ความคิดเห็นที่ 1 ทางเลือกที่ผมคิด คือ บอกแม่ไปว่า แม่ ขอเอาชื่อน้องออกละกัน แค่สองคนก็พอ ที่เหลือจะคืนให้หมด (ปากเปล่า ไม่มีสัญญา) แบบนี้ผมไม่อยากทำ ไม่อยากให้แม่คิดว่าผมมีแฟนที่เป็นแบบนี้ เพราะแม่ช่วยทุกอย่างมาตลอด วิธีที่สอง คือ เอาเงินเฉพาะส่วนของผมมา ส่วนของน้องไม่เอา ผมมากู้แบงค์เพิ่ม จริงๆ แม่ก็ไม่อยากให้กู้ จะไปเสียดอกเบี้ยแพงๆ ทำไม เรื่องแค่นี้เอง คิดแล้วก็ปวดหัวครับ แฟนผมบอกว่า ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินมาซื้อบ้านเอง ก็ไม่ต้องซื้อ ให้มีปัญญาก่อนค่อยไปซื้อ ถ้าต้องมายืมเงินแม่แล้วมีชื่อน้องหรือชื่อแม่ก็อย่าไปยืม ดูซิคนเรามันคิดซะแบบนี้ ดูก็รู้ว่าหวงสมบัติ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้จ่ายอะไร บ้านที่จะอยู่ จริงๆ น้องสาวผมก็อยู่ด้วย แต่ผมเก็บค่าเช่าจากน้องสาว เหมือนเขามาเช่าบ้านผมอยู่ แล้วผมก็ผ่อนกับแม่อีกที เท่ากับว่าเงินที่ผ่อนแต่ละเดือนคือเงินผมกับน้องสาว ผ่อนแม่หมดบ้านก็เป็นของผมกับแฟน ทำยังไงดีกับชีวิตครับ ไม่ต้องซื้อมันซะเลยดีไหม ดัดสันดาน อยู่แคบๆ รกๆ แบบเดิมไปดีไหมครับ จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 11:51:39 ]

ความคิดเห็นที่ 2 พอๆกับเมียผมเลยครับ.........เอ แต่ผมว่าเมียผมหนักกว่านี้นะ - -" จากคุณ : man1nat - [ 11 ธ.ค. 51 11:55:15 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ซื้อบ้านค่ะ ชื่อคุณกับน้องก็พอ ชื่อแฟนไม่ต้องเพราะเค้าไม่ได้ผ่อน ถ้าไม่มาอยู่ หรือทำท่าจะเลิก ก็ปล่อยเค้าไปเถอะ จากคุณ : A (ADARIS_mirror) - [ 11 ธ.ค. 51 11:56:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แฟนคุณใจแคบนะ ในความคิดเรา เป็นเราแม่สามีดีขนาดนี้ เราจะกราบเลยล่ะ เพราะทุกวันนี้มีแต่เราคอยจุนเจือทั้งครอบครัว(อดีต)สามีตลอด ปัญหาของคุณ ก็คงต้องกู้แบงค์ไปเถอะค่ะ อย่ามาทำสัญญาใจกันเลย เพราะแฟนคุณไม่มีทางยอมแน่ๆ อธิบายแม่ ยังง่ายกว่าอธิบายให้แฟนฟังนะ เราว่า จากคุณ : ป้าแมงฯ - [ 11 ธ.ค. 51 11:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ man1nat หนักกว่ายังไงครับ เล่าให้ผมฟังมั่ง ของผมไม่ใช่แต่บ้านนะ ทั้งรถเอย เงินเดือน สารพัด ทุกวันนี้ผมก็ท้อ จริงๆ เราก็ทำเพื่อลูกเพื่อเมีย แต่ถ้าเห็นแก่ตัวมากเกินไป เราก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 11:58:28 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าต้องใช้เงินแม่ แล้วต้องปิดบัญชีหมดเลย แล้วแม่จะอยู่ยังไงคะ สงสาร แล้วดอกเบี้ยที่จะไม่ได้จากที่ปิดบัญชีก็ หักลบกับที่จะต้องเสียหากกู้ เป็นไงคะ คุณจะเครียดหรือปล่าวคะ หากหาเงินจ่ายคืนให้แม่ไม่ได้แล้วแม่ลำบาก จากคุณ : หลังบ้านตร. (หลังบ้านตร.) - [ 11 ธ.ค. 51 12:01:28 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แนะนำ ยอมเสียดอกเบี้ยธนาคาร ไปเถอะครับ ตัดปัญญา ของทุกฝ่าย ไม่ต้องกระทบถึงสมบัติของคุณแม่ ด้วย จากคุณ : ตะวันรุ่งทุ่งรังสิต - [ 11 ธ.ค. 51 12:02:33 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แม่ก็พออยู่พอกินครับ เพราะแม่อายุ 60 แล้วอยู่กับพ่อ ก็ขายของอยู่ ที่เอามาให้นี่เป็นเงินเก็บทั้งหมดน่ะครับ ส่วนค่าใช้จ่ายประจำวันก็ขายของเรื่อยๆ มีครับ จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 12:03:29 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สามี หรือ ภรรยา  เลิกกันแล้วก็คือ คนอื่นอ่ะค่ะ ยิ่งถ้าจากกันด้วยไม่ดี เผลอ ๆ จะกลายเป็นศัตรูไปในที่สุด ถ้าเป็นเรา เลือดข้นกว่าน้ำค่ะ เอ่อ ไม่ได้ยุแยงนะคะ แต่อยากให้คุณใช้วิจารณญาณ ในการ เคลียร์ทั้งสองฝ่ายให้จบลงได้ด้วยดี ในฐานะที่กำลังจะเป็นผู้นำครอบครัว จากคุณ : จริงแท้แน่นอน - [ 11 ธ.ค. 51 12:04:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าผมยอมเสียดอกเบี้ย โดยบอกกับแม่ว่า เพราะแฟนไม่ยอมที่จะให้มีชื่อน้องอยู่ในช่วงที่ผมผ่อนกับแม่ แม่ผมและคนอื่นๆ ทางบ้านก็คงต้องมีอคติกับแฟนแน่ ว่ายายนี่ทำไมมันงกได้ขนาดนี้ ผมก็ไม่อยากให้ทางบ้านคิดไม่ดีกับแฟน (พยายามช่วยแฟนนะเนี่ย) แต่แฟนเขาคิดไม่ดีกับทางบ้าน จะทำยังไงล่ะครับ จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 12:05:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ลืมบอกไปว่ามีลูกด้วยนะครับ 1 ขวบแล้ว  กำลังน่ารักเลย เรื่องอื่นๆ ไม่มีปัญหาเลยราบรื่นหมด ยกเว้นเรื่องบ้านนี่แหละ จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 12:07:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ทำไมไม่ทำสัญญากู้เงินจากแม่โดยระบุว่าไม่เสียดอกเบี้ยโดยเซ็นกู้ทั้งคุณและแฟน...กำหนดระยะเวลาใช้คืน... ส่วนบ้านก้อชื่อคุณและแฟน 2 คน..... จากคุณ : งุนงง - [ 11 ธ.ค. 51 12:08:41 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าซื้อ..  ใส่ชื่อคุณกับน้อง ถ้าไม่ซื้อ..  ก็อยู่ตามเดิมไป เดี๋ยวนี้เด็กๆน่ารักๆทั้งนั้น..  ถ้าไม่อยากอยู่ก็ไม่ต้องอยู่.. จากคุณ : nai_aoum - [ 11 ธ.ค. 51 12:10:02 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เราว่า เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย คุณก้อเอาเงินจากแม่มาเฉพาะส่วนที่เป็นของคุณเถอะค่ะ ส่วนก้อน้องก็ให้น้องไป ถ้าซื้อบ้านไม่พอ เหลือเท่าไหร่ ก็ยอมจ่ายดอกเบี้ยธนาคารไปเถอะ อย่าไปไม่อยากเสียดอกเบี้ยจนเอามาเป็นปัญหาเลย เพราะคิดในแง่เมียคุณ เค้าก้ออาจจะอยากมีครอบครัวที่ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับใคร ไม่ต้องมีภาระผูกพันอะไรกับน้องกับแม่คุณ ช่วยกันกู้ช่วยกันผ่อนไปสองคนผัวเมีย แต่ถ้าคิดในแง่แม่ แม่ก้อหวังดี แต่ก้อห่วงน้อง เพราะถ้าให้คุณทั้งหมด เกิดคุณเป็นอะไรไป มันก้อจริงในแง่ที่ว่า น้องก้ออดไปซะหมดเลย เราเลยว่ายอมจ่ายดอกเบี้ย กู้บางส่วนเถอะ เพราะอีกเรื่องนะ แม่คุณก้ออายุ 60 แล้ว ควรมีเงินสดสำรองไว้จ่ายพวกค่ารักษาพยาบาลอันอาจจะเกิด ดังนั้น อย่าไปเอาเงินสดสำรองของแม่ที่ควรจะเก็บไว้ เพียงเพราะคุณไม่อยากเสียดอกเบี้ยเลยค่ะ ถ้าไม่ได้มีเงินถุงเงินถังขนาดที่ว่ามีเงินเหลือพอสำรองแล้ว ก้อยังเอามาช่วยจ่ายให้คุณได้ ก็อย่าเสี่ยงดีกว่า จากคุณ : Friday February - [ 11 ธ.ค. 51 12:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตามคุณตะวันรุ่งทุ่งรังสิต ครับ ยอมเสียดอกเบี้ยไปครับ ถ้าเมียสำนึกได้ เห็นดี เห็นงามแล้ว ค่อยมาปิดบัญชีทีหลังละกัน ตอนนี้ยังไม่รู้สำนึกครับ แทนที่จะรู้สำนึกในพระคุณของคุณแม่ แต่กลับมองในแง่ลบซะงั้น ต่อให้คุณแม่ออกเงินซื้อบ้านให้ฟรีๆ เธอก็ยังมองไม่เห็นความดีหรอกครับ จากคุณ : เหล่านั้งเคียวห่วย - [ 11 ธ.ค. 51 12:12:32 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ทำเหมือนคุณงุนงง ว่าก็ดีนะคะ คือทำสัญญากันเป็นกิจลักษณะ ระบุกันไปเลย ว่าไม่เสียดออกเบี้ย กำหนดระยะเวลาเท่าไร ก็ว่าไป จากคุณ : rain&ant - [ 11 ธ.ค. 51 12:13:35 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แนะนำอย่างนี้ครับ ไม่รูว่าจะโหดไปรึเปล่า...รักษาน้ำใจแม่...แม่คนเดียวคุณหาใหม่ไม่ได้หรอก...แต่เมีย.??? ไม่ได้แนะนำให้ทิ้งเมียนะครับ แต่แนะนำให้หย่า จดทะเบียนหย่าโดยนิตินัย แต่พฤตินัยก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นซื้อบ้าน เป็นชื่อคุณคนเดียว หลังจากทำธุรกรรมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อยากจะจดทะเบียนอีกครั้งก็ตามใจ ทำสัญญาเงินกู้ไว้โดยกู้แม่หรือน้องก็ได้เท่ากับครึ่งหนึ่งของราคาบ้านที่คุณซื้อ(ดูจากกระทู้ราคาบ้านน่าจะใกล้เคียงกับมูลค่ามรดกที่แม่จะแบ่งให้คุณกับน้อง) ทรัพย์สินที่คุณมีอยู่จะไม่ได้เป็นของเมียคุณคนเดียวหากคุณเป็นอะไรไป(ไม่ได้แช่งนะครับ) หรือถ้าไม่มั่นใจก็ปรึกษาทนายซะแนวทางทำนองนี้พอทำได้มั้ย ผมไม่ได้จบกฏหมายแต่แค่คิดเล่นๆไปตามเนื้อผ้า โทษนะครับตามไปดูกระทู้เดิม ไม่ทราบว่าจดทะเบียนหรือเปล่า เพราะถ้าหากจดทะเบียนสมรสแล้ว กู้คนเดียวหรือกูสองคนก็ไม่เกี่ยวครับ คุณจ่ายคนเดียวก็จริง แต่เป็นทรัพย์(หรือหนี้) ที่ได้มาหลังจากการจดทะเบียนนี่น่าจะถือว่าเป็นของทั้งสองคนนะครับ(ถ้าไม่ถูกต้องผู้รู้ช่วยแก้ไขด้วย) ตามกฏหมายน่าจะเป็นคนคนเดียวกันหากจดทะเบียนสมรส ผมกู้บ้านคนเดียวจ่ายคนเดียวแต่วันที่จดจำนองแบงค์ต้องให้ภรรยาไปเซ็นต์ยินยอมที่ที่ดินเลยครับ ผมว่าน่าจะปรึกษาทนายนะครับ ไม่แพงหรอกเผลอๆได้คำแนะนำฟรีๆ...ไม่รู้ว่าเมียคุณจะว่าไง...ยังไงก็ขอให้แก้ปัญหาได้ราบรื่น พอใจกันทุกฝ่ายนะครับ..ขอเอาใจช่วยครับ.. จากคุณ : RT - [ 11 ธ.ค. 51 12:18:21 A:203.172.37.215 X: TicketID:197302 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ตอนนี้เป็นอะไรกันอยู่ ถ้ายังไม่แต่งงานชีวิต จขกท. ยังมีอิสระ 50/50 ถ้าแต่งงานผมว่า จขกท ติดคุกแน่ๆ แม่ผัวดีอย่างงี้หาได้ที่ไหน   ปกติจะมีแต่แม่ผัว กับ เมีย ลูก ไม่ถูกกัน เรื่องจริงของสังคมไทย จากคุณ : PATCHAYAS - [ 11 ธ.ค. 51 12:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ก็กู้ไปเถอะครับ คุณพ่อคุณแม่จะได้มีเงินก้อนเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ตอนนี้ดอกเบี้ยก็เริ่มขาลงแล้วด้วย จากคุณ : ฉันนี่แหละคือฉัน - [ 11 ธ.ค. 51 12:21:07 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ทำสัญญากันดีไม๊ครับ แบบนี้ จะได้สบายใจ จากคุณ : Toonhyper - [ 11 ธ.ค. 51 12:21:08 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณแม่คุณน่ารักจังเลยค่ะ ทุ่มแบบนี้ทำให้เราไม่ต้องไปเสียดอกเบี้ยแพงๆเพราะคิดๆดู คนผ่อนบ้านกับแบงค์เนี่ย แต่ล่ะเดือนเหมือนผ่อนดอกเบี้ยมากกว่า เรียกทั้งสองฝ่ายมาตกลงกันเลยก็ดีค่ะ เอาแบบซึ่งๆหน้า แต่แนวทางของคุณ#14 ก็ดีค่ะ จากคุณ : Extremely Chocolate - [ 11 ธ.ค. 51 12:22:30 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เคสทำสัญญานี่ไม่น่าจะได้ทำครับ เพราะแม่เขาก็รู้ว่าแฟนผมเนี่ยไม่มีเงินเก็บอะไรเลย งานก็ไม่ได้ทำ ถึงทำก็เงินเดือนน้อย ผ่อนไม่ไหวอยู่แล้ว ผมผ่อนคนเดียว ไม่ว่าจะเซ็นหรือไม่เซ็น ผมก็ผ่อนให้แม่คนเดียว เกิดผมเป็นไรไป ถึงเซ็นสัญญาไว้ แฟนผมก็ไม่มีจ่ายอยู่ดี ก็เท่ากับยกบ้านให้แฟนผมหมด และแม่ก็คงไม่ไปฟ้องเอาบ้านจากสะใภ้และหลานมั้งครับ หรือว่ามันจะมีผลอะไรบ้างครับทางกฏหมาย จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 12:24:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เราว่าให้แม่แบ่งเงินค่าบ้านให้คุณไปจ่ายแค่ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือคุณกู้ธนาคารผ่อนต่อเองดีกว่า แค่นี้ดอกเบี้ยก็ลดลงไปเยอะแล้ว เงินของน้องสาวคุณไม่ควรไปยุ่งเพราะถ้านำมาซื้อบ้านหมดแล้วและนิสัยภรรยาคุณเป็นแบบนี้ ต่อไปเค้าก็คงบอกให้คุณเลิกผ่อนให้แม่อยู่ดี สุดท้ายน้องคุณแม่คุณก็ไม่เหลืออะไรเลย เงินส่วนของน้องคุณให้แม่เก็บไว้ต่อเถอะเผื่อฉุกเฉิน คนอายุมากขึ้นเจ็บป่วยแต่ละครั้งใช้เงินรักษาไม่ใช่น้อย ถ้าไม่มีเงินเก็บจะลำบากมาก ส่วนบ้านใส่ชื่อคุณกับแฟนก็ถูกต้องแล้ว เพราะมีลูกด้วยกันแต่ไม่จดทะเบียน ต้องให้เค้ารู้สึกมั่นคงไม่งั้นทะเลาะกันตาย แค่อย่าให้เดือดร้อนพ่อแม่พี่น้องคุณก็พอ จากคุณ : nameshiro - [ 11 ธ.ค. 51 12:27:58 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ตอบคำถามเพิ่มเติม ผมยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสครับ (เนื่องจากเหตุผลหลายประการ มีอุปสรรคหลายอย่างตอนคบกัน) แต่ตอนนี้มีลูก 1 ขวบแล้ว กำลังวางแผนจะไปจดทะเบียนรับรองบุตร (ส่วนทะเบียนสมรสยังไม่อยากจด ก็เพราะนิสัยขี้งกแบบนี้ล่ะครับ) จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 12:28:26 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านกระทู้แล้วทนไม่ได้  ของขึ้น ที่ทนไม่ได้คือ ทนคุณ จขกท ไม่ได้ครับ เงินของคุณแม่คุณห้ามยุ่งเด็ดขาด นั่นเป็นเงินที่แม่คุณเก็บไว้รักษาตัวยามแก่เฒ่า ... ห้ามแตะแม้แต่บาทเดียว จากคุณ : --^ไชโย^-- - [ 11 ธ.ค. 51 12:35:51 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ลืมเล่าเรื่องไปอีกนิด คือ ผมกับน้องสาวเป็นคน ตจว มาทำงานอยู่ กรุงเทพ ซึ่งก็เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน พร้อมกับแฟน ซึ่งแม่ก็อยากให้น้องพักอยู่ด้วยกัน เพราะเป้นผู้หญิง ไปเช่าคนเดียว อันตราย น้องก็เพิ่งเรียนจบ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับแม่ แต่ลองมาดูไอเดียแฟนผมนะครับ ไม่อยากเอามานินทา แต่มันอดไม่ไหว แฟนผมเขาบอกว่า น้องโตแล้ว ก็ย้ายๆ ไปเช่าอยู่เองสิ มาอยู่ด้วยกันทำไม มันไม่ส่วนตัว อยากอยู่แบบเงียบๆ ไม่ต้องมีคนเดินไป เดินมา บ้านอื่นๆ เขาโตเขาก็แยกย้ายกันไปเช่าแล้ว ผมได้ยินก็สวนด่าไม่ยั้งไปหลายรอบ พี่น้องกัน อยู่ด้วยกันมา ก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว จะไล่น้องไปแยกเช่าหอให้เปลืองทำไม อยู่ด้วยกันยังได้ดูและกันและช่วยกันจ่ายค่าเช่า อีกอย่างวันหยุดน้องก็ช่วยเลี้ยงหลาน ช่วยหลายๆ อย่าง ซื้อเสื้อผ้า ของเล่น ขนม แต่ทำไมเขาชอบมองน้องผมในแง่ร้าย ทั้งๆ ที่น้องก็ไม่ได้นิสัยแย่ คือ ตอนนี้ถ้าอยู่บ้านหลังเดิม ซึ่งนอนรวมห้องเดียวกัน ผมก็เข้าใจ มันอาจจะไม่ส่วนตัว เพราะนอนรวมๆ กัน เวลาจะ xxx ก็ต้องหาจังหวะเอา แต่พอย้ายไปบ้านใหม่นี่สิ ห้องนอนแยกกันคนละห้องไปเลย ยังมาบอกว่า ไหนๆ ก็จะย้ายบ้านแล้ว ก็ให้น้องแยกไปเช่าอยู่เลย ดูสิ พูดมาได้ยังไง อยากจะกระโดดถีบมาก พอเราด่าหน่อย ก็หาว่าไม่รักเมีย รักน้อง รักแม่มากกว่าเมีย เฮ้อ กลุ้ม จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 12:36:16 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่องนี้ส่วนใหญ่คนมีปัญหา มักจะไม่ใช่คนในครอบครัวหรอกค่ะ แต่มักเป็นคนนอกมากกว่า เช่น แฟนคุณ หรือแฟนน้องสาวในอนาคต(ถ้าตอนนี้ยังไม่มีนะ) ลองมองอีกมุมนึง คุณรู้จักน้องสาวคุณดีว่าไม่มีปัญหาหรอก แต่ในอนาคตเราไม่มีทางรู้ว่าแฟนน้องจะมีอิทธิพลในชีวิตแค่ไหน เพราะเคยเจอคนใกล้ตัวนะนิสัยดี แต่พอมีแฟนนี่เปลียนไปเลยนะ มีแต่ละเอาทุกอย่างที่เอาได้ หากเกิดแบบนี้ขึ้นมาคุณนี่แหละจะปวดหัว เพราะซักวันนึงเค้าบอกว่าต้องการเงินก้อน ถ้าไม่มีให้เขา คุณก็ต้องขายบ้านที่อยู่มานานนับปีให้ ของบางอย่างกันไว้ดีกว่าแก้ก็ดีนะค่ะ พี่น้อง พ่อแม่ลูกมีเรื่องเงินให้เป็นชนวนก็บ่อย จากคุณ : tarntarn - [ 11 ธ.ค. 51 12:37:06 ]

ความคิดเห็นที่ 28 แม่คุณฉลาดรอบคอบดีค่ะ   แอบเห็นด้วยที่ว่า "ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินมาซื้อบ้านเอง ก็ไม่ต้องซื้อ ให้มีปัญญาก่อนค่อยไปซื้อ"   เราว่าหลายความเห็นที่แนะนำว่าให้ขอแต่ส่วนของคุณมาจากแม่ที่เหลือกู้เอาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดนะ   บอกแม่ว่าไม่อยากยุ่งยากภายหลัง และไม่เป็นการเอาเปรียบน้องเผื่อน้องสาวอยากเอาส่วนของเค้าไปทำอย่างอื่นบ้าง   ถือคติ นกน้อยทำรังแต่พอตัว ดีที่สุดค่ะ จากคุณ : deal with it!! (GniN) - [ 11 ธ.ค. 51 12:37:19 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ปัญหาโลกแตกจริง ๆ เรื่องสมบัติเนี่ย  นึกว่าจะมีแต่พี่นองแย่งกันเอง อันนี้มีเมียเข้ามาเกี่ยวด้วยแฮะ เข้าเรื่องดีกว่า  เราว่าน๊ะ  "เมียคุณใจแคบมาก ๆ และคิดเล็กคิดน้อยเกินไป นี่ครอบครัวของสามีน๊ะ" เราควรจะปฏิบัติกับครอบครัวของสามีให้เหมือนครอบครัวของเรา ไม่ใช่มาคิดแต่เรื่อง  พี่ ๆ น้อง ๆ จะมาแย่งสมบัติ  (ตัวเราเองก็แต่งงานแล้ว  แต่ไม่เคยคิดอยากได้สมบัติของพ่อ  แม่  ทั้งของแม่เราและแม่เค้าเลย  คิดอย่างเดียวว่า  ให้ก็เอา  ไม่ให้ก็ไม่ได้ว่าอะไร  เราสองคนช่วย ๆ กันหาเดี๋ยวก็ได้) จริง ๆ เอาชื่อน้องสาวคุณใส่ไปก็ดีนิ    อย่างทื่คุณว่าพอคุณผ่อนหมด (ทั้ง ๆ ที่เหมือนน้องเป็นคนผ่อน จริง ๆ น่าจะให้อยู่ฟรี ๆ น๊ะ ถือว่าเป็นดอกเบี้ยให้น้อง) ก็ให้เอาชื่อน้องออก  เราว่าคุณแม่ของคุณคิดถูกและรอบคอบดีค่ะ  ฟังผู้ใหญ่ไว้ไม่ผิดแน่ ทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรแน่นอน หรือไม่ก็เอาเฉพาะส่วนที่เป็นของคุณมา  ที่เหลือก็กู้เอา (ถ้าคุณจดทะเบียนแล้ว  ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ชื่อสองค่ะ) หรือไม่ต้องซื้อตัดปัญหา  อยู่อย่างเดิมก็ดี หรือหาเมียใหม่ อิอิอิ   อดไม่ได้ขอหน่อยเถอะ  ถ้าเป็นน้องหรือญาติของแฟนคุณหละ  เค้าจะทำแบบนี้เปล่า  รักลูกชายเค้า (หรือรักสมบัติ) แต่ไม่รักครอบครัวเค้า  ??????  เป็นสามีเราน๊ะ  คงไม่เอามาทำเมียแล้วอะ (พอดีเค้าเคยพูดให้ฟัง หลังแต่งงานอะ) แฟนผมเขาบอกว่า น้องโตแล้ว ก็ย้ายๆ ไปเช่าอยู่เองสิ มาอยู่ด้วยกันทำไม มันไม่ส่วนตัว อยากอยู่แบบเงียบๆ ไม่ต้องมีคนเดินไป เดินมา บ้านอื่นๆ เขาโตเขาก็แยกย้ายกันไปเช่าแล้ว ผมได้ยินก็สวนด่าไม่ยั้งไปหลายรอบ พี่น้องกัน อยู่ด้วยกันมา ก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว จะไล่น้องไปแยกเช่าหอให้เปลืองทำไม อยู่ด้วยกันยังได้ดูและกันและช่วยกันจ่ายค่าเช่า อีกอย่างวันหยุดน้องก็ช่วยเลี้ยงหลาน ช่วยหลายๆ อย่าง ซื้อเสื้อผ้า ของเล่น ขนม แต่ทำไมเขาชอบมองน้องผมในแง่ร้าย ทั้งๆ ที่น้องก็ไม่ได้นิสัยแย่ คือ ตอนนี้ถ้าอยู่บ้านหลังเดิม ซึ่งนอนรวมห้องเดียวกัน ผมก็เข้าใจ มันอาจจะไม่ส่วนตัว เพราะนอนรวมๆ กัน เวลาจะ xxx ก็ต้องหาจังหวะเอา แต่พอย้ายไปบ้านใหม่นี่สิ ห้องนอนแยกกันคนละห้องไปเลย ยังมาบอกว่า ไหนๆ ก็จะย้ายบ้านแล้ว ก็ให้น้องแยกไปเช่าอยู่เลย ดูสิ พูดมาได้ยังไง อยากจะกระโดดถีบมาก พอเราด่าหน่อย ก็หาว่าไม่รักเมีย รักน้อง รักแม่มากกว่าเมีย เฮ้อ กลุ้ม แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 12:47:17 จากคุณ : ao_siripen - [ 11 ธ.ค. 51 12:40:44 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าเป็นเรา จะไม่มีวันเอาชื่อเมียมาใส่ด้วยเลย ใส่ชื่อแม่ซะก้อจบ บอกแม่ซื้อให้อยู่ ถ้าจะเอาต้องผ่อนแม่ให้หมด หรือจ่ายให้น้องครึ่งนึ่ง ไม่งั้นก็สร้างเงีอนไขใหม่ ไปบอกเมีย นี่ เธอ เรื่องซื้อบ้านนะ น้องมันก้อจะซื้อแล้วจะ เห็นว่าแม่จะออกให้ แต่ให้ใส่ชื่อเราไปด้วย ให้น้องผ่อนเงินคืนแม่  แล้วแม่บอกว่าถ้าแม่เป็นไรไป ก็ให้น้องผ่อนเงินมาให้ เราครึ่งหนึ่ง   ตกลงว่าแม่ไม่ออกเงินให้เราแล้วนะ  เพราะแม่ว่าน้องเราไม่เรื่องมาก ยอม ให้ใส่ชื่อเราไปด้วย แม่เลยสบายใจกว่า เนี้ยเห็นว่าเดือนนะจะไปทำเรื่องโอนแล้ว ถ้าเราจะซื้อบ้าน คงไม่มีคนมาออกเงินให้แล้ว  เราคงจะต้องจ่ายดอกเบี้ยธนาคารเองแล้วนะ  อ้อ ผมลืมบอกคุณไป  ค่าดอกเบี้ยธนาคารที่จะจ่ายเพิ่ม  ผมหักออกจาก ที่ผมต้องให้คุณทุกเดือนนะ  อดทนหน่อยนะที่รัก  30ปีก็หมดแล้ว แล้วดุว่าเมียคุณจะว่าอะไร แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 12:46:38 จากคุณ : nano&bible - [ 11 ธ.ค. 51 12:42:04 ]

ความคิดเห็นที่ 31 มองในมุมกลับ 1. แฟนคุณไม่ได้ทำงาน ไม่มีรายได้ มีลูกกันด้วยอีก เกิดวันหนึ่ง คุณหมดรักเธอ มีเมียน้อย มีคนอื่น เธอทำยังไง บ้านก็ไม่มีจะอยู่ ย่อมต้องกังวลเป็นธรรมดา 2. ข้อนี้ ไม่ได้แช่งนะคะ พูดเผื่อกรณีเป็นไปได้เท่านั้น เกิดคุณเป็นอะไรไป เรื่องบ้านที่มีชื่อน้องสาวด้วยจะทำยังไง  เธอคิดว่าอาจเป็นปัญหา เธอจะทำยังไง ลูกกับเธอจะมีที่อยู่หรือเปล่า 3. เพื่อตัดปัญหาความวุ่นวาย คุณเป็นคนกลาง ควรตัดสินใจให้เรื่องจบลงด้วยดี ซึ่งมีหลายวิธี - ไม่ต้องซื้อบ้าน อยู่กับแม่ไปก่อน รอเก็บตังค์ได้มากขึ้น - บอกแม่ว่าอยากเผื่อเงินสดไว้บ้าง เผื่อแม่ป่วย เผื่อตัวเองป่วย ฉุกเฉิน ขอแค่ส่วนของตัวเองเท่านั้น ไม่ต้องใส่ชื่อน้องสาว เดี๋ยวตอนโอนเข้าโอนออก เสียค่าโอนอีก จากคุณ : Pidchayut - [ 11 ธ.ค. 51 12:43:36 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เขียนสัญญากู้ก็ได้นี่พี่ จะเป็นเงินเท่าไหร่ก็ว่าไปให้น้องกับแม่เป็นเจ้าหนี้แล้วเงินก็หมั่นส่งให้เขาตรงเวลา แล้วถ้าไม่ได้จดทะเบียนกับเมียเขา บ้านก็เป็นชื่อพี่คนเดียวก็จบ อยู่ไปซักสิบปี สิบห้าปีเวลาลูกจะเไปเรียนต่อเมืองนอกก็ บ้านเอาไปค้ำกู้เงินมาใช้หรือไม่ก็ขาย เคลีย์กับน้องเขาเสีย ตัวเราเองเป็นพ่อแม่แก่ๆ ไปหาคอนโดกลางเมืองอยู่กันสองคนสบายๆ แม่เขาส่งจนถึงฝั่งขนาดนั้นแล้ว ถ้าไม่ม่ีน้ำใจกับแม่กับน้องก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว บ้านน่ะมันของนอกกาย จากคุณ : 555.1 - [ 11 ธ.ค. 51 12:44:10 A:202.139.223.18 X: TicketID:008482 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เห็นด้วยกับ คุณ Friday February คห.14 นะ เงินเก็บก็คือเงินเก็บ ส่วนที่ควรจะเป็นหนี้ ก็ต้องเป็น อย่าเอามารวมกัน ถ้ามีอะไรฉุกเฉินขึ้นมาแล้วแม่ไม่มีเงินเก็บอยู่บ้างเลยจะมีปัญหานะ ขอเงินแม่มาแต่ส่วนของคุณ ก็น่าจะช่วยแบ่งเบาดอกเบี้ยไปบางส่วนแล้ว และจะได้ไม่มีปัญหากับแฟนด้วย แม่ก็ยังมีเงินเก็บเผื่อฉุกเฉิน ส่วนของน้องก็ยังป็นเงินนอนอยู่ win win ทุกฝ่าย ส่วนแฟนหนะ เปลี่ยนอะไรเค้าไม่ได้หรอก ทำใจอย่างเดียว เลือกมาแล้วหนิ ส่วนแม่ ก็บอกแม่ไปว่ากลัวแม่ลำบากถ้าไม่มีเงินเก็บอยู่บ้างเลย ซึ่งมันก็จริง ตอนนี้ดอกเบี้ยกำลังลดอยู่ด้วย ขอให้แก้ปัญหาได้ด้วยดีนะ จากคุณ : TinyMonster - [ 11 ธ.ค. 51 12:46:10 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คุณแม่ของ จขกท. น่ารักมากครับ แต่เงินออมของท่านก็น่าจะให้ท่านเก็บไว้กับตัว ถึงตอนนี้จะพอค้าขายได้แต่ท่านก็แก่ตัวลงทุกวันความสามารถในการหารายได้ก็ลดไปตามวัย ต่อไปเกิดท่านมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน ทำบุญทำทาน ท่องเที่ยวพักผ่อน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นภาระลูกหลาน คุณเองกับน้องก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ มองในมุมของแฟนคุณก็น่าเห็นใจเค้านะครับ อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน ไม่มีใครรับประกันได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น งานการไม่ได้ทำ ลูกก็ยังเล็ก คงอยากจะมีทรัพย์สมบัติไว้เป็นหลักประกันเพื่อความมั่นคงในชีวิตบ้าง เรื่อง น้องของคุณอาจจะซื่อๆ แต่ต่อไปเมื่อเค้าแต่งงานมีครอบครัวความคิดอาจจะเปลี่ยนไป ถึงตอนนั้นอาจจะหน้ามืดคุยกันไม่รู้เรื่องก็ได้ เรื่องในครอบครัวก็ลองหาทางจัดการดูนะครับ แนะนำว่าบ้านควรจะเป็นชื่อของแฟนกับคุณทั้งสองคนเพื่อความสบายใจ ส่วนเรื่องที่คุณแม่จะให้เงินมานั้น ก็เป็นความกรุณาของท่าน แต่คุณอาจจะอยากทบทวนดูข้อดีข้อเสียให้ดี หากยังไม่มีความพร้อมในขณะนี้ก็เก็บเงินไว้อีกสักนิดเถอะครับ ครอบครัวของคุณทั้งแฟนและลูกตัวน้อยก็หวังพึ่งพาอาศัยคุณ ไม่เหมือนคุณแม่กับน้องที่ยังไงๆ ก็ดูแลตัวเองได้ จากคุณ : จตุบาล - [ 11 ธ.ค. 51 12:46:29 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ทำแบบไหนก็ได้ครับที่ทำให้เราและคนที่เรารักมีความสุข... ถึงแม้ว่าเราต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้บ้าง  แต่ถ้ามันทำแล้วเรามีความสุขและไม่มีใครเดือดร้อนแล้วล่ะก็   ทำไปเถอะครับ... ทุกวันนี้ผมเสียดอกเบี้ยเงินกู้แบบมีความสุขครับ... (เพราะถึงจะต้องเสียดอกเบี้ย แต่ถ้ามันทำให้ครอบครัวของผมมีบ้านอยู่ และอยู่กันอย่างมีความสุขแล้วล่ะก็  ผมว่ามันคุ้มที่สุดแล้วล่ะครับ) ขอให้โชคดีและพบทางออกที่ดีที่สุดเร็วๆ นะครับ...     จากคุณ : doctorbird - [ 11 ธ.ค. 51 12:48:30 ]

ความคิดเห็นที่ 36 สงสัยอย่างว่า ตอนนี้ลูกคุณก็1ขวบแล้ว ทำไมคุณยังไม่จดทะเบียนรับรองบุตร ทั้งที่คุณก็รู้ว่าลูกคุณแน่ๆ ไม่ได้แช่งนะ หากคุณเป็นอะไรไปอย่าว่าแต่เมียเลย ลูกคุณก็ไม่ได้อะไรซักอย่าง เราว่าคุณก็คงใจแคบใช่ย่อยนะที่จนป่านนี้ยังไม่ทำเลย จากคุณ : tarntarn - [ 11 ธ.ค. 51 12:49:36 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้าเราเป็นคุณ  ก้อขอแม่ครึ่งเดียว  ที่เหลือผ่อนแบงค์ค่ะ  ไม่ไปเบียดเบียนส่วนของเค้าค่ะ   แต่บ้านหลังใหม่ยังงไงก้อต้องเอาน้องสาวไปอยู่ด้วย  ถ้ารายได้น้องดีอยู่ก้อช่วยค่าน้ำค่าไฟนิดหน่อย  แต่ถ้าไม่ดี อยู่ฟรี เป็นเรา ๆ โอเคนะ จากคุณ : ไพ่นกกระจอก - [ 11 ธ.ค. 51 12:55:24 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่รู้มีคนตอบอันนี้ยัง โอนเป็นชื่อ "คุณแม่" ครับ เพราะจริงแล้วทรัพย์สินทั้งหมดที่นำมาซื้อบ้าน ก็มาจากคุณแม่ แต่จริงๆไม่ต้องไปมองว่าเป็นส่วนของพี่ ของน้อง เพราะยังไงแล้วมันก็เป็นทรัพย์สินมรดกที่จะต้องตกทอดสู่ลูกหลานอยู่แล้ว และไม่ต้องห่วงด้วย ถ้าเด็กที่เกิดมานั้น คุณรับเป็นบิดาของเด็กตามกฎหมาย ทรัพย์สิน (บ้าน) ก็ตกเป็นของลูกคุณเท่ากับที่คุณได้รับตกทอดจากแม่คุณอยู่แล้ว 100% คราวนี้คุณก็ไม่ต้องผ่อนแม้แต่บาทเดียวเลย แต่อย่าดีใจครับ หลังจากนนี้คุณควรเก็บเงินฝากเข้าบัญชี หรือเอาสบายใจก็ผ่อนให้น้องไป เพราะอนาคตน้องก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เราจะได้มีเงินก้อนเอาไว้เผื่อวันแบ่งมรดกนั้นมาถึง สรุป ถือว่าคุณแม่ซื้อบ้านให้ลูกๆอยู่ด้วยกัน จากเงินเปลี่ยนมาเป็นบ้าน ส่วนแฟนก็ไปปรับความเข้าใจกันซะครับ ยิ่งทะเลาะยิ่งไม่จบ เพราะทุกคนต้องการเอาชนะ ถอยกันคนละก้าวครับ คนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องรักกันครับ หวังว่าวิธีนี้น่าจะพอเป็นแนวทางครับ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 13:07:34 จากคุณ : Jantarang - [ 11 ธ.ค. 51 12:55:31 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า แม่รักคุณมาก (ดิฉันมีลูกชายเหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันคงทำแบบแม่ของคุณ) เพราะการผ่อนบ้านหนึ่งหลังนั้น เป็นเรื่องที่หนักมาก ในระยะยาว แม่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ถ้าแม่มี พอช่วยได้ ก็ต้องช่วยแน่นอน เข้าใจความรู้สึกของแม่คุณเลย เพราะดิฉันก็เราลูกแบบแม่คุณ รักคุณนี่แหละ แล้วแม่คุณคงเห็นด้วยว่า เมียคุณไม่ทำงาน ทุกอย่างต้องหนักคุณคนเดียว คุณคงไม่ไหวแน่ คุณเองคิดว่าไหว แต่คนเป็นแม่ ก็คิดว่าคุณเป็นเด็กอยู่ วันยังค่ำ คุณแม่คุณต้องรักลูกแบบที่ดิฉันเป็นแน่แน่ ห่วงลูกยันแก่เลย ขอตอบคำถาม ในกรณีที่ดิฉันเป็นแม่ ในเมื่อ ลูกไม่สามารถ ทำตามเงื่อนไขที่แม่กำหนดได้ ในกรณีนี้คือใส่ชื่อน้องสาว ในโฉนดได้ ก็ขอให้คุณกู้เองเลย ไม่ต้องมาเอาเงินที่แม่ ถึงแม้นว่า แม่บอกแล้วว่า เงินแม่แบ่งไว้คนละครึ่ง คุณกับน้อง แต่ตอนนี้แม่ยังอยู่ คุณก็ไม่ควรจะขอเงินส่วนนี้ไป เพราะ ณ ปัจจุบัน ดิฉันเชื่อว่า คุณต้องมารบกวนคุณแม่คุณอีกแน่ และดิฉันเชื่อว่า มันมีปัญหาลึก ๆ ระหว่าง แม่กับเมียคุณ อยู่ด้วย ซึ่งผิดมาก ๆ ในกรณีนี้ดิฉันเชื่อว่า เมียคุณต้องทำอะไรไม่ถูกใจแม่คุณแน่ บอกเมียคุณให้ปรับตัว ให้เคารพแม่คุณให้มากขึ้น แล้วสอนเลยว่า อย่าต้องให้เลือกอีกเลย (เป็นเมียที่แย่มาก แม่ยายทำให้ขนาดนี้แล้ว จะเอายังไงอีก ถ้าไม่ใส่ชื่อเมียเลย อันนี้เข้าใจได้ว่า ทำไมเมียโกรธ แต่นี้ก็ให้มีชื่อด้วย แค่ใส่ชื่อน้องสาวลงไปเพิ่ม ดันไม่ยอม บ้าป่าว ขอโทษที่อินจัด พอดีมีลูกสาวด้วย ซึ่งอนาคตดิฉันมองว่า ยังไงเสีย เมื่อดิฉันไม่อยู่แล้ว พี่ชายก็ต้องดูแลน้องสาว มันตัดกันไม่ได้อยู่แล้ว) แม่คุณใจกว้างมาก มาก เป็นดิฉัน อาจไม่ยอมทำเหมือนแม่ของคุณก็ได้ แต่งงานไปแล้ว เป็นลูกชายด้วย แทนที่จะให้เงินช่วยเหลือ กลับมาเอาเงินแม่อีก สรุป ไม่ต้องเอาเงินแม่คุณหรอก แต่คุณต้องไม่ทำให้แม่เป็นห่วง ขยันทำงาน รู้จักพอเพียง ขาดเหลือแล้วค่อยมาขอ ก็ได้ ทีละน้อย ๆ แต่มาหาบ่อย ๆ คุณแม่คุณต้องชอบอยู่แล้ว พาหลานมาเยี่ยมด้วย เมียก็ค่อย ๆ พูดกัน คนเป็นเมีย ถ้ารักสบายเกินไป ด็ไม่ไหว ทำมาหากิน ช่วยกันทำงาน จะได้รู้ว่าลำบาก เงินมันหายาก ไม่ใช่ต้องรอพึ่งคนอื่น ขอย้ำเลย แม่คุณเป็นคนดีมาก ๆ ๆๆๆ อย่าทำให้ท่านเสียใจ ส่วนเมียค่อย ๆ บอก ค่อย ๆ สอน กันไป จะมีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวคุณก็แล้วแต่ อย่าให้แม่คุณไปยุ่งด้วย แม่คุณไม่เกี่ยว ท่านก็อายุมากแล้ว ให้ท่านสบายตอนแก่เถอะ อย่าไปเอาเงินคุณแม่เลย ยัดเยียดก็ปฏิเสธไป และต้องแสดงให้คุณแม่คุณเห็นว่า คุณก็ดูแลรับผิดชอบครอบครัวได้ แม่ไม่ต้องห่วง เชื่อเถอะ นี้คือสิ่งที่แม่ทุกคนต้องการเห็นลูกทุกคน หาเลี้ยงตัวเองได้ และมีความสุข (ไม่ใช่ต้องรวยนะ แต่อยู่ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองจริง ๆ) หมั่นไปเยี่ยมแม่บ่อย ๆ นะค่ะ คุณมีแม่ที่ประเสริฐมาก รู้ไว้ด้วย จากคุณ : w2care - [ 11 ธ.ค. 51 12:57:37 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เข้ามาอ่านคำแนะนำของเพื่อนๆ  สมาชิก ครับ จากคุณ : วุฒิกะหน่อย - [ 11 ธ.ค. 51 13:05:03 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผัวเมีย>>> เหมือนเสื้อผ้า พี่น้อง >>>> เหมือนแขนขา (จำมาจากละครอ่ะครับ) คิดเอาเอง จะเลือกตัดอะไร.......... แอบเชียร์ว่าอย่ายุ่งกะตังค์แม่เลยครับ แกเลี้ยงพวกเรามาได้ทุกวันนี้นับว่ายอดคนแล้ว.... เราควรให้คืนแม่มากกว่า.... (พูดเหมือนตัวเองได้ให้คืน:-)ั้นแหล่ะ...แต่ก็เป็นคนดีของแม่นะ) จากคุณ : 222 กก - [ 11 ธ.ค. 51 13:07:13 A:61.19.195.38 X: TicketID:195591 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เงินที่แม่คุณ แบ่งให้คุณและน้อง ก็รับแต่ส่วนของคุณเถอะ ส่วนของน้องก็เป็นส่วนของน้อง แต่คุณก็ ใช่ย่อยนะ  นินทา เมียให้คนอื่นฟัง(อ่าน)ได้ ถ้าเราเป็นเมียคุณคงเสียใจแย่เลย   ปล.ความเห็นส่วนตัวมากๆ จากคุณ : แม่ไม้ - [ 11 ธ.ค. 51 13:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ถ้าเป็นผม ผมไม่เอาหรอกคนแบบนี้ ยอมเลิกตอนที่ไม่มีอะไร ดีกว่าเลิกตอนที่มีสมบัติมากกว่านี้ นิสัยแบบนี้รับไปได้ จากคุณ : จิ๊กโก๋ข้างสนาม - [ 11 ธ.ค. 51 13:14:53 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณทุกความเห็นครับ คุณ w2care พูดได้ซึ้งใจมากเลย ฟังแล้วน้ำตาจะไหล แม่รักลูกมากครับ ผมเป็นลูกชายคนโต เรื่องเงินที่ยอมรับจากแม่ ไม่ใช่ว่าเรากู้ไม่ได้ หรือหมดหนทาง เพียงแต่ผมคิดว่า ถ้าผมจะไปเสียดอกเบี้ยให้แบงค์ เช่น ผ่อน 30 ปี คำนวณเงินต้นจ่ายเต็มๆ แค่ 12 ปี อีกที่เหลือ 18 ปีเป็นดอก ถึงแม่จะบอกว่าไม่เอาดอก เอาแต่เงินต้น แต่ผมก็จะจ่ายให้แม่เหมือนกับที่จ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคาร คือ กู้แม่จ่ายดอกเบี้ยให้แม่ว่างั้นเถอะ ดีกว่าเอาไปเสียให้คนอื่น เรื่องปัญหาเดี๋ยวขอใคร่ครวญดูอีกทีครับ เพราะมันมีรายละเอียดเยอะ ทางหนึ่งที่ผมนึกไอเดียมาได้ คือ ผมก็ทำประกันชีวิตในวงเงินชดเชยเท่ากับในส่วนของน้องมาดีไหมครับ คือ เราเป็นอะไรไป น้องกับแม่ก็ได้รับชดเชยเท่ากับในส่วนที่เรายืมเขามา แล้วทำก็ไม่ต้องให้แฟนรู้ (เดี๋ยวโลภอีก) ไม่แน่ใจว่าวงเงินสัก 1 หรือ 1.5 ล้านนี่ต้องจ่ายต่อปีเท่าไหร่ เดี๋ญวลองไปถามตัวแทนดู จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 13:17:57 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แม่คุณ เหมือน พ่ออิชั้นเลยค่ะ 555+ แต่แฟนเราเป็นลูกผู้ชายตัวจริง อิอิ  จะใส่ชื่อใครก็ช่างเค้าบอกว่าเค้าทำเพื่อลูกเพื่อเมียอยู่แล้ว (คือว่าต่อให้มีอะไรเกิดเปลี่ยนแปลงในอนาคต เค้าก็ยินดียกทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยา) ก็สบายกันกันไปทุกฝ่าย พ่อตาก็จ่ายตังปาย เฮ่อ!! แต่เราก็ไม่สบายใจนะที่ต้องใช้เงินพ่อแม่ เพราะคิดว่า เราหาเองติดหนี้เองช่วยตัวเองดีกว่า ที่ท่านยังสร้างครอบครัวของท่านมาได้ กู้หนี้ยืมสินสร้างบ้านส่งเราเรียนจนจบ เราก็อยากทำได้ด้วยตัวเองเหมือนกัน แต่เราเป็นลูกสาว เค้าเป็นห่วงเราก็ไม่รู้จะว่ายังงัย แต่ถ้าเราเป็นลูกผู้ชาย(เหมือนที่คุณเป็น) เราจะสร้างครอบครัวของตัวเอง คำว่าสมบัติไว้แบ่งให้น้อง เราตีความว่าเป็นมรดก ในเมื่อมันเป็นมรดกแม่ไม่ตายเราไม่เอา 555+ ก็บอกแม่ไปซิ ผมเป็นลูกผู้ชายผมจะสร้างครอบครัวของผมเอง แม่ไม่ต้องมาลำบากไปด้วยหรอกครับ ลองคิดในแนว คิดถึงใจภรรยาคุณบ้าง เค้ารักลูก เค้ารักคุณ เค้าไม่ได้ทำงานไม่มีรายได้ หลักประกันในชีวิตของเค้าคืนสมบัติที่ร่วมกันสร้าง อยู่ๆ จะเอาชื่อคนอื่นมาใส่ได้งัย ไม่เข้าท่าเลยคุณลูกผู้ชาย (ฉันยอมถูกว่าเป็นเสียงส่วนน้อยแต่ฉันเข้าใจภรรยาคุณ แล้วก็คุณแม่คุณด้วย อาจลำบากใจบ้างแต่นี่เป็นแค่ความคิดเห็นเล็กๆ ค่ะ )อีกอย่างผู้หญิงที่รักคุณ ชาตินี้หาได้ สอง สาม สี่ คนหรอคะ ชิ! ผู้ชายเจ้าชู้ - ^ - แน่นอนคุณต้องรักษาให้ได้ทั้งแม่ทั้งเมียนั่นแหละบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ลูกผู้ชายอย่าทำเป็นไม้หลักปักขี้เลนทำตัวเป็นที่พักพิกที่มั่นคงไม่ได้ครอบครัวคุณที่อุตส่าห์สร้างคนครบมีลูก 1 คนก็คงพังพินาจ จากคุณ : กิ่งพุทธชาติ - [ 11 ธ.ค. 51 13:18:12 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ตอบคุณแม่ไม้ ที่ต้องมาโพสต์ในนี้เพราะไม่รู้จะไปถามใครครับ จะไปปรึกษาญาติพี่น้อง คนรู้จัก เขาก็จะมีอคติกัน ทะเลาะกันเปล่า ก็เลยโพสต์ในนี้ซะเลย มีเพื่อนๆ ใจดีให้ความคิดเห็นดีๆ เยอะแยะเลยครับ แถมเมียก็ไม่รู้ด้วย (ยกเว้นว่างมาเปิดอ่านกระทู้ คงไม่น่ะ - -") จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 13:19:48 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ก็พอจะเข้าใจคุณเมียว่าไม่ได้ทำงานเพราะต้องเลี้ยงลูก ดังนั้นควรจะมีสิทธิในบ้านเท่าๆกับคุณ แต่ถ้าเงินที่ซื้อนั้นเป็นเงินแม่กะน้องด้วยเนี่ย ใส่แต่ชื่อคุณกับเมียเราว่าเอาเปรียบแม่กับน้องคุณเกินไปนะคะ เห็นด้วยว่า เอาแค่เฉพาะส่วนที่แม่จะให้คุณมา แล้วที่เหลือไปกู้เอาหรือไม่ก็ซื้อบ้านเล็กหน่อยจะได้ไม่เป็นหนี้มาก ยังไงแม่กับน้องคุณก็ควรมีเงินเก็บอยู่บ้าง เผื่อฉุกเฉินอะไรขึ้นมาก็ยังช่วยๆกันได้ จากคุณ : ไอซ์ที - [ 11 ธ.ค. 51 13:21:00 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ญาติผู้ใหญ่ผมคนนึง ยกบ้านพร้อมมรดกเยอะแยะให้ลูกชายคนเดียว ต่อมาลูกชายตาย ลูกสะใภ้ไม่เคยดูแลเลย น่าสงสารมาก ฟ้องศาลเอาคืน ศาลก็บอกว่าไม่ได้ เพราะถือว่าญาติผมยังคงได้เก็บกินจากรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ค่าขายผักผลไม้ต่าง ๆ ในที่ดิน ถือว่านั่นคือการเลี้ยงดูของลูกสะใภ้ ตอนนี้ญาติผู้ใหญ่ผมเสียชีวิตแล้ว ลูกสะใภ้เตรียมขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด ถ้าผมเป็นคุณผมจะใส่ชื่อแม่ไปเลย ผ่อนครึ่งนึงส่วนของน้องหมดเมื่อไหร่ก็ค่อยทำเป็นโอนมรดก และจะไม่เก็บค่าเช่าน้องด้วย เพราะถือว่านั่นคือบ้านแม่ จากคุณ : i_am_np - [ 11 ธ.ค. 51 13:21:35 ]

ความคิดเห็นที่ 49 แหม!  ถ้าไม่มีลูก....จะยุให้เลิกกันก่อนแล้วค่อยซื้อบ้าน......วันหลังซมซานมาขออยู่เองแหละ จากคุณ : Pun_Pom - [ 11 ธ.ค. 51 13:22:05 ]

ความคิดเห็นที่ 50 มีปัญหาคล้ายกัน ต่างตรงที่สามีเราเป็นคนดีมากๆ แต่ พ.ม.พ.น. ค่อนข้างแยา เห็นแก่ตัว จะมาเอากะสามีเราฝ่ายเดียว ตอนนี้เรากะสามีจะซื้อบ้าน ขยับขยาย เพราะลูกสาวก็โตแล้วก็หาว่าจะทิ้งบ้างล่ะ ไม่เลี้ยงบ้างล่ะ ป่าวเลย เพราะตัว พ.ม. สามีเราก็เลี้ยงอยู่แล้วแหล่ะ แต่ พ.น. นี่สิ ที่คอยสอดแทรกยุแยง เบื่อมากๆ ถ้ารู้แบบนี้มะมีปั๋วดีกว่า ตัวคนเดียวสบายสุดๆ สู้ๆค่ะ จากคุณ : ฟ (ฟาติน) - [ 11 ธ.ค. 51 13:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ไม่อยากบอกว่า  พ่อแม่พี่น้องคุณ จะไปหวังพึ่งอะไรจากภรรยาคุณ.....คงยากส์สุด ๆ ค่ะ  เพราะเธอไม่รู้สึกถึงความดีและความหวังดีที่ครอบครัวคุณมีให้ค่ะ และคุณเองถือว่าโชคดีค่ะ มีพ่อแม่พี่น้องดี -->> พ่อแม่รวบรวมสมบัติทั้งหมดให้ลูก เพื่อลูกไม่ต้องเสียดอกเบี้ย -->> พ่อแม่ ให้ความยุติธรรมกับลูกเท่ากันทุกคน แบ่งให้เท่า ๆ กันแน่นอน กล้าที่จะแสดงให้รู้ไปถึงปัญหาในอนาคตด้วย ถือเป็นการรักษาสิทธิให้ลูกอย่างชัดเจน -->> คุณน้องสาว ก็ยังจ่ายค่าเช่าให้พี่ชาย (เราว่าพี่ชายใจร้าย กล้าเก็บตังค์น้องด้วย....คือว่า ถ้าเรามีน้องดี มาอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ช่วยกันดูแลบ้าน  เราจะไม่เก็บเงินค่ะ   แต่ถ้าน้องเราไม่ดี ไม่รู้จักช่วยเหลืออะไร เราก็จะเก็บเงิน (ถ้าน้องยอมจ่ายนะ) แต่จะรวบรวมเก็บไว้เพื่ออนาคตน้องเอง เหมือนมาฝากเงินเราไว้ค่ะ) -->> ส่วนตัวคุณเอง ก็ยังรู้จักแบ่งว่า อะไรถูก อะไรผิด  รู้ว่าแม่หวังดี ภรรเมียหวัง......   คราวนี้ ก็อยู่ที่คุณ ว่าจะเลือกทำอะไรที่ถูกและควรจะทำมากกว่าค่ะ มันต้องเด็ดขาดค่ะ  ถ้าเจอเมียแบบนี้ จากคุณ : มดแดง ณ ทุ่งรังสิต - [ 11 ธ.ค. 51 13:26:14 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ชี้แจงประเด็นที่เก็บค่าเช่าน้องครับ  (ตอนนี้บ้านเก่าก็เก็บ) 1. ผมเลี้ยงลูกกับเมีย หาเงินคนเดียว รายจ่ายเยอะครับ เลยขอเก็บค่าเช่าน้องด้วย เพราะผมคนเดียวก็จ่ายไม่ไหว เก็บค่าเช่าแต่อยู่บ้านเดียวกัน เวลาไปซื้อของ เลี้ยงข้าว ผมก็เลี้ยงน้องปกติ ทีวี เน็ต แอร์ ไม่ต้องเสียเพิ่ม 2. เก็บเพื่อให้เขารู้ตัวว่าเขาต้องมีรายจ่าย เพราะน้องผมยังเก็บเงินไม่เป็น ถ้าผมไม่เก็บค่าเช่า เงินเขาก็จะหมดไปกับการเที่ยวกับเพื่อน การไปช็อปปิ้ง ซื้อของ (ตามประสาเด็กจบใหม่) ตอนแรกว่าจะไม่เก็บครับ แต่คุยกับแม่ แม่บอกให้เก็บจะได้ฝึกน้องไปในตัวด้วย เรื่องการควบคุมค่าใช้จ่าย แต่เก็บไม่แพงนะครับ ถูกกว่าไปเช่าอยู่เองแน่นอน จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 13:31:42 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ใจแคบค่ะ แนะนำ เอาส่วนของคุณมาแล้วกู้แบงค์เพิ่ม ยอมเสียไปเหอะค่ะดอกน่ะ สงสารน้องสาวคุณ เค้าน้องในไส้นะคะ แล้วถ้าทางภรรยาคุณนี่เห็นแก่ตัวจังเลย ระวังที่จะคืนก็ไม่ได้คืนเมียริบหมดนะ อย่าเบียดเบียนน้องดีกว่าค่ะ เค้าเป็นน้องคุณนะ พี่คนควรให้น้องไม่ใช่ขอนะเราว่า จากคุณ : สวยใสในที่มืด - [ 11 ธ.ค. 51 13:35:02 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ส่วนเมีย ไม่เก็บครับ (ก็ไม่ได้ทำงานนี่นา) แถมให้เงินเดือนทุกเดือน แต่ก็ไม่เคยพออยู่ดี และต้องกันเงินสว่นนึงฝากให้ลูกทุกเดือนเผื่อฉุกเฉิน แล้วก็ทำประกันชีวิตให้แล้วฉบับนึง บางครั้งญาติพี่น้องเขาลำบาก ผมก็ต้องเข้าไปช่วย คิดว่าญาติพี่น้องเขาก็เหมือนครอบครัวเรา พี่สาวเขาเคยป่วยไป รพ. ค่ารักษา 6,000 กว่าบาท ไม่มีเงินจ่าย ผมรูดบัตรให้ไม่ต้องคิด ไม่ต้องถามเลย ไม่เคยคิดว่าต้องได้เงินคืน ข้อดีของเขาก็คือ เขาเป็นแม่ที่ดีของลูกครับ ทุกอย่างดีหมดเลย (ยกเว้นเรื่องกระทู้นี่เท่านั้นแหละ) จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 13:35:17 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ถึงคุณเจ้าของกระทู้ ต้องขอโทษ ถ้าข้อความที่พิมพ์ รุนแรงหรือไม่สมควร เพียงแต่ เราก็เป็น เมีย และแม่   เข้าใจความรู้สึกทั้งสองอย่าง แต่อยากบอกว่า ผู้หญิงที่ต้องอยุ๋บ้านให้สามีเลี้ยงดู ก็มีความไม่แน่ใจ ในสถานะของตัวเองเหมือนกันค่ะ ยิ่งคุณผู้ชาย ออกไปทำงานนอกบ้านด้วย บางทีก็ต้องมีความระแวงมากเป็นธรรมดา จากคุณ : แม่ไม้ - [ 11 ธ.ค. 51 13:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 56 รู้สึกว่าคุณจะไม่ได้มองประเด็นที่ว่า แม่คุณควรมีเงินสดสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินบ้างเลยนะคะ ไม่ได้แช่งนะ แต่คนแก่แล้วแบบนั้น (แม่เราก้อเหมือนกัน) จะสบายจะไม่สบายบ้างไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว และถ้าวันนึง คุณเอาเงินแม่ไปซื้อบ้านหมด แล้วแม่จะเอาเงินก้อนที่ไหน ไปรักษาตัวละคะ คนแก่นี่เข้าโรงพยาบาลทีนึงเป็นแสนนะคะ ไม่ใช่แค่หลักพันหลักหมื่น แล้วกับการที่บอกว่า แม่ขายของมีเงินใช้ไปวันๆได้เนี่ย เกิดวันไหนไม่สบายมา แม่จะเอาเงินที่ไหนใช้คะ ครอบครัวคุณ หรือน้องสาวคุณ จะมีส่งให้แม่หรือเปล่า คิดดูให้ดีๆอีกทีเถอะค่ะกับเงินก้อนที่แม่สะสมมาทั้งชีวิต อย่าไปงกดอกเบี้ยธนาคารขนาดที่จะมาเอาก้อนที่แม่อุตสาห์เก็บมาไปซื้อบ้านทั้งหมดเลย จะมาอ้างว่าแม่อยากจะให้ ก็ไม่ได้นะคะ เพราะในฐานะที่เราเป็นลูก จะรับเงินของแม่ก็ต้องดูให้รอบด้วยว่าจะไม่ไปลำบากหรือกระเทือนแม่จริงๆ ไม่ใช่รู้ทั้งรู้ว่า เงินสด รวมไปถึงพวกพันธบัตร กองทุน สลากออมสิน ที่แม่ต้องไปรวบรวมให้คุณมา นี่เรียกว่า แม่ให้แบบหมดเนื้อหมดตัวเลยนะคะ ประเด็นปัญหานี้ไม่ใช่อยู่ที่ความคิดเมียคุณหรอกนะ เราว่ามันอยู่ที่ความคิดคุณที่ว่า จะทำยังไงดีถึงจะเอาเงินแม่มาซื้อบ้านสดได้แบบเนียลๆมากกว่า ด้วยความกลัวจะต้องเสียดอกเบี้ยธนาคาร ถ้าถามกลับไปว่า สมมุติถ้าคุณไม่เอาเงินแม่ แล้วไปกู้ธนาคารมาตามปกติ ปัญหาทั้งหมดที่คุณถามมานี่ จะเกิดไหมคะ ? จากคุณ : Friday February - [ 11 ธ.ค. 51 13:48:16 ]

ความคิดเห็นที่ 57 นี่ๆๆ ไหนๆ ก็เงินสด เราว่าให้ใช้ชื่อแม่ซื้อไปเลยดีมั้ยคะ แล้วก็ผ่อนให้แม่ไปเรื่อยๆ เเทน เป็นการใ้ห้เงินพ่อกะแม่ใช้แทนงัยคะ แล้ววันนึงก็แบ่งกันไป 2 คนพี่น้อง ป.ล. ถ้าไม่มีลูกด้วยกันสงสัยเราคงนิสัยเสียยุส่งไปแร้วววววว จากคุณ : สวยใสในที่มืด - [ 11 ธ.ค. 51 13:50:11 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ครับ ทุกความเห็นมีประโยชน์ครับ ไม่มีรุนแรงทั้งสิ้น เข้าใจถึงความรู้สึกผู้หญิง ถึงความไม่แน่นอนต่างๆ บางทีก็ระแวงกันเกินไป ยังไงคงหาวิธีที่สบายใจทั้งสองฝ่าย ขอไปนั่งคิดให้ละเอียดรอบคอบอีกที ลองปรึกษากับแม่อีกที แม่ผมยังไงก็ให้ลูกได้อยู่แล้ว จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 13:50:31 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ความเห็นส่วนตั๊ว ส่วนตัวเลยนะคะ ดิฉันว่าทางที่ดีที่สุดถ้าไม่มีเงิน ก็กู้กับธนาคาร แล้วยอมจ่ายดอกเบี้ยไป ชื่อเจ้าของบ้านเป็นชื่อคุณกับภรรยาของคุณ แต่ต้องประเมินความสามารถตัวเองให้ดีว่าสามารถรับผิดชอบจ่ายในระยะยาวได้ไหม เอาในระยะ 5-10 ปีเลยนะคะ (2-3 ปีน้อยไป)  ถ้ายังไม่พร้อม ก็เก็บเงินไปก่อน (จากที่อ่านข้อความของคุณ จขกท ท่าทางก็ไม่ได้มีปัญหาสาหัสที่ทำให้อยู่ร่วมกันที่เดิมไม่ได้นี่คะ) เพราะยังไงเงินแม่ ก็เงินแม่ เป็นเงินสำรองยามแก่ชรา และยามฉุกเฉินเวลาเจ็บป่วย ไม่ควรเอาทุกกรณีในเวลาที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ยกเว้นท่านเสีย แล้วท่านยกให้เรา ก็ถือว่าเป็นความรักที่ท่านมอบให้กับเรา ดิฉันก็เป็นแม่คนเหมือนกันเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ดี ลูกนั้นคือชีวิตเพราะฉะนั้นเพื่อลูกย่อมทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ในฐานะที่เป็นเมีย เป็นสะใภ้ก็อยากให้จขกท คิดสักนิด ภรรยาของคุณอาจจะงก แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไม่ดีนี่คะ (จากข้อมูลที่คุณให้มา ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ได้บอกลักษณะนิสัยอะไรของภรรยาคุณอย่างแจ่มชัด) ประเมินจากอยู่กินด้วยกันจนมีลูก 1 คนได้ ก็น่าจะเป็นคนที่คุณก็พึงพอใจไม่ใช่เหรอคะ สามีและดิฉันมีงานทำที่มีรายได้พอๆกันทั้งคู่ค่ะ  ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่อยากมีครอบครัวเดี่ยว มีชีวิตอยู่กันสามีภรรยาและลูกๆ  จึงดิ้นรนที่จะออกมาอยู่เอง โดยไปมาหาสู่กับครอบครัวของทั้งสามีและของดิฉันเองเป็นระยะๆ  ซึ่งสามีดิฉันเป็นคนใจกว้างมาก ให้ใส่ชื่อดิฉันเป็นเจ้าของบ้านเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ เพราะเค้าไว้ใจและเชื่อใจว่าดิฉันเป็นเมียและแม่ที่ดีพอที่เค้าจะทุ่มเทให้ ดิฉ้นซาบซึ้งมาก ซึ่งก็ตั้งใจว่าจะทำหน้าที่เมียและแม่ให้ดีที่สุด   ดิฉันไม่เห็นจะเป็นเรื่องผิดตรงไหนที่ภรรยาของคุณพูดว่าอยากมีครอบครัวของตนเอง อยากให้บ้านเป็นชื่อของคุณกับของเค้าเท่านั้น อย่าลืมเค้าหัวเดียวกระเทียมลีบนะคะ แถมยังบอกอีกด้วยว่า ถ้ายังไม่พร้อมจะซื้อเอง ก็ยังไม่ต้องซื้อ แสดงให้เห็นว่าเค้าก็ไม่ได้ดันทุรังจะเอา จะเอา นี่คะ   เพราะว่าเป็นครอบครัวของจขกทเอง ทุกคนก็ต้องดีกับจขกท ถูกไหมคะ คุณก็ไม่รู้สึกแปลกแยกอะไร คุณแม่คุณที่ออกเงินให้ เพราะเห็นแก่คุณค่ะ ไม่ได้เห็นแก่ภรรยาคุณ  ดิฉันเคยเจอหลายกรณีที่ครอบครัวใหญ่นั้นต่อหน้าเราจะแสดงกิริยาต่อภรรยาหรือสามีของเราดี แต่พอลับหลังเรานั้นก็...คนละเรื่องเลย ซึ่งความรุนแรงของเหตุการณ์ก็ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ภายในบ้านนั่นเอง จากที่คุณเล่ามาดิฉัน ขอมองกลางๆ จากข้อมูลที่คุณให้มานะคะ ถ้ามีเบื้องลึกกว่านี้ ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย  คุณแม่กับน้องสาวของคุณ ดิฉันเชื่อว่าเป็นคนดี และน่ารัก คุณแม่ที่ทุ่มเทสุดตัวขนาดนี้ น่ารักมากๆค่ะ แต่ดิฉันไม่สามารถบอกได้ว่า ภรรยาของคุณไม่ดี เพราะ 1. เค้าอยู่กินกับคุณ โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส จนกระทั่งมีลูก 1 คน ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีงานทำ เค้าอยู่กับคุณอย่างไม่มั่นคงเลยค่ะ วันไหนคุณเบื่อคุณไม่สนใจ เค้าจะทำยังไงเหรอคะ ก้มหน้ารับชะตากรรม? จะไปไหนก็ไม่ได้ เพราะห่วงลูก กลัวว่าคนอื่นจะดูแลลูกไม่ดี กลัวว่าลูกจะเป็นเด็กไม่มีแม่ มองกลับกัน คุณแม่ดีกับคุณเพราะคุณเป็นลูก ภรรยาคุณก็ต้องรักลูกคุณมากที่สุดเหมือนกันแหล่ะค่ะ  ดิฉันมองว่าเค้าก็เสียสละสิทธิในส่วนของเค้านะคะ 2.  น้องสาวของคุณเป็นคนดี เค้าน่ารักและเชื่อฟังแต่กับคุณเท่านั้นหรือเปล่าคะ กับภรรยาคุณเค้าก็ปฏิบัติเหมือนกับที่ปฏิบัติตัวกับคุณหรือเปล่า (อันนี้ อาจจะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเสริม เช่น ถ้าเค้าไม่ได้ปฏิบัติตัวกับภรรยาคุณดีเหมือนกัน ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ภรรยาคุณก็ไม่ได้ปฏิบัติตัวดีกับเค้า ซึ่งกรณีนี้ ดิฉันไม่มีข้อมูลก็ไม่อาจทราบได้) การที่ภรรยาคุณไม่อยากให้เค้ามีชื่อเป็นเจ้าของบ้านร่วม ก็เป็นไปได้ที่ต่อไป น้องสาวคุณมีครอบครัว ไม่อาจรับประกันได้ว่า สามีของน้องสาวคุณจะเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย หรือถ้าร้อนเงินขึ้นมา จำเป็นต้องใช้เงินอย่างปัจจุบันทันด่วน ซึ่งช่วงนั้นคุณแม่อาจจะเงินไม่พอที่ช่วยทั้งหมด หรือ ฯลฯ เป็นไปได้ทั้งนั้นแหล่ะค่ะ "มากคน ก็มากความ" ค่ะ ข้อความนี้เป็นจริงทุกสมัย ดิฉันจึงไม่เห็นว่า แค่เหตุการณ์นี้จะมาตัดสินว่าเค้า "เป็นคนเห็นแก่ตัว" 3.  คุณจขกทบอกว่าภรรยาเป็นคนงก ดิฉันว่าคุณโชคดีนะคะ ที่ภรรยาคุณไม่ใช่คนใช้เงินมือเติบ ซื้อของจ่ายทีหลัง ตัวเองไม่จ่าย ให้คุณเป็นคนจ่าย ยังไง "งก" ก็ดีกว่า "ใจใหญ่" แหล่ะค่ะ (แต่ "งกแบบเห็นแก่ได้" ดิฉันก็ไม่ชอบเหมือนกันค่า ;) ดิฉันลองมองมุมต่างดูนะคะ ขอย้ำในฐานะที่เป็น "เมีย" และ "แม่" เหมือนกับภรรยาของคุณ ส่วนความคิดเห็นอื่นๆ ด้านบนดิฉันก็เห็นด้วยหมดแหล่ะค่ะ ใจเย็นๆ คิดทบทวนดีๆนะคะ ดิฉันว่ามันมีทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายอยู่แล้ว ลำบากขึ้นอีกนิด เพื่อความสุขของครอบครัวคุณและภรรยา+ลูกของคุณ จะเป็นไรไป ^  ^ จากคุณ : mattnoi - [ 11 ธ.ค. 51 14:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 60 กู้แบงค์เสียดอกไปเถอะค่ะ สบายใจทุกฝ่าย แต่คุณอาจไม่สบายตัวเท่าไร แต่ขอติงนิดนึงนะคะ ที่ว่านอนด้วยกันในห้องเดียวเนี่ยะ เราก็ว่ามันเกินไปนะคะ เป็นเราก็ไม่สะดวกค่ะ ตอนแรกคิดว่าเช่าบ้านเป็นหลัง แต่อ่านๆ มานอนด้วยกันเลย แปลกๆ อ่ะ จากคุณ : ป้าอ้วน - [ 11 ธ.ค. 51 14:02:45 A:58.181.143.130 X: TicketID:092733 ]

ความคิดเห็นที่ 61 มาตอบสายไปป่าวอ่ะครับ ถ้าเป็นผม ซื้อบ้าน นี้เลยแต่ เป็นชื่อแม่ครับ เมื่อไรผ่อนหมดค่อยโอนมาเป็นชื่อเรา ระวังผ่อนก็ให้ดอกแม่ไปด้วยครับ ส่วนตัวแล้ว แม่หาได้แค่คนเดียวแต่เมียหาได้หลายคน จากคุณ : พ่อบีเกิ้ล - [ 11 ธ.ค. 51 14:04:55 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ผมว่ากท38,48 ตอบได้ถูกที่สุดครับ หวังว่าคงได้ข้อคิดดีๆเยอะนะครับ หวังว่าคงจะแก้ไขปัญหาได้ โดยเร็วนะครับ... จากคุณ : daung21 - [ 11 ธ.ค. 51 14:07:30 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ส่วนตัวคิดว่าน่าจะให้บ้านเป็นชื่อของแม่ก่อน เพราะเป็นเงินของแม่ แล้วก็ผ่อนกับแม่ไปทุกเดือนจนหมดแล้วจึงค่อยโอนจากชื่อแม่มาเป็นชื่อตัวเอง  แต่ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่าเอกสารทุกชิ้นจะต้องผ่านตาแฟนคุณหรือเปล่า ซึ่งคิดว่านั่นน่าจะเป็นปัญหา     คือถ้าแฟนค่อนข้างใจแคบก็ให้ทำพินัยกรรมไปว่าหลังจากคุณแม่เสียชีวิต (ไม่ได้แช่งนะครับ)  ให้บ้านถูกแบ่งให้กับคุณและแฟนคุณ  แต่เงินที่ผ่อนทุกเดือนเป็นของน้องสาวคุณ  โดยหวังว่าจะผ่อนได้จนครบไม่งั้นน้องคุณก็เสียเปรียบ แต่ใจจริงแล้วไม่อยากให้ไปแตะเงินเก็บเพราะเกิดฉุกเฉินขึ้นมาจะลำบาก จากคุณ : ฮิโระ (ordinary_hero) - [ 11 ธ.ค. 51 14:11:09 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เห็นด้วยกับ คห 31...คห.34 ..... ต้องเอาใจเค้ามาใส่ใจเรานิดนึง..คุณกับแฟนไม่ได้จดทะเบียนกัน ก็ไม่แปลกที่แฟนกลัวจะมีปัญหาเรื่องบ้านภายหลังเพราะอาจต้องคิดเผื่ออนาคตของลูกด้วยถ้าเกิดคุณเป็นอะไรไป โอนชื่อเข้าง่ายอยู่แล้วไม่มีปัญหาสักรายแต่ตอนโอนออกนี่สิกว่าจะผ่อนส่วนของน้องหมดก็หลายปีน้องก็อาจมีครอบครัวย้ายเข้ามาคุณกับสามีน้องอาจไม่ถูกชะตากัน ทีนี้หล่ะยุ่งแน่...พอจะให้น้องโอนชื่อออกก็ต้องเสียค่าโอนเป็นหมื่น(ถ้าบ้านราคาเป็นล้าน)แถมสามีน้องอาจไม่ยอมอีก.... เราต้องคิดเผื่ออนาคตด้วยค่ะ.... และเงินออมของคุณแม่ก็ไม่ควรเอามาใช้แบบนี้ ตอนนี้ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านก็ถูกจะแย่แล้ว..... ปัญหาบางอย่างต้องมองไกลๆค่ะ....เพื่อครอบครัวของคุณจะได้มีความสุข.... แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 14:16:57 จากคุณ : tiNgrOyArrAi - [ 11 ธ.ค. 51 14:14:29 ]

ความคิดเห็นที่ 65 อ่านแล้วอยากร้องไห้...สงสารเมียคุณจัง ทำไม๊ๆ เหมือนชีวิตดิฉันเด๊ะเลย สามี น้องสามีอยู่หอพัก แม่สามี และลูกยังเล็ก ไม่มีงานทำ อยู่บ้านทำงานบ้าน เลี้ยงลูกไปวันๆ แต่ดิฉันโชคดีกว่าภรรยาคุณมากๆ ที่สามีรักดิฉัน เข้าใจดิฉัน ชื่อบ้านก็เป็นของเราสองคน ทั้งๆที่ สามีเป็นคนทำงาน ผ่อนเองหมด แน่นอนเราไม่ได้แต่งงาน อยากประหยัด แต่เราจดทะเบียนสมรสกัน เพื่อจะได้ไม่มีปัญหากับลูกที่เกิดมา แฟนบอกว่าบ้านหลังนี้ ก็เหมือนยกให้เธอนั่นแหล่ะ ถือเป็นค่าสินสอดก็แล้วกัน ได้ฟังแค่นี้ ก็ดีใจสุดๆค่ะ เขารักเราแค่ไหน ไม่ต้องบรรยายนะคะ ส่วนแม่ และ น้องสามี ก็ไม่เคยมายุ่งให้ลำบากใจ แต่เขาคอยช่วยเหลือ เวลาเราขอให้น้องสามีช่วยไปส่งโน่นนี่ แม่สามีก็ฝากของกินมาให้บ่อยๆ น้องสาวสามีก็เช่าหออยู่ เขาไม่อยากมารบกวนอ่ะ ที่จริงถ้าเขาจะมาอยู่ด้วย ดิฉันก็โอเคนะคะ อาจเหนื่อยทำงานบ้านเพิ่ม ก็รับได้ค่ะ ถ้าติดขัดอะไร ก็คงต้องคุยกันอ่ะนะ ดิฉันว่าปัญหานี้ อยู่ที่ตัวคุณซะมากกว่า คุณทำไมไม่ผ่อนบ้านเองล่ะคะ น้ำพักน้ำแรงคุณเอง เพื่อครอบครัว น่าภูมิใจออกค่ะ นี่ขนาดลูกแค่ 1 ขวบ ก็มีปัญหากันขนาดนี้แล้ว อีกหน่อยจะไหวมั้ยคะเนี่ย ดีเหมือนกันทีแฟนคุณ ยังเป็นนางสาวอยู่ เผื่อว่า..ไม่รู้สินะ ถ้าแฟนคุณทราบว่าคุณคิดแบบนี้กับเธอ ก็คงจะเสียใจแย่ อุตส่าห์เบ่งลูกมาให้ตั้งคนนึง ยอมเป็นยัยเพิ้งทำงานบ้าน เลี้ยงลูกให้ เงินเดือนได้ป่าวเนีย คนใช้เด๋วนี้เงินเดือนหลายพันนะขอบอก ให้เมียเท่าไหร่อ่ะคุณ ดิฉันได้สองพันห้า ก็เหลือแหล่แล้ว สามีบอกอยากซื้อไรก็ตามใจเธอ เอาไปเลย เมียก็งกเรื่องสมบัติอย่างนี้แหล่ะ แล้วไงอ่ะ ผู้ชายก็คิดแบบนี้แหล่ะ เมียไม่ใช่ญาติ เลิกกันก็กลายเป็นคนอื่น แล้วเมียจะไปซุกหัวอยู่ไหนเล่า ธ่อเอ๊ยยย  ของขึ้น... จากคุณ : เด็กหัดเดิน - [ 11 ธ.ค. 51 14:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 66 มาลงชื่อสนับสนุน ถ้าในกรณีที่มีความจำเป็นต้องซื้อจริงๆ นะคะ คือ โอนเป็นชื่อแม่คนเดียวเลย 2 คน พี่น้อง มีสิทธิเท่ากันแน่นอนค่ะถ้าแบบนั้น แล้วปัญหาเรื่องผ่อน ถ้าครบตามวงเงินที่ตกลงกัน ค่อยโอนเป็นชื่ออีกฝ่ายก็ได้ แต่ก็ดูแลแม่คุณดีๆนะคะ เพราะแกเองก็เทให้ลูกหมดทุนที่เหลือไปแล้วค่ะ จากคุณ : เส้นเล็กต้มยำใส่ถั่วงอกดิบ - [ 11 ธ.ค. 51 14:25:31 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ถ้าเป็นเราจะกราบแทบเท้าแม่ผัวงามๆ  ไม่ต้องหาเงินมาจ่ายค่างวดให้ปวดหัว 5555 ไม่ได้ว่านะคะ ไม่ได้ทำงานแล้วใหญ่ในบ้านก็เกินไป เราก็เป็นเมียเหมือนกันไม่เห็นทำแบบนี้เลยทำงานหาเงินจ่ายค่างวด  ดูแลแม่สามี ทำกับข้าวก่อนมาทำงาน เพราะย่าต้องเลี้ยงหลานไม่มีเวลาทำคะ ลืมบอกไปแม่สามียกสมบัติให้ลูกชายคนโต พอได้แล้วไม่สนใจดูแลท่านเลยคะ มีแต่อยากได้ ของที่บ้านมาขนไปหมดเลยคะ เพราะไม่มีใครอยู่ ทีวี ตู้เย็น อื่นๆๆ ไม่อยากพูดเสียอารมณ์ กลัวแฟนคุณทำตัวเหมือนพี่สะใภ้เราคะ พอได้บ้านเป็นชื่อคุณเมื่อไหร่ หล่อนมีสิทธิไล่น้องสาวคุณออกจากบ้านได้โดยง่ายดายเพราะในทางนิตินัยเธอมีสิทธิคะเท่าเทียมกับคุณคะ ทางที่ดีกู้ส่วนหนึ่ง แล้วคุณก็ผ่อนกับแบงค์เอา ซึ่งแค่ดอกเบี้ยก็แพงอยู่ แล้วทำการลดค่าใช้จ่ายภรรยา บอกว่าต้องจ่ายค่างวดบ้านดัดนิสัยคะ แต่ก็อย่าไปทะเลาะกันเลยมันไม่ดี รักรักกันไว้นะคะ จากคุณ : เมียเหมือนกัน (dadam) - [ 11 ธ.ค. 51 14:27:15 ]

ความคิดเห็นที่ 68 อัปเดตล่าสุดครับ ตอนแรกผมคุยกับแฟน คุยกันไปด่ากันไป เลยสงบสติอารมณ์แล้วโทรไปคุยใหม่ แฟนผมบอกว่า ที่ไม่อยากให้มีชื่อน้อง เพราะอนาคตเกิดน้องแต่งงาน หรือมีแฟน เกิดได้คนไม่ดี แต่งานไปแล้วมีพันธะ ทำให้บ้านมีปัญหา แต่ถ้าเป็นชื่อแม่ผม กับผมกับแฟน อันนี้เธอ OK เลย เดี๋ยวผมจะลองคุยกับแม่ใหม่ ให้แม่ทำหนังสือมอบอำนาจ เพราะอยู่ ต่างจังหวัด เป็น ชื่อทั้งสามคนเลย แต่ไม่แน่ใจว่าแม่จะมีความเห็นยังไงมั่ง ยังไงก็เคารพแม่ รอฟัง comment อีกทีครับ เย็นๆ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 14:40:52 จากคุณ : Stimpack - [ 11 ธ.ค. 51 14:40:15 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คุณStimpack คะ กรณีของคุณคล้ายกับของเรามากๆ แม่สามีจะซื้อบ้านและที่ดินให้หมด แต่ให้ใส่แต่ชื่อสามีเรา ข้อสรุปของคู่เรา คือ ไม่รับทั้งหมด และไปหาซื้อบ้าน กู้เองผ่อนเอง เนื่องจากเราต้องการบ้านที่เป็นของเราจริงๆ ไม่ใช่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดิฉันอยู่แล้วไม่สบายใจ และคิดว่าหาเองได้ กู้ร่วมผ่อนร่วม หา่ร่วมกัน หากวันหนึ่ง(ซึ่งไม่อยากให้เกิดขึ้น)ต้องแยกกันไป ก็ร่วมกันแบ่ง แต่ของคู่เราต่างกับคู่ของคุณตรงที่ดิฉันทำมาหากิน และช่วยกันหาจริงๆ เลยกล้าปฏิเสธไม่รับความหวังดีจากแม่สามี หากท่่านอยากจะให้ลูกชายหรือสามีดิฉันจริงๆก็ไม่ว่ากัน ดิฉันไม่อยากจะได้ ให้เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวหรือจะให้หลานก็ได้ค่ะ แต่จะมาบังคับให้เราต้องรับไม่ได้นะคะ ดิฉันเข้าใจความคิดภรรยาคุณนะคะ แต่ปัญหาคือเธอไม่ได้ช่วยกันทำงานหาเงิน แต่อย่าลืมว่างานบ้านและการเลี้ยงลูกก็เป็นภาระหน้าที่เหมือนกันนะึคะ จากคุณ : MallGirL - [ 11 ธ.ค. 51 14:42:19 ]

ความคิดเห็นที่ 70 กำลังสร้างครอบครัว ก็สมควรที่จะมีบ้านครับ ส่วนรายละเอีอดที่จะได้บ้านมาแบบไหนนั้น ก็ต้องแล้วแต่ จขกท แต่อย่าลืมค่าใช้จ่ายที่ตามมา หลังจากมีบ้านแล้ว เพราะกู้ธนาคารหรือยืมแม่ก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน ใครจะเป็นคนเลี้ยงแม่หลังจากที่แม่ให้สมบัติแล้ว ใครจะช่วยน้องเพราะอนาคตน้องต้องสร้างครอบครัวเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายของภรรยาและลูกที่จะต้องเพิ่มขึ้นอีก ในฐานะที่เป็นพี่ต้องเสียสละครับ ฟังแฟนได้แต่ต้องอธิบายให้เข้าใจ แสดงบทบาทของความเป็นลูกที่กตัญญูต่อแม่ ทำให้แม่สบายใจ(พี่น้องรักกัน) กู้ธนาคารดีกว่าครับและเอาน้องกับแม่มาอยู่ด้วย น่าจะมีพี่น้อง 2 คน อยู่ด้วยกันทั้งหมดดีที่สุดครับ ไม่ต้องหวังสมบัติ แต่คิดว่าจะตอบแทนแม่ได้ยังไงดีกว่า ส่วนบ้านไม่ต้องใช้เงินแม่ก็ซื้อได้ครับ จากคุณ : JIRASAK1459 - [ 11 ธ.ค. 51 14:51:42 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ถ้าได้ข้อมูลตามข้างบน เราจะ 1.  ซื้อบ้านเงินสด เอาเงินจากแม่มาซื้อ จ่ายดอกเบี้ยให้แม่แทนที่จะจ่ายให้แบงค์  ทำสัญญาเขียนให้เรียบร้อย ว่าเอาเงินมาทั้งหมดเท่าไหร่ จะจ่ายเงินต้นพร้อมดอก เดือนละเท่าไหร่ โดยโอนเข้าบัญชีแม่ทุกเดือน  ให้แม่ถือบัญชีไว้ก็ได้  ให้แม่แยกบัญชีสำหรับเราโดยเฉพาะ จะได้ตรวจกันได้ทุกเดือน   2.  เก็บเงินค่าเช่าบ้านจากน้องต่อไป ตามที่แม่แนะนำ แล้วเอาเงินเข้าบัญชีแม่นั่นแหละ  (เพราะก็น่าจะเป็นเงินแม่ที่น้องเอามาจ่ายเรา) 3.  ลงชื่อ เรา แฟน และ แม่ ตามที่คุณภรรยาเห็นควรด้วย 4.  กันเงินสำรองไว้บ้างเพื่อแม่ต้องใช้ฉุกเฉิน หรือ ถ้ามีเหตุฉุกเฉินต้องใช้เงินจำนวนมาก ก็ต้องเอาบ้านที่ซื้อหลังนี้ไปกู้แบงค์มาใช้เท่าที่ต้องการค่ะ จากคุณ : มดแดง ณ ทุ่งรังสิต - [ 11 ธ.ค. 51 14:58:13 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ไม่มีใครรักคุณมากกว่าพ่อและแม่ครับ ผมว่าแค่นี้คุณน่าจะตัดสินใจเองได้ ว่าจะต้องแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ก็เอาใจช่วยครับ จากคุณ : ชัดเจนซอย9 - [ 11 ธ.ค. 51 15:05:16 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ความเห็นส่วนตัวนะครับ เป็นผมจะไม่เอาเงินแม่เด็ดขาด ยอมเสียดอกเบี้ย เพราะอันที่หนึ่ง เป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายของแม่คุณแล้ว เอาไว้ให้ท่านได้ใช้จ่ายจะดีกว่า แม่คุณเลี้ยงคุณจนโตมีงานมีการทำ ก็พึ่งพาตัวเองได้แล้ว อย่าให้ท่านต้องเลี้ยงดูคุณไปตลอดชีวิตเลย อันที่สอง แค่ท่านเอ่ยปากแค่นี้เป็นผมก็ไม่รับแล้ว เพราะแสดงถึงความห่วงใยลูกหลาน แล้วคุณซึ่งเป็นลูกแท้ๆ ทำไปไม่คิดย้อนกลับไปบ้างว่าคุณได้ให้เงินท่านได้ใช้จ่ายพอเพียงหรือไม่ อันสุดท้าย ถ้าไม่พร้อมจะมีบ้าน ก็อย่าพึ่ง รอให้พร้อมก่อนค่อยคิดใหม่ก็ได้ แค่เนี้ยแหละ จากคุณ : พ่อน้องอั๋น (Captain_Unn) - [ 11 ธ.ค. 51 15:07:27 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ขอออกความเห็นด้วยนะคะ เผื่อจะช่วยได้บ้าง ของเราแต่งงาน แม่สามีก็จะซื้อบ้านให้ เอาเงินเก็บทั้งชีวิตมาซื้อให้ (เพราะมีลูกชายคนเดียว ) แต่สรุปเราก็ไม่เอาเงินแม่เขา เพราะเผื่อฉุกเฉินเค้าต้องมีเงินที่มีสภาพคล่องพอ การไปลงกับบ้านเนี่ย ถ้าเกิดต้องใช้เงิน ก็ไม่ใช่ว่าจะขายบ้าน เอาเงินคืนแม่ได้ง่ายๆนะคะ ((นอกจากจะขายขาดทุนอ่ะ))   อีกอย่าง เราได้จากพ่อแม่เยอะแล้วนะคะ  ทั้งเรื่องการศึกษา การดำรงชีวิต เรื่องดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายแบงค์ เรายอมแลกกับความเสี่ยงที่คุณแม่อาจจะต้องใช้เงินในอนาคตด้วยอ่ะค่ะ ชีวิตเรา เราควรรับผิดชอบเองได้แล้ว ไม่ใช่ยังพึ่งพาแม่อยู่  ส่วนแม่ก็เอาเงินไปฝากแบงค์หรือพันธบัตรดีกว่า อุ่นใจแม่ อุ่นใจลูกด้วย สรุปเราก็เลย ซื้อบ้านกู้แบงค์ ใช้ชื่อเราสองคน แล้วผ่อนเท่ากัน (คือเรามีรายได้ด้วย) ในกรณีของคุณ จขกท น่าจะกู้ซื้อคนเดียวไปใช้ชื่อคุณคนเดียว เพราะภรรยาไม่มีรายได้ แถมมีลูกอีก กู้ซื้อแล้วก็ทำประกันไว้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ผู้รับผลประโยชน์เป็นภรรยากับลูกไป นกน้อยทำรังแต่พอตัวค่ะ สบายใจทุกฝ่าย จากคุณ : มิโนรุ - [ 11 ธ.ค. 51 15:16:41 ]

ความคิดเห็นที่ 75 -เป็นผมถ้าจะซื้อบ้านคงไม่เอาเงินแม่มา เช่าอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีปัญญา -ถ้าจะเอาเงินแม่มาก็ใส่ชื่อ น้องกับเมีย เอาตัวเองออกไปตัดปัญหา สังเกตุดูนะครับว่าบ้านที่จะซื้อนำพามาซึ่งปัญหา และความยากลำบาก อยู่แบบเดิมดีกว่าครับ จากคุณ : JoeRazz - [ 11 ธ.ค. 51 15:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ตัดปัญหาทุกอย่างคือ  มีเงินสดเท่าไร  จ่ายเท่านนั้น แล้วกู้เพิ่ม แล้วแฟนคุณงานการก็ไม่ได้ทำแล้วคุณจะรู้ว่า กู้เงินธนคารมันยากขนาดไหน แม่คุณใจดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆค่ะ จากคุณ : mintken - [ 11 ธ.ค. 51 15:57:06 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ปัญหาโลกแตกครับ.. แต่ที่คุณ joeRazz แนะนำไว้ก็ไม่เลวนะครับ.. ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีครับ.. จากคุณ : นายแว่นธรรมดา - [ 11 ธ.ค. 51 16:05:34 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ใส่ชื่อแม่คนเดียวพอ ผ่อนส่วนของน้องแล้วจะโอนก็โอนไป ไม่คิดจะเลี้ยงพ่อแม่บ้างเหรอ จากคุณ : AMDANG - [ 11 ธ.ค. 51 16:11:06 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ... ม่ายเอาดีกว่า ถอยดีกว่า ... แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 16:29:25 จากคุณ : cyber-ta - [ 11 ธ.ค. 51 16:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 80 คุณ จขกท. ขอแนะนำวิธีก่อนนะครับ ถ้ายังคิดว่าจะเอาเงินก้อนนั้นมาใช้จริง ๆ ผมแนะนำให้ทำสัญญากู้กันซะ แล้วก็จดทะเบียนจำนองเอาบ้านที่จะซื้อนั่นล่ะครับค้ำประกันเงินที่กู้มาซื้อบ้านซะ ทำเหมือนแม่เป็นแบงค์นั่นแหละครับ วันใดที่คุณกับภรรยาผ่อนหมด ก็โอนกลับมาเป็นของคุณ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน คุณจะเสียดอกเบี้ยหรือไม่คงไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วล่ะครับ ตอนนั้นก็ไม่ต้องมานั่งคิดแล้วว่าจะโอนเป็นชื่อใคร เรื่องภรรยาคุณเป็นเรื่องส่วนตัวของแบบนี้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวกันยากนะครับ แต่ก็อยากจะให้เปิดอกเข้าใจกันให้มากขึ้นครับ ผมหมายถึงทั้งฝ่ายครอบครัวทางคุณแม่ และครอบครัวของคุณเองอยากให้คิดอย่างนี้นะครับ มนุษย์ยังไงก็ยังเป็นมนุษย์ คงไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปหมดทุกอย่าง ผมอ่านข้อความคุณแล้วบางทีก็เกิดความรู้สึกบางอย่างกับคุณเหมือนกัน เรื่องหลัก ๆ เลย คือ รายละเอียดตรงนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว มันควรแล้วหรือเปล่าที่จะเอามาโพสบอกเล่าให้สาธารณชนเค้ารู้กัน ซึ่งผมก็พูดตรง ๆ ครับ ว่า ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงมากน้อยขนาดไหน ผมยังนึกอยู่ว่าถ้าวันนึงภรรยาคุณเกิดเข้ามาเห็นเข้า เค้าจะรู้สึกอย่างไร -ถ้าผมเป็นแม่คน ผมก็อาจจะยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกและครอบครัวตัวเอง รวมถึงการเป็นคนนิสัยไม่ดีต่อคนอื่น... - ถ้าผมเป็นผู้หญิงที่มีภาระ สิ่งที่ผมต้องหาคือความมั่นคง - ถ้าผมเป็นผู้หญิงที่มีภาระ ทุกคนเป็นคนอื่นได้ตลอดเวลายกเว้นลูก - ถ้าผมเป็นผู้หญิงที่มีภาระ ลูกจะสำคัญที่สุดเพราะวันหนึ่งหาเลิกรากันไป ลูกก็ยังเป็นลูก สามีก็จะกลายเป็นคนอื่นหรือว่าเป็นเพื่อนไป - และอื่น ๆ อีกมากมาย คำถามของคุณผมว่าคงไม่มีใครตอบได้ครับ ผมว่าการที่คุณมาอ่านความคิดเห็นของคนอื่น ๆ มันจะยิ่งทำให้คุณไม่เป็นตัวของคุณเองนะครับ เพราะไม่มีใครรู้จักภรรยาและครอบครัวของคุณได้ดีไปกว่าคุณแล้ว บางทีถ้าคุณตั้งแง่ มันเหมือนกับคุณมีคำตอบแล้วแต่ต้องการความคิดเห็นมาสนับสนุนคำตอบของคุณเอง เพราะฉะนั้น ผมก็ยังยืนคำแนะนำผมข้างต้นครับ ทำสัญญากู้ซะแล้วก็จดทะเบียนจำนองไว้ซะ ไม่มีปัญหาดีกับทุกฝ่าย ท้ายสุด อยากจะฝากไว้ ใจแข็งและเข้มแข็งนะครับ จากคุณ : tked - [ 11 ธ.ค. 51 16:41:50 ]

ความคิดเห็นที่ 81 คิดได้ หลายมุมมาก ใส่ชื่อแม่ ความมั่นคงในชีวิตคู่ น้อยลงแน่เพราะ เมียคุณ คงคิดหนัก อาจจะคิดว่าไม่ใช่บ้านเธอ ใส่ชื่อ 3 คน เวลาน้องมีครอบครัว ไม่มีปัญหาก็ดีไป แต่ถ้ามีปัญหาขึ้นมา ปวดหัวแน่ๆ ใส่ชื่อ 2คน ผัวเมีย ถ้าทำได้ สบายใจสุด เป็นภาระ ร่วมกันให้ต้องฝ่าฟันกันไป เป็นบ้านของ  2 คนเท่านั้น อยากทำอะไรก็ทำ เรื่องดอกเบี้ย บางอย่างเสียเงินเพื่อซื้อความสบายใจก็ เสียไปเหอะ ยิ่งเอาเงินทั้งหมดแม่มา เกิดฉุกละหุกต้องใช้ เจ็บไข้ได้ป่วยจะลำบาก ยิ่งของน้องด้วย วันนึง เขาก็ต้องมีบ้านมีครอบครัวของเขาเหมือนกัน คงมารอเงินที่จะคืนอีกเป็น 10 ปีคงไม่ไหวหรอก จากคุณ : ก้นกบ - [ 11 ธ.ค. 51 16:48:37 ]

ความคิดเห็นที่ 82 อดไม่ได้  ขอแสดงความเห็นบ้างนะคะ เป็นเรา เราไม่เอาเงินแม่ก่อนเลยตอนนี้  ถึงจะเสียดายที่ต้องจ่ายดอกเบื้ยแบงค์บ้าง  แต่จะยอมค่ะ  คุณอาจจะขอเงินดาวน์ส่วนนึงจากคุณแม่บ้าง แสนสองแสนก็ว่าไป   แล้วกู้แบงค์ผ่อนตามปกติ   จะ 30 ปีก็ไม่เป็นไร  เงินที่เหลือก็ให้แม่เก็บไว้ใช้ยามเจ็บป่วย   พอเวลาแม่คุณไม่อยู่แล้ว(ไม่ได้แช่งนะคะ )  เงินนั้นแหละคุณถึงจะมีสิทธิ์ใช้  เพราะเป็นเงินมรดก ก็แบ่งกับน้องเอาตอนนั้นแหละ  เหลือเท่าไหรก็เท่านั้น  เหลือในส่วนของคูณเท่าไร  ก็เอาไปโปะบ้าน  มันก็เท่ากับว่าคุณไม่ต้องผ่อนถึง 30 ปีแล้ว   ส่วนบ้านคุณที่คุณจะผ่อนก็เลือกบ้านที่มันมีห้องหับเป็นส่วนตัว  แล้วเอาน้องมาอยู่ด้วย  เพราะคุณเป็นพี่ชาย   มีน้องสาวย่อมน่าเป็นห่วงเค้าอยู่แล้ว  ยิ่งน้องสาวเป็นคนซื่อๆอย่างที่คุณว่า   ยิ่งต้องดูแลมาก  เพราะบางคนรอบจัด เอาตัวรอดได้ดีกว่าคนซื่อนะสมัยนี้  แล้วก็ให้น้องช่วยค่าผ่อนบ้าง พันสองพันระหว่างอยู่ด้วยกัน  เหมือนจ่ายค่าเช่าห้อง  แฟนคุณก็จะได้ไม่ต้องตั้งแง่ ว่าน้องมาอยู่ให้หมดเปลืองด้วย   และถ้าน้องอึดอัดในวันหลังจะออกไปอยู่เองก็ได้  ไม่ต้องมีอะไรผูกมัดกัน คนเรามีหลายหน้าที่    หน้าที่ลูกดูและแม่ยามแก่เฒ่า   หน้าที่พี่ที่ต้องดูแลน้อง  หน้าที่สามีที่ต้องดูแลภรรยา     คุณสวมหลายหน้าที่ย่อมต้องการทำให้ดีที่สุด   ถ้าเอาตามแม่ว่ามันก็ดี  ที่ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย  แต่คุณต้องเอาเงินส่วนน้องมาใช้   เมื่อไรจะผ่อนน้องหมดล่ะ   5 ปี 10 ปี หรือ  15 ปี  ถ้าน้องจะแต่งงานแล้วอยากมีบ้านของตัวเองล่ะ   คุณจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายให้น้องได้    ในเมื่อคุณเอาส่วนของเค้ามาใช้เสียแล้ว     คุณเอาน้องมาอยู่ด้วย  น้องคุณก็คงไม่อยู่กะคุณตลอดชีวิต  อีก 2 - 3 ปีเค้าก็อาจจะอยากไปอยู่เองก็ได้   แต่ในเมื่อเงินอยู่ที่คุณ  เค้าก็ไม่สามารถไปไหนได้   บางทีถ้ามีปัญหากะพี่สะใภ้ก่อน  ยิ่งแย่ใหญ่เลย  จะไปอยู่เองก็ไม่มีเงิน  แถมต้องมองหน้าพี่สะใภ้ไม่ได้อีก  หวังจะกลับไปผึ่งแม่  แม่ก็ไม่มีเงินเก็บให้แล้วด้วย อีกอย่าง สมมุติว่าคุณแม่มีเงินอยู่ 1 ล้าน  หากคุณเอามาครึ่งนึง 5 แสนแล้วเหลือ 5 แสนให้น้อง  ถ้าวันหลังคุณแม่ต้องการใช้เงิน  คุณแม่ก็ต้องเอาเงิน 5 แสนของน้องคุณมาใช้ เหลือ3 แสน  แล้วมันจะยุติธรรมมั๊ย สำหรับน้องคุณ  ในเมื่อคุณได้ 5 แสน  แต่าน้องเหลือ 3 แสนเนี่ย ถ้าเราผ่อนซะด้วยสองมือเราเอง ใส่ซื่อภรรยาด้วยเป็นหลักประกันว่าวันนึงเค้ายังได้อะไรบ้าง   ถ้าน้องมาอยู่ก็เก็บเป็นค่าเช่ามั่งนิดหน่อย  ถือว่าอยู่เพื่อดูแลกัน   ภรรยาคุณก็จะออกฤทธิไม่ได้ด้วย   ไม่มีปัญหาทั้งสิ้น  ยังไงถ้าคุณไม่อยู่แล้ว(ไม่ได้แช่ง)บ้านก็เป็นของภรรยาคุณอยู่ดี อีกอย่างเราว่าภรรยาคุณอึดอัดนะ  อยู่รวมกะน้องในห้องเดียวกัน มันไม่เหมือนผัวเมียเลยอ่ะ   จะ xxx กันก็ต้องรอจังหวะอีก   ทำให้ภรรยาคุณอาจจะคิดว่าน้องคุณเป็นส่วนเกิน  ทำให้มองในแง่ร้ายได้นะคะ   ทางที่ดีย้ายออกจากห้องนั้นด่วนที่สุด  แล้วถ้ายังไม่กู้ก็ไปหาบ้านที่มันมีห้องใครห้องมันอยู่ดีกว่า จากคุณ : พุงกระเพื่อม - [ 11 ธ.ค. 51 17:12:45 ]

ความคิดเห็นที่ 83 อย่าเอาเงินพ่อแม่เลย คนแก่ไม่สบายค่าใช้จ่ายเยอะมากนะครับ คุณตาผมเป็นพาร์กินสัน+หัวใจ เดือนนึงนี่จ่ายเฉียดแสนนะครับ ถ้าไม่มีปัญญาจะจ่ายก็อย่าเอาของท่านไปเลย อธิบายให้ท่านฟังแบบนี้ น่าจะเข้าใจนะครับ เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ท้ายที่สุดพวกคุณนั่นแหละที่จะลำบาก (หรือไม่ลำบาก เพราะทิ้งท่านไปเลย ตามแรงยุของเมียคุณ ผัวน้องในอนาคต) ลำพังพ่อแม่คุณยังมีปัญญาสร้างครอบครัว มีบ้าน ส่งลูกสองคนเรียนจนจบได้ คุณเองมีลูกแค่คนเดียวก็น่าจะลองยืนหยัดด้วยตัวเองบ้างนะครับ นกน้อยสร้างรังแต่พอตัว ดูหลังเหมาะๆ ราคาพอดีๆ ผ่อนยาว30ปี สบายๆ มีเงินเก็บบ้าง ชีวิตน่าจะมีความสุขดีครับ อย่างบ้านผม พ่อแม่ไม่เคยมีบ้านเองเลย อยู่บ้านตายายมาตลอด เพราะลูกเยอะ ขี้โรคอีกต่างหาก ค่าใช้จ่ายเยอะมาก ไม่มีปัญญาซื้อบ้าน จนกระทั่งผมอายุ25 น้องคนรองอายุ23 เรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว ถึงค่อยช่วยกันซื้อบ้านผ่อนบ้าน รออีก 2 คนเรียนให้จบ แล้วมาช่วยกันผ่อนต่ออีก เหนื่อยหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร บางทีคนเราก็ต้องยอมลำบากบ้างนะครับ...ทนลำบากดูบ้าง ยิ่งเป็นลูกชายแล้วด้วย หน้าที่การเสียสละต้องมาอันดับหนึ่ง ลองคิดดูดีๆละกันครับว่าจะเอายังไงกับชีวิตในฐานะ "หัวหน้าครอบครัว" จากคุณ : ย่ามฝัน - [ 11 ธ.ค. 51 17:27:49 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ขอแสดงความคิดเห็นนิดนึงนะครับ อาจจะแตกต่างนิดหน่อย 1. หากคุณยังอยู่กับน้องที่บ้านหลังใหม่ต่อไป หากน้องคุณมีแฟนจะเป็นยังไง หากน้องคุณแต่งงานไปแล้วพาฝ่ายชายมาอยู่ด้วย บ้านจะคนเยอะไปมั้ยเผื่อมีลูกอีกล่ะ แล้วถึงตอนนั้นขึ้นมาต่อให้คุณผ่อนหมดแล้วน้องคุณยังอยู่ด้วยล่ะ ยาวแหละครับ เว้นเสียแต่ว่าคุณอยากอยู่แบบครอบครัวใหญ่อยู่แล้ว กับอีกกรณีนึงหากน้องคุณแต่งงานแต่แยกบ้านออกไปอยู่ต่างหาก ถึงตอนนั้นคุณจะผ่อนไหวไหมเพราะน้องคุณไม่อยู่ คุณก็เก็บค่าเช่าจากน้องไม่ได้ ตอนนี้คุณเพียวๆแน่ครับ  ขนาดตอนนี้เช่าอยู่ยังต้องเอาจากน้องมาช่วยแบ่งเบาเลยนี่ครับ 2. ในระหว่างที่ยังผ่อนหากคุณเป็นอะไรไป แฟนคุณก็ไม่มีเงินผ่อนต่อ น้องคุณก็อาจจะไม่ไหว แล้วจะอยู่กันยังไง ไหนจะลูกอีก แฟนคุณต้องเครียดแน่ครับ คือที่พูดมานี่ผมบอกก่อนนะครับว่าแม่คุณประเสริฐมากๆ แต่ถ้ามองหลายๆแง่มันก็มีปัญหาได้ทั้งนั้น ผมว่าทางที่ดีคุณลองเก็บเงินผ่อนเองโดยไม่เอาเงินแม่ดีกว่าครับ ลูกผู้ชายสร้างครอบครัวเองก็ดีครับ เก็บเงินดาวน์ก่อน ได้คำนวนได้ด้วยว่าเดือนนึงเก็บได้แค่ไหน ลูกคุณก็ต้องโตขึ้นเรื่อยๆ วันที่เริ่มเข้าโรงเรียนจะยิ่งหนักแหละครับ หากอนาคตแม่คุณแบ่งเงินให้ขึ้นมาค่อยเอาไปโปะก็ได้ครับ บอกคุณแม่ไปว่าอยากลองเริ่มต้นเองดู ไม่ต้องไปเสียดายดอกเบี้ยให้เก็บเงินก้อนไว้เผื่อฉุกเฉินค่อยไปหยิบยืมทีหลังยังดีกว่าครับ เพราะเอามาใช้ตอนนี้ก็หมดไปเลย เก็บใหม่ก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า จากคุณ : คนรู้มาก - [ 11 ธ.ค. 51 18:06:31 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ตามคุณตะวันรุ่งทุ่งรังสิต ครับ จากคุณ : หลวงสรเดช - [ 11 ธ.ค. 51 18:18:33 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ถ้าทำงาน หาเงิน เองได้ สามารถกู้ธนาคาร ก็ผ่อนส่ง ผ่านธนาคารไปเถอะคะ เงินสดเก็บไว้ให้ คุณแม่ของคุณไว้รักษาตัว ตอนเจ็บไข้ได้ป่วย สร้างครอบครัวด้วย น้ำพักน้ำแรง ตัวเองดีกว่าคะ ถ้าเงินไม่พอกล้วเสียดอกเบี้ย ก็ไม่ต้องซื้อ เก็บเงินเป็นก้อนแล้วค่อยซื้อ เรื่องเงินทอง บ้านๆ เห็นมาเยอะแล้วคะ ตอนรักกันอะไรก็ได้ แต่พอจะเลิกกัน ปัญหาจะตามมาอีกเยอะคะ จากคุณ : ai_aun - [ 11 ธ.ค. 51 18:31:37 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เรื่องของผม http://www.pantip.com/cafe/home/topic/R7310806/R7310806.html จากคุณ : Anonymme - [ 11 ธ.ค. 51 19:18:22 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เงินเก็บสะสมของแม่ก็ควรเอาไว้ใช้ฉุกเฉินค่ารักษาพยาบาลที่เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน ไม่รู้ว่าจะเสียเยอะเท่าไรด้วยนะคะ ส่วนเงินของน้องสาวก็ไม่ควรไปแตะต้อง เพราะเธอก็ต้องไปตั้งต้นชีวิตใหม่ของตัวเองเหมือนกัน อาจต้องใช้จัดงานแต่งงาน หรือวันหนึ่งเกิดอยากได้ห้องหรือคอนโดใกล้สถานที่ทำงานเป็นของตัวเอง ก็ต้องใช้เงินดาวน์สักก้อนเหมือนกัน   ดังนั้นชีวิตใครก็ชีวิตใครค่ะ น้ำใจรับได้ แต่ถ้าต้องผูกพันไปนานหลายปี ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง การกู้แบงก์ก็เป็นทางเลือกที่เซฟกว่า สำหรับความไม่แน่นอนนะคะ จากคุณ : นราเกตต์ - [ 11 ธ.ค. 51 19:23:31 ]

ความคิดเห็นที่ 89 อย่าคิดถึงแต่ตัวเองสิคะ คิดถึงคุณแม่และน้องสาวด้วย เรื่องเงิน ให้คุณแม่สำรองเงินไว้บ้าง เผื่อเจ็บป่วย ประเทศเรายังไม่มีสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุที่ดีพอ สำคัญนะคะ อธิบายให้คุณแม่เข้าใจ อีกอย่าง จริง ๆ แล้วดอกเบี้ยบ้านเป็นดอกเบี้ยที่ถูกที่สุดแล้วนะคะ (ไม่นับดอกเบี้ยเงินฝาก) ส่วนเงินของน้องสาวคุณ ให้เค้าเก็บไว้ทำสิ่งที่เค้าอยากทำเถอะค่ะ เช่น เศรษฐกิจอย่างงี้เค้าอาจจะอยากเรียนต่อมากกว่า เงินของเค้าคุณยืมเค้ามาลงทุน แต่ดูเหมือนเค้าจะไม่ได้กำไรนะคะ อันนี้ความเห็นส่วนตัว ส่วนเรื่องพันละยา มันเป็นเรื่องของคนสองคน เค้าอาจจะถูกเลี้ยงดูมาไม่เหมือนคุณ ความอบอุ่นอาจจะต่างกัน หรือเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีของคนอื่นมา อันนี้ก็ต้องทำใจค่ะ เคยอ่านหนังสือมาเค้าบอกว่าให้ชอบคนที่คุณรัก แล้วคุณจะสบายใจ เป็นฝ่ายให้นะคะ แล้วเธอจะเห็นเอง สู้ๆ ค่ะ จากคุณ : เอลิซาเบ็ธ - [ 11 ธ.ค. 51 19:26:11 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ถ้าเป้นเราจะไม่เอาเงินแม่มาเกี่ยวค่ะ เรายอมกู้เอง เสียดอกเอง แล้วให้เหตุผลว่า จะได้เอาให้ลูกให้เมีย เกิดเราเป็นอะไรขึ้นมา ส่วนเงินที่แม่จะให้เป็นมรดกก็เก็บต่อไป เผื่อผมเป็นอะไรไป แม่ก็เอาส่วนนี้ไปได้ เมียผมก็ได้บ้านไป WIN WIN เราตายแม่ก็ได้เงินส่วนของเราไปโปะให้น้องซะ ส่วนเมียก็ได้บ้านไปซะ สบายใจทั้งคู่ เราไม่รบกวนพ่อแม่ ในเรื่องที่เราจะมีบ้านเอง บ้านนี้เราให้สามีไป ถ้าเราตายเพราะถือว่าสร้างร่วมกันมา ถึงภรรยาคุณจะไม่ได้ทำงาน แต่อย่าลืมว่า เธอทำหน้าที่ภรรยาคุณอยู่นะคะ เธอทำหน้าที่แม่ของลุกคณอยู่ ถ้าเธออกไปทำงาน แน่นอนว่า คุณต้องจ่ายค่าพี่เลี้ยงเท่าไหร่ ค่าแม่บ้านเท่าไหร่ แต่นี่ภรรยารับมาทำหมดเอง ก็น่าเห็นใจเธอค่ะ เธอย่อมไม่มั่นใจว่า เธอจะได้อะไรเพราะเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ถ้าคุณตาย แม่คุณก็ต้องเข้าข้างน้องคุณ บังคับให้เมียคุณขายบ้านเพื่อเอาเงินมาให้น้องคุณ ภรรยาคุณก็แย่ ลูกคุณก็แย่ แถมป่านนี้ คุณยังไม่จดทะเบียน เราไม่แน่ใจว่า แม่คุณยอมรับหลานคนนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เราไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในครอบครัวคุณ เราตอบไม่ได้ แต่เราก็เห็นใจทุกฝ่าย ถ้าเป็นเราจะยอมเสียดอกเบี้ยเอง แล้วให้แม่เก็บเงินนั้นไว้ต่อไป เพราะในแง่ที่เลวร้ายที่สุด ถ้าคุณเลิกกับภรรยาก็ยังเหลือเงินที่แม่ซึ่งเป็นมรดกที่เมียคุณเอาไปไม่ได้ แต่ถ้าคุณเอามาแล้ว เลิกกันมันก็ไปหารสองให้เมียแล้ว เพราะมีชื่อในกรรมสิทธิร่วมกัน ลองคิดดูค่ะ จากคุณ : แมวสีขาวขนปุย - [ 11 ธ.ค. 51 19:32:58 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เท่าที่อ่านดู คุณคงมีคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้วว่ายังไงคุณคงเอาเงินพ่อแม่มาซื้อบ้านแน่ๆ เพียงแต่คุณแค่ต้องการแรงสนับสนุนเฉยๆ อยากให้คุณอย่าลืมด้วยว่าพ่อแม่มีพระคุณกับคุณมาก แต่ถ้าคุณเอาเงินทั้งชีวิตของท่านมาใช้ แล้วท่านเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยจนต้องใช้เงินจำนวนมาก คุณจะเอามาจากไหน เพราะเท่าที่อ่านคุณก็คงไม่ได้มีเงินเก็บมากมาย แฟนก็ไม่มีรายได้ น้องก็คงเงินไม่เยอะ อย่าเอาคำว่ารักของพ่อแม่มาใช้ จนลืมที่จะได้ทดแทนพระคุณท่านตอนท่านเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยนะค่ะ จากคุณ : tarntarn - [ 11 ธ.ค. 51 19:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ขอมาตอบอีกครั้งแล้วกัน   ถ้าคุณเอาเงินแม่คุณมาซื้อ  ก็ให้บ้านเป็นชื่อแม่คนเดียวเลยแล้วกัน แล้วคุณก็ผ่อนกับแม่ไป คร้าย ๆ ผ่อนธนาคารแหละ  เพราะถ้ากู้มาโฉนดเราก็อยู่ที่แบงค์อะ จากคุณ : ao_siripen - [ 11 ธ.ค. 51 19:59:02 ]

ความคิดเห็นที่ 93 เอ้า.......ขอให้ผ่านไปด้วยดีแล้วกันครับ เอาใจช่วย ของผม กับภรรยา กำลังสร้างเองกับมือทั้งนั้น...............มันภูมิใจดีครับ จากคุณ : noom_super - [ 11 ธ.ค. 51 20:06:07 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ทรัพย์สินเป็นของนอกกาย ตายไปเอาไปได้มั้ยคะ ทะเลาะกันทำไมอยู่แบบให้มีความสุขดีกว่า จากคุณ : คุณหนูโอทอป - [ 11 ธ.ค. 51 20:31:06 A:124.120.125.59 X: TicketID:197196 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ดูจากข้อมูลแล้ว  ถ้าคุณไม่เอาเงินแม่คุณ  คุณก็ไม่ได้บ่นว่าผ่อนเองจะไม่ไหว ถ้าเป็นเรา  เราจะผ่อนเอง  เงินแม่ก็ให้แม่เก็บไว้ใช้  เราไม่รู้ว่าเศรษฐกิจมันจะแย่ลงไปถึงไหน  เก็บให้แม่ไว้ใช้ตอนแก่ดีกว่า  แม่คุณก็อายุหกสิบแล้วจะขายของไปได้นานแค่ไหน  เอาเงินแม่มาหมด  ถ้าวันไหนแม่ไม่ได้ขายของ  คุณจะให้แม่เอาอะไรกิน  จะว่ากินของพ่อ  พ่อก็แก่ไม่น้อยไปกว่าแม่  ทำอะไรควรคิดถึงพ่อกับแม่ก่อน  จะได้ไม่เสียใจ และเสียคนภายหลัง  ขออภัยที่พูดตรง ๆ กู้แบงค์เสียดอก  แล้วใส่ชื่อคุณกะเมีย  เพราะยังไงเค้าก็เมียคุณ  ถ้าทะเลาะกันบ่อย ๆ แล้วเกิดวันนึงแยกทางกัน  ส่วนของเมียคุณก็ให้เค้าไป  เพราะส่วนใหญ่เวลาเลิกกัน  ลูกอยู่กับแม่ทั้งนั้น  ก็คิดซะว่ายกให้ลูก น้องสาวคุณ  ก็ให้อยู่บ้านใหม่กะคุณนั่นแหละ  บ้านนี้คุณออกเงิน  ให้น้องสาวอยุ่ก็ไม่เห็นจะเสียหาย  จะได้แยกห้อง  แล้วมีเวลาส่วนตัวทั้งสองฝ่าย  น้องสาวก็ช่วยจ่ายค่าเช่า  แทนที่จะไปเช่าคนอื่น  ก็มาเช่าเรา  ถือซะว่าช่วยค่าน้ำ ค่าไฟ  เมียคุณจะได้ไม่บ่น จากคุณ : Roja - [ 11 ธ.ค. 51 20:34:00 ]

ความคิดเห็นที่ 97 "แฟนผมบอกว่า ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินมาซื้อบ้านเอง ก็ไม่ต้องซื้อ ให้มีปัญญาก่อนค่อยไปซื้อ ถ้าต้องมายืมเงินแม่แล้วมีชื่อน้องหรือชื่อแม่ก็อย่าไปยืม ดูซิคนเรามันคิดซะแบบนี้" อันนี้ผมเห็นด้วยกะแฟนคุณนะ จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 11 ธ.ค. 51 21:46:35 ]

ความคิดเห็นที่ 98 เอ่อ... เจอแม่ผัว แบบนี้ นู๋ กราบเช้า -เย็น เลย อ่ะ เมียเหรอ...หาเมื่อไหร่ ก็ได้ อยากฉลาด นัก... จากคุณ : Nu-Aak - [ 11 ธ.ค. 51 22:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เราเข้าใจนะคะ ผู้หญิงที่มีลูก ยังไงต้องคิดถึงลูกก่อนค่ะ ถึงแม้ว่าอาจดูไม่ดีในสายตาคนอื่น (เรายังโสดนะคะ แต่คิดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แหละ) แม่คุณก็ประเสริฐมาก ในเมื่อท่านรักคุณ คุณก็ควรรักท่านด้วย ถ้านั่นเป็นเงินที่ท่านจัดสรรปันส่วนไว้ตั้งใจแบ่งให้คุณกับน้องและท่านมีสำรองไว้อีกส่วนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต ก็ควรเก็บไว้ให้ท่านได้ใช้จ่าย เมื่อท่านไม่อยู่แล้วมันจึงเป็นสิทธิของคุณค่ะ แนะนำว่าถ้าคุณไม่มีปัญหาเรื่องการกู้หรือผ่อนส่ง จงกู้เองดีกว่าค่ะ แล้วใส่ชื่อคุณกับแฟน สบายใจด้วยกันทุกฝ่าย แต่ถ้าคุณมีปัญหา อาจทำสัญญากู้เงินจากแม่ส่วนหนึ่งเป็นเงินดาวน์แล้วกู้แบงค์อีกส่วน เพื่อให้ท่านได้มีเงินเหลือไว้ใช้ยามฉุกเฉินด้วย และไม่ต้องไปรบกวนส่วนของน้องเพราะอนาคตน้องก็ต้องมีครอบครัว ทางที่ดีคุณควรเสียดอกเบี้ยให้แม่ด้วยแต่อาจเสียในอัตราที่ต่ำกว่าแบงค์ เพื่อให้แม่รู้สึกดีว่าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายรับฝ่ายเดียวมากเกินไป ยังไงเงินส่วนนั้นก็ต้องกลับเป็นของคุณอยู่ดีเมื่อวันที่ท่านไม่อยู่แล้ว เรื่องแฟนคุณไม่อยากให้น้องอยู่ด้วยนั้น ถ้ามองในฐานะของพี่คงเข้าใจยาก แต่ถ้ามองในฐานะของสามีภรรยาน่าจะเข้าใจง่ายขึ้น ใครๆก็ต้องการความเป็นส่วนตัวที่จะได้อยู่แบบครอบครัว ทำอะไรไม่ต้องเกรงใจใคร ยิ่งเป็นน้องที่คุณรักมาก แฟนคุณคงไม่ต้องการให้ใครมาแบ่งปันความรักหรือความสำคัญ เหมือนนางพญาผึ้งต้องมีตัวเดียวในรังนั่นแหละค่ะ ค่อยๆพูดคุยกันนะคะ เราว่าแฟนคุณคงรักคุณมาก ถ้าเป็นเราคงไม่ยอมอยู่กับใครเฉยๆโดยไม่มีการแต่งงาน ไม่มีการจดทะเบียนหรอกค่ะ แถมการไม่ได้ทำงานที่ทำให้คุณมองว่าเธอไม่ค่อยมีคุณค่านั้น เราอยากให้ลองมองใหม่ว่า แฟนคุณได้ดูแลบ้านอย่างดีหรือเปล่า เลี้ยงลูกเอาใจใส่ดีไหม เพราะนั่นมันคือความเสียสละที่มีค่าและเหนื่อยมากกว่าการทำงานแลกเงินเดือนเสียอีกค่ะ คิดดูสิคะ เราทำงานนอกบ้านได้พบเจอคนเยอะแยะ ได้แต่งตัวดีๆ ไปเที่ยว เลี้ยงสังสรรค์ แต่คนเป็นแม่บ้านนั้นวันๆเจอแต่ไม้กวาด เครื่องซักผ้า ไม่ได้แต่งตัวสวย ไม่ได้เที่ยวกับเพื่อน โลกของเธอแคบมากค่ะ เธอมีแค่คุณกับลูกเท่านั้น ดังนั้นการที่เธอจะหวงแหนและปกป้องสิ่งที่จะเป็นความมั่นคงในชีวิตนั่น เราว่าเป็นเรื่องน่าเห็นใจค่ะ ถึงการกระทำบางอย่างของเธอคุณอาจมองว่าเป็นความใจแคบ แต่มันก็มีเหตุผลของมันที่เราคิดว่าพอจะรับได้อยู่นะคะ จากคุณ : นางฟ้า - [ 11 ธ.ค. 51 23:55:50 A:125.25.15.196 X: TicketID:196986 ]

ความคิดเห็นที่ 100 เป็นผม ผม เลิก กับแฟน ทันทีทันใดเลย เลิกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เลิกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เลิกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เลิกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ส่วนเหตุผลคุณเองน่าจะรู้ดีที่สุด ถ้าเมียคุณรักคุณ รักแม่คุณ เขาต้องไม่รับเงินจากแม่คุณ แต่นี้เขาอยากจะได้บ้านที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากแม่คุณ แล้วยังอยากจะได้แบบมีเงื่อนไขที่ว่า ถ้ามีชื่อน้องจะไม่เอา เลิก คือ คำตอบสุดท้ายครับ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 03:49:25 จากคุณ : Gixz - [ 12 ธ.ค. 51 03:43:51 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เมียแบบนี้ ต้องได้ผัวแบบผม ผมถีบกระเด็นไปนอนนอกบ้านทันที งานไม่ได้ทำ ยังโลภ เห็นแก่ได้ แถมยังรังเกียจน้องเราอีก ถ้าคุณรวยีเงินซัก 100 ล้าน สงสัยเค้าเฉดหัวแม่กับน้องคุณ ออกจากบ้านไปตั้งแต่วันแรกที่อยู่ด้วยกันแล้วมั้ง ปล ผมโสดนะ เลยกล้าพูดแบบนี้ จากคุณ : WWF 3.16 - [ 12 ธ.ค. 51 04:46:35 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เมียงกครับ ไม่ได้ยุนะครั แต่ลองคิดดูว่าถ้างกขนาดนี้ วันนึงถ้าป่วยหนักแล้วเมียมันจะยอมขายบ้านมารักษามั้ยเนี่ย พูดยากเนอะ ไม่ได้เจอกับตัว แนะนำเหมือน คห 12 ครับ ชื่อคุณกับเมีย ทำสัญญากู้ครับ ระบุดอกเบี้ยด้วยแต่ในทางปฏิบัติก็จ่ายอาจจะครึ่งหนึ่งของแบงค์หรือเท่ากับดอกเบี้ยเงินฝากที่แม่กับน้องควรได้ ในเมื่อเมียคิดว่าแม่กับน้องเป็นคนอื่น แฟร์สุดแล้ว จากคุณ : กก - [ 12 ธ.ค. 51 08:25:38 A:202.57.180.15 X: TicketID:153762 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ... ครอบครัว อยู่ที่ ผู้นำ ครอบครัวเป็นหลัก ... ... ในกรณีนี้  ผมโทษ  จขกท.  ครับ ... ... คุณเป็นคนไม่เอาไหนเลยครับ ... ... เกรงใจเมีย กลัวเมีย  และ ตัวเองก็ไม่เอาถ่าน ... ... ไม่ผิดที่ ภรรยา คุณหรอกครับ  ผญ. โดยส่วนใหญ่ก็จะรักตัวเอง.. ... ผมสงสารแม่คุณ  และ เห็นใจ น้องสาวคุณ ... ... เป็นลูก ผช.  คนเดียวในบ้าน ... ... ไม่เลี้ยงพ่อแม่ น้อง ... ... ยังมีเรื่องอย่างนี้ มาถาม  ใน ที่สาธารณะ อีก ... ... ต้องขอโทษ คุณ ด้วยนะครับ ... จากคุณ : ซีมาสเตอร์ - [ 12 ธ.ค. 51 08:53:38 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เห็นด้วยกับ คห.ที่ 3 ค่ะ แต่มีอีกวิธี ก็คือคุณผ่อนกับแบงค์ดีกว่า  เข้าระบบปกติ ไม่ต้องรบกวนแม่กับน้องสาว ภรรยาคุณเป็นแบบนี้ การที่ไม่ใส่ชื่อน้องสาว   ก็ไม่น่าไว้ใจ หากเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ แม่กับน้องสาวที่หวังดีกับคุณ จะไม่ได้อะไรเลยนะคะ จากคุณ : ยูซ่า@ยากูซ่า - [ 12 ธ.ค. 51 09:23:23 ]

ความคิดเห็นที่ 105 จะซื้อบ้านไหม ถ้าสามีคิดว่าคุณงกสมบัติ จากคุณ : นภชล - [ 12 ธ.ค. 51 10:31:00 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ถ้าเป็นผมนะครับ ถ้าซื้อบ้าน จะใช้ชื่อแม่ครับ สมบัติท่านไม่ควรไปยุ่ง เราควรหาด้วยตนเอง ข้อดีคือ น้องคุณไม่ต้องเสียค่าผ่อนบ้าน คุณไม่ต้องเสียค่าผ่อนบ้าน เมื่อคุณหาเงินมาครบจำนวนครึ่งนึง ตามราคาบ้านที่แม่คุณซื้อ ก็ค่อยโอนเป็นชื่อคุณ ข้อสำคัญค่าที่พักอาศัยนั้น คุณและน้องต้องจ่ายให้แม่ เดือนล่ะเท่าไรก็ว่ากันถือเป็นดอกเบี้ยหรือค่าเช่า อย่างน้อยก็ถือว่าของคุณ เป็นค่าใช้จ่ายถึงแม้ท่านจะไม่ลำบาก หรือหาเองได้ แต่โตถึงขั้นแต่งงานแล้ว ควรจะให้พ่อแม่บ้าง ไม่ควรเทให้ลูกเมียหมด เมียมันเลิกไปก็คนอื่นครับ เกิดอนาคตท่านหาเงินไม่ได้ ท่าจะได้มีเงินเก็บก้อนนึงด้วย ตอนนี้อยู่ที่คุณจะเห็นแก่แม่ที่ให้กำเนิด หรือผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ที่มานอนด้วย ก็เลือกเอาครับ.. จากคุณ : น้ำปลาหวาน... - [ 12 ธ.ค. 51 10:55:48 ]

ความคิดเห็นที่ 107 คุณผ่อนแบงค์แต่ละเดือนไหวไหมล่ะคะ ตามที่เล่ามา ไม่เห็นมีที่บอกว่าผ่อนไม่ไหว เราคุณว่ากู้ bank ดีกว่าค่ะ อย่าไม่ยุ่งกับเงินของคุณแม่เลยค่ะ มันเป็นเงินที่ท่านสะสมมาตลอดชีวิต ให้ท่านเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน หรือป่วยไข้ดีกว่า ต่อไปหากขัดสนจริง ๆ ค่อยขอยืมเงินท่าน มีบ้านก็เหมือนกับการออมเงินอย่างหนึ่ง เพราะทุกวันนี้ถ้าเราไม่มีบ้าน เงินเดือนได้มาก็ไม่รู้จักเก็บ ไม่รู้จักประหยัด ไม่รู้จักประมาณตน สงสารคุณแม่คุณนะคะ เราว่าคุณกู้ bank แล้วใส่ชื่อเป็นคุณกับแฟนไปเลยดีกว่าเพื่อความสบายใจทั้งสองฝ่าย จากคุณ : lee (MadameLEE) - [ 12 ธ.ค. 51 11:23:03 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ขอออกความเห็นบ้างนะคะ เราไม่เห็นด้วยนะที่จะเอาเงินแม่ทั้งหมดมาซื้อบ้าน ถึงคุณจะผ่อนใช้หนี้ให้ท่านก้อเถอะ แล้วถ้าเกิดต้อง ใช้ยามฉุกเฉิน แม่คุณจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ แถมยัง เงินของน้องส่วนหนึ่งอีก  ยิ่งภรรยาคุณเป็นแบบนี้ด้วยแล้ว เราว่าคุณไปกู้แล้วผ่อนกะแบงค์เถอะ ชื่อบ้านก้อเป็นของคุณ+ภรรยา อย่าเบียดเบียนแม่ และน้องสาวคุณเลยค่ะ จากคุณ : @# k[A]tty #@ - [ 12 ธ.ค. 51 11:29:10 ]

ความคิดเห็นที่ 109 สงสารเมีย จขกท จากคุณ : puimnida - [ 12 ธ.ค. 51 11:59:06 ]

ความคิดเห็นที่ 110 สรุปได้ว่า - ทะเบียนสมรส ไม่ได้จด - ลูก 1 ขวบแล้ว ก็ยังไม่จดทะเบียนรับรองบุตร - บ้านยังสรุปไม่ได้ ว่าเป็นชื่อใคร เพราะแม่ของลูกไม่ได้ช่วยออกตังค์ -_-' ถ้าเรา้เป็นภรรยา เราก็แอบเครียดนะคะ คือผู้หญิงจะขาดความมั่นใจ / มั่นคงไปเลยอะค่ะ ดังนั้นขอแนะนำนะคะ จดทะเบียนรับรองบุตรโดยด่วน แล้วก็เรื่องบ้าน ควรจะกู้แบงค์ หรือ กู้ที่บ้านครึ่งเดียวในส่วนของคุณ แล้วก็รีบใช้คืนโดยเร็ว เพราะเป็นเงินของคุณแม่ ชื่อเ้จ้าของบ้าน ควรเป็นชื่อคุณและภรรยา (ถ้าคุณยังไม่จดทะเบียน) แต่ถ้าจดทะเบียนแล้วเป็นชื่อใ้ครก็ได้ เพราะมันคือสินสมรส จากคุณ : Cheewit Cheewa - [ 12 ธ.ค. 51 12:30:47 ]

ความคิดเห็นที่ 111 เราว่านะ  วิธีนี้ดีไหมใส่ชื่อคุณ +แฟน แล้วทำสัญญาจำนองไวกับน้อง  แล้วระบุเลยว่าต้องผ่อนชำระกันยังไง ถ้าคุณผ่อนตรงและครบ  ในที่สุดบ้านหลังนั้นก็เป็นของคุณ  แต่ว่าในทางกลับกัน  น้องคุณก็มีสิทธิยึดบ้าน ถ้าคุณผิดสัญญา   ให้น้องเป็นิbank ให้อ่ะ จากคุณ : ไพ่นกกระจอก - [ 12 ธ.ค. 51 13:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 112 เพื่อนเคยเล่าให้ฟัง ประมาณว่าเป็นคนแถวบ้าน ฝ่ายแม่สามีไม่ค่อยกินเส้นกับภรรยา แม่ดันยกบ้านฯให้ลูกชาย หลังจากนั้นไม่นาน ลูกชายตายจากอุบัติเหตุ ลูกสะใภ้ ได้จังหวะ ไล่แม่สามีและพี่น้องสามี ออกจากบ้าน ต้องเป็นคนไร้บ้านไปเลย จากคุณ : Oh-deh - [ 12 ธ.ค. 51 13:40:47 ]

ความคิดเห็นที่ 113 เราว่านะ  วิธีนี้ดีไหมใส่ชื่อคุณ +แฟน แล้วทำสัญญาจำนองไวกับน้อง  แล้วระบุเลยว่าต้องผ่อนชำระกันยังไง ถ้าคุณผ่อนตรงและครบ  ในที่สุดบ้านหลังนั้นก็เป็นของคุณ  แต่ว่าในทางกลับกัน  น้องคุณก็มีสิทธิยึดบ้าน ถ้าคุณผิดสัญญา   ให้น้องเป็นิbank ให้อ่ะ จากคุณ : ไพ่นกกระจอก (ไพ่นกกระจอก) - [ 12 ธ.ค. 51 13:42:37 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ไม่ทราบว่าเรื่องจริงเป็นยังไง เพราะนี่ก็เหมือนฟังความข้างเดียว แต่ดูเจ้าของกระทู้เป็นคนค่อนข้างรุนแรง อยากถามว่ารักภรรยาบ้างไหมค่ะ คิดแต่ว่าภรรยางก อยากให้ถามกลับว่าตัวเองได้สร้างความมั่นคงอะไรให้เค้าบ้าง ส่วนเงินของแม่แนะนำว่าไม่ควรไปยุ่งค่ะ มีเท่าไหร่ก็ผ่อนเท่านั้นแหละ จากคุณ : หนมโมจิ - [ 12 ธ.ค. 51 14:08:36 ]

ความคิดเห็นที่ 115 พี่สะไภ้แบบนี้ เป็นฉันๆไม่เอา สำนึกไว้มั่งนะว่าสมบัติพ่อแม่เค้ามีไว้ให้ลูกของเค้า ไม่ได้มีไว้ให้คนนอก มีเมียก็อย่าทำให้ครอบครัวตัวเองเดือดร้อน ถ้ายังพึ่งตัวเองไม่ได้ ก็อย่าเอาทุกข์มาให้พ่อแม่พี่น้องต้องรับผิดชอบในอนาคต จากคุณ : เวร - [ 12 ธ.ค. 51 14:20:21 A:124.121.99.114 X: TicketID:140846 ]

ความคิดเห็นที่ 116 คุณความเห็น 109 คุณเป็นบ้าแน่ๆ จากคุณ : เวร - [ 12 ธ.ค. 51 14:21:51 A:124.121.99.114 X: TicketID:140846 ]

ความคิดเห็นที่ 117 เราก็มีแบบนี้เหมือนกัน  น้องสาวแฟนเราชอบทำตัวเป็นใหญ่ ชอบพูดมาก เราไม่ชอบ เหมือนก่อนอยู่กับแม่แฟนแล้วแฟน  ไม่เคยมีปัญหากัน พอมีน้องสาวแฟนมาอยู่ด้วย น่าเบื่อมาก ทำให้ทะเลาะกันบ่อยมาก ๆ ขึ้นอีก น่าเบื่อจริง ๆ จากคุณ : kapok (linboom) - [ 12 ธ.ค. 51 14:50:38 ]

ความคิดเห็นที่ 118 เอาตามจริง  ถ้าเราเป็นแฟนคุณ  เราก็ไม่อยากให้ใครเอาชื่อมาใส่ในบ้านของเรา เพราะ.... -  ในอนาคต... ถ้าน้องสาวคุณแต่งงาน มีแฟน เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าแฟนเค้าดีหรือไม่ ยิ่งคุณบอกว่าน้องสาวคุณซื่อ ๆ ยิ่งเป็นไปได้ที่ผู้ชายจะมาเป่าหูให้ขอสิทธ์ในบ้าน..จะทำไง??? -  แล้วถ้าในอนาคต  คุณกับแฟนช่วยกันผ่อนจนหมด แล้วค่อยให้น้องคุณเอาชื่อออก ถ้าเค้าไม่ยอมเอาออก...จะทำไง??? ทางที่ดี... -  ไปกู้ธนาคาร เพื่อความสบายใจ -  ทำสัญญายืมเงินไว้เลย  แล้วเป็นชื่อคุณกับแฟนสองคนนั่นแหละ มีสัญญาอยู่  ยังไงก็เบี้ยวไม่ได้ จะใส่ว่ายืมแม่คุณครึ่งนึง น้องสาวคุณครึ่งนึงก็ได้ แต่ถ้าเป็นเรา...กู้ธนาคารดีกว่า ไม่อยากให้แม่เอทรัพย์สินประดามีมาทุ่มให้คุณทั้งหมด แล้วในอนาคต ถ้ามีปัญหา...จะทำไง??? จากคุณ : saturn_eyes - [ 12 ธ.ค. 51 14:54:37 ]

ความคิดเห็นที่ 119 น่าสงสารคนเป็นเมีย ผู้หญิงทุกคนก็ต้องการความมั่นคงในชีวิตทั้งนั้นแหละ ผู้หญิงที่ต้องอยู่บ้านนั่งเลี้ยงลูก ซักผ้า ถูบ้าน ทำกับข้าว เหนื่อยยิ่งกว่าคนทำงานได้เงินเดือนเป็นหมื่น ๆ อีก  ลองคำนวณดูซิ เอาราคามาตรฐานห้องชายคาเนี่ย แต่ละคน จ้างคนมาเลี้ยงลูกหรือฝากเนอสเซอรี่ เดือนละเท่าไหร่ ค่าแม่บ้านทำงานบ้าน หรือค่ากับข้าวที่ต้องจ่ายแต่ละเดือน  เทียบกับคุณภาพที่ได้ จ้างคนมาเลี้ยงลูกเค้ารักลูกคุณเท่ากับที่เมียคุณรักไหม... เป็นพ่อแล้วเคยไปห้องชานเรือนหรือเวปอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับพ่อแม่และเด็กบ้างไหม ใคร ๆ ก็ฝันใฝ่อยากเป็นคนเลี้ยงลูกเองทั้งนั้นเพื่อให้ลูกมีความสุข ได้รับการดูแลจากคนที่รักเค้าที่สุด ก็คือพ่อแม่นั่นแหละ จขกท.เป็นผู้ชายประเภทไหนกันเนี่ย ดูถูกเมียตัวเอง ..แฟนผมบอกว่า ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินมาซื้อบ้านเอง ก็ไม่ต้องซื้อ ให้มีปัญญาก่อนค่อยไปซื้อ ถ้าต้องมายืมเงินแม่แล้วมีชื่อน้องหรือชื่อแม่ก็อย่าไปยืม.. ฟังดูแล้วเค้าก็ไม่ได้งกนี่ เค้าสอนให้คุณยืนด้วยตัวเองด้วยซ้ำ  ทำไมว่าเค้าฝ่ายเดียวล่ะ ของเราเองเราก็บอกสามีไม่ต้องไปขอทรัพย์สมบัติอะไรจากบ้านของเค้ามา เรามีเงินเดือนก็หาเอาเอง อยากให้ลูกหลานคนอื่นก็ให้ไป แล้วแต่เค้าเราไม่สนใจหรอก จากคุณ : เอื้ออารี - [ 12 ธ.ค. 51 15:06:51 ]

ความคิดเห็นที่ 120 อึมคนเราเนอะ ต่างจิตต่างใจถ้าเป็นเราจะขอบคุณแม่สามีเลยล่ะ  แต่แฟนคุณก็คงไม่ต้องการให้มีชื่อน้องมีส่วนด้วย อย่างนี้คงต้องทำสัญญาเงินกู้กับแม่และน้องสาวกันดีไหม เผื่ออนาคตเกิดปัญหาอะไรขึ้นน้องคุณหรือแม่คุณก็ไม่เสียเปรียบ ตัวคุณกับแฟนก็จะได้ไม่มีปัญหาด้วย จากคุณ : aneast22 - [ 12 ธ.ค. 51 15:26:42 ]

ความคิดเห็นที่ 121 อิจฉาเมีย จขกท จัง  ทำไมเราไม่มีแม่สามีแบบนี้มั่งฟระ ของเรานี่กลับกันเลย  แม่สามีงก+เคี่ยวสุดๆ   กรณีของ จขกท  ต้องนึกถึงใจเขาใจเรานะ  ก็เมียคุณเค้าอยู่บ้านเลี้ยงลูก ทั้งวัน มันเครียดและเหนื่อยนะ  คนไม่เคยเลี้ยงนึกว่าเป็นงานง่ายๆ จริงๆ ไม่ใช่เลย  มาทำงานดีลกับลูกค้าทั้งวันยังไม่เหนื่อยเท่ากับอยู่ บ้านเลี้ยงลูกเลย  ทะเบียนสมรสก็ไม่ได้จด ลูกก็ไม่ได้รับรองบุตร หลัก ประกันไม่มีเลย   ของเรายังดีกว่าเพราะเราทำงานมีเงินเดือน  ถึงอนาคตจะต้องเลิกก็เลี้ยง ตัวเองกับลูกอีก 2 คนได้สบาย   สามีเราโดนแม่เค้าบังคับให้ยกกิจการครึ่งหนึ่ง ให้น้องเค้า (ที่ไม่เอาถ่าน) 2 คน  เราก็เฉยๆนะ  ผลกำไรที่แบ่งต่อปีจาก กิจการนี้ปีนึงซื้อ Jazz เงินสดได้เลย  ถ้าเป็นเมีย จขกท  สงสัย ปรี๊ดแตก แนะนำว่าถ้าลูกโตเข้า รร. ได้  ให้เมียคุณไปหางานทำด่วน  เงินเดือนน้อยไม่เป็นไร ไม่งั้นจะยิ่งฟุ้งซ่านมากกว่านี้  ตัวคุณเองจะไม่เป็นสุข เพราะเมียคุณจะระแวงไปหมด   ส่วนคุณ ถ้าจะซื้อบ้านก็อย่างกเรื่องดอกเบี้ยเลย  เอาเงินมรดกมาใช้ล่วงหน้ามันก็ ปวดหัวอย่างนี้แหละ  มรดกมันเป็นลาภที่ควรจะได้ก็ต่อเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเค้า ล่วงลับไปแล้ว จากคุณ : Minnie On The Road - [ 12 ธ.ค. 51 15:34:41 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ขอตอบแบบไม่อ่านความเห็นของท่านอื่นนะคะ มันเยอะจัด ^^ ในฐานะที่เราเป็นภรรยา  และเป็นลูกสะใภ้ ถ้าแม่สามีเรา   มายื่นข้อเสนอแบบนี้ให้ เราจะกราบท่านงามๆ ทุกเช้าเย็นจนกว่าจะผ่อนหมดเลยค่ะ (ฮี่ๆ เว่อร์ไปนิด) และถ้าเราเป็นภรรยาของ จขกท.  เราก็จะรีบหนับหนุนและส่งเสริมสามีค่ะ เพราะการที่ท่านช่วยแบบนี้  ทำให้ จขกท. save ทั้งเวลาในการผ่อนและค่าดอกเบี้ยจำนวนมหาศาล เงินดอกเบี้ยที่ไม่ต้องเสีย เอาเก็บไว้ส่งลูกเรียนหนังสือสูงๆ ดีกว่าค่ะ และถ้าว่ากันด้วยกฎหมายมรดก สมมุติว่าบ้านหลังนี้มีเจ้าของ 3 คน คือ แม่  จขกท  น้องสาว ถ้าคุณ จขกท. จดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว เกิดเป็นไรไป บ้านหลังนี้ก็จะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ลูกของคุณก็จะเป็นทายาทโดยธรรมลำดับแรกของคุณ ย่อมมีสิทธิในบ้านหลังนี้แทนส่วนของคุณ และถ้าเกิดคุณแม่คุณจากไปอีก  ส่วนของคุณแม่ก็จะตกแก่ทายาทโดยธรรมลำดับแรกของท่าน  นั่น คือ จขกท. และน้องสาวคนละเท่าๆกัน และส่วนของ จขกท. ก็ย่อมตกอยู่กับลูกของคุณในฐานะผู้รับมรดกแทนที่อีก ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอกค่ะ  ลองอธิบายดีๆ ให้ภรรยาคุณเข้าใจ อีกอย่าง คนเป็นย่า เป็นยาย คงไม่ปล่อยให้หลานตกระกำลำบากหรอกค่ะ เพราะคุณแม่คุณท่านรักคุณมาก เชื่อว่าท่านต้องรักหลานไม่แพ้รักคุณ อ้อ แล้วข้อเสนอของคุณแม่  ที่ให้มีชื่อ 3 คน พอคุณผ่อนส่งครบในส่วนของน้องสาวแล้ว  ค่อยถอนชื่อน้องออก พอคุณผ่อนหมด  ก็ถอนชื่อคุณแม่ออก  ใส่ชื่อลูก+ภรรยาก็ได้นิคะ บอกภรรยา  ให้อดทนรอนิด อยากให้เร็วๆ ก็ใช้จ่ายอย่างประหยัด  รีบๆ โปะให้น้องให้แม่ไวๆ นะคะ อ้อ อีกนิด  คุณแม่คุณ จขกท.  เป็นพรหมผู้ให้จริงๆค่ะ นี่แหละหนา หัวอกแม่ รักใดจะเท่าแม่รักลูก 555  พล่ามซะยาว จากคุณ : น้องพี่อิ้ว - [ 12 ธ.ค. 51 16:04:46 ]

ความคิดเห็นที่ 123 จขกท ควรใส่ข้อมูล ให้ครบตั้งแต่แรกตั้งกระทู้นะคะ ว่า คุณไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยา และมีบุตรด้วยกันแล้ว 1 คน เพราะมันมีผลต่อคห.มากค่ะ ส่วนตัวเราสงสารเมียเจ้าของกระทู้คะ ที่ถูกคุณดูถูกขนาดนี้ เรื่องไม่ทำงานหาเงินคุณน่าจะรู้ตั้งแต่แรกก่อนกินอยู่กันแล้วว่าเค้าเป็นแม่บ้านนะ ไม่ใช่ผู้หญิงทำงาน มันเป็นหน้าของคุณอยู่แล้วที่ต้องหาเงินมาส้รางครอบครัว สร้างบ้าน สร้างฐานะ เมียคุณ ไม่ไว้ใจครอบครัวคุณจึงไม่ยอมให้ใส่ชื่อน้อง แม่คุณใจดี รักลูก แต่ก็ไม่ไว้ใจเมียคุณเช่นกัน จึงอยากให้ใส่ชื่อน้องด้วย ตัวคุณไม่เอาไหนเอง อยากได้บ้านก็กู้ธนาคารเอาสิ้นเรื่อง สมบัติแม่มันเป็นมรดก ถ้าแม่คุณยังอยู่ก็ไม่ควรเอามาใช้ เมียเจ้าของกระทู้ไม่น่าอิจฉาหรอกค่ะ ที่มีแม่ผัวดี เพราะ ต้องเป็นเมียนอกกฎหมาย มีลูกนอกกฎหมาย หาเงินเองไม่ได้ ผัวดูถูกเอามาว่าเสียๆหายๆ แถมยังมีผัวเฮง... จากคุณ : MyAiChan - [ 12 ธ.ค. 51 17:16:11 ]

ความคิดเห็นที่ 124 คห 123 ได้ใจมากๆค่ะ กู้ซื้อบ้านเองเถอะค่ะ ทางออกที่ดีที่สุด ให้แม่เก็บเงินไว้เถอะค่ะ คิดถึงผู้หญิงคนนึง วันๆอยู่บ้านเลี้ยงลูก ทะเบียนสมรสไม่มี ลูกตั้งขวบสามีเพิ่งจะเริ่มคิดเรื่องรับรองบุตร ตายๆๆ พอมีแววจะซื้อบ้าน สามีบอกขอใส่ขื่อน้องด้วย เป็นเรา เราก็เครียดนะคะ กว่าจะถึงวันใช้หนี้แม่คุณหมด อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ค่ะ ภรรยาคุณคงเหมือนชีวิตไม่มีที่ให้ยึดเหนี่ยวน่ะค่ะ กู้ซื้อบ้านเองเถอะค่ะ เงินใครก็ไม่ต้องเอามาเกี่ยว จากคุณ : lekumi - [ 12 ธ.ค. 51 19:10:58 ]

ความคิดเห็นที่ 125 เงินเก็บของคุณแม่ ไม่ควรแตะนะคะ เก็บไว้เผื่อฉุกเฉินดีกว่า ถึงแม้ว่า คุณแม่ จะอยากช่วย ไม่อยากให้เสียดอกเบี้ยก็เถอะ (ขอกราบคุณแม่คุณงามๆสักครั้งนะคะ คุณแม่ประเสริฐมากๆ) ส่วนเงินซื้อบ้าน คุณน่าจะยอมกู้เงินเองดีกว่านะคะ สบายใจกว่า เห็นใจภรรยาคุณด้วย คงรู้สึกขาดความมั่นคงในชีวิตตัวเองและลูก ทุกอย่างภรรยาดีหมด ก็อย่าทำให้เธอลำบากใจ และมองเธอในแง่ลบเลย กู้เงินซื้อบ้านเอง และโอนเป็นชื่อคุณและภรรยา น่าจะเป็นทางออกที่ดี อย่าไปเสียดายดอกเบี้ยเลยค่ะ ถือว่าซื้อความสบายใจให้ครอบครัวนะ จากคุณ : zarzia - [ 12 ธ.ค. 51 21:18:04 ]

ความคิดเห็นที่ 126 เงินของแม่ ให้แม่ไปเที่ยวให้สนุกดีกว่านะ โถ นะคนเป็นแม่เห็น ลูกลำบาก ยังอุตส่าห์ เอาเงินมาให้อย่างไม่ลังเล คุณควรจะรู้แล้วนะว่าต้องทำยังงัย ไม่เห็นต้องมาถามเลย ลูกผู้ชาย หาเองภูมิใจกว่าเยอะ นนนี่ไม่ชอบนิสัยแฟนคุณเลย นนนี่ไม่ชอบความคิดคุณด้วยถ้าคุณจะเอาเงินแม่มา แต่ นนนี่ คิดว่าคุณคงแยกแยะได้ว่าควรจะสรุปยังงัย นนนี่ เห็นด้วยกับ คห.123 คะ เอาใจช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยกับภัยเศรษฐกิจปีหน้านะคะ เอ๊า สู้ จากคุณ : นนนี่ - [ 12 ธ.ค. 51 23:24:12 A:124.121.29.63 X: TicketID:182041 ]

ความคิดเห็นที่ 127 เห็นด้วยกับ คห 103 กับ 123 ค่ะ ดีใจที่ไม่ได้เป็นแม่ แล้วมีลูกอย่างคุณ ดีใจที่ไม่ได้แต่งงาน แล้วเป็นเมียของคนอย่างคุณ ดีใจที่เป็นน้องสาว ที่ไม่ได้มีพี่ชายอย่างคุณ สรุปแล้ว คุณไม่ได้รักใครเลย คุณรักแต่ความสะดวกสบายของตัวเอง ดิฉันเป็นผู้หญิง ตัวคนเดียว ไม่มีคู่ ยังสามารถซื้อบ้านด้วยรายได้ตัวเอง จนกระทั่งผ่อนหนี้หมดได้ พอฟังกระทู้คุณแล้ว อยากถามคุณว่า แม่และน้องติดหนี้อะไรคุณ ถึงต้องชดใช้ให้ขนาดนี้ ไม่มีเงิน ก็ยังไม่ต้องซื้อ รู้จักการอยู่แบบพอเพียงหรือเปล่า กู้เองซิค่ะ ใส่ชื่อร่วมกัน 2 คน ร่วมรับทั้งทุกข์และสุข ทั้งสมบัติและหนี้สินไง ถ้าคุณเป็นอะไรไป เค้าก็คื่อคนคนเดียวกับคุณ ก็ต้องรับหนี้ต่อ ถ้าไม่กล้า แสดงว่าเค้าก็เป็นพวกหวังผลสบายเช่นเดียวกันกับคุณ คุณจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรอย่างภาคภูมิใจ คุณจะคิดอย่างไรเมื่อคุณอายุ 60 แล้วลูกชายคุณเป็นแบบคุณ ขอโทษที่พูดตรง แต่รับไม่ได้ค่ะ จากคุณ : ดับเบิ้ลดี (ดับเบิ้ลดี) - [ 13 ธ.ค. 51 00:03:30 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ชีวิตคู่จะไปจะรุ่งหรือร่วงอยู่ที่ความรักและการให้เกียรติกันและ กันนะคะ  คุณกับแฟนถึงจะไม่ได้แต่งงานแต่ก็อยู่ร่วมกันจน มีลูกก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน คุณเคยให้เกียรติหรือยกย่องเขาไหม หรือมองเขาเป็นแค่ภาระให้คุณหาเลี้ยงไปวันๆ  อะไรก็ตามที่ทำให้คุณหงุด หงิดลองคิดถึงความดีของกันนะคะ คิดถึงตอนที่คุณอยากได้เขาม๊ากมาก เข้าไว้  อิชั้นเชื่อเสมอว่าก่อนที่เราจะได้เกียรตินั้นมา เราต้องให้เกียรติ เขาด้วย เรื่องของคุณ คิดว่าคุณมีคำตอบในใจอยู่แล้วนะคะ เลือกเอาสัก ทาง ที่สำคัญอย่าให้เรื่องแค่นี้ทำให้ครอบครัวพัง ถนอมน้ำใจกันได้ก็ทำ เถอะค่ะ  ที่บ้านสามีเลือกผ่อนเอาเองเพราะสบายใจมากกว่า มีเงิน เยอะตอนไหนก็โป๊ะไปซะเดี๋ยวก็หมด อิชั้นไม่ยอมให้เงินพ่อแม่มาเอี่ยว เพื่อตัดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนนะคะ   ทุกคนมีสิทธิที่จะกลัว คุณเองก็เถอะอย่าเพิ่งมั่นใจตัวเองมาก เวลาเปลี่ยนใจคนก็เปลี่ยนนะ เอาง่ายๆเรื่องใกล้ตัวคงมีเยอะ นะคะ .. คุณรู้แหล่ะว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้แฟนเป็นอย่างนี้ อะไรคือสาเหตุที่ไม่ไว้ใจกันไม่ให้เกียรติกัน คุณแก้ไข มันหรือยัง ทะเลาะกันด้วยอารมณ์ยิ่งทำให้เรื่องบานปลายค่ะ จากคุณ : น้องหมาบีเกิ้ล - [ 13 ธ.ค. 51 01:57:11 ]

ความคิดเห็นที่ 129 เป็นแม่ และเมีย ที่เลี้ยงลูกอย่างเดียว ไม่ได้ทำงาน ขอแนะนำว่าให้กู้แบงค์ ยอมเสียดอก ตอนนี้ดอกเบี้ยขาลงค่ะ ชื่อบ้านเป็นของคุณและภรรยา ทำประกันชีวิตไว้ด้วยค่ะ ถ้าคุณเป็นอะไรไปอย่างน้อยลูกเมียก็มีบ้านอยู่ ให้น้องสาวอยู่บ้านด้วย พอแต่งงานค่อยย้ายออกไป เคสเราก็คล้าย ๆ จขกท แหละ เกือบ 4 ปีที่ผ่อนบ้านมา แต่ก็ใกล้หมดแล้ว จากที่ทำสัญญากู้ไว้ 30 ปี จากคุณ : ระแนงไม้ - [ 13 ธ.ค. 51 05:21:03 ]

ความคิดเห็นที่ 130 คนเขาจะปลอดหนี้ดันไปยุให้สร้างหนี้ ตกลงนี่แนะนำกันดีใช่ไหมครับ แม่เขาจะซื้อบ้านให้ลูกน้องสาวก็ใจดีเอาส่วนของตัวเองมาลงให้ไม่ดีหรือ รีบๆโอนเข้าชื่อพี่เองเร็วๆเถอะครับพี่ คนเรามีหลังคาคุ้มหัวเป็นชื่อของตัวเองดีเท่าไหร่แล้ว จะมีชื่อน้องร่วมทำดีๆกับเขาไว้ อีกสักสิบยี่สิบปีก็ขายแบ่งกันพี่น้องจะมีปัญหาอะไร คุณเมียก็ละโมภมักง่าย จะเอาให้ได้ทันใจ คิดว่าต่อไปคุณสามีจะไม่มีปัญญาหาของตัวเองหรือ ถึงตอนนั้นจะชื่อใครใครเขาจะไปว่าได้ จากคุณ : 555 - [ 13 ธ.ค. 51 10:01:46 A:116.58.231.242 X: TicketID:008482 ]

ความคิดเห็นที่ 131 ... อ่านมาเยอะตาลายหลายๆ.... มีหลายคห. ทำไมรุนแรงจังเลยอ่ะ กรณีนี้ แม่หวังดี และรักลูก (คุณเป็นพี่ใหญ่ของครอบครัว) เมียรักลูกและห่วงความมั่นคง น้องสาวไม่รู้อิโหน่อิเหน่(มันเป้นเรื่องของอนาคต) คุณเองตัดสินใจไม่ได้ แนะนำ ให้ ง่ายที่สุด แบ่งเงินแม่เป็น 4 ส่วน 2 ส่วนของคุณพ่อกับคุณแม่ อีก1 ส่วนของคุณและน้อง เอา 1ส่วนของคุณ ไปซื้อบ้าน ที่เหลือกู้เอา บ้านเป็นสินสมรส ให้ทำสัญญาแบบนั้น(ไม่รู้ได้ป่าว) ทีนี้น้องสาวคุณมาอยุ่ด้วยใช่มั้ย(ห่วงน้องสาว) ไม่ยากๆ เงินน้องสาวเก็บไว้ที่แม่ เงินที่น้องสาวจ่ายค่าเช่า เอามาช่วยโปะบ้าน จะทำให้ต้นลดเร็ว ผ่อนไม่นานมากคงหมด คุณคิดว่าผ่อนกี่ปีหมด เงินเดือนๆนึงเหลือเยอะมั้ย ถ้าไม่เยอะ เก็บไว้สำรอง เก็บส่งคืนแม่ ถ้าเยอะแล้วคิดว่าโป๊ะได้เร็ว ก็โป๊ะๆไป อย่าลืมสำรองเงินไว้เผื่อฉุกเฉิน ทีนี้เงินส่วนพ่อแม่ปล่อยไว้แบบนั้น ยกเว้นว่า กลัวอนาคตแย่ เอาเงินนั่นส่วนนึงทำประกันชีวิตให้พ่อแม่เอง จะให้ดีคุณก็ทำพินัยกรรมไว้ละกันเพราะบ้านคือสมบัติ คุณเป็นอะไรไปพินัยกรรมนั่นแหละ ที่จะให้ความยุติธรรมกับทุกๆคน โชคดีครับ ผมว่าแบบนี้น่าจะสบายใจทุกฝ่าย จากคุณ : iZARD - [ 13 ธ.ค. 51 11:03:10 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ในความคิดเรา น่าจะแบ่งเงินเป็น 3 ส่วน     ของแม่ เอาไว้ใช้เผื่อฉุกเฉิน     ของคุณเอง ก็แล้วแต่คุณว่าจะเอาไปทำอะไร     ของน้องสาว  ของน้องสาว คุณไม่ควรไปนำมาใช้  เพราะว่าระยะเวลาในการผ่อนบ้านนั้น  จะเกิน 5 ปีแน่ๆ  เกิดน้องสาวคุณมีแฟนมีครอบครัว  อยากซื้อบ้านจะได้มีก้อนนึงด้วย  ไม่ใช่คุณใช้ทั้งก้อนนั้นเสียหมด ส่วนที่คุณขาดอยู่ก็กู้แบงค์เพิ่ม  เมื่อน้องสาวมาอยู่ด้วย  ก็เก็บค่าเช่าตามปกติ    ถ้าเราเป็นน้องสาวคุณแล้วเริ่มเข้าใจว่าตัวเองคือส่วนเกินของครอบครัวคุณ  หรือหากได้ยินอะไรไม่เข้าหู  เชื่อว่าเค้าก็คงหาทางขยับขยายละมั้งคะ   คิดว่าแบบนี้ fair ที่สุดแล้วค่ะ จากคุณ : ช่อชะมวง - [ 13 ธ.ค. 51 12:58:35 ]

ความคิดเห็นที่ 133 เราเข้าใจแฟนคุณค่ะ  เราคิดว่าบ้านควรเป็นชื่อสองคนค่ะ คุณและแฟน   เงินของคุณแม่นั้นให้ขอมาเฉพาะส่วนที่เป็นของคุณ โดยกันส่วนให้แม่ใช้และของน้องสาวไว้   ถ้าคุณเป็นอะไรไปก็ถือว่าเงินส่วนที่แม่ให้มานั้นเป็นของหลานไป   เราไม่คิดว่ามันเป็นความผิดอะไรที่จะรับเงินในส่วนที่คุณแม่เตรียมไว้ให้คุณอยู่แล้วเพราะพ่อแม่ทุกคนก็หวังดีกับลูกทั้งนั้น ไม่ช่วยลูกแล้วจะไปช่วยใคร  สอง เราคิดว่าจะเป็นการช่วยภาระเรื่องดอกเบี้ยได้มาก  เงินส่วนต่างที่จ่ายดอกเบี้ยนั้นให้คุณแม่เป็นรายเดือนเพื่อตอบแทนคุณยังได้ประโยชน์มากกว่า  ส่วนน้องสาวจะจ่ายค่าเช่าหรือไม่ก็แล้วแต่ความเหมาะสมค่ะ   การตั้งต้นชีวิตถ้าทำเองได้ก็ดี  แต่ถ้าพ่อแม่ช่วยได้ไม่เดือดร้อนก็ถือว่าโชคดีมากขึ้นไปอีก  รักท่านให้มากๆนะคะ เข้ามาเพิ่มว่า อย่าลืมทำประกันชีวิตด้วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 51 20:02:49 จากคุณ : โม (Momotaji) - [ 13 ธ.ค. 51 19:56:21 ]

ความคิดเห็นที่ 134 เราว่าเอาเงินไว้ให้แม่เหมือนเดิมดีแล้ว กู้เงินจากธนาคารเถอะ จากคุณ : นู๋กำไร - [ 14 ธ.ค. 51 00:38:13 ]

ความคิดเห็นที่ 135 ผมว่า ถ้าผมเป็นคุณนะครับ.. ผมจะกู้เงินของแม่กับน้อง ตามความต้องการของท่านที่จะให้คุณไม่ต้องเสียดอกเีบี้ย และถ้าคุณผ่อนจ่ายทุกเดือนท่านก็มีเงินกินเงินใช้อยู่ดี ไม่น่าจะลำบาก และท่านก็คงจะมีความสุขที่สามารถให้คุณมีบ้านได้ แต่ผมจะใส่ชื่อแค่สองคนคือ ตัวเองกับน้องครับ แฟนคุณไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ช่วยผ่อน (ไม่ได้ทำงานยังปล่อยบ้านให้รกอีกหรือ..) อยากบ่นก็ปล่อยให้บ่นไป อย่าให้มีปัญหากับลูกก็พอแล้ว คุณน่าจะมีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดนะเพราะคุณเป็นคนหาเงินเพียงคนเดียว ลองคิดดูถ้าคุณเป็นอะไรไปจริงๆ ตอนนี้ขนาดแม่คุณออกเงินให้ทุกอย่าง แฟนคุณยังมองท่านในแง่ร้าย ถ้าคุณเป็นไรไป และบ้านเป็นของเขาคนเดียวคิดว่าเค้าจะแบ่งให้แม่คุณกับน้องคุณไหมครับ บางทีเราก็ต้องยืนหยัด ทำใจแข็งบ้างเพื่ออนาคตที่ดีกว่านะครับ ความรักที่มีให้แฟนกับความถูกต้องก็ต้องแยกกันครับ ขอให้โชคดีครับ จากคุณ : ยักคุง - [ 14 ธ.ค. 51 01:46:56 ]

ความคิดเห็นที่ 136 คิดผิดตั้งแต่เอามาเป็นเมียละครับ จากคุณ : เด็กผี ปีศาจแดง - [ 14 ธ.ค. 51 14:03:47 ]

ความคิดเห็นที่ 137 เราตอบในฐานะที่ท้องอยู่ด้วยนะคะ เรากับแฟนตกลงกันแล้วว่า พอลูกคลอดมา ซักขวบ เราจะเริ่มทำงานค่ะ แฟนคุณก่อนจะมีลูกทำงานรึป่าวคะ น่าจะทำงานช่วยกันนะ จากคุณ : remakamkaw - [ 14 ธ.ค. 51 23:15:07 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ดีใจจังที่สามีเราไม่ใช่คนใจแคบแบบนี้  สงสารก็แต่ภรรยาคุณจังโคตรซวยเลย นอกจากได้สามีแย่ๆแล้วยังต้องถูกเอามาประจานให้คนอื่นด่าอีก... จากคุณ : หนมโมจิ - [ 15 ธ.ค. 51 22:07:05 ]

ความคิดเห็นที่ 139 เขาไม่ได้ประจาน เขาแค่มาขอคำปรึกษา เขาไม่ได้ใจแคบ แค่พยายามหาทางออกที่ดีกับทุกฝ่าย โอนชื่อแม่ค่ะ เพราะภรรยาคุณก็โอเคเลย น้องก็โอเค คุณก็โอเค ทำประกันด้วยให้เมียให้ลูก (มันก็ต้องทำอยู่แล้วนี้เนอะ แค่จะให้ใคร) เอาเงินแม่คุณเถอะค่ะ ถ้าฉุกเฉินจริงๆ เชื่อว่าคุณก็มีให้ แล้วผู้สูงอายุ ปกติที่บ้านทำประกันสุขภาพไว้หมดนะ ตั้งใจผ่อนจริงๆจังๆ ไม่นานก็ครบล้านห้า (ครึ่งนึงของน้อง) ค่อยโอนมาเป็นชื่อคุณกับภรรยา (พาไป จดทะเบียนสักทีสิคะ ฟังดูเธอก็ดีทุกอย่ง ที่เป็นแบบน้อยู่เรื่องเดียว เหตุผลก็น่าจะเห็นๆกันอยู่ว่ากังวลใจเรื่องความไม่มั่นคง คนเป็นแม่คนแล้วจริงๆคงไม่ห่วงตัวเองหรอก ห่วงลูกมากกว่า) เคยมีคนบอกว่าที่เขาประสบความสำเร็จไม่ใช่เพราะเก่ง แต่มองเห็นทางเลือกมากกว่า แล้วเลือกทางที่ดีที่สุด จากคุณ : พริมภิพัทรา - [ 16 ธ.ค. 51 03:02:11 ]

ความคิดเห็นที่ 140 สงสารเมีย สงสารแม่ เราว่าบ้านใส่ชื่อลูกง่ายสุด จากคุณ : meddy - [ 16 ธ.ค. 51 10:13:20 ]

ความคิดเห็นที่ 141 ถ้าเป็นลูกผู้ชายพอ  ขอให้อย่าเอาเงินแม่กับน้องมาใช้นะคะ ขอให้ซื้อบ้านเองด้วยเงินตัวเอง และใส่ชื่อคุณ กับ ภรรยา ให้เธอได้รู้สึกมีความมั่นคงในชีวิตมั่ง อยู่ด้วยกันจนมีลูกแล้ว ถึงไม่ได้แต่งงาน แต่พฤตินัย ภรรยาคุณได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว ส่วนคุณหน้าทีสามีที่ดี ทำครบยัง รู้สึกยังไม่ได้ทำข้อ 1 กับข้อ 4 นะ เพราะทะบงทะเบียนก็ไม่ยอมจด  ความเป็นใหญ่ในบ้านก็ไม่มีให้ ยังเอาเธอมาด่าประจานในนี้อีก สุดท้าย จะบอกว่า อีตัวนอนให้คนเอา ยังได้ตัง นี่ภรรยาคุณ ต้องมานั่งเลี้ยงลูกให้คุณ ให้เอาฟรีๆ .. เรื่องแค่ไม่เอาเงินแม่มาซื้อบ้าน ทำรังแต่พอตัว ( ตามที่เธอเสนอ)และให้เธอมีส่วนร่วมในทรัพย์สมบัติที่คุณหามา ยังทำให้ไม่ได้เลยเหรอ   ______________________________ หมายเหตุ หน้าที่สามี (ที่พึงปฏิบัติต่อภรรยา).. 1. ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา – ประกาศฐานะความเป็นภรรยาให้ปรากฎ 2. ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยาม – ยกย่องชื่นชม ให้เกียรติ 3. ไม่ประพฤตินอกใจ – รักเกียรติและศักดิ์ศรีมีหนึ่งเดียว 4. มอบความเป็นใหญ่ให้ – ไว้วางใจ, มอบหมายให้ดูแลทรัพย์สินสมบัติในครัวเรือน 5. ให้เครื่องประดับ – มอบทรัพย์ให้เพื่อใช้จ่ายเสริมความงามตามวิสัยสตรี สรุปให้จำง่ายว่า.. ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา, ไม่ด่าดูหมิ่นประมาท, ไม่ลุอำนาจนอกใจ, มอบความเป็นใหญ่, ให้เครื่องใช้แต่งตัวฯ หน้าที่ภรรยา (ที่พึงปฏิบัติต่อสามี) .. 1. จัดการงานดี – จัดการภาระหน้าที่ให้เรียบร้อย ไม่คั่งค้างเป็นระบบระเบียบ 2. สงเคราะห์ญาติบริวารฝ่ายสามีดี – ไม่ใจจืด มีน้ำใจให้ความอนุเคราะห์ต่อญาติและบริวารข้างสามี 3. ไม่ประพฤตินอกใจสามี – มีความซื่อตรง, จงรัก, หนักแน่น, ไม่เป็นอื่น อันเป็นสาเหตุให้ครอบครัวร้าวฉาน-หย่าร้าง 4. รักษาทรัพทย์ที่สามีหามาให้ – อย่าเป็นถุงก้นรั่ว ต้องรู้จักเก็บงำ เพื่อควรามมั่งคั่งและมั่นคงของครอบครัว 5. ฉลาดและขยันในกิจการทั้งปวง – เข้าใจในหน้าที่และทำด้วยความเต็มใจเสียสละ ฯ สรุปให้จำง่ายว่า.. ตื่นก่อน, นอนทีหลัง, เฝ้าฟังรับใช้, ประพฤติถูกใจสามี, พาทีน่ารัก ฯ จากคุณ : cardiogenic - [ 16 ธ.ค. 51 14:45:27 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ใส่ชื่อลูกได้ค่ะ แต่ถ้าเลิกกันปัญหาจะตามมา ว่าแย่งชิงเป็น ผู้ปกครองเด็ก เพื่อจะได้ดูแลทรัพย์สินส่วนของเด็ก จนกว่าเด็กจะบรรลุนิติภาวะ ( แต่ดูไปดูมาอาจทำให้ทรัพย์สินหายไปได้)  ทั้งๆที่ไม่ได้มีความอาทรเด็กจริงๆ เราว่าถ้าจะซื้อจริงๆเอาเงินตัวเองซื้อและใส่ชื่อ สามีภรรยา ดีที่สุด จากคุณ : cardiogenic - [ 16 ธ.ค. 51 14:49:39 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ถ้าคิดว่าจะเก็บไว้ให้ลูก ยังไงลูกก็ได้ไม่ใช่เหรอคะ เพราะคุณต้องรับรองบุตรอยู่แล้ว ใส่เป็นชื่อคุณคนเดียวก็พอแร้ว จากคุณ : สุดท้ายด้วยรัก - [ 16 ธ.ค. 51 15:32:27 ]

ความคิดเห็นที่ 144 น่าสงสารภรรยาจขกท. ลองคิดถึงหัวอกคนที่ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกมั่งซิ ภรรยาคุณไม่ได้งกนะคะ เธออยากได้ชีวิต "ครอบครัว" อันหมายถึง "พ่อ แม่ ลูก" และเธอก็อยากได้ความมั่นคงในชีวิตค่ะ ถ้าคุณตายไป ภรรยาคุณจะเหลืออะไรบ้าง ลูกคนนึง ไม่มีงานทำ ไม่มีบ้านอยู่ ค่าเทอม ค่าเล่าเรียนลูกล่ะ คุณได้ให้อะไรเธอบ้างรึยังคะ ก่อนที่จะว่าเธองกน่ะค่ะ จากคุณ : pammap - [ 16 ธ.ค. 51 21:57:40 ]

ความคิดเห็นที่ 145 ดูแม่เจ้าของกระทู้ ไม่ไว้ใจเมียคุณเลยนะ ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสเพราะกลัวเรื่องมรดกรึเปล่า น่าสงสารลูกนอกสมรสที่มีพ่ออย่างคุณจริงๆ ถ้าคุณว่าเมียคุณขี้งก แม่คุณไม่ยิ่งกว่าหรอ สมเพชจริง จากคุณ : งง - [ 17 ธ.ค. 51 16:06:24 A:124.121.36.125 X: TicketID:197994 ]

ความคิดเห็นที่ 146 แล้วทำไมไม่คิดกลับบ้างล่ะค่ะ ถ้าคุณไม่อยู่แล้ว แล้วน้องคุณเขาจะเอาบ้านหลังนี้ ภรรยาคุณกับลูกคุณจะอยู่ยังไงคะ ข้างถนนเหรอ ? จากคุณ : MARTHERING - [ 17 ธ.ค. 51 16:53:18 ]

ความคิดเห็นที่ 147 กู้ซื้อเอง 2 คน สามีภรรยาเลยค่ะ ตัดปัญหาทุกอย่าง อยากมีบ้านก็ต้องมีปัญญาเอง ทั้งคู่สิค่ะ อยากได้เงินเค้า แต่ไม่ให้มีชื่อเค้า งง เลย หรืออยู่กันทั้งหมด ชื่อด้วยกันทั้งหมด ยังไงก็ครอบครัวเดียวกัน หรือว่า............. เกลียดกัน / ไม่รักกันอยู่แล้ว ระหว่างแม่-เมีย จากคุณ : พิมพ์ระพี - [ 17 ธ.ค. 51 16:54:18 A:116.68.151.50 X: TicketID:168185 ]

ความคิดเห็นที่ 148 ใส่ชื่อแม่ ก็ดีเนอะ.... เพราะผ่อนกลับแม่ คิดเทียบว่าแม่เป็นแบงค์ (แต่ดอกไม่ต้องจ่าย..จริงๆ ควรจ่ายนะ แต่จ่ายน้อยหน่อย ... แม่เราก็เคยกู้ยายมา ... แต่ก็ส่งดอกนะ เท่าดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งถูกกว่าดอกเบี้ยเงินกู้มากกกกกกก) ผ่อนหมดค่อยโอนเป็นชื่อคุณกับภรรยา..... จากคุณ : phefi - [ 17 ธ.ค. 51 18:05:07 ]

ความคิดเห็นที่ 149 เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออออออ ไม่จดทะเบียน สำหรับเรา ไม่ต้องมีเซ็กส์ จบ จากคุณ : แต่งงานคือ จดทะเบียน (kuddle) - [ 18 ธ.ค. 51 01:18:04 ]

ความคิดเห็นที่ 150 งง ทำไมไม่จดทะเบียน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนะครับ จากคุณ : vigor - [ 19 ธ.ค. 51 14:24:22 ]

ความคิดเห็นที่ 151 คุณแม่ของคุณเป็นคุณแม่ที่ประเสริฐมากค่ะ เงินเก็บของท่านให้ท่านใช้เมื่อจำเป็นเถอะค่ะ น้องสาวของคุณน่ารัก .. ช่วยแบ่งเบาภาระ ......................................................................................... ส่วนภรรยาคุณ.. เธอสละชีวิตอิสระ .. เพื่อมาดูแลลูกให้คุณค่ะ เธอทำงานเป็นคนรับใช้ซักผ้า ถูบ้าน รีดผ้า ทำกับข้าว .. ให้คุณค่ะ เธอมีXXXกับคุณ .. เพราะเธอรักคุณค่ะ ถ้าวันหนึ่งคุณต้องจากเธอไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร .. เธอจะอยู่อย่างไร??? ................................... คุณเป็นผู้ชาย เป็นผู้นำครอบครัว คุณต้องเข้มแข็ง ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ คิดถึงลูกให้มากๆ เขาต้องมีอนาคต อย่าท้อแท้นะคะ สู้ๆค่ะ  เพื่อลูก จากคุณ : pyada - [ 20 ธ.ค. 51 01:44:32 ]

ความคิดเห็นที่ 152 แนะนำให้ใส่ชื่อแม่ ผ่อนกับแม่ ผ่อนหมด ค่อยโอนเป็นของคุณ เมียคุณขาดความมั่นคง เธอคิดแบบนี้ก็ไม่แปลก น่าเห็นใจ เธอเสียโอกาสในการทำงานหารายได้ เพราะต้องมาดูแลครอบครัว ขอให้เข้าใจเธอบ้าง จขกท ไม่ได้ประจานเมียหรอก เพราะไม่มีใครรู้จัก แค่ขอความคิดเห็นเท่านั้น สุดท้ายแล้วไม่มีใครรักใครเกินกว่าตัวเองหรอก แม่คุณประเสริฐมาก จากคุณ : พลอยแหวนแสนสวย - [ 20 ธ.ค. 51 17:50:05 ]

ความคิดเห็นที่ 153 ถ้าไม่อยากเสียดอกเบี้ยมากก็หาเงินโปะแต่ละงวดเพิ่มได้ ธนาคารไม่บังคับนี่ ตามสัญญาสมมุติ 30 ปี เสียเดือนละ 1 หมื่น เราจ่ายงวดละ 2 หมื่นก็ได้ถ้าไหว เพราะส่วนเกินเอาไปตัดต้นโดยตรง ทำแบบนี้ได้ทุกเดือนไม่ถึง 15 ปีก็หมด เงินแม่ก็คือเงินแม่ หวังดีแค่ไหน ก็อย่ารับเป็นหนี้สบายใจกว่า อยากหมดหนี้ก็หมั่นโปะ แม่อายุมากแล้วให้ท่านใช้เงินของท่านหาความสุขบ้างเถอะ จากคุณ : ปริศนาไขกระจ่างแล้ว - [ 22 ธ.ค. 51 15:52:33 ]

ความคิดเห็นที่ 154 แต่เราคิดแปลกกว่าคนอื่นนะ   เราเห็นด้วยกับแฟนของคุณ ตอนนี้คุณกับแฟนกับลูกคือครอบครัวเดียวกันแล้ว การที่จะซื้อบ้านโดยใส่ชื่อน้องร่วมอยู่ด้วย แฟนคุณคงคิดว่า  ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเขา  คล้ายๆกับเห็นเขาเป็นคนอื่น ทางที่ดี คุณกู้ธนาคารดีกว่าค่ะ  อย่าเอาเงินแม่มาเลย   ทำครอบครัวให้เป็นครอบครัวค่ะ จากคุณ : ladymoonenjoy - [ 24 ธ.ค. 51 11:51:18 ]

ความคิดเห็นที่ 155 อ่านมาเยอะตาลาย ขอออกความเห็นบ้างดีกว่า คุณเป็นผู้ชายที่แย่มาก.. ไม่มีความเป็นผู้นำ มีแค่ความสามารถในการหาเงินมาใช้จ่ายเท่านั้น ที่ไม่จดทะเบียนกับผู้หญิง ก็บอกว่ามีปัญหาทะเลาะกันระหว่างคบกัน แล้วทำไมถึงปล่อยให้มีลูก ใครกันที่ลำบาก ไม่สงสารลูกเหรอ ต้องมาเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเรื่องสมบัติแบบนี้ ต่อไปคุณจะสอนลูกยังไง แม่คุณช่างประเสริฐนัก.. คนเป็นแม่ยังไงก็รักลูก ท่านทำงานหาเงินก็เพื่อลูกเราไม่เถียง แต่คุณเป็นผู้ชาย มีสองมือสองเท้าเท่าท่าน แต่ยังทำตัวเป็นภาระ แถมจะเอาเงินท่านมาอีก ...  ไม่คิดไว้ให้ท่านเก็บไว้รักษาตัวยามฉุกเฉินบ้างเหรอคะ????? ครอบครัวของคุณ ภรรยาถึงไม่ได้จดทะเบียนก็เป็นแม่ของลูกคุณ เรื่องซื้อบ้านน่าจะเป็นเรื่องภายในครอบครัวคุณเองมากกว่า ทำไมต้องให้แม่คุณเดือดร้อนด้วย .. อันนี้ไม่เข้าใจมาก ๆ  คุณไม่ประมาณตน ไม่ประมาณรายจ่ายของตัวเอง แต่อยากมีบ้าน? ทำไมล่ะ เราไม่เข้าใจ จริงๆ เช่าอพาร์ตเม้นท์อยู่เก็บเงินไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เสียหาย เฮ้ออออออออออออออออออ.. แถมมาเม้าว์ผู้หญิงออกอากาศแบบนี้อีก ขัดใจมาก ๆ เลยอ่ะ จากคุณ : iRiSyAuS - [ 24 ธ.ค. 51 12:49:52 ]

ความคิดเห็นที่ 156 ทำไมเราสงสารคุณผู้หญิงของบ้านนี้ก็ไม่ทราบได้  เป็นอารมณ์เบื้องลึกจริง ๆ เราคิดว่าอย่ารบกวนเงินแม่ท่านเลยค่ะ จากคุณ : biebie999 - [ 24 ธ.ค. 51 20:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 157 ขอโทษนะค่ะ  ที่ต้องพูดตรงๆ  แต่ความคิดคุณนี่แย่จริงๆ แม่คุณก็แก่แล้ว เอาเงินท่านมาหมดได้อย่างไร  ไม่เหลือให้ท่านใช้เผื่อฉุกเฉินเหรอคะ  คนแก่นะคะ  ... จุดนี้ใจร้ายมาก (ถ้ารุนแรงจะถามด้วยซ้ำว่าเคยให้เงินท่านใช้หรือเปล่า) กว่าคุณจะผ่อนคุณแม่หมด เงินที่ตอนนี้ซื้อบ้านได้สมมุติว่า 3 ล้านนะคะ   ถ้าคุณผ่อน 10 ปี  3 ล้านตอนนั้นอาจได้แค่คอนโด  เงินส่วนนึงคือมรดกน้อง ... จุดนี้เอาเปรียบน้องค่ะ  ถ้าฝาก bank ไว้ ได้ดอกเบี้ยเล็กๆน้อยๆ  น้องอาจได้ townhouse ค่ะ คุณว่าแฟนคุณงก  ที่จริงคุณนั่นแหละงก  ไม่ยอมเสียอะไรเลย  ไม่อยากเสียดอกเบี้ย  ไม่อยากเสียบ้านให้แฟน  ไม่อยากเสียสมบัติเลยไม่จดทะเบียน ... จุดนี้เอาเปรียบผู้หญิงค่ะ  อยากมีเมีย  อยากมีลูก  อยากมีคนทำงานบ้านให้  อยากมีคนซัก รีดให้  อยากมีคนทำอาหารให้  อยากมีคนเลี้ยงลูกให้ ... แต่อยากได้ทั้งหมดนั่นฟรี ลองกลับไปคิดอีกทีนะคะ  แต่ถ้าดิฉันเข้าใจอะไรผิดก็ลองให้ข้อมูลเพิ่มเติมมาละกันค่ะ จากคุณ : onishiwa - [ 26 ธ.ค. 51 00:50:51 ]

ความคิดเห็นที่ 158 คิดไรไม่ออก ถ้าจะเอาเงินของแม่มาจริงๆ ก็ทำเป็นสัญญาเงินกู้ โดยใส่ชื่อเจ้าหนี้เป็นชื่อของน้องสาวคุณ และให้ทั้งคุณและภรรยาของคุณเป็นชื่อลูกหนี้ โดยเอาบ้านหลังใหม่หลังนั้นเป็นตัวค้ำประกัน ถ้าสมมติคุณเกิดเป็นไรขึ้นมา น้องคุณก็จะสามารถได้เงินในส่วนนั้นคืนมาได้ แฟนคุณก็ไม่มีทางที่จะไม่คืนเงินก้อนนั้นให้กับน้องคุณแน่นอน เพราะว่างกบ้าน อิอิ จากคุณ : BeingBetter - [ 26 ธ.ค. 51 11:37:07 ]

ความคิดเห็นที่ 159 อย่าซื้อมันเลยค่ะ บ้านมันร้อนแล้ว อยู่แล้วคงไม่มีความสุขสงบ 1. คุณมีปัญหากับแม่ ต้องไป วุ่นวายกับเงินของท่านที่ท่านควรจะเก็บไว้ใช้ยามแก่ ซึ่งก็แก่แล้ว เวลาอยากไปเที่ยวจะได้ไปได้ ไม่ใช่ มานั่งขอเงินลูกอีก 2. คุณมีปัญหากับน้องสาว แม้เวลานี้ น้องจะไม่มีปากมีเสียง แต่อนาคตหากเค้ามีครอบครัว ย่อมคิดเช่นเดียวกับ หรืออาจจะคิดแบบแฟนคุณ 3. คุณมีปัญหากับแฟน เพราะอยากให้เป็นกรรมสิทธิ์ ของคุณ + แฟนเท่านั้น ธรรมดาของครอบครัวค่ะ ไม่อยากให้คนอื่น(ที่ไม่ใช่ตัวเอง และสามี) มายุ่ง เท่าที่อ่านมา เราว่าอย่าไปซื้อมันเลย คะ หรือถ้าคุณอยากซื้อจริงๆ หาเงินผ่อนกันเองไปดีกว่า ไม่มีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ และเรื่องเงินของคุณแม่คุณด้วย อาจจะหาบ้านราคาไม่สูงมากนัก แต่ถ้าเป็นเราเราเช่าดีกว่าสบายใจอ่ะ เรื่องอื่นไม่ขอวิจารณ์นะคะ จากคุณ : แก้วหนึ่งใบกับเบียร์สองขวด - [ 26 ธ.ค. 51 19:53:05 ]

ความคิดเห็นที่ 160 เพิ่งมาอ่าน .. ไม่รู้ยังทันหรือเปล่า .. -""- ..คุณไปเอาเงินของแม่มาได้ยังไง ??? .. พ่อแม่ ยังไงก็รักลูกมากกว่าตัวเองอยู่แล้ว .. เวลาท่านจะให้คุณ ท่านไม่คิดถึงตัวเองหรอก .. เป็นหน้าที่ของคุณต่างหากที่ต้องคิดถึงท่าน .. สมมติง่ายๆ เลย .. (ไม่ได้แช่งนะคะ) .. สมมติซื้อบ้านไปแล้ว 2-3 ปี .. อยู่ดีๆ แม่คุณเกิดป่วยเจ็บป่วย.. แล้วจังหวะซวย เป็นโรคที่ต้องใช้เงินเยอะๆ ขึ้นมา .. จะทำยังไง ??? คุณรู้มั้ยว่า บ้านที่มีคนป่วยต้องดูแล 1 คน .. ค่าหมอ ค่ายา ค่าดูแล ฯลฯ .. มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ??? คุณรู้มั้ยว่า ค่าทำศพคนแบบชาวบ้านปกติทั่วๆ ไป 1 คน .. แค่ค่าโลง ค่าของถวายพระ ค่าเช่าศาลา น้ำร้อนน้ำชาเลี้ยงแขก ฯลฯ .. มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ?? ลองไปบวกลบคูณหารดูว่า ทุกวันนี้ หลังหักค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าผ่อนบ้านที่คุณกำลังจะซื้อ ฯลฯ .. คุณเหลือเงินเก็บเดือนละเท่าไหร่ ?? อีกกี่ปีถึงจะมีเหลือเก็บเท่ากับที่คุณไปเอาเงินท่านมา  ??? ..   เกิดปุบปับต้องใช้ .. คุณมีปัญญาหามาคืนท่านเหรอ ?? ความมั่นคงในชีวิตครอบครัวของคุณ  คุณก็ต้องสร้างเองสิ อย่าไปรบกวนท่าน ..  -"- ชีวิตคนเราไม่แน่นอน ..  แม่คุณเหนื่อยมาทั้งชีวิต ท่านควรมีเงินส่วนนี้เก็บไว้ เป็นความมั่นคงในชีวิตบั้นปลาย .. ไม่ใช่เอาเงินที่หาเก็บมาทั้งชีวิตมาอุ้มลูกชายที่ไม่รู้จักโตแบบนี้ .. เราเห็นด้วยกับเมียคุณ .. ถ้ายังไม่มีปัญญา ก็ยังไม่ต้องซื้อ ค่ะ จากคุณ : แม่มดพันปี - [ 27 ธ.ค. 51 16:28:08 ]

ความคิดเห็นที่ 161 1.ซื้อบ้านด้วยตัวเอง 2.ให้ตังค์พ่อแม่ใช้ทุกเดือน ให้เวลาดูแลท่านด้วย 3.จดทะเบียนกับภรรยา ให้เกียรติเธอและให้เงินเธอ เพียงพอที่จะมีความเคารพตนเอง 4.ซื้อบ้านให้พ่อแม่ 5.คอยดูแล เป็นที่พึ่งน้องสาว 6.วางแผนการออมเพื่ออนาคตของลูก แต่คิดว่า จขกท.คงไม่มี ปญ. เพราะ คุณเป็นไอ่ห่วย โตจนมีลูกเมียแล้วยังต้องให้พ่อแม่มาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวอยู่อีก "คนเราไม่ว่าจะชนชาติไหน ผิวสีอะไร ก็จะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ Parent (P) พ่อแม่ Adult (A) ความเป็นผู้ใหญ่ Child (C) ความเป็นเด็ก พ่อแม่ เป็นส่วนสำคัญส่วนแรกในการที่จะเป็นมนุษย์ ต้องยอมรับว่ารูปแบบการเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนพ่อแม่ จะเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดไปยังลูก (ลูกไม่หล่นไม่ไกลต้นนั่นแหละ) พ่อแม่ จะมีทั้งเชิง + และ - พ่อแม่เชิงบวก จะถ่ายทอดบุคลิกภาพแบบ P+ ไปสู่ลูกได้ บุคลิกภาพในเชิง P+ จะเป็นเรื่องของจิตใจที่อ่อนโยน มีน้ำใจและเมตตากรุณา การให้ความเอาใจใส่ นึกถึงคนอื่นเสมอ ส่วน P- จะออกแนวเข้มงวด เกรี้ยวกราด ลูกก็จะกลายเป็นคนที่มีปัญหาไป ความเป็นผู้ใหญ่หรือ Adult คนที่มี A สูง จะเป็นผู้ที่มีเหตุผลสูง ความรู้สึกด้านอารมณ์ต่ำ ซึ่งพอโตมา A ก็จะสูงขึ้น แต่มากหรือน้อยขึ้นกับแต่ละคนและสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมขึ้นมา เราจะเห็นว่าบางครั้งเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ฐานะเท่ากัน เด็กบางคนมีเหตุผลมาก ขณะที่บางคนใช้แต่อารมณ์ ก็เป็นเพราะ A ในตัวเด็กนั้นต่างกัน ความคิดอ่านด้วยเหตุและผล ความซับซ้อนของการคิดก็จะต่างกัน นั่นคือความต่างของคน สภาพแวดล้อมก็มีผลด้วย เช่นบางคนเกิดมาอย่างสุขสบาย แต่บางคนเกิดมาแล้วต้องฟันฝ่าชีวิต ก็จะทำให้ A ในตัวของคนที่ลำบากนั้นสูงกว่าคนที่สบาย ความเป็นเด็กหรือ Child ไม่ได้หมายความว่าคนที่โตแล้วจะไม่มีความเป็นเด็ก คนทุกคนมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวทั้งนั้น มากหรือน้อยก็ขึ้นกับคน สภาพแวดล้อม แล้วก็พ่อแม่ด้วยว่าพ่อแม่มี P แบบไหน C จะแบ่งออกเป็น C+ และ C- C+ จะเป็นพวกที่มีความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ดี แจ่มใส มีความคิดที่ดี ซึ่งเป็นผลมาจากการมีพ่อแม่ที่มี P+ แต่ C- จะแบ่งได้ 2 อย่าง 1 คือ เด็กที่สู้ จะเป็นเด็กที่ต่อต้าน ไม่รับฟังใคร ตอบโต้แบบแรงมาแรงไป ออกแนวก้าวร้าว กับแบบที่ 2 คือสยบยอม ยอมทุกคน หลีกหนีทุกอย่าง เพราะโดนกดมาตั้งแต่เด็ก C- จะปรากฏในเด็กที่มีพ่อแม่แสดงพฤติกรรมในแบบ P- การที่เราจะเป็นคนที่มี Attitude แบบใด ขึ้นอยู่กับค่า C นี่แหละว่าเป็น + หรือ - ถ้าคนที่เป็น C+ ต่อให้สถานการณ์แย่แค่ไหน ก็จะคิดทำในสิ่งที่ดี แต่คนที่เป็น C- ต่อให้สถานการณ์ดีแค่ไหน ก็จ้องที่จะเอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าทำเพื่อคนอื่น การจะมีบุคลิกภาพที่ดี ต้องเล่นบท P A และ C ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ บุคลิกภาพ P ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่เท่านั้นที่มี คนที่ยังไม่เป็นพ่อแม่ ก็มี P สูงได้ และในบางเวลา A ก็ควรจะสูง แต่ในบางเวลา C ก็ควรจะสูงกว่า A เพราะ A บางทีทำให้เราดูเป็นคนที่ไม่น่าคบหาไป เช่นเป็นคนที่เคร่งเครียด มีเหตุผลเกินไป คนก็หนีหมด จึงต้องมี C สูงเป็นบางทีเพื่อให้คนอื่น ๆ รอบตัวรู้สึกว่าเราเองไม่ได้เครียดตลอดเวลา และในบางช่วงของการทำงาน C+ สูงๆ จะช่วยได้มาก เช่นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ใช้จินตนาการ เป็นต้น ก็ลองดูแล้วกันว่าทุกวันนี้ ระดับ P A C ของเราอยู่ในระดับไหน แล้วเราเองแสดงระดับอะไรมาก แล้วคนรอบข้างมีปฏิกิริยาต่อตัวเราอย่างไร สมควรเพิ่มตัวไหนหรือลดตัวไหนอย่างไรบ้างเพื่อให้คนรอบข้างและตัวเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม" http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nekima&month=11-2007&date=22&group=2&gblog=22 http://changingminds.org/explanations/behaviors/ta.htm จากคุณ : โต้ บ้านกุดขนวน - [ 28 ธ.ค. 51 01:15:47 ]

ความคิดเห็นที่ 162 เรื่องชื่อในกรรมสิทธิ์การซื้อบ้าน ถ้าเอาแฟร์ ๆ คงจะต้องใช้คุณกับน้องสาว เพราะแฟนไม่เกี่ยวค่ะ ไม่ได้ผ่อน พี่ชายน้องสาวที่รักกันมาก ๆ พอมีเมียแบบนี้ ก็เป็นแบบนี้แทบกทั้งนั้น มันเป็นตัวแปรอย่างหนึ่ง ที่ทำให้พี่น้องที่เข้าใจกันตลอดชีวิต รู้สึกไม่เหมือนเดิม ดิฉันเคยตกอยู่ที่นั่งเหมือนน้องสาวคุณ และยอมให้ใส่ชื่อพี่ชายกับภรรยา โดยไม่มีชื่อดิฉันทั้ง ๆที่มีเงินส่วนหนึ่งที่ซื้อบ้าน พี่สะใภ้ตัวดีไล่ดิฉันออกจากเกือบทุกวัน แต่ตอนนี้เลิกกันไปแล้วค่ะ เพราะพี่ชายทนไม่ได้ที่เห็นเมียโขกสับน้องสาว ที่เสียสละมาตลอด  น้ำเน่าก็เถอะ เรื่องจริงค่ะ จากคุณ : โมฬี - [ 29 ธ.ค. 51 15:38:55 ]

ความคิดเห็นที่ 163 ผมว่าปัญหาทั้งหมดมันเกิดจากปัจจัยต่อไปนี้ 1. ความหวาดระเเวงของภรรยาคุณที่มีต่อครอบครัวคุณ อีกทั้งที่เเม่คุณมีต่อภรรยาคุณ ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะคิดว่าปลอดภัยไว้ก่อน ยังไงก็เเล้วเเต่ 2. สิ่งที่ก่อให้เกิดบรรยากาศอย่างข้อ1มีที่มาจาก บางสิ่งบางอย่างที่ขัดเเย้ง ไม่ลงรอยมาตั้งเเต่เเรกเริ่ม ไม่เเน่บางทีคงจะมีปัญหาระหองระเเหงอย่างอื่นเกิดขึ้นระหว่างคุณ ภรรยาคุณเเละครอบครัวคุณก่อนที่จะซื้อบ้านหลังนี้ ปัญหาบ้านผมคงไม่ชี้เเนะคุณ เพราะผมคิดว่า คห.บนๆชี้เเนะมาเยอะเเล้ว ทั้งไร้สาระ มีสาระ หัวรุนเเรง หรือว่าประนีประนอม ไม่มากก็น้อย เเต่สิ่งที่ผมจะเเนะนำคุณก็คือ จงเเก้ไขในสิ่งที่ไม่กระจ่างตั้งเเต่ต้นเเล้ว ระหว่างภรรยาคุณกับครอบครัวคุณ  ปรับเปลี่ยนให้มันไปในทางที่ดีให้ได้ ทำให้มันชัดเจน สิ่งนั้นคือทัศนคติ ส่วนตัวผมเชื่อ คนรักกันต้องปรับจูนเข้าหากัน หยิบยื่นสิ่งดีๆให้กัน   เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะซื้อบ้าน ซื้อทัศนคติที่ดีต่อครอบครัวคุณให้ภรรยา เเละซื้อทัศนคติที่ดีต่อภรรยาคุณให้ครอบครัวคุณก่อน จะดีกว่าครับ จากคุณ : พายุคลั่ง - [ วันสิ้นปี 02:34:50 ]

ความคิดเห็นที่ 164 กรณีเรา  เราซื้อบ้าน  วางดาวน์ ๑ ใน ๓ อีก ๒ ใน ๓ แม่สามีจะให้  เพราะบอกว่าอย่างไร แม่ก็จะให้มรดกอยู่แล้ว เราบอกกับสามี และ แม่สามี (เราเรียกว่าแม่ นะ) เองว่า ขอไม่รับ เพราะ สามีมีน้องๆ น้องๆ มีลูกอีกหลายคน  ญาติอีกเยอะ อยู่ๆ จะมาให้มรดกสามี (และเรา) ก่อนคนอื่น  คงไม่ดีแน่ๆ แม่ก็บอก  ไม่อยากให้เสียดอกเบี้ย (แพงๆ) กับธนาคาร สุดท้าย  ตกลงกันที่ ๑ ใน ๓ กู้ธนาคาร อีก ๑ ใน ๓ ยืมแม่ (แบบไม่เสียดอกเบี้ย) แต่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร มีพยานลงชื่อ และ มีการบ่งอัตราค่าเงินเฟ้อในอนาคต สบายใจกันทุกฝ่ายค่ะ  และไม่มีญาติพี่น้องสามีมาว่า (สะใภ้อย่าง) เราได้ ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านอย่างสบายใจ  และขอบคุณในน้ำใจของแม่สามีค่ะ บ้าน เป็นชื่อ สามี และ เรา คิดว่า  บ้านมีตอนพร้อม (ทั้งเงิน และใจ) ดีกว่าค่ะ ถ้าเริ่มต้องทะเลาะ  ผิดใจกันซะขนาดนี้แล้ว  รอสักนิด ดีไหม อย่างเรา ซื้อบ้าน นอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว   ก็คิดว่า จะได้เป็นสมบัติของลูกในอนาคตด้วยค่ะ  จขกท. คิดถึงลูกบ้างหรือเปล่าคะ คู่เรา  ถ้าซื้อรถ - สามีเป็นคนเลือกและตัดสินใจ       ซื้อบ้าน - เราเป็นคนเลือกและตัดสินใจค่ะ ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็ช่วยกันดูนั่นแหละ  แต่ว่า แต่ละคนถนัดแต่ละอย่าง และใช้ตังค์กระเป๋าเดียวกัน  ช่วยกันจ่ายค่ะ จากคุณ : ต้นจั่น - [ 4 ม.ค. 52 02:47:09 ]

ความคิดเห็นที่ 165 ผมตามมาจากกระทู้แนะนำ โดยซาร่า เห็นใจคุณเหมือนกัน หลงรักไปแล้วนี่ กู้ธนาคารดีกว่าครับ ถ้าคุณทำงานต้องเสียภาษีเงินได้ เอาดอกเบี้ยกู้บ้านไปหักลดหย่อนได้ อย่ากวนแม่เลยครับ จากคุณ : พันละที - [ 4 ม.ค. 52 08:53:05 ]

ความคิดเห็นที่ 166 เห็นด้วยว่าน้องสาวคุณควรจะแยกกันอยู่ ใจเขาใจเราถ้าเธอเอาญาติมาอยู่บ้างล่ะ เราเองยังไม่อยากไปอยู่บ้านพี่ชายเลยมันไม่ส่วนตัว จะเดินแก้ผ้าในบ้านจะคุยหรือจะทำอะไรก็ทำไม่ได้ ไหนจะเพื่อนและแฟนน้องสาวอีก คุณเป็นพี่น้องกันใกล้ชิดคงไม่รู้สึกตรงนี้หรอก ส่วนเรื่องชื่อไม่เห็นด้วยที่คุณไปเอาเงินแม่กะน้องเขามา โดยเฉพาะเงินน้องผู้หญิงตัวคนเดียว คุณเป้นผู้ชายหาเองได้กู้แบงค์ 20-30 ปี จะเสียดอกเพิ่มเท่าไหร่กัน เป็นเรานะแฟนอยากให้ใส่ชื่อเขาใส่ไปเหอะ ถึงจะมีสิทธิ์แต่ก็มีหนี้ร่วมกันมันจะสมดุลกันเอง จากคุณ : GetCha - [ 4 ม.ค. 52 16:44:53 ]

ความคิดเห็นที่ 167 ทำไมพวกคุณๆคิดมากกันจัง พี่สาวเราซื้อบ้านโดยแม่ออกให้ครึ่งหนึ่งทั้งๆที่เป็นเงินเก็บของพ่อกับแม่ตอนเกษียณ พวกเราพี่น้องยังไม่ว่าอะไรกันเลย แม่ก็ไม่ตั้งเงื่อนไขว่าต้องใส่เป็นชื่อพวกเราด้วย ความไว้ใจเป็นสิ่งสำคัญนะคะ จริงมั้ย จากคุณ : ไม่เข้าข้างใคร - [ 9 ม.ค. 52 22:51:58 A:123.220.87.230 X: TicketID:200441 ]