ความคิดเห็นที่ 1 tv บ้านเราออกส่งสัญญาณด้วยระบบ PAL มาตรฐานสัญญาณภาพระบบ PAL คือ 720 x 576 pixel อ๊ะ... มันก็เท่ากับความละเอียดของ DVD นะซิ.. แต่ทำไมดู dvd แล้วรู้สึกว่ามันชัดกว่าดู tv นั่นก็เพราะสถานีโทรทัศน์เขาไม่ได้ส่งสัญญาณภาพมาที่ 720 x 576 เขาบีบอัดสัญญาณลง เพื่อลดการใช้ bandwidth ในการส่งสัญญาณภาพ นำ bandwitdth ที่มีอยู่อย่างจำกัดไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น และทำให้การขยายสถานีส่งสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ออกอากาศทำได้ง่ายขึ้น ย้อนกลับไปสมัยที่มีแต่จอแก้ว สถานีโทรทัศน์ในอังกฤษหลายสถานี (ซึ่งใช้ระบบ PAL เหมือนบ้านเรา) ส่งสัญญาณออกอากาศที่ 288i อันเป็นความละเอียดเท่ากับสัญญาณของ vcd ปรากฎว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับได้ จึงเชื่อได้ว่า สถานีโทรทัศน์อื่นๆก็คงสัญญาณที่ความละเอียดประมาณนี้แหละ 352 x 288 pixel ก็นับว่าแย่พอดูแล้ว ด้วยเหตุผลคล้ายๆกันนี่แหละ เคเบิลทีวีบางแห่งก็ลดความละเอียดภาพลงไปอีก เพื่อนำ bandwidth ที่มีอยู่จำกัด ไปใช้ในการเพิ่มจำนวนช่องให้มากขึ้น เดี๋ยวอีกสักพักเราจะมาดูกันว่า ประเทศอื่นๆเขาแก้ปัญหานี้กันด้วยวิธีใด แล้วบ้านเราจะมีใครมาแก้ไขปห.นี้หรือไม่ ขอเบรค ไปทำอย่างอื่นก่อนครับ :) จากคุณ : Rainmaker - [ 21 มี.ค. 52 20:27:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ให้ไว นะท่าน รออยู่ จากคุณ : Noonoina - [ 21 มี.ค. 52 20:56:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณมากค่ะ เป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากเลย รออ่านต่อด้วยคนนะคะ จากคุณ : ภาษาดาว - [ 21 มี.ค. 52 21:39:31 ]

ความคิดเห็นที่ 4 รอชมครับ ผมซื้อ LCD 47" Full High มา แหมจอมันใหญ่สะใจซะไม่มี แต่ภาพนี่สิ ขนาดรับด้วยจานดาวเทียมระบบ C-Band แล้วนะ บางช่องบางรายการภาพก็แจ๋วเลย แต่บางช่องบางรายการนี่ภาพเน่าสุดๆ ผมว่าถ้าหวังจะดูทีวีให้เป็นที่น่าพอใจ(ไม่ผิดหวังมาก) ก็น่าจะเป็น Plasma 42" ครับ ใหญ่กว่านี้ภาพจะหยาบมากจนเสียอารมณ์ จากคุณ : ss2498 - [ 21 มี.ค. 52 21:52:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 หงะ.. โทษทีครับ.. ต้องใช้เวลานิดนึง ข้อมูลมันเยอะ พยายามเรียบเรียงให้สั้นและกระชับที่สุด ---------------------------------------------------- จริงๆแล้วสถานีโทรทัศน์และเคเบิลทีวีบ้านเราได้มีการปรับปรุง-พัฒนาการส่งสัญญาณมาแล้วหลายครั้ง แต่เป็นการปรับปรุง-พัฒนาเพื่อประโยชน์ของสถานีโทรทัศน์เสียเป็นส่วนใหญ่ ผู้บริโภคได้รับส่วนบุญมาเพียงเล็กๆน้อยๆ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จริงๆกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ จะว่าไปแล้วมันเกิดขึ้นในบางประเทศไปแล้วด้วยซ้ำ แต่.. กำจริงๆ... บ้านเราไม่มีวี่แววของเรื่องนี้ให้เห็นเลย ปี 1996 สภาคองเกรสของสหรัฐออกร่างแผนงานปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการส่งสัญญานโทรทัศน์จากระบบอนาล็อคเป็นดิจิตัล ระบบการส่งสัญญานโทรทัศน์แบบใหม่นี้เรียกว่า Digital Television หรือ DTV (อย่าสับสนกับระบบการออกอากาศแบบ Digital Video Broadcasting - Terestrial หรือ DVB-T ที่เราใช้อยู่นะครับ) ข้อดีหลักๆของ DTV คือสามารถส่งสัญญาณหลายรูปแบบไปบนช่องสัญญาณเดียวได้ เช่น ภาพยนตร์ 2 format ทั้ง 640 x 480 (4:3) และ 1280 x 720 (16:9) เลือกฟังเสียงได้หลายภาษา เลือก sub title ได้หลายภาษา ที่น่าสนใจมากๆคือสภาคองเกรสเขาแต่งตั้งหน่วยงานลงมาดููแลโครงการนี้อย่างใกล้ชิด และไม่ใช่สหรัฐเพียงประเทศเดียวเท่านั้น มีการประชุมหารือกันทั่วโลก ที่จะให้การออกอากาศสัญญาณโทรทัศน์เป็นมาตรฐานเดียวกัน กองงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กกช)  ของบ้านเราก็เข้าร่วมประชุมกับเขาด้วยเหมือนกัน ขอเวลาเรียบเรียงนิดนึง.. เดี๋ยวจะมาบอกว่า ประเทศอื่นเขาตอบรับอย่างไรและบ้านเรามีแนวโน้มว่าอย่างไร จากคุณ : Rainmaker - [ 21 มี.ค. 52 22:00:46 ]

ความคิดเห็นที่ 6 รอฟังอยู่นะครับ คุณ Rainmaker น่ารู้มากๆ ครับ จากคุณ : หนูเอว - [ 21 มี.ค. 52 22:18:51 ]

ความคิดเห็นที่ 7 น่าอิจฉาประเทศที่พัฒนาแล้ว รัฐบาลเขาลงมาดูแลผลประโยชน์ของประชาชนอย่างใกล้ชิด ไม่ได้ปล่อยไปตามมีตามเกิด แล้วแต่นายทุนเจ้าของสถานี มาดูตย.การทำงานของหน่วยงาน Federal Communications Commission หรือ FCC ของสหรัฐว่าเขาทำยังไง กกช.ลองไปศึกษาดูบ้างก็ดีนะครับ ขั้นแรก FCC ออกกฎหมายบังคับให้โทรทัศน์ทุกเครื่องที่ผลิตหรือนำเข้า ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2007 จะต้องมีภาครับสัญญาณระบบดิจิตัล และให้ติดป้ายระบุว่ามีภาครับสัญญาณระบบดิจิตัล (Digital Tuner Built-In) ส่วนโทรทัศน์รุ่นเก่า (ค้างสต็อก) ที่ไม่มีภาครับสัญญาณระบบดิจิตัลให้ติดป้ายระบุว่าไม่มีภาครับสัญญาณระบบดิจิตัล และร้านค้าต้องติดป้ายบอกกับลูกค้าให้รู้ว่า "การส่งสัญญาณอนาล็อคจะยุติลงในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2009 ลูกค้าคนไหนที่ซื้อโทรทัศน์แบบไม่มีระบบรับสัญญาณดิจิตัล จะต้องซื้อกล่องแปลงสัญญาณมาติดเพิ่มเพื่อรับสัญญาณโทรทัศน์ระบบใหม่" เวง... หลายคนคงคิด.. FCC เล่นออกกฎหมายอย่างนี้ คนที่มีโทรทัศน์มาก่อน 1 มีนาคม 2007 ก็ซวยอ่ะดิ ไม่ครับ FCC เขามีวิธีแก้ไข ช่วยเหลือ ทุกๆครัวเรือนมีสิทธิขอรับคูปองมูลค่า 40 ดอลลาร์ ครอบครัวละไม่เกิน 2 ใบ นำไปเป็นส่วนลดแลกซื้อกล่องแปลงสัญญาณดิจิตัล --> อนาล็อคมาติดโทรทัศน์รุ่นเก่า แต่แน่ละ มันก็มีคนหัวหมอ กลัวขายโทรทัศน์รุ่นเก่าไม่ได้ ติดป้ายที่มีข้อความกำกวม เช่น Digital Monitor (แปลว่ามีแต่จอภาพ ไม่มีภาครับสัญญาณโทรทัศน์) หรือ HDTV Ready หรือ Digital Ready (แปลว่ารองรับสัญญาณดิจิตัล แต่ไม่มีภาคสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิตัล ต้องไปซื้อมาใส่เอง) อันนี้ก็เหมือนกับหลายๆร้านในบ้านเรานั่นแหละ หาช่องดิ้นไปเรื่อย -..-" จากนั้น FCC ก็ออกกฎหมายบังคับสถานีโทรทัศน์ทุกแห่งต้องส่งสัญญาณระบบดิจิตัลเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2009 ก็เป็นอันว่าอีกไม่ถึง 3 เดือน ในสหรัฐก็จะใช้การส่งสัญญาณโทรทัศน์แบบ DTV ทั่วประเทศ และไม่มีการส่งสัญญาณโทรทัศน์แบบอนาล็อคอีกต่อไป คนที่มีโทรทัศน์รุ่นเก่าสามารถรับสัญญาณ SD (640 x 480, 4:3) ได้เช่นเดิม (ผ่านภาครับสัญญาณระบบดิจิตัล) คนที่มี LCD, Plasma ก็ดูช่องเดียวกันแต่เป็นสัญญาณ HD (1280 x 720p หรือ 1920 x 1080i, 16:9 ) ระบบเสียง 5.1 ch. อิจฉาๆๆๆๆ... แล้วประเทศอื่นละเป็นยังไง แล้วบ้านเราจะเป็นยังไง?.. เดี๋ยวมาตามดูกันต่อ.. จากคุณ : Rainmaker - [ 21 มี.ค. 52 22:57:18 ]

ความคิดเห็นที่ 8 รอฟังอยู่เช่นกันครับ :) แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 52 23:00:06 จากคุณ : COLORS - [ 21 มี.ค. 52 22:59:44 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่ออสเตรเลียก็ออกอากาศเป็นดิจิตอลครับ สามารถดูข่าว หรือบางรายการ มี Subtitle ให้เราได้ดูด้วย เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ภาษาอ่อนแอในเบื้องต้นอย่างผมเป็นอย่างมาก ขอบอกว่า ดูทีวี ชัดมากกกกก.... จากคุณ : ชายทะเล - [ 21 มี.ค. 52 23:15:07 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อย่างที่บอกไว้ละครับ.. สหรัฐไม่ได้มุบมิบทำ DTV คนเดียว มีการติดต่อกับทุกประเทศ เพื่อวางระบบการส่งสัญญาณแบบใหม่ให้เหมือนกันทั่วโลก สหรัฐไม่ใช่ประเทศแรกที่ออกอากาศระบบ DTV ลักแซมเบิร์กเป็นประเทศแรก ออกอากาศเมื่อ 1 กย. 2006 หรือเกือบ 3 ปีมาแล้วครับ ตามด้วย ฟินแลนด์ แอนดอร์ร่า เยอรมานี และสวิสฯ เมื่อปี 2007 มีอีกหลายสิบประเทศครับ ที่ตอบรับระบบ DTV แต่มาโฟกัสกันในทวีปเอเชียดีกว่า ดูซิว่ามีประเทศไหนบ้าง ญี่ปุ่น คาดว่าจะออกอากศ DTV เต็มรูปแบบในวันที่ 24 กค. 2011 ฮ่องกงและเกาหลีใต้ ประมาณ 2012 จีน มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ประมาณ 2015 โอ.. มายก็อด... ไม่มีประเทศไทย ไหงเป็นยังงั้นละครับ กกช.????? ท่านก็ร่วมประชุมกับเขาด้วยเหมือนกันไม่เหรอ???? (อ้างจากวิทยานิพนธ์ Digital television in Thailand (2006-2007) โดยคุณ Sikares Sirakan, Macquarie University, Australia) ท่านที่สนใจอ่านวิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม ตาม link ไปตามนี้ครับ (ยาวสักนิด 375 หน้า) http://www.researchonline.mq.edu.au:9080/vital/access/manager/Repository/mq:3003 นั่นแหละครับคือสาเหตุว่าทำไมบ้านเรา LCD, Plasma ถึงดู free TV ไม่ชัดเลย และวิธีแก้มันมี แต่ไม่มีคนทำ เกิดเป็นคนไทยก็ต้องทำใจแหละครับ (ภาพประกอบจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Digital_television ) จากคุณ : Rainmaker - [ 21 มี.ค. 52 23:47:50 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ความรู้อย่างงี้ต้องโหวต.... จากคุณ : หมึกสด - [ 22 มี.ค. 52 02:28:09 ]

ความคิดเห็นที่ 12 โหวตให้ครับ จากคุณ : SuperCrazyBoy - [ 22 มี.ค. 52 08:30:14 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ญี่ปุ่น คาดว่าจะออกอากศ DTV เต็มรูปแบบในวันที่ 24 กค. 2011 ฮ่องกงและเกาหลีใต้ ประมาณ 2012 จีน มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ประมาณ 2015 โอ.. มายก็อด... ไม่มีประเทศไทย แบบนี้เราสามารถเคลื่อนไหวเพื่อกดดันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บ้างไหมครับ จากคุณ : ss2498 - [ 22 มี.ค. 52 11:47:50 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมซื้อมาก็ชัดนิครับ โซนี่ 42 นิ้ว ต่อกับ true จากคุณ : พี - [ 22 มี.ค. 52 13:39:42 A:117.47.89.178 X: TicketID:185294 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เคยอ่านจากที่ไหนมาไม่แน่ใจ บอกว่า ที่เกาหลีใต้ไม่มีแผ่นหนัง VCD ขาย ต่ำสุดจะเป็นแผ่น DVD โห.... แต่บ้านเรายังมีขายอยู่เพียบ ต่ำสุดเห็นขายแผ่นละ 9 บาท ภาพเน่าสุดๆ จากคุณ : bookiekid - [ 22 มี.ค. 52 14:03:43 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อย่างว่าเป็นคนไทยต้องทำใจ........ ดูรถไฟบ้านเราสิ   นั่นแหละสะท้อนการพัฒนาการของบ้านเราได้อย่างดี ดูละครไทยสิ บทสะท้อนความไร้สาระ ได้ชัดเจนมาก ทำใจครับ....ทำใจ จากคุณ : antonio_o - [ 22 มี.ค. 52 14:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 17 รู้สึกว่าที่เกาหลีใต้ ถ่ายทอดสัญญาณละครเป็นจอwideแล้วนะ ดูซีรีย์เกาหลีด้วยจอพลาสม่า เต็มจอ โดยไม่ถูกยืดออกแบบอ้วนเตี้ยเลย จากคุณ : antonio_o - [ 22 มี.ค. 52 14:12:27 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ ^ ถูกต้อง   พักหลังซื้อ Series เรื่องใหม่ๆ ของเกาหลี (ที่ไม่มีฉายในไทย) จากตลาดท่าขี้เหล็กมาดู  เต็มจอ  สัดส่วนถูกต้อง  แถมชัดด้วย  สะใจมาก จากคุณ : captainnim - [ 22 มี.ค. 52 15:18:02 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่รู้เกี่ยวกันมั้ย แต่เกาหลีกับญี่ปุ่นเค้ามี hdtv ดูกันมานานแล้ว ชอบจัง ขนาดเอามาดูกับทีวีบ้านเรา มันยังชัดกิ๊กๆ เลย เมื่อไหร่... บ้านเราจะได้งี้บ้างนะ จากคุณ : amuro4ever - [ 22 มี.ค. 52 15:57:08 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตามมาโหวตครับ กระทู้ความรู้มากๆ จากคุณ : saengchot - [ 22 มี.ค. 52 16:52:43 ]

ความคิดเห็นที่ 21 กัดกันทั้งใน และ นอก สภา จะเอาเวลาที่ไหน ไปทำละครับ พี่น้อง ปัญหา พื้นฐานยัง แก้ไม่ได้เลย แล้ว ระบบ ภาพคมชัดน่ะ เหรอ กทช เป็นหน่วยงานที่รวบรวมคนเก่ง หลายๆ อย่างมารวมกัน "แต่" ต้องไม่มีความรู้ หรือ เคยดำำรงตำแหน่งที่เกี่ยวกับ การ โทรคมนาคม หรือ การสื่อสาร ตามรัฐธรรมนูญ ทำไมหรือ !!!????? เพื่อป้องกัน ข้อครหาที่ว่า "Conflict of interest" ยังไงครับ อันนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นข้อดี แต่หากจะมองในลักษณะข้อเสีย แน่นอน ตัวแทน ที่เป็นกทช เหล่านี้ ก็ไม่มีความรู้ พื้นฐาน เกี่ยวกับ ระบบนี้เลย การพัฒนาอย่างที่เราคาดหวังไว้ ก็อาจจะเกิด แต่ ล่าช้า และ ล้าหลังกว่าประเทศอื่นๆ อันนี้ก็ต้องทำใจ   น่าเศร้าครับ เำพราะผมคิดว่า แม้รัฐธรรมนูญ จะมีความตั้งใจไม่ให้เกิด Conflict of Interest หรือ ผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ เชื่อว่า ไม่ว่า อาชีพใด สาขาใด เข้ามา ก็ย่อมหนีไม่พ้น การโกงกิน เหล่านี้ได้ เพราะมันเป็นวัฒนธรรมองค์กร การเมืองไทยไปซะแล้วตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอโทษที่นอกเรื่องครับ ....... แต่นี้ คือความเป็นจริง ! แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 52 18:19:48 จากคุณ : NPM - [ 22 มี.ค. 52 18:19:01 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ใช้จอแก้วดีก่า ชัดชัวร์ จากคุณ : thaiMBA - [ 22 มี.ค. 52 19:45:55 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ก็น่าเห็นใจทั้งสองฝ่ายอ่ะ ฝ่ายที่ซื้อ LCD ไปแล้วก็สมควรที่จะได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนคนที่ไม่สนอย่างผม ก็ไม่อยากให้โดนบังคับให้เปลี่ยน TV หรือต้องจ่ายอะไรเพิ่มเพื่อให้ดู TV ได้เหมือนเดิม หรือเอาเงินภาษีไปจ่ายให้สถานี TV เพื่อบังคับให้เปลี่ยนเป็นระบบใหม่ เพราะ TV บ้านเราเครื่องนึงใช้กันเป็นสิบปี ไม่ได้เปลี่ยนบ่อย ๆ เหมือนหลายประเทศ แต่ก่อนอื่น คนที่ซื้อ LCD TV ควรได้รับการเตือนนะครับ ว่าซื้อไปแล้ว จะเอาไปดู TV หรือ UBC ไม่ชัดเท่า CRT (จอแก้ว) และคนที่ซื้อ PLASMA หรือ OLED ก็ควรได้รับการเตือนเรื่องอายุการใช้งาน และแน่นอน ควรออกกฎบังคับเรื่องการ สำรองอะไหล่ ว่าถ้าผู้ผลิต/จำหน่าย ไม่สามารถจัดหาอะไหล่สำรองภายในระยะเวลาที่กำหนด เป็นต้นว่า -เกิน 30 วัน มีค่าปรับ 1% ของราคาที่ซื้อ/วัน -เกิน 45 วัน มีค่าปรับ 2% ของราคาที่ซื้อ/วัน -เกิน 90 วันต้องรับซื้อคืน -ควรกำหนดข้อบังคับเรื่องของการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ อาจให้มีองค์การกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ เก็บค่ากำจัดทันทีที่ซื้อสินค้า เช่น ซื้อ MP3 เก็บ 50 บาท ซื้อ TV เล็ก เก็บ 200 TV ใหญ่ 500 ถ่านไฟฉาย 5 บาท มือถือ 100 บาท ที่ต้องเป็นองค์กรกลางเพราะว่า ถ้าปล่อยให้ผู้ผลิตจัดการ ถ้าเกินมันเสียตอนที่ บ.ไม่อยู่ในไทยแล้วอย่างเช่น  Motorola แล้วจะให้ใครทำ และ ทั้ง LCD และ PLASMA ควรมีการเตือนถึงสีสันที่ได้ที่ด้อยกว่าจอแก้วแน่นอนอยู่แล้ว ส่วนตัวผม อยากได้ TV ที่มีช่องมากขึ้น มากกว่า ความคมชัดนะครับ ว่าแต่ ถ้าเปลี่ยนเป็นการออกอากาศระบบ Digital เราจะได้อะไรเพิ่มขึ้นบ้างนอกจาก  HDTV   (ซึ่งผมไม่เห็นด้วยอย่างมาก ถ้าจะออกกฏหมายบังคับ ให้ต้องออกอากาศเป็น HDTV ควรให้เป็นไปตามกลไกตลาด ถ้าตลาดต้องการเป็นจำนวนมากพอ เขาก็ต้องทำออกมาเอง) -ส่งจำนวนช่องได้มากขึ้นไหม -ส่งได้ไกลขึ้นหรือเปล่า -ระบบดิจตอล สามารถทำให้มี TV ประจำจังหวัด ประจำมหาวิทยาลัย หรือ TVชุมชนได้บ้างไหม -Interactive ได้บ้างไหม เช่น สามารถโหวตได้ผ่าน TV เลย -เจ้าเครื่องแปลงสัญญานนี่ มีกี่แบบ มันตัวละเท่าไหร่บ้าง -TV ที่มีเจ้านี่ติดมา มันราคาเพิ่มขึ้นมากไหม -สัญญาน Digital ที่ใช้ออกอากาศ เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกหรือไม่ ถ้าไม่ มีกี่แบบ อะไรบ้าง รูปแบบสัญญานสามารถรองรับอนาคตได้กี่ปี เพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ จากคุณ : นายทองขาว - [ 22 มี.ค. 52 21:06:53 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ที่อังกฤษในเมืองใหญ่ๆ เค้าก็ยกเลิกระบบอนาล็อคมาได้ 2 ปีกว่าๆ แล้วหล่ะครับ  ภาพคมชัดมากๆ แถมเต็มจอ wide อีกต่างหาก  แต่ข้อเสียของอังกฤษก็คือ ทีวีทุกเครื่องต้องเสียค่าดู ไม่เช่นนั้นแล้ว ดูทีวีอยู่ดีๆ ก็จะมีตำรวจมาเคาะ แล้วก็ปรับแพงเสียด้วย (ขนาดใช้เสารับธรรมดานะ ไม่ใช่จาก cable) จากคุณ : a cup of coffee - [ 22 มี.ค. 52 21:18:11 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ^ ^ นั่นเขาเก็บไปให้ TV สาธารนะ หรือสำนักข่าว BBC ไม่ใช่เหรอครับ ไม่ใช้แค่ TV นะครับ อุปกรณ์ใด ๆ ที่รับสัญญาน TV ได้ ไม่ว่าจะจะเป็นมือถือ PC หรือ Notebook ก็ต้องจ่ายด้วย แพงใช่ย่อย จากคุณ : นายทองขาว - [ 22 มี.ค. 52 22:11:32 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เรื่อง DTV นี่อยากเล่าจัง (เมื่อสองปีที่แล้ว) ครั้งนึงผมเคยไปดูงานที่ช่อง 7 ..ช่วงที่พี่หัวหน้าฝ่ายเทคนิคเปิดให้สอบถาม ผมก็ถามไปว่าแล้วทางช่อง 7 มีความคืบหน้าไปสู่ระบบ Digital TV/ Hi-Def TV อย่างไรแล้วบ้าง และอีกกี่ปีจะมีโอกาสออกอากาศ ปฏิกิริยาตอบสนอง รวมถึงน้ำเสียงของพี่คนนั้นหลังจากฟังคำถามจากผม ทำให้ผมอึ้งไปเลย เขาถามผมกลับ(เหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องลับสุดยอดของช่อง 7) ว่า "แล้วน้องไปรู้เรื่องนี้มาได้ยังไง" "ทำไมถึงรู้เรื่อง HDTV ได้" ฯลฯ คือ....(เหงื่อตกสามหยด) ...จริงๆ ต้องบอกว่ารู้กันทั่วโลกหล้าว่าทีวีได้พัฒนาไปสู่ Digital TV แล้ว ตอนนี้ประเทศพัฒนาจะใช้กันทั้งโลกแล้ว ในพันทิบก็พูดถึงบ่อย อีกอย่างใครสนใจทางด้านนี้ก็ต้องรู้อยู่แล้ว (แหงอ่ะ) แล้วมันจะแปลกยังไงครับ อีกอย่างซักวันช่อง 7 ก็ต้องเปลี่ยนไปสู่จุดนั้นซักวันแน่ๆ แล้วที่ผมถามมันแปลกยังไงนะ -_-" (ก็อยากถามกลับเหมือนกันว่าแล้วมันแปลกยังไงอ่ะที่รู้...แต่เลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า) แต่สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า ไม่นานเกินรอสำหรับ HDTV อย่าง OB Van ที่รองรับระบบ HD ก็กำลังมีใช้ (ซึงถึงตอนนี้ได้ข่าวว่ามีใช้แล้ว) พวกระบบอะไรนี่ก็จะเปลี่ยน แผนถูกวางไว้หมดแล้ว ไม่นานอย่างที่คิด เราจะได้ดูฉากตบจูบระดับ 1080 เส้นแน่นอน :p แต่ยังอารมณ์ค้างอยู่ ... คำถาม HDTV นี่มันแปลกมากเลยเหรอ...เราไม่ได้หัวเชื่องช้ารอเสพแต่ข่าวในประเทศไปวันๆ นะ -"- ปล. จริงๆ อยากมีส่วนร่วมในการกดดันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังเหมือนกัน เพราะไม่ช้าก็เร็ว ยังไงคนก็ต้องเปลี่ยนเป็น HDTV กันหมดอยู่ดี เพราะมันจะถูกลงเรื่อยๆ และเมื่อ HDTV ถูกมากจนกระทั่งทั้งตลาดโลกไม่เอาจอแก้วแล้ว เขาคงไม่ผลิตจอแก้วมาให้คนไทยใช้อยู่ประเทศเดียวแน่ๆ ส่วนคนที่ใช้จอแก้วอยู่แล้ว อีก 10 ปีมันก็เสีย....แล้วจะรออะไรกันล่ะ? ผมมองว่าพัฒนาการของโทรทัศน์ นอกจากเรื่องคอนเทนท์ที่สำคัญแล้ว คุณภาพของภาพที่ส่งมาก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน อย่าลืมว่าทีวีนั้นเป็นเครื่องมือของการศึกษาตลอดชีวิตนะครับ เราเสพความรู้จากโทรทัศน์ด้วยคุณภาพของภาพที่สูง มันย่อมดีกว่านั่งดูภาพเบลอๆ ไม่ชัดแน่ บ้านผมมี LCDTV เครื่องที่สามแล้วอ่ะ ไล่เปลี่ยนจอแก้วในบ้านเกือบหมดแล้ว จริงๆ ตอนนี้มันก็ไม่ได้แพงเกินคนไทยเอื้อมถึงแล้วนะครับ อย่าดูถูกคนไทยเลย -_-;;; แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 52 16:31:16 แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 52 14:38:23 แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 52 14:25:22 จากคุณ : COLORS - [ 23 มี.ค. 52 14:23:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 โหวตให้ กระทู้ ดีๆ แล้วครับ จากคุณ : น้าวัชร-จัดให้ - [ 23 มี.ค. 52 16:42:19 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ด้วยคน... จากคุณ : เค็มจิตร (เต็มล้าน) - [ 23 มี.ค. 52 17:10:59 ]

ความคิดเห็นที่ 29 นึกถึงรายการ ของช่อง 7(น่าจะใช่) บางรายการดูในจอCRT มันเป็นแบบขอบบนล่างอ่ะ เห้นว่า มีรายการที่ออกอากาศด้วย 16:9 อยู่ด้วยนะครับ ส่วน บิ๊กซีนีม่า นี่ เห็น เป้น 16:9 ประจำเลย แต่ไม่รู้ว่า ถ้าดูบน LCD แล้ว จะ ชัดไหมอ่ะสิ - -* ประมาณว่า ขนาดได้แต่ คุณภาพ ไม่ใช่ เฮ้อ .... จากคุณ : vn, man - [ 23 มี.ค. 52 17:19:54 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ^ ^ อัตราส่วน ไม่เพี้ยน   สามารถปรับภาพได้เต็มจอพอดี แต่ภาพ  ไม่ชัด ครับ จากคุณ : นายทองขาว - [ 23 มี.ค. 52 18:28:11 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อยู่เมืองไทยต้องทำใจ ผลประโยชน์ สวัสดิการ ความสะดวกสบาย อื่นๆอีกมากมาย ที่ผู้บริหารไม่ให้ความสำคัญ เพราะมัวแต่มองประโยชน์ส่วนตัวกัน แทบจะทุกองค์กรไม่มีใครทำเพื่อสังคม วางแผนระยะยาวกันจริงๆจังๆเลย เข้ามาแล้วก็กอบโกยแล้วก็ไป เป็นมันทุกรัฐบาล 30ปีที่แล้วเรามีศักยภาพ ใกล้เคียงเกาหลีใต้มา่กๆ แต่30ปีที่ผ่านมา คุณๆท่านๆทำอะไรให้เราบ้าง ทุกวันนี้ขนส่งมวลชนก็ยังไม่ครอบคลุมเลย มีก็คุณภาพก็ไม่ดี การศึกษาก็ย่ำอยู่กับที่ เด็กไม่มีเงินเรียนก็เยอะ เด็กมีเงินเรียนแต่เข้าเรียนที่ดีๆไม่ได้ก็มี ที่ญี่ปุ่นอัตราการอ่านออกเขียนได้ของประชาชนคือ99.9% อีก.1% คงเป็นเด็กที่พิการแต่กำเนิดกระมัง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขัดใจไปหมด แม้กระทั่งเรื่องสัญญาณภาพของโทรทัศน์ ดังจขกทว่า หรือแม้กระทั้งความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่เราๆใช้กันอยู่เนี่ย ไม่อยากไปเทียบกับแถบยุโรปเลย เฮ้อ ไม่ใช่ไม่อยากให้มันทัดเทียมชาวบ้านนะครับแต่คงต้องรอชาติหน้ากันแน่ๆ เอาเป็นว่าถ้าปาฏิหารมีจริงหรือขอพรได้สักอย่าง อยากจะให้เมืองไทยมีอะไรดีๆเกิดขึ้นมาสักอย่าง ขอให้เป็นสวัดิการรักษาพยาบาลของผู้สูงอายุหลังเกษียณแบบเต็มรูปแบบก็แล้วกัน จากคุณ : [kv] - [ 23 มี.ค. 52 19:11:47 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ช่วยโหวตและส่งกิ๊ฟมาให้ครับ อันที่จริงผมอยากจะปล่อยให้เพื่อนๆออกความเห็นโดยอิสระ ทั้งที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยและท่านที่มีความคิดเห็นอื่นๆเพิ่มเติม แต่บังเอิญมีสมาชิกบางท่านยังมีข้อสงสัย ผมก็เลยขอชี้แจงเพิ่มเติม โดยเฉพาะคำถามจาก คคห. 23 คุณนายทองขาว อย่างไรก็ตาม แม้คำถามของคุณนายทองขาว จะเป็นแค่คำถามสั้นๆ แต่จะให้ตอบเต็มๆผมก็ตอบไม่ไหวเหมือนกัน รายละเอียดและข้อมูลทางเทคนิคมันเยอะมาก เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมขอตอบโดยรวมว่า ใช่และได้ สำหรับคำถาม Yes or No ทุกข้อ แต่การตอบแบบนี้ดูจะไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไร ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มอีกนิดแล้วกัน การส่งสัญญาณแบบดิจิตัลใช้ช่องส่งสัญญาณ 1 ช่อง (Channel) เท่ากับการส่งสัญญาณแบบอนาล็อค สิ่งที่ต่างกันคือช่องสัญญาณดิจิตัลสามารถซอยความถี่ออกเป็นความถี่ย่อยๆลงไปได้อีก เช่นช่อง 3 อาจซอยความถี่ออกเป็นช่อง 3.1, 3.2, 3.3, 3.4 ..... เรียกว่า Sub-Channel ในกรณีนี้ช่อง 3 สามารถออกอากาศได้ 4 รายการพร้อมๆกันโดยใช้เพียง 1 ช่องสัญญาณเท่านั้น สามารถทำ feature ได้ทุกอย่างเหมือนเครื่องเล่น dvd เช่นเปลี่ยนมุมกล้อง และ Interactive เครื่องแปลงสัญญานนี่ มีกี่แบบ ตอบ มีกี่แบบไม่ทราบครับ แต่หลักการคือแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอนาล็อค ก็เท่านั้น. ราคาที่อเมริกาประมาณ 40 -70 ดอลลาร์ ส่วนที่ buil-in มากับ tv ไม่น่านำมาเป็นปห. ยังๆทีวีส่วนใหญ่ก็ต้องมี tuner อยู่แล้ว แค่เปลี่ยนจาก analog tuner มาเป็น digital tuner ต้นทุนไม่หนีกันเท่าไร ทำไปทำมา ต้นทุน digital tuner จะถูกกว่าด้วยซ้ำ ------------------------- และ ทั้ง LCD และ PLASMA ควรมีการเตือนถึงสีสันที่ได้ที่ด้อยกว่าจอแก้วแน่นอนอยู่แล้ว ------------------------- นั่นแหละครับตรงประเด็นเลย แต่ปห.มันอยู่ที่สัญญาณที่ได้รับมามันสุดจะแย่ ไม่ใช่เป็นเพราะ  LCD และ PLASMA มีคุณภาพด้อยกว่าจอแก้ว -------------------------- (ซึ่งผมไม่เห็นด้วยอย่างมาก ถ้าจะออกกฏหมายบังคับ ให้ต้องออกอากาศเป็น HDTV ควรให้เป็นไปตามกลไกตลาด ถ้าตลาดต้องการเป็นจำนวนมากพอ เขาก็ต้องทำออกมาเอง) -------------------------- กลไลตลาดในปัจจุบันคือ HDTV ครับ เอาง่ายๆ ลองเดินไปดูตามร้านก็ได้ว่ามีจอแก้วขายอยู่กี่ตัว ข้อคิดเห็นส่วนอื่นๆนั้น ผมขอชี้แจงดังนี้ ตามตย.การทำงานของรัฐบาลสหรัฐ จะเห็นว่าเขาร่างนโยบายมาตั้งแต่ 1996 เป้าหมายให้ทำสำเร็จภายในปี 2009 เขาใช้เวลา 13 ปีครับ ไม่ใช่คิดปุ๊บทำปั๊บ ชาวบ้านกลับตัวไม่ทัน สิ่งที่ผมอยากเห็นก็คือบ้านเรานโยบายอันนี้เมื่อไรจะมี? เพราะมันต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนทั้งระบบ แก้ไข: ผมก็อปปี้คำถามคุณนายทองขาวไปปนกับคำตอบที่จะว่าจะเขียนตอบตอนแรก ขอลบข้อความที่เกินมาออกครับ :P แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 52 22:00:47 จากคุณ : Rainmaker - [ 23 มี.ค. 52 19:26:25 ]

ความคิดเห็นที่ 33 พี่สาวผมทำงานอยู่ กทช. ก็ไม่เห็นจะมีนโยบายนี้ออกมาเลย  ใน กทช.มีแต่เด็กเส้น  คนไม่มีเส้นไม่มีสิทธิเข้าไปทำงานง่ายๆ  คนในนี้มีอยู่ 2 จำพวก พวกแรกคือเก่งสุดๆ พวกนี้เอาไปเป็นนักวิชาการประจำ กทช.  อีกพวกคือเด็กเส้น  พวกนี้จะได้ไปเที่ยวเมืองนอกบ่อยๆ ปีนึงเที่ยวมากกว่า 3 หน  เงินเดือนสูงมาก   เดี๋ยวผมจะก๊อปกระทู้นี้ไปให้เค้าอ่าน จากคุณ : PTKNC - [ 23 มี.ค. 52 22:46:10 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ความคิดเห็นที่ 26  จิงคับคนไทยไม่ได้จนทั่งประเทศ รวยๆๆก็เยอะรถป้ายแดงแพงกว่า ทีวีตั่งหลายเท่า  ยังออกใหม่กันทุกวัน จากคุณ : Galim_ - [ 23 มี.ค. 52 23:09:30 ]

ความคิดเห็นที่ 35 โหวตและก็ให้กิฟค่ะ เพิ่งเข้าใจถ่องแท้ก็คราวนี้ น่าเศร้าระบบ TV ไทย คงอีกยาวไกลที่จะพัฒนา กทช. ตั้งขึ้นมาก็ไม่ได้ช่วยให้ประเทศชาติดีขึ้นเลย เห็นแก่ประโยชน์พวกพร้องตัวเอง โล๊ะไปได้ก็ดีองค์กรนี้ จากคุณ : tugsinat - [ 24 มี.ค. 52 09:12:38 ]

ความคิดเห็นที่ 36 รายการว้ดดี้เกิดมา  ซ่อง 9 ก้ออกเป็น WIDE  ลองดนะ  วันอา.  22.30 จากคุณ : art8new - [ 24 มี.ค. 52 09:23:07 ]

ความคิดเห็นที่ 37 -Plasma และ LCD ทุกชนิด ด้อยกว่า จอแก้ว ในด้านของ"สีสัน"ครับ เป็นที่ตัวเทคโนโลยีจอภาพเลย ไม่ใช่จากสัญญาน และ LCD จะด้อยกว่า Plasma แต่จะได้เรื่อง"ความคมชัด"ที่มากกว่า CRT ถ้าจะมีอะไรที่ให้สีสัน เทียบเท่าจอแก้ว ก็คงเป็น Laser TV ซึ่งคงอีกสักพักถึงจะเข้ามา (แต่ผมก็คงไม่ซื้อ เพราะไม่แน่ใจว่า จะมีแสงรั่วไหลมาให้คนดูตาบอดเมื่อไหร่) -ส่วนตัวผมคิดว่า ภาครัฐควรเข้ามากำกับดูแล ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่ว่า ช่อง 7 กล่องนึง ช่อง 5 กล่องนึง TPBS ต้องมีอีกกล่อง ค่ายย่อย ๆ ต้องมีอีกกล่อง แต่ไม่เห็นด้วย ถ้าจะต้องมาบังคับ ว่า การส่งแบบอนาล็อก จะต้องหมดไปเมื่อไหร่ หรือ ต้องเอาเงินภาษีไปช่วยสถานีโทรทัศน์เปลี่ยนระบบ ควรให้ผู้ซื้อเป็นคนเลือกเอง ใช่ครับ ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่ช่วงที่ยังไม่เกิดเต็มที่ ผู้ซื้อ ควรได้รับความคุ้มครอง จากสิ่งที่เขาไม่รู้ เช่น ตอนซื้อ ใช้สัญญานจาก HDD / Blu-Ray ซึ่งแน่นอน คมชัดแบบสุด ๆ แต่พอเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน กับ UBC/Free TV กลับพบว่า ดันได้ภาพด้อยกว่าเดิม ถึงจะซื้อตัว สเกลเลอร์ตัวแพง ๆ มาใช้ก็ตาม สำหรับสินค้ากลุ่มนี้ การซื้อก่อนโดยที่ยังไม่ได้ใช้ ผมว่าผู้บริโภคขาดทุน และมีหลาย Case เหลือเกิน ที่ซื้อ TV มาแล้ว แต่พอเสีย ดันไม่มีอะไหล่ให้ ควรผลักดันกฏหมายคุ้มครองโดยเร็ว (แต่ที่จริง กฏหมายศาลผู้บริโภค ที่มีอยู่ปัจจุบันก็คุ้มครองอยู่มากพอสมควรแล้ว สะดวกสบายมาก ค่าทนายค่าธรรมเนียมไม่เสียสักบาท เป็นระบบไต่สวนอีกต่างหาก แต่ผู้บริโภคน้อยรายที่จะทราบเท่านั้นเอง) แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 52 10:44:02 จากคุณ : นายทองขาว - [ 24 มี.ค. 52 10:41:00 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สำหรับประเทศไทยต้องรอ "ปาฏิหาริย์" อย่างเดียวครับ จากคุณ : patxx99 - [ 24 มี.ค. 52 11:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 39 -------------------------- (ซึ่งผมไม่เห็นด้วยอย่างมาก ถ้าจะออกกฏหมายบังคับ ให้ต้องออกอากาศเป็น HDTV ควรให้เป็นไปตามกลไกตลาด ถ้าตลาดต้องการเป็นจำนวนมากพอ เขาก็ต้องทำออกมาเอง) -------------------------- กลไกตลาดในปัจจุบันคือ HDTV ครับ เอาง่ายๆ ลองเดินไปดูตามร้านก็ได้ว่ามีจอแก้วขายอยู่กี่ตัว ---------------------------------------------------------------------- เยอะมาก ๆ เลยครับจอแก้วอ้ะ เพียงแต่จะไม่มีจอขนาดใหญ่ ๆ เพราะไม่คุ้มค่าขนส่ง สำหรับผู้ผลิต ถ้าคุณเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างอำเภอ จะพบว่าหาจอ LCD ได้ไม่ง่ายเท่าไหร่ จะมีก็แต่ในตัวเมืองร้านใหญ่ ๆ แต่สำหรับจอขนาดไม่เกิน 20 นิ้ว ที่เป็นTV ที่ใช้กันมากที่สุด จอแก้วยังครองตลาดเกือบ 100% ครับ จากคุณ : นายทองขาว - [ 24 มี.ค. 52 11:51:46 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ  เข้าใจอะไรๆขึ้นเยอะ จากคุณ : MyLoveMyBabe - [ 24 มี.ค. 52 13:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 41 -Plasma และ LCD ทุกชนิด ด้อยกว่า จอแก้ว ในด้านของ"สีสัน"ครับ เป็นที่ตัวเทคโนโลยีจอภาพเลย ไม่ใช่จากสัญญาน และ LCD จะด้อยกว่า Plasma -------------------------------------------- ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมเฉพาะเรื่อง "สีสีน" ถ้าผมอธิบายอะไรผิดช่วยแย้งด้วยนะครับ ก่อนอื่นขอยกตย.ที่พบมากที่สุดในปัจจุบัน มี LCD 2 ยี่ห้อใช้จอมาจากโรงงานเดียวกัน ยี่ห้อหนึ่งมาจากแดนโสม อีกยี่ห้อหนึ่งมาจากแดนปลาดิบ ถามว่าจอ 2 จอนี้ให้ "สีสัน" เหมือนกันไหม? คำตอบคือ ไม่เหมือน สิ่งหลักๆที่ทำให้สีสันจาก 2 ยี่ห้อนี้ไม่เหมือนกันคือ วงจร video processor ไม่ใช่ตัวจอ อ่ะ.. ที่นี้กลับมาเข้าประเด็น การสร้างภาพและสีของ CRT และ LCD มาจากหลักการเดียวกัน CRT ใช้ปืนยิงลำแสงแม่สี 3 สี แดง เขียว น้ำเงิน LCD ใช้การกระตุ้น pixel แม่สี 3 สี แดง เขียว น้ำเงิน ขอพูดเฉพาะเรื่องสีนะครับ ดังนั้นทั้ง crt และ lcd สร้างสีสันต่างจากการผสมกันของแม่สีแสง 3 สี รู้จักกันในภาษาชาวบ้านว่า RGB สีเหลืองบน crt ไม่ได้เกินจากสีเหลืองจริงๆ แต่เกิดจากเราเห็นเม็ดสีแดงอยู่ติดกับเม็ดสีเขียว ตามนุษย์เอา 2 สีนี้ไปผสมกันในสมอง เกิดเป็นสีเหลือง เป็นวิธีการเดียวกับจอ lcd หากยอมรับหลักการนี้จอ crt และ lcd มีความสามารถในการแสดงสีสันได้เท่ากัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้สีสันของจอแต่ละจอ ต่างกัน คือ video processor วงจรใน video processor ที่เกี่ยวข้องกับสี มีอยู่หลายส่วน เช่น A/DC หรือ Analog to Digital convertor 8 bit A/DC สร้างสีได้ 16.7 ล้านสี 10 bit A/DC สร้างสีได้ พันล้านสี จอตัวเดียวใช้ video processor ต่างกัน ให้สีต่างกัน จอ crt กับ จอ crt ด้วยกันเองแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นยังให้สีไม่เหมือนกันเลยครับ 99.99% Technology goes forward, not backward. เทคโนโลยี่การสร้างภาพที่ให้สีสันถูกต้องตามความเป็นจริงมากที่สุดคือ Foveon แต่ foveon มีต้นทุนการผลิตสูงมาก จึงไม่เป็นที่นิยม อีกทั้งในการใช้งานทั่วๆไป เทคนิคการทำ interpolate ให้สีสันที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากจนตามนุษย์แยกไม่ออก จึงไม่เห็นความจำเป็นต้องใช้เทคนิคของ foveon ปัจจุบัน foveon ยังคงผลิตได้แค่ชิ้นเล็กๆ เอาไว้ทำเซ็นเซอร์กล้องดิจิตัลเท่านั้น จะว่าไปแล้ว สิ่งที่ทำให้คิดว่า crt สร้างสีสันได้ดีกว่า lcd ก็เพราะ crt ไม่มี native resolution (NR) เมื่อไม่มี nr ก็ไม่มีการทำ interpolate หรือการสร้างเม็ดสีใหม่ทดแทนช่องว่างที่หายไป แต่ lcd มีข้อจำกัดที่มันมี native resolution หากสัญญาณที่ได้รับมีความละเอียดน้อยกว่า nr ของมัน video processor จะทำการ interpolate สร้าง pixel ใหม่ขึ้นมาเติมให้เต็ม และการสร้าง pixel ใหม่ก็คือการคำนวณผสมสีให้กับ pixel นั้น มันจึงเป็นเรื่องของสีสันโดยตรง สิ่งหนึ่งที่ OLED และ laser tv เหนือกว่า lcd และเกี่ยวข้องกับสีสันคือ color camut (มีความกว้างของสีมากกว่า) ดังนั้นถ้าเอา color gamut มาเป็นปัจจัยสำคัญ lcd มี color gamut กว้างกว่า crt ครับ, lcd ชนะ crt อยู่ดี แก้ไข: ใส่วงเล็บผิดครับ :) แก้ไข 2 : vista + chrome มันเว้นวรรคแปลกๆ อยู่ดีๆก็ขึ้นย่อหน้าใหม่ให้ อ่านแล้วสะดุด ขอตบให้เข้าที่ครับ แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 52 15:23:42 แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 52 15:22:40 แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 52 15:14:37 จากคุณ : Rainmaker - [ 24 มี.ค. 52 15:12:01 ]

ความคิดเห็นที่ 42 Voted จากคุณ : Horrormaster (Horrormaster) - [ 24 มี.ค. 52 15:23:44 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลที่เอามาให้อ่านกัน แต่สำหรับประเทศไทย ต้องถามว่า "จำเป็นแล้วหรือที่ต้องมี???" ลืมไปหรือเปล่าว่า ประเทศเรายังเป็นประเทศที่ยากจนกันอยู่เลย มีกันสักกี่ครัวเรือนที่อยากจะได้ระบบ DTV ถ้ารัฐ ทำ แล้วต้องออกเงินให้คนแปลงระบบอีกทั่วประเทศ ลองคิดดูแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขนาดเช็ค 2000 บาท ยังโดนโวยว่าสร้างภาพ แถมว่าผลาญเงินชาติเล่นเลยครับ สำหรับประเทศไทย พัฒนาด้านการศึกษาก่อน ดีที่สุด จากคุณ : Redrum - [ 24 มี.ค. 52 15:31:43 ]

ความคิดเห็นที่ 44 -foveon ผมอาจรู้จักคำนี้น้อยไป ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับว่ามันทำงานอย่างไร แต่เท่าที่ค้น มันไม่ใช่เทคโนโลยีการแสดงผลแต่เป็นชื่อผู้ผลิตตัวรับภาพ CMOS ชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง -จอภาพสีทุกชนิดเกิดจากการผสมสีของแม่สี RGB ....ถูกต้องครับ แต่ที่ต่างกันก็คือ CRT ใช้วิธียิงลำแสงเพื่อกระตุ้น เม็ดสี LCD ใช้วิธี  "บังแสง"จาก ไฟที่ส่องด้านหลัง (Back Light) ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นสาเหตุของความผิดเพี้ยน แต่ LCD เวอร์ชั่นใหม่ ๆ ก็จะมี  DSP หรือ Video Processer ช่วยให้ความผิดเพี้ยนน้อยลง แต่ก็ยังเทียบเท่า CRT ไม่ได้ครับ ตอนนี้คงไม่มีเวลาอธิบายนะครับ จากคุณ : นายทองขาว - [ 24 มี.ค. 52 16:07:04 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ถูกต้องครับ จุดประสงค์ของ foveon เป็นเทคโนโลยี่ของจอรับภาพไม่ใช่จอแสดงภาพ แต่ที่ผมนำมายกเป็นตย. เพื่อให้เห็นภาพเทคนิคการแสดงสีที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ผมถึงใช้คำว่าเทคนิคของ foveon ไม่ใช่ตัว foveon อธิบายยาวคนเขียนก็ไม่มีเวลาเรียบเรียงและคนอ่านก็เบื่อ แต่ถ้าอธิบายสั้นไปก็เกิดความสับสนได้ง่าย ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดให้สั้นแต่ได้ใจความมากที่สุดก็แล้วกัน ขอยกตัวอย่างเดิม แต่ละ pixel บน lcd ประกอบด้วย 3 subpixel คือ RGB สีเหลืองบนจอประเภท lcd เกิดจากเราเห็นสีแดงของ sub-pixel อยู่ติดกับสีเขียวของ sub-pixel ที่อยู่ใน Pixel เดียวกัน สมองมนุษย์แปลค่าสิ่งที่เห็นเป็นสีเหลือง สมมุติว่านำเทคนิค foveon มาทำจอแสดงภาพ ส่วน pixel บน Foveon มี RGB 3 layer ซ้อนกัน ไม่มี subpixel การสร้างสีเหลืองเกิดจาก layer สีเขียวและสีแดง บน pixel นั้นถูกกระตุ้น สีเหลืองที่เราเห็นจะเป็นสีเหลืองที่เกิดจากแสงสีแดงและสีเขียวมาผสมกันจริงๆ ไม่ใช่สีเหลืองจากการเห็นสีเขียวและสีแดงพร้อมๆกัน ขอนำภาพการทำงานของ lcd จาก How Stuff Works มาประกอบครับ ( http://electronics.howstuffworks.com/lcd5.htm ) จากคุณ : Rainmaker - [ 24 มี.ค. 52 17:41:50 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณครับที่อธิบาย สรุปก็คือ การ ซ้อน Pixel แต่ละสีเข้าด้วยกันนั่นเอง ถ้าจะนำมาทำภาคแสดงผล ก็พอจะทำได้ ก็ต้องเขียนโปรแกรมสำหรับประมวลผลภาพขึ้นมาใหม่ ไม่งั้น CRT ก็จะได้ภาพที่สว่าง OVER หรือ LCD ก็อาจจะได้ภาพที่มืด DROP ไปมาก และ Panel ก็อาจหนาขึ้นมาก และปกติ LCD ก็ต้องประมวลผลทั้งการขยายภาพ และการลบรอยหยักอยู่แล้ว อาจทำให้ เวลาการตอบสนอง ช้าลงไปอีก แต่สรุปแล้ว ผมเห็นด้วยกับคุณ Redrum  นะครับ   DTV  มันยัง......ไม่จำเป็น..... สำหรับประเทศไทย จากคุณ : นายทองขาว - [ 24 มี.ค. 52 18:10:08 ]

ความคิดเห็นที่ 47 จอ LCD รุ่นใหม่ๆของ Sharp ที่ขายในญี่ปุ่นนี่ 12 bit แล้วนะครับ ส่วน Sony ยัง 10 bit อยู่ สีสรรของ LCD ถ้ามาจาก source ที่ดีจริงๆ ไม่แพ้ CRT แน่นอนครับ DTV ยังไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทย ณ ตอนนี้ อาจจะใช่ครับ แต่ถ้าเราไม่เริ่มขยับ ไม่เริ่มวางแผนงาน ต้องรอจนสายไปถึงจะเปลี่ยนหรือไงครับ ของพวกนี้ต้องวางแผนกันเป็นสิบปี จากคุณ : s7014249 - [ 24 มี.ค. 52 20:16:11 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ไม่สายไปหรอกครับ สินค้ากลุ่มนี้อ่ะ มันมีคำว่าสายไปด้วยเหรอ ยิ่งจ่ายช้ายิ่งได้ของถูก FullHD  ราคา 2 ปีที่แล้วเท่าไหร่ครับ หลักแสน แล้วปีนี้เหลือเท่าไหร่ ไม่ถึงครึ่ง การรีบร้อนลงทุนในขณะที่เทคโนโลยียังไม่นิ่งต่างหาก ที่จะทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เช่น ถ้าซื้อ HDTV วันนี้ เราจะได้Port ที่ดีที่สุด ก็แค่ HDMI ซึ่งทั้งแพงและความสามารถจำกัด แต่ถ้าเรารออีกสัก 1-2 ปี เราจะได้พอร์ต DP ที่ทั้งดีกว่า HDMI และถูกกว่าเยอะ คุณสมบัติและความสามารถดีกว่า HDMI มาก ๆ แถมยังถูกกว่าเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์การผลิต สีสัน กับความคมชัด มันคนละเรื่องกันนะครับ ถ้า Source ดี ก็จะได้เรื่องความคมชัด โดยเฉพาะเมื่อส่งสัญญานเท่ากับ Native Resolution พอดี แต่เรื่องสี ยังไงก็แพ้ CRT ครับ ถ้าต้องพัฒนาจริง ๆ ทำเรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการคุ้มครองผู้บริโภคก่อนดีกว่า ยิ่งเร็วยิ่งดี แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 52 21:39:53 จากคุณ : นายทองขาว - [ 24 มี.ค. 52 21:21:49 ]

ความคิดเห็นที่ 49 (ความคิดเห็นนี้หลุดแนวไปเลย ขออภัยครับ :p) ขออ้างอิงจากความคิดเห็นที่ 43 ลองฟังมุมมองของผมบ้างนะครับ :) การพัฒนาประเทศ ถูกต้องเลยครับ พัฒนาด้านการศึกษาก่อนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทั้งนี้ก็ต้องบอกว่า การศึกษานั้นไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะของเด็กๆ อย่างที่หลายคนรู้สึกนะครับ แถมไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียน ไม่จำเป็นต้องมีครูสอน ไม่ต้องชั้นประถม มัธยม  แต่การศึกษานั้นเกิดขึ้นได้กับกับคนทุกวัย ตลอดช่วงเวลาของชีวิตต่างหาก ทุกหนทุกแห่งที่มีความรู้ คุณใช้พันทิบอ่านกระทู้นี้ คุณก็กำลัง "ศึกษา" อยู่นะครับ :) คำจำกัดความของการศึกษาคือ การถ่ายทอดความรู้ และเป็นการพัฒนาคน นอกจากการศึกษาในระบบโรงเรียน ที่เราได้นั่งเรียนกันในโรงเรียนแล้ว เราก็ไม่ได้หยุดเรียนรู้กันอยู่แค่นั้นแน่นอน ตลอดชีวิตของเรามีเรื่องให้เรียนรู้อีกมากจากสื่อต่างๆ รอบตัว (ทั้งที่เรารู้ตัว และอาจจะไม่รู้ตัว) เราจะหยุดเรียนรู้ก็ต่อเมื่อเราตายจากโลกไปแล้ว ยกตัวอย่างสื่อต่างๆ รอบตัว นอกจากอินเตอร์เน็ต วิทยุ สิ่งพิมพ์ แล้วก็มีโทรทัศน์เนี่ยแหละ โทรทัศน์นี่เป็นสื่อการศึกษาตลอดชีวิตชั้นดีเลยทีเดียว ทุกครัวเรือนมีใช้ ทั่วประเทศรับสัญญาณได้ โทรทัศน์เครื่องนึงก็ไม่ได้แพงมาก (LCDTV 32" เครื่องละ 9000 แล้ว ถูกมาก) เรียกว่าเข้าถึงได้ทุกหย่อมหญ้า ความคุ้มค่าสูง ถ้าถามว่าแล้วโทรทัศน์นี่เป็นสื่อการศึกษายังไง? ก็ต้องถามว่าแล้วมันให้ความรู้กับเรามั้ยล่ะ...เอาที่ชัดเจนๆ ก็เช่น Discovery, สารคดีต่างๆ ก็เป็นรายการการศึกษาหมด, ช่อง 9 เองก็ค่อนข้างชัดเจน (สโลแกน สังคมอุดมปัญญา), เกมส์โชว์ตอบปัญหาที่ให้ความรู้ก็ใช้, ข่าวประจำวัน, รายการสอนทำอาหาร, สอนเทคนิคการเกษตรให้กับเกษตรกร นวัตกรรมใหม่ๆ รายการไอที ฯลฯ โหย เยอะแยะ นี่เป็นรายการสื่อ "การศึกษาตลอดชีวิต" ทั้งนั้น ซึ่งมันสำคัญไม่แพ้การศึกษาในโรงเรียนเลย ถ้าเราจะพัฒนาคน พัฒนาความรู้ ภูมิปัญญา ขัดเกลาทางสังคม เราคงจับคนทุกคนมานั่งเรียนใหม่ในห้องเรียนไม่ได้หรอก เราใช้สื่อพวกนี้ล่ะครับมาเป็นตัวช่วย แต่สำหรับบ้านเรา ร้อยนึงเอาเก้าสิบ อาจจะมองว่าโทรทัศน์เป็นอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงกันซะส่วนมาก... ก็ไม่แปลกครับ ในเมื่อละครน้ำเน่า เกมส์โชว์ดารา รายการเมาท์กระจาย ยังครองสถานีโทรทัศน์กันอยู่อย่างนี้ ดังนั้น ผมมองว่าถ้าวงการโทรทัศน์เราจะปรับปรุงเรื่องอะไร ผมขอให้น้ำหนักกับตัว "เนื้อหา" ให้ความสำคัญอันดับต้นๆ ก่อนเลยครับ ไม่ได้แปลว่า ทั้งวันควรจะมีแต่รายการการศึกษานะ แต่ว่าควรมีอัตราส่วนที่เหมาะสม ระหว่างบันเทิงและการศึกษา เพื่อเด็กและก็เพื่อผู้ใหญ่อย่างเราๆ นั่นล่ะ แถมไม่ได้แปลว่าละครจะต้องหายไป แต่ละครนี่ล่ะที่เป็นสื่อที่เข้าถึงคนทุกคนได้ง่ายที่สุด ลองคิดดูว่าถ้าเราทำละครที่ซึ้งตราตรึงใจ คิดดี ทำดี ได้ดี แฝงข้อคิดและความรู้สึกนึกคิดเข้าในละครได้ "อย่างมีศิลปะ" (ให้คนดูคิดเอง ไม่ใช่บอกกันตรงๆ แบบที่ละครไทยชอบทำ) แล้วคนดูอินไปแบบละครเกาหลีเนี่ย มันจะทำให้สังคมเราดีขึ้นได้กว่าให้คนดูแต่ละครตบจูบ ริษยา อาฆาตแค้นใช่หรือไม่? ------------------------------------------------------------------------------------- วกมาเรื่อง HDTV ส่วนตัวผมสนับสนุนนะครับ เพราะของพวกนี้มันทำให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้นทั้งนั้น อย่างน้อยตัวหนังสือก็ชัดเปรี๊ยะ คนแก่ไม่ต้องเพ่งอ่าน โอเควันนี้มันยังแพงอยู่สำหรับหลายครอบครัว แต่หน่วยงานรัฐก็ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า (ยังไม่ต้องลงทุนอะไรก็ได้ แค่มีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน) เพราะอีกไม่เกิน 10 ปี HDTV มันจะกลายเป็นกระแสหลักแน่ ตาม คห.37 ครับ รัฐควรเข้ามากำกับดูแลก่อนที่ทำอะไรกันเองแล้วถึงวันนั้นมันจะสายเกินแก้ (อย่างรถไฟฟ้าตอนนี้ก็ใช่ กว่าจะรู้ว่ามันเป็นการลงทุนที่แพงแต่คุ้มค่า มันก็สายเพราะถนนเต็มบ้าน รถเต็มเมืองไปแล้ว) จากคุณ : COLORS - [ 25 มี.ค. 52 04:07:25 ]

ความคิดเห็นที่ 50 จะเปรียบเทียบการใช้ HDTV กับการสร้างรถไฟฟ้าผมว่าไม่ถูกอ่ะ ต้องเปรียบเทียบกับการซื้อมือถือมากกว่า อสังหาฯ -การสร้างถนน ถ้าสร้าง10 ปีที่แล้ว ใช้เงิน 200 ล้าน สร้างวันนี้ 10 ปี อาจต้องใช้เงิน 500 ล้าน อิเล็กทรอนิกส์ -มือถือ 12 ปีที่แล้ว รุ่นกระติกน้ำ หนักเป็นกิโล ราคาหลักแสน -มือถือ 10 ปีที่แล้ว ซื้อ 3310 ราคา 8,000 จอขาวดำ เสียงโมโนโทน กล้องไม่มี ค่าโทรนาทีละ 8-12บาท -ซื้อวันนี้ มือถือราคาพันเดียว จอสี มีกล้อง ค่าโทรนาทีละบาท ---------------------------------- ส่วนเรื่องเนื้อหา ผมเห็นด้วยนะ ว่าเนื้อหาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่สิ่งที่เราต้องพัฒนาก่อนอย่างอื่น ก็คือ คุณภาพของเนื้อหา ไม่ใช่ความคมชัดครับ ถ้าผมเปิดหนังเรื่องเดียวกัน เวลา ทุ่มครึ่งเหมือนกัน เครื่องหนึ่ง จอ 14 นิ้ว อีกเครื่อง จอ HD 42 นิ้ว ที่ Native Resolution เอาทั้งสองเครื่อง ตั้งกลางตลาด คนดูจอหลังมากกว่าแน่ แต่ถ้าผมเปิด คนละเรื่อง -Full-HD 42 นิ้ว เทปบันทึกภาพ การแข่งขันกีฬาอนุบาล -อีกเครื่อง 14 นิ้วพอ ถ่ายทอดสด วันแดงเดือด แมนยู-ลิเวอร์พูล ต้องให้บอกไหม ว่าเครื่องไหนจะมีคนดูมากกว่ากัน อีกเคสหนึ่ง ถ้าเป็นการถ่ายทอดสด วันแดงเดือดทั้งคู่ -14 นิ้ว ดูฟรี -Full-HD 42 นิ้ว  เก็บค่าดู 50 -100 หรือ 200 บาท ไม่ต้องบอกก็รู้จำนวนคนดูต้องเปลี่ยนไปตามราคาแน่ ๆ แต่ที่ผมจะสื่อก็คือ ควรใส่ใจในเรื่องการพัฒนาเนื้อหาที่เหมาะสมมากกว่า สำคัญที่สุดก็คือ การเขียนบทครับ บทที่ดีทำให้เนื้อหาที่คนเคยมองข้ามมาตลอด กลับเป็นสิ่งที่น่าสนใจได้ เมื่อก่อน ถ้าเราเปิด TV มาเจอดนตรีไทย มีสักกี่คนที่หยุดดู แต่พอได้สื่อที่นำเสนอได้ดีแบบภาพยนต์ โหมโรง ก็มีคนสนใจมากกว่าเมื่อก่อนเยอะ ควรจะมีการสนับสนุน เช่นลดภาษีหรือให้เงินอุดหนุนให้เนื้อหาที่สร้างสรร โขกมันแพงๆ เลยกับเนื้อหาที่เป็นพิษ ประเภทตัวอิจฉากรี้ดโอลิมปิกทั้งหลาย เอาเงินมาทำหนังสือดี ๆ ขายราคาย่อมเยา หรือเอามาซื้อลิขสิทธ์ สารคดี ที่มีคุณภาพจำหน่ายราคาถูก ๆ ผมยินดีให้ลูกดู Discovery บนจอ SD ดีกว่าดูตบจูบบนจอ HD นะครับ แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 52 09:11:48 จากคุณ : นายทองขาว - [ 25 มี.ค. 52 09:07:59 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ผมว่าคุณนายทองขาว กำลังหลงประเด็นนะครับ เรากำลังคุยกันถึงเรื่อง Media แต่คุณกำลังลากประเด็นไปยังเรื่อง Content แทน ผมไม่ปฏิเสธครับว่าเมืองไทยยังล้าหลังอยู่มากทั้งสองด้าน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องละเลยการพัฒนา หรือต้องเลือกที่จะพัฒนาอย่างใดอย่างนึง มันสามารถทำควบคู่กันไปได้ เพราะจริงๆแล้วทั้งสองอย่างมันมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น โลกของอนาล็อกมันเล็กลงในขณะที่ดิจิตอลมันใหญ่เรื่อยๆ ทำไมเราต้องไปขวางกระแสด้วยครับ ต้นทุนในการบำรุงรักษาเทคโนโลยีที่มัน obsolete ไปแล้ว หลายกรณีมันแพงกว่าการลงทุนกับเทคโนโลยีใหม่ครับ และที่ผมบอกว่าเราควรจะเริ่มวางแผนได้แล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเปลี่ยน ณ วันนี้พรุ่งนี้ เราสามารถเลือกระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเราได้ จะเปลี่ยนระบบในอีก 10, 15 หรืออีก 20 ปีก็ยังได้ ผมกล้าท้าคุณเลยว่า ณ ตอนนั้น CRT จะราคาแพงกว่า LCD ครับ ทำให้มันเป็นระบบ ให้ชัดเจน เดี๋ยวตลาดมันจะปรับตัวเองเข้าสู่จุดสมดุลย์ได้ครับ ประเทศไทยขาดการวางแผนงานต่างๆในระยะยาวมาตลอด มองกันแต่สั้นๆ ตำข้าวสารกรอกหม้อ หาข้ออ้างกันไปวันๆ จากคุณ : s7014249 - [ 25 มี.ค. 52 13:20:49 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เอาใจช่วยให้คุณ Rainmaker มาเขียนบทความให้เสร็จครับ ความรู้ทั้งนั้น แถมยังแอบคิดว่าเมื่อใหร่บ้านเราจะมี ขนาดแบบที่ จ่ายเงินพันกว่าบาทดูทุกเดือนๆ มันก็ไม่ได้ชัดอะไรเล้ยยย จากคุณ : นายธิว - [ 25 มี.ค. 52 16:14:31 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ไม่ได้หลงประเด็นหรอกครับ s7014249 ก็พอดีคุณ Color เขาพูดถึง TV ในแง่สื่อเพื่อการเรียนรู้ ผมก็เลยบอกมุมมองของผม ว่ามันไม่ได้อยู่ที่ Media แต่ Content ต่างหากที่สำคัญ แน่นอนครับ อีกหน่อย HDTV ต้องเป็นมาตรฐานวันยังค่ำ แต่ในความเห็นของผม ไม่ต้องรีบร้อน  ยั้งไว้ก่อนจ่ายน้อยกว่า และก่อนที่เราจะเริ่มมาตรฐานใหม่ ที่จะทำให้ TV รุ่นเดิมกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก เราควรเริ่ม ตรงมาตรฐานการกำจัดขยะอิเล็กฯนี้ก่อน ยิ่งเร็วยิ่งดี และขณะที่ยังไม่มีการออกอากาศเป็น HD จริง ๆ ควรมีการเตือนผู้ซื้อก่อนที่จะซื้อไปแล้วผิดหวัง ว่าภาพที่ได้ไม่เหมือนที่ร้านขายเมื่อนำมาใช้งานจริง ควรออกกฏบังคับให้ผู้ขายต้องเตือนผู้ซื้อ เป็นสิทธิที่ผู้ซื้อควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ นี่ยิ่งเร่งด่วนกว่า การสำรองอะไหล่ การรับประกันการซ่อม ค่าปรับ นี่ก็ควรเร่งทำ เพื่อคุ้มครองผู้ซื้อ ใช่ครับ สักวัน CRT จะแพงกว่า LCD และจะเป็นกลไกตลาดที่จะ ทำให้ทุกคนเปลี่ยนไปใช้ LCD (หรืออย่างอื่นที่ดีกว่า LCD ในอนาคต) สิ่งที่ภาครัฐควรทำ ก็คือ ประสานงานควบคุมให้ไปทางมาตรฐานเดียวกันก็พอ แต่ไม่จำเป็นต้องบังคับกะเกณฑ์ ว่าต้องเสร็จเมื่อไหร่ หรือเอางบประมาณจากภาษีไปช่่วยหนุนให้มันเร็วขึ้น ที่จริง UBC ก็เป็น DTV ในรูปแบบหนึ่งนะครับ เพียงแต่เขาไม่ได้ออกอากาศด้วยความละเอียดสูงเท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 52 18:36:08 แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 52 18:26:55 จากคุณ : นายทองขาว - [ 25 มี.ค. 52 18:24:00 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณ คุณนายธิว คคห.52 ครับ อันที่จริงมันเป็นเพียงแค่เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ ไม่ถึงกับเป็นบทความ ประเด็นหลักนั้นผมเขียนจบไปแล้ว แต่บังเอิญมีบางความคิดเห็นยกประเด็นอื่นขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของกระทู้สาธารณะ ด้วยความเคารพผู้ออกความคิดเห็นทุกท่าน ใจจริงไม่ชอบตอบความคิดเห็นประเภทหยิบประเด็นอื่นขึ้นมาแทรก ไม่ใช่เพราะมีความเห็นไม่ตรงกับผม หรือเป็นเพราะผมไม่มีข้อมูลเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ขอย้ำครับว่าผมเคารพทุกความคิดเห็นทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เหตุผลที่ผมไม่ค่อยตอบเป็นเพราะกลัวประเด็นหลักมันจะเพี้ยนไปเป็นเรื่องอื่น อย่างไรก็ตาม.. บางครั้งจำเป็นต้องออกความเห็นแทรกลงไปบ้าง เพราะในบางคคห.มีการให้ข้อมูลบางอย่างขาดหายไป ผมพยายามเติมข้อมูลในเรื่องนั้นเท่าที่รู้เพิ่มให้ จะผิดจะถูกอย่างไร คนอ่านตัดสินใจเอง และบังเอิญจริงๆ ที่ผมไปสะดุดความคิดเห็นของคุณนายทองขาวอีกแล้ว คคห.48 การรีบร้อนลงทุนในขณะที่เทคโนโลยียังไม่นิ่งต่างหาก ที่จะทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เช่น ถ้าซื้อ HDTV วันนี้ เราจะได้Port ที่ดีที่สุด ก็แค่ HDMI ซึ่งทั้งแพงและความสามารถจำกัด แต่ถ้าเรารออีกสัก 1-2 ปี เราจะได้พอร์ต DP ที่ทั้งดีกว่า HDMI และถูกกว่าเยอะ คุณสมบัติและความสามารถดีกว่า HDMI มาก ๆ แถมยังถูกกว่าเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์การผลิต -------------------------------------------- - hdmi vs dp เป็นเรื่องของ interface ไม่เกี่ยวกับ lcd นี่ครับ - ค่าลิขสิทธิ dp port ถูกกว่าแค่ไหน? คำตอบคือ dp port ฟรี ส่วน hdmi 0.04 cent/ชิ้น และถ้าผลิตมากกว่า 10,000 ชิ้นค่าลิขสิทธิถูกลงไปอีก ดังนั้นมันจะมีผลกับราคาสักเท่าไรเชียวครับ - การกล่าวอ้างว่า dp port ดีกว่า hdmi ค่อนข้างเลื่อนลอยนะครับ เหมือนเรื่องสีสัน crt ดีกว่า lcd ไม่เห็นให้เหตุผลเลยว่าทำไมถึงดีกว่า - ที่ว่า dp port คุณสมบัติและความสามารถดีกว่า HDMI มาก ๆ จริงหรือไม่มันขึ้นอยู่กับเอาไปทำอะไร ถ้าเอามาติดตั้งบนอุปกรณ์ home entertainment ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ dp port สู้ hdmi ไม่ได้ครับ hdmi รองรับสัญญาณ bitstream, ระบบเสียง audio hd ทั้งหลายแหล่ ระบบสี xvYCC การคุบคุมอุปกรณ์ต่อพ่วงที่เชื่อต่อกันด้วย hdmi แต่ dp port ไม่รองรับเรื่องพวกนี้ dp port ถูกออกแบบมาใช้กับเรื่อง computing ครับไม่ใช่ entertainment ข้อดีจริงๆของ dp port คือ จะมีการพัฒนาใน version ต่อไป จุดประสงค์ใช้เป็น interface มาตรฐานบนบอร์ด PC และ โน๊ตบุ้ค เช่น ทำให้สามารถผลิตอุปกรณ์เสริมอื่นๆเช่น web cam, microphone, usb hub ใส่ลงบนจอ lcd monitor หรือ จอโน๊ตบุ้คได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดขอบจอให้เทอะทะ Bruce Montage ผู้บริหาร DisplayPort Task Group เป็นคนยืนยันเองว่า dp port ออกแบบมาเพื่อกิจการ computing ไม่ใช่ entertainment ดังนั้น dp port ไม่ใช่คู่แข่งของ hdmi ครับ กำลังจะโพสต์เจอ คคห.53 ของคุณนายทองขาวอีกแล้ว ที่จริง UBC ก็เป็น DTV ในรูปแบบหนึ่งนะครับ เพียงแต่เขาไม่ได้ออกอากาศด้วยความละเอียดสูงเท่านั้นเอง คุณนายทองขาวเข้าใจผิดแล้วครับ ubc ไม่ได้ใช้ระบบ dtv ย้อนกลับไปอ่าน คคห.5 ที่ผมอุตส่าห์พูดกันเอาไว้ก่อนแล้ว -------------------- (อย่าสับสนกับระบบการออกอากาศแบบ Digital Video Broadcasting - Terestrial หรือ DVB-T ที่เราใช้อยู่นะครับ) -------------------- มันคนละอันกันครับ จากคุณ : Rainmaker - [ 25 มี.ค. 52 18:30:05 ]

ความคิดเห็นที่ 55 CRT ใช้การ ส่องแสงของสารเรืองแสง LCD ใช้การ บังแสง ซึ่งมันมีโอกาสที่แสงจะรั่ว มาระหว่าง Pixel ทำให้สีผิดเพี้ยน HDMI ก็ส่งสัญญานเสียงไปพร้อมในสายได้ครับ ได้มากว่า HDMI ด้วย เพราะส่งได้ถึง 8 ช่องพร้อมกัน (ภาพได้ 4 ช่อง)เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ไปเซ็นสัญญากับ Dollby และ DTS เท่านั้นเอง (ถ้าเซ็นไป มันก็ไม่ฟรี) แถมข้อได้เปรียบอีกหลายเรื่อง เช่น BandWidth มีตัวล็อก สื่อสารได้สองทาง ฯลฯ ไ(ว้ไปค้นหนังสือก่อนนะครับจะให้ไปอ่าน Wiki ก็ไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ เพราะใคร ๆ ก็แก้ไขมันได้ ) ================================================ คุณนายทองขาวเข้าใจผิดแล้วครับ ubc ไม่ได้ใช้ระบบ dtv ย้อนกลับไปอ่าน คคห.5 ที่ผมอุตส่าห์พูดกันเอาไว้ก่อนแล้ว -------------------- (อย่าสับสนกับระบบการออกอากาศแบบ Digital Video Broadcasting - Terestrial หรือ DVB-T ที่เราใช้อยู่นะครับ) -------------------- มันคนละอันกันครับ =============================================== เรื่อง DVB กับ DTV ต่างกันยังไง รบกวนขอความรู้หน่อยนะครับ เพราะผมก็คิดว่ามันก็คือการออกอากาศระบบดิจิตอลเหมือนกัน เพราะผมเข้าใจว่า DVB  ก็คือระบบ DTV ในมาตรฐานยุโรป ส่วนขีดตามหลังคือมาตรฐานย่อย เช่น DVฺB-T ก็คือการส่ง DVB ภาคพื้นดิน DVB-S ก็คือการส่ง DVB ผ่านดาวเทียม ส่วน DTV มาตรฐานอเมริกัน ใช้ระบบ ATSC ซึ่งในประเทศไทย ก็น่าจะต้องใช้ระบบ DVB เพราะ TV ของเราเป็นระบบ PAL แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 52 20:44:24 แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 52 20:05:12 จากคุณ : นายทองขาว - [ 25 มี.ค. 52 19:36:50 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อยากรู้จริง ๆใครเป็นคนลงสีรูปนี้ ขัดกับสามััญสำนึกจริง ๆ สีแดง = เปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว Digital ล้วน ๆ สีเหลือง = ใช้ทั้งสองระบบควบคู่กัน สีเขียว = ยังจ้า อนาล้อกล้วน ๆ สีเทา=ไม่มีข้อมูล แก้ คิดอีกที ตัวสีเขาหมายถึงการใช้ระบบอนาล็อกมากกว่า สีเทาอาจไม่ได้แปลว่า เราไม่ได้ทำอะไร แต่เราไม่ได้ส่งข้อมูลให้เขามากกว่า แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 52 20:30:13 จากคุณ : นายทองขาว - [ 25 มี.ค. 52 20:28:52 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขออภัยคร้าบ แอบเขียนไม่เคลียร์อ่ะ >_< คุณ s7014249 เข้าใจข้อความของผมถูกต้องเลยครับ ขอบพระคุณครับ :) ใช่ครับ สิ่งที่เราต้องพัฒนาแบบให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ เลยคือเนื้อหา อย่างที่เรียนไว้ตอนแรก และสิ่งที่ผมพูดถึงเนื้อหา ก็คือคุณภาพของเนื้อหานั่นเองครับผม เรากำลังพูดเรื่องเดียวกัน อย่างที่บอกว่ารายการโทรทัศน์บ้านเราเอนเอียงไปทางบันเทิงซะเป็นส่วนมาก แถมคุณภาพของสื่อบันเทิงนั้น ทุกคนเองก็ทราบดี :P ที่ยกตัวอย่างละครเกาหลีมาก็ใช่ครับ เข้าใจว่าคนไทยก็ติดงอมแงมกันไม่ใช่น้อย เพราะดูแล้ว "ได้อะไร" กว่าละครไทยบางช่องพอสมควร เพราะบทเค้าดีจริง :) ที่สำคัญ ละครเกาหลี รัฐบาลเค้าใช้มันให้เป็นประโยชน์จริงๆ อย่างละครส่งเสริมให้คนมีบุตรก็ทำมาแล้ว ฮ่าๆ จริงๆ แล้วเรื่องละครหลังข่าว หรือบันเทิงอะไรก็แล้วแต่ รัฐบาลควรมีมาตรการซักอย่างกับเรื่องนี้ แต่เม็ดเงินมหาศาลที่ได้จากช่วงละครหลังข่าวของช่อง 3, 5, 7 ก็พอจะเดาได้ว่า ...คงจะไม่มีมาตรการอะไรออกมาหรอก :P ส่วนประเด็นความคมชัดนั้น นั่นขอแยกเป็นอีกหนึ่งประเด็นครับ ส่วนตัวผมให้ความสำคัญมันน้อยกว่าคุณภาพของเนื้อหาไปมากด้วยซ้ำ แต่กลับอยากให้ทั้งสองสิ่งนี้พัฒนาไปควบคู่กัน เพราะมันจะเสริมกันและกัน คือคอนเทนท์คุณภาพดี และส่งไปด้วยคุณภาพสัญญาณที่ดี ผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับผู้บริโภคเต็มๆ นั่นเอง แถมทำให้การเรียนรู้ผ่านโทรทัศน์ดีขึ้น เพราะเค้าวิจัยกันมาแล้วว่า ให้คนเรียนจากแผนภาพทั้งสองภาพ ภาพนึงคุณภาพธรรมดา อีกภาพนึงคุณภาพชัดเจน คนจะเรียนรู้จากภาพชัดๆ ได้ดีกว่า (แหง) แต่เรียนย้ำอีกครั้งว่ามันเป็นคนละประเด็นกับเรื่อง "คุณภาพของเนื้อหา" นะครับ เพียงแต่สองเรื่องนี้เสริมกันและกัน ถ้า "มีโอกาส" ก็ควรพัฒนาควบคู่กันไปครับ แม้วันนี้มันอาจจะยังแพงไม่คุ้มค่า แต่ขอให้วางแผนอย่างชัดเจนเถอะครับ 10-20 ปีว่ากันไป อย่างน้อยให้ประเทศเราพอมองเห็นอนาคตออกได้ซักเรื่องก็ยังดี อย่างเรื่องรถไฟฟ้า แม้จะเปรียบกันไม่ได้ แต่อยากให้มองประเด็นตรงที่ เมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว ผู้นำของเราไม่คิดจะมีรถไฟฟ้า เพราะค่าลงทุนมันมหาศาล เราเลยเน้นการสร้างถนนแทน (ขณะที่เพื่อนบ้านเรา เขาเลือกที่จะสร้าง) มาวันนี้ต้องบอกว่า ปี 2552 บ้านเมืองเราเหมือนอะไรซักอย่าง ถนนเต็มบ้าน รถเต็มเมือง ต้นไม้น้อย มลพิษสูง เดินทางลำบาก แก้ไขยากแล้ว ไม่คุ้มเลยถ้าเทียบกับสร้างขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าให้ดีซะตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าให้เทียบกับประเด็นนี้ รัฐก็ต้องวางแผนเรื่อง DTV กันล่วงหน้า ดีกว่าปล่อยให้เอกชนทำกันเอง สุดท้ายต่างคนต่างทำจนเละกันไปหมด ปล. ทีวีเพื่อนผมเพิ่งเสีย เป็นจอแก้วโซนี่ คาดว่าหาอะไหล่ไม่ได้แล้ว หรือไม่ก็ต้องสั่งอะไหล่จากญี่ปุ่น .... ถามว่า เพื่อนผมจะตัดสินใจยังไง จะสั่งซ่อมสั่งอะไหล่จากญี่ปุ่น หรือเพียงแค่ซื้อบราเวียดี? ^^ ----------------------------------------------------------------- เรื่อง HDMI กับ DisplayPort ผมเคยศึกษาเปรียบเทียบสองพอร์ทนี้อย่างหยาบๆ ก็ แอบรู้สึกเห็นต่างเช่นกันครับ จากที่ผมเข้าใจ HDMI กับ DisplayPort มันไม่ได้มีประสิทธิภาพหรือคุณภาพต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญเลยครับ แถมแข่งกันคนละตลาด เพียงแต่มันคล้ายคลึงกันจนน่าเอามาเปรียบเทียบกัน จริงอยู่ที่ว่า DP ค่าธรรมเนียมฟรี แต่ HDMI เองก็ค่าธรรมเนียมเล็กน้อย อันเป็นว่าไม่มีผลต่อผู้บริโภคมาก แถม HDMI กลายเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อในตอนนี้ไปแล้ว เรียกได้ว่า HDTV มีกันแทบจะทุกเครื่อง แถมจริงๆ มันก็คือพอร์ท DVI ที่คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่หลายเครื่องมีใช้อีกต่างหาก DP มันเป็นตัวที่จะมาแทน VGA port กับ DVI port บนคอมพิวเตอร์ครับ บริษัทที่ออกมาสนับสนุนพอร์ทนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัททางด้านคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น เริ่มใช้ไปแล้วกับสินค้า Dell, Apple และ HP ว่าแต่ในอนาคต HDTV จะเพิ่มพอร์ต DP มาก็ไม่แปลก เพราะมันควรรองรับการเชื่อมต่อหลายรูปแบบอยู่แล้ว อย่าง VGA port ยังมีเลย (DVI ก็แปลงเป็น HDMI เอา) ไม่ว่ายังไงก็ตาม ตอนนี้ผมก็แฮปปี้กับ HDMI มากเลยครับ ของเค้าดีจริง :) จากคุณ : COLORS - [ 26 มี.ค. 52 01:08:37 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ได้ความรู้ดีมาก ๆ เลยครับ ... ขอบคุณครับ ... จากคุณ : D_YONG - [ 26 มี.ค. 52 10:09:12 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ผมงงไปหมดแล้ว ระหว่างคุณ เจ้าของกระทู้ กับ คุณนายทองขาว ประเด็นหลักๆ ที่นำเสนอ จะมีคำว่า "ดีกว่า" เสียเกือบทุกเรื่อง    ดีกว่าหรือดีน้อยกว่า สรุปว่าดี แต่ไม่ใช่ ไม่ดี นั่่นน่าจะเกิดจากการตัดใจของผู้บริโภคความคิดเห็นของคุณทั้งสองคน ไม่ใช่คุณ(ทั้งสอง)เป็นผู้ตัดสินใจให้คนอ่าน บทวิจารณ์ หรือบทความของท่าน นะครับ      โดยความเคารพ ผมแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตครับ จากคุณ : CHIBA - [ 26 มี.ค. 52 10:26:09 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เข้ามาช่วยตอบบ้าง เห็นโต้ตอบกันอยู่นานพอสมควรครับ ทุกท่านที่มาตอบไม่มีใครผิดใครถูกครับ แต่เพิ่มพูนความรู้ได้เยอจริงๆ        แต่รู้สึกชื่นชมคุณทองขาวมากกว่า ที่เข้ามาตอบได้แบบตรงใจ และได้สาระสำคัญหลายๆอย่าง          ผมขอตอบแบบตรงประเด็นตามความรู้ที่ผมมีนะครับ  อ.ปรีชา ซึ่งเป็นอาจารย์สายช่างซ่อม TV และเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆแห่ง www.PS-thai.com ได้ให้ความเห็นออก TV ช่องนึง (จำไม่ได้แล้วครับ) เกี่ยวกับหลอดภาพ CRT ส่วนหนึ่งว่า         ปัจจุบันหลอดภาพ CRT ไม่มีสารตั้งต้นในการผลิตแล้ว นั้นคือ ขาดวัตถุดิบในการผลิต สรุปคือ เลิกผลิต....  ดังนั้น หากปัจจุบันใครใช้หลอด CRT แล้วเสีย หมดสิทธิ์ซ่อมครับ ดังนั้น หากใครคิดจะซื้อ TV ใหม่ ควรเลือกซื้อ LCD หรือ Plasma ดีกว่า (อันนี้ผมเห็นด้วยส่วนนึง ซึ่งเป็นการมองถึงอนาคต)                หากสังเกตุดีๆ จอ CRT ที่ยังมีขายกันอยู่ปัจจุบัน จะเหลือน้อยเต็มทีแล้ว เพราะว่าโรงงานผลิตจอภาพ CRT ในไทยเราได้ปิดตัวลงกันเรียบร้อย ซึ่งบางบริษัทจะเลหลังขาย TV CRT ถูกๆ เพราะไม่มีอะไหล่จอภาพเหลือเก็บไว้อยู่ ส่วนเรื่องประกัน จะมีประกันให้ 1-2 ปี เพราะมีความมั่นใจว่าจอภายในระยะประกัน ไม่มีทางที่จอภายจะเสียได้ หรือมีปัญหาได้      ส่วนตัวผมยังชอบ CRT อยู่ ด้วยเหตุผลเหมือนคุณทองขาว เกือบทุกความเห็น ถึงแม้ว่าจอ CRT จะเลิกผลิตแล้วก็ตาม แต่กว่าจอภาพมันจะเสีย ผมให้มากกว่า 10 ปี ครับ ส่วนใหญ่จะเสียที่วงจรมากกว่า จากประสบการณ์ตรงช่างซ่อมร้านข้างบ้าน บอกว่าโอกาสจอเสื่อมหรือเสียน้อยมากๆ แต่จอประเภท LCD หรือ Plasma มีเข้ามาซ่อมบ่อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จอแตก (โดยเฉพาะที่ตูดหลอดภาพเล็กๆ) เนื่องจากการใช้งานของลูกค้าที่ไม่ค่อยถนอม และอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกิดจากช่างซ่อมเองก็มี เพราะจอ LCD หรือ Plassma เปราะง่าย เวลาเปิดเครื่องซ่อมต้องระวังเป็นพิเศษ     เห็นด้วยกับคุณทองขาวที่ว่า ไม่ต้องรีบร้อนเสพเทคโนโลยี แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง มันจะก้าวเข้าสู่เทคโนโลยีด้วยตัวของมันเองตามโลกาภิวัฒน์ ผมเข้าใจส่วนหนึ่งว่า ไทยเราไม่เห็นมีแผนจะเปลี่ยนระบบการส่งแบบ Digital เหมื่อนประเทศอื่นๆเลย นั้นหมายถึง ยังมองไม่เห็นสาระสำคัญเท่าไร เพราะมีเรื่องอื่นๆที่รอการพัฒนามากมาย       จริงๆไทยเราไม่ต้องมีแผนก็ได้ครับ มันเป็นไปตามเทคโนโลยีอยู่แล้ว เมื่อ digital ในต่างประเทศนิ่งเมื่อไร แป๊บเดียว ไทยเราก็ต้องสนใจซื้อเทคโนโลยีนี้อยู่แล้วครับ ดูตัวอย่างมือถือ 3G ในเมืองไทยซิครับ iphone 3G ราคา 2 หมื่นกว่าๆ แต่ได้ใช้จริงจังหรือยังครับ มีไม่กี่จุดที่ใช้ได้ .... และหากเมื่อไหร่ 3G ไช้ได้ครบทุกจุดพื้นที่ ผมว่า iphone 3G ราคาก็คงจะเหลือแค่ 2000 ก็ได้...ใครจะรู้ จากคุณ : คนคลองลำเจียก - [ 26 มี.ค. 52 10:43:06 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ระบบพื้นฐานเพื่อดำรงชีพของประชาชนยังแก้ไขไม่ได้เลย อย่าหวังเลยว่าระบบ DTV จะเกิด ขนาดรถไฟฟ้ามีกิน มีงาบ มีใต้โตะ ยังรออีก 10 กว่าจะเสร็จ (แค่ในเมืองนะ) แล้วระบบ DTV ไม่มีอะไรให้นักการเมือง หรือข้าราชการงาบเป็นอาหารเสริม มันคงจะมีแหละ จากคุณ : ปริศนาไขกระจ่างแล้ว - [ 26 มี.ค. 52 11:37:32 ]

ความคิดเห็นที่ 62 รู้สึกเหมือนตัวเองจุดชนวนให้คนทะเลาะกันยังไงไม่รู้ แต่สิ่งที่่เกิดขึ้นก็ยังดี ที่ที่นี่นำเสนอมุมมองกันอย่างไม่ใช้อารมณ์เหมือนแถว ราชดำเนิน ผมในฐานะผู้บริโภค ที่มีเงินจำกัด และมองประเทศเหมือนตัวของผมเอง ที่ตอนนี้(และในอนาคตอันใกล้นี้) ยังคงมีเงินอย่างจำกัดอยู่ ถามว่ามีเงินพอซื้อพวกนี้ใช้ไหม ... ก็พอมีแบบซื้อมาแล้วยอมกินแกลบไปสัก 2-3 เดือน และถ้าให้เลือกซื้อตอนนี้จะเอาไหม ... ก็คงยังไม่เอา เพราะเงินจำนวนนี้ ผมคงเอาไปซื้อจักรยานขี่ออกกำลังกายได้(ตอนนี้ยังไม่มี) หลายคันอยู่ ทีวีธรรมดาที่บ้านก็ยังใช้ได้อยู่ ถ้าซื้ออีกเครื่องเอาไว้ให้ห้องลูกๆ ก็คงหา CRT ถูกๆ ทนๆ เอา เหมือนประเทศเราที่ยังมีถนนอีกหลายสายที่ต้องพัฒนา เห็นว่าเอาเงินไปลงตรงนั้นดีกว่า การศึกษายังไม่ทั่วประเทศ ก็มุ่งเน้นกระจายให้ทั่ว ยังไม่ต้องเอาที่มีแล้วไป up ให้มันหรูขึ้น น่าจะคุ้มกว่า และเมื่อไหร่ ที่ลูกๆ ผมโต มีการศึกษาดีๆ ได้งานดีๆ เงินสูงๆ วันนั้น เขาก็ซื้อมาให้ผมดูเอง (ในราคาที่ถูกกว่าตอนนี้อีก) หรือไม่ตอนนั้นผมฐานะดีขึ้นพอที่จะซื้อ ผมก็คงพิจารณา upgrade ไปตามความเหมาะสมเอง ผมคิดง่ายๆ แบบนี้ล่ะครับ จากคุณ : Redrum - [ 26 มี.ค. 52 13:33:10 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คุณ Redrum ใช้ชีวิตพอเพียงจริงๆเลยนะครับ ...นับถือ         แนะนำว่าตอนนี้ หากใครพบ TV หลอด CRT ซึงคิดว่าตอนนี้ถูกลงมากๆ (ยี่ห้อทนๆที่นิยมด้วยนะ) ถ้าไม่ต้องการความละเอียดมากมาย และหวังจะใช้อย่างมากไม่เกิน 10 ปี ถือเป็นตัวเลือกที่ดีอันหนึ่ง (แต่คงหายากอยู่นะครับ)     มือถือถ่ายรูปได้ เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดซื้อเลยนะ .... มันแพงโคตรๆ แต่เดี๋ยวนี้ มันโดนบังคับโดยเทคโนโลยี มือถือ1000 กว่าๆ 2000 กว่าๆ เขาก็ยัดกล้องให้ใช้กันแล้ว ไม่ต้องดิ้นรนอะไรเลย      ผมเข้าใจเจ้าของกระทู้นะครับ เพราะซื้อ TV แบบ LCD มาใช้ แต่ต้องเสียอารมณ์กับระบบออกอากาศบ้านเรา ต้องทำใจซักระยะครับ     ถ้าเข้าใจและเคยเรียนเศรษฐศาสตร์เรื่อง demand / supply จะเข้าใจระบบการทำธุรกิจดีครับ       ปัจจุบันอัตราส่วนคนใช้ TV CRT ยังมากกว่า LCD อยู่ 70 % ครับ ดังนั้น ผู้ประกอบการก็คงคิดเช่นเดียวกันว่าต้องประหยัดก่อน คือคงระบบส่งออกอากาศแบบเดิม แต่ถ้าเมื่อไร LCD มีถึง 70% ผู้ประกอบการก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนระบบเช่นกัน และแย่งคู่แข่งเช่น (3,5,7,9,NBT,PTV) หากช่องใดช่องหนึ่งทำเป็นจ้าวแรก คนก็จะเลือกดูช่องนั้นเป็นหลัก ทำให้คู่แข่ง อยู่ไม่ได้ ต้องเปลียนตามเพื่อช่วงชิงคนดูเช่นกันครับ        ต้องขออภัยที่ไม่ได้พูดเชิงเทคนิคเหมือนกับหลายๆท่าน ผมอยากให้เข้าใจแบบง่ายๆครับ จากคุณ : คนคลองลำเจียก - [ 26 มี.ค. 52 15:27:20 ]

ความคิดเห็นที่ 64 กระทู้มีสาระดีครับ ผมก็มีทั้ง CRT(ดูยูบีซี เล่นเพลย์ 2) , LCD(ดูหนังอัพสเกล เล่นเพลย์3) ถ้า CRT เสียก็อาจซื้อพลาสม่าแทน ส่วนตัวคิดว่าออกอากาศแบบ HD ควรเริ่มที่ระบบเคเบิ้ลก่อนก็ยังดี (แต่ไม่คิดค่าสมาชิกเพิ่มนะ)  ส่วนฟรีทีวีก็ค่อยๆเปลี่ยน  เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังดู VCD กันเลย ทั้งที่ DVD ชัดกว่าเยอะ  หลายๆบ้านในประเทศก็ยังเป็นจอ CRT แถมอาจจอนูนอีก  และเห็นด้วยเรื่องเนื้อหานะครับ เดี๋ยวนี้ฟรีทีวีแทบไม่มีอะไรน่าสนใจเลย จากคุณ : SamuDi Knight - [ 26 มี.ค. 52 18:15:52 ]

ความคิดเห็นที่ 65 มีแผนจะซื้อ Plasma สงสัยจะต้องเปลี่ยนเป็น CRT Slim ซะละมั้งเนี่ย จากคุณ : ladybear - [ 28 มี.ค. 52 11:55:35 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เป็นประโยชน์มากจริงๆ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : แมวน้อยคอยปลาทู - [ 29 มี.ค. 52 12:21:20 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ถ้าคิดได้แค่นี้ หลับตาฟังวิทยุธานินทร์ลำโพงเดียวดีกว่านะฮะ.ท่าน จากคุณ : บลาวฟ้งท์ - [ 29 มี.ค. 52 17:09:47 A:124.121.58.10 X: TicketID:059889 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 29 มี.ค. 52 19:14:49 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เฉียบ... จากคุณ : หนิก - [ 30 มี.ค. 52 01:13:11 ]