ่งปรับขึ้นเมื่อต้นปี2551 และราคาค่าวัสดุก่อสร้างก็ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารนได้กำไรเพิ่มมากยิ่งขึ้น
- ผมเสียผลประโยชน์จากการที่เอาเงิน180,000.00บาท(หนึ่งแสนแปดหมื่นบาท) ไปทิ้งไว้ให้ธนาคารฯนำไปใช้โดยไม่ได้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเลย
- ผมจะต้องหาซื้อบ้านหลังใหม่(มีลักษณะใกล้เคียงกันกับบ้านที่ทำสัญญาซื้อขายกับทางธนาคารฯ)ในราคาที่แพงขึ้น เนื่องจากราคาประเมินค่าที่ดินเพิ่งปรับขึ้นเมื่อต้นปี2551นี้เอง และราคาค่าวัสดุก่อสร้างก็ปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย
ผมหวังว่าข้อมูลเรื่องดังกล่าวข้างต้นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่คิดจะซื้อบ้านมือสองจากธนาคารฯดังกล่าว และเพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารฯได้รับทราบการกระทำของพนักงานธนาคารฯด้วย หรือว่าเป็นนโยบายของธนาคารฯเอง
นายณรงค์ สรวงวัฒนา
27 กรกฎาคม 2551
ปล.ในการจะซื้อบ้านหลังดังกล่าวนี้ ผมต้องทำหนังสือขออนุมัติวงเงินกู้ซื้อบ้านจากคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติการกู้เงินตามโครงการให้สินเชื่อเพื่อการเคหะสงเคราะห์แก่ข้าราชการกระทรวงยุติธรรม (เป็นสวัสดิการของกระทรวงฯที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติทั่วไป) ซึ่งผมได้ทำหนังสือขออนุมัติวงเงินกู้ไปแล้ว 4 ครั้ง ทำหนังสือขออนุมัติต่ออายุหนังสืออนุมัติวงเงินกู้ไปแล้ว 2 ครั้ง และทำหนังสือขอยกเลิกการขอกู้ไปแล้ว 3 ครั้ง เนื่องจากระยะเวลาที่อนุมัติวงเงินกู้ให้มีกำหนดเวลาไม่เกิน 90 วัน และสามารถขอต่ออายุหนังสืออนุมัติฯได้หนึ่งครั้งอีกไม่เกิน 90 วัน แล้วเมื่อจะทำการขอกู้ใหม่ต้องทำหนังสือขอยกเลิกการขอกู้ครั้งที่แล้วก่อน โดยคณะกรรมการฯจะนำเรื่องที่ขออนุมัติต่างๆเข้าพิจารณาในเดือนถัดไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะยังมีวงเงินเหลือพอที่คณะกรรมการจะอนุมัติวงเงินกู้ให้ผมได้อีกหรือไม่ เพราะมีผู้ขอกู้จำนวนมาก และมีวงเงินให้กู้จำนวนจำกัด จึงเป็นความทุกข์ใจและอึดอัดใจของผมเป็นอย่างยิ่ง
จากคุณ :
hot_queue
- [
27 ก.ค. 51 21:21:03
]