ความคิดเห็นที่ 1   แม่เราพูดเหมือนดูถูกคอนโดของเค้า คำว่า อยู่ไปก่อนละกัน แล้วก็ เราไปไหนมาไหน ต้องพร้อมเค้า แม่พูดอย่างกับ เค้าพาเรามาอยู่ในสลัม ระบบการป้องกันของคอนโด นี้ ก็เห็นอยู่ว่า ค่อนข้างรัดกุม เรื่องปีน หรือไม่ปลอดภัย เป็นเรื่องสุดโต่งมาก ถ้าอย่างนี้เค้าก็พูดได้ว่า หมู่บ้านที่แม่เราทำอยู่ ถ้าคิดจะมีคนคิดร้าย คิดจะปีน ทำไมจะทำไม่ได้ ตัวเค้าเองอยู่หมู่บ้านราคาหลายล้าน ยังเคยโดนปีน แล้วธีรินทร์จะมาวิเศษวิโสอะไรขนาดนั้น เพราะที่แม่เราห่วง มันสุดโต่งเกิน แต่เราก็ไม่ได้เข้าข้างแม่มากมาย แต่เราเองก็กลัวเรื่องความปลอดภัย เราเคยอยู่แต่หอหญิงของมหาลัยที่มี รปภ คุมเข้มสุดๆ เราไม่เคยอยู่คอนโดที่มีชายหญิงรวมกัน แต่แฟนเราก็บอกว่า คอนโดที่นี่ การ์ดก็คุมเยอะ กล้องวงจรปิดในห้องควบคุมก็มีหลายตำแหน่ง โอคว่า ความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นได้ แต่ยากมากกก เค้าเดินไประบายกับ รปภ คอนโดด้วย รปภบอกว่า ก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องแม่เรานั้น เป็นความคิดของคน ที่ไม่มีใครห้ามได้ ก่อนหน้านี้เคยคุยกับแฟนว่า จะมีไปค้างที่บ้าน(ไม่ใช่ธีรินทร์ค่ะ เป็นบ้านปัจจุบัน) ในบางวัน แต่ตอนนี้แฟนเราโกรธจนบอกว่า จะไม่ไปค้าง ถ้าจะไปเราก็ไปคนเดียว เค้าไม่อยากอึดอัด ทนฟังแม่เราพูดบางอย่าง แล้วก็ยังกลัวอยู่ว่า แฟนเราจะ อคติไปจนไม่ไปอยู่ธีรินทร์ถ้าทำเสร็จ (อยู่กัน 2 คน) เพราะถ้ามีลูกขึ้นมา อยู่คอนโดคงไม่ได้แน่ๆ เฮ้อออ เครียดล่วงหน้าเลยค่ะ เราเองก็ไม่อยากไปอยู่บ้านแฟนเรา เพราะคนเยอะ พี่น้อง ญาติด้วย เราเองก็ไม่ใช่คนดี ปรับตัวเก่งอะไร เลยตัดสินใจมาอยู่กัน2คนแต่แรกค่ะ แต่นี่ พอเค้าอคติกับบ้านที่แม่เราทำ ไม่รู้ พอมีลูกเค้าจะยอมไปอยู่มั้ย อันนี้ก็คิดไว้ล่วงหน้าอะค่ะ เมื่อก่อนแฟนชอบมาทายข้าวที่บ้าน ไม่รู้หลังจากนี้ จะอยากมาทานอีกมั้ย เค้าเป็นคนที่รู้สึกไม่ดีกับใคร ก็ไม่อยากจะใกล้ด้วย เค้าบอกว่า ถ้าให้แม่เข้ามายุ่งในชีวิตคู่มากๆ เค้าก็ทนไม่ได้หรอกนะ ตรงนี้เราก็เข้าใจค่ะ แต่มีช่วงนึงเรื่องงานแต่ง เราเลือกซุ้มดอกไม้ น้ำแข็งอะไรเรียบร้อยแล้ว แต่แม่เราบอกว่าจะเข้าไปดูอีกที เพราะที่เราเลือกโรงแรมแถมให้ กลัวไม่สวย แต่เราดูว่ามันสวยแล้ว เค้าก็ไม่ยอมบอกให้เราพาเค้าไปดูแบบที่เราเลือก ถ้าไม่สวย เค้าจะจ้างข้างนอก เราโมโหอ่ะ เราเลยบอกว่า ไม่อยากให้เค้าวุ่นทุกเรื่อง แม่เราเสียใจ ร้องไห้ด้วย บอกว่าจะไม่ยุ่งแล้ว เรารู้สึกผิดบาปมากๆๆๆๆ ก็คุยกันไป จนดีกัน หลังจากนั้น เราเลยไม่กล้าว่าอะไรเค้าแล้ว ก็ให้เค้าเข้ามาช่วยทุกเรื่อง คอมเม้นท์นั่นนี่แล้วแต่เค้าแล้ว อ่าค่ะ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 11:27:25 A:118.175.2.86 X: TicketID:211236

ความคิดเห็นที่ 2 ว่า .... อะไรเอ่ย จากคุณ : อ้อมแขนเรามันว่างจัง เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 11:31:01

ความคิดเห็นที่ 3   ที่เรามาตั้งห้องชายคา เพราะอยากแชร์ให้ฟัง แล้วก็ ขอความเห็นเรื่อง คอนโดไลฟ ท่าพระ เพื่อนๆว่า ดีไม่ดียังไงคะ ทั้งความปลอดภัย ระบบน้ำไฟ แต่แอบข้องใจว่า ถ้าส้วมตัน ท่อน้ำเต็ม เราต้องหาคนมาดูให้ หรือทางคอนโดส่งคนมาดูคะ อันนี้แอบงง แล้วก็ เท่าที่เราสังเกต คนที่พักในคอนโด ก็ดูดีมีสกุลกันทั้งนั้น พูดง่ายๆว่า เราเป็นคนเชื่อแม่บางเรื่องนะคะ แต่เก็บมาคิดทุกเรื่อง เราคงเครียดจนอยู่คอนโดไม่ได้แน่ๆ และเราต้องมีปัญหากับแฟนเราชัวร์ แหะๆ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 11:31:19 A:118.175.2.86 X: TicketID:211236

ความคิดเห็นที่ 4 อยากให้กำลังใจนะคะ สู้ๆ อย่าคิดมาก... อ่านดูแล้วก็คล้ายๆกันและเหมือนเพื่อนๆเราอีกหลายๆคนที่เคยประสบมา ก่อนแต่งก็มีน้ำตาแบบนี้แหล่ะค่ะ เพราะพ่อแม่ท่านห่วงและหวงเรานั่นเอง พูดตามตรง ดิฉันคิดว่าคุณแม่คุณยังไม่มั่นใจว่าแฟนคุณจะดูแลคุณได้ดี(เท่าท่าน)รึป่าว อันนี้แฟนคุณต้องพิสูจน์ค่ะ คุณต้องให้กำลังใจแฟนค่ะ ส่วนแต่เรื่องความชอบ จะอยู่คอนโดหรือบ้านเดี่ยว เฟอร์นิเจอร์แบบไหน มันแล้วแต่ความชอบค่ะ ก็แค่มองความสวยกันคนละแบบเท่านั้นเอง ใจเย็นๆค่ะ ค่อยๆบอกท่านว่า เราชอบอีกอย่างมากกว่า ค่อยๆค่ะ ขอให้มีความสุขมากๆในวันแต่งงานนะคะ :) เย็นไว้และสู้ค่ะปล. ปล. อย่างเคสดิฉัน คุณแม่ท่านชอบโต๊ะมุกจีนไม้สักค่ะ โตมากะเฟอร์นิเจอร์แบบนี้ ท่านอยากให้ยกไปแต่งบ้านใหม่ (ดิฉันกำลังจะแต่งงานเหมือนกัน) แต่ดิฉันอยากแต่งบ้านแบบ country cottage คุณคิดดู ความชอบต่างกันสุดขั้ว แต่ดิฉันก็ยิ้มสู้อย่างเดียวค่ะ ไม่ตอบรับแค่บอกว่าเราชอบอีกแบบมากกว่า... จากคุณ : hoolio เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 11:33:41

ความคิดเห็นที่ 5 ก็ลูกสาวคนเดียวนี่ครับ แม่จะเป็นห่วงมากไปหน่อย ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทว่า เรื่อง การแต่งงาน ชีวิตคู่ หาก "ว่าที่สามี" ไม่สามารถ รับได้กับ "ว่าที่แม่ยาย" ก็จะมีชีวิตคู่ที่ลำบาก "ว่าที่แม่ยาย" ไม่สามารถ ปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิด ก็จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง +++ +++ คงแนะนำอะไรไม่ได้มาก นอกจาก ค่อยๆ ปรบ ค่อยๆ จูน กันไปครับ อะไรยอม ผู้ใหญ่ ได้ ก็ยอม ครับ อะไรที่ "ต่อรอง" กันได้ ก็ "ต่อรอง" กันไปครับ เพื่อให้ได้ทางออกที่ รับได้ทั้ง 2 ฝ่าย จะทำ จะพูด อะไร "คุณ" ต้องใจเย็น สุดๆ เพราะ หนึ่งก็ แม่ หนึ่ง ก็ว่าที่สามี ไม่อย่างนั้น คนเหนื่อยสุด ก็จะเป็น "คุณ" ครับ ไม่ใช่ "ว่าที่สามี" และ ระวังอย่าให้เกิดคำถามว่า "จะเลือก ใคร ระหว่าง "แม่" หรือ "สามี"" +++ +++ ส่วนคำถาม เกี่ยวกับ คอนโด นะครับ ผมว่า หากข้องใจอะไร ก็ ถามที่คอนโด ได้เลยครับ จะได้ สบายใจ เรื่องท่อเต็ม ส้วมตัน รู้สึกว่า น่าจะมี นิติฯ ช่วยดูแลให้นะครับ ส่วนเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย โดยปกติ จะมีการติดตั้งระบบที่ดีอยุ่แล้ว เพียงแต่ว่า ผู้อยู่อาศัย จะ เคร่งครับ ช่วยเหลือกันแค่ไหน เช่น ประตูเข้าลิฟท์ ส่วนใหญ่จะ ล็อค อัตโนมัติ และเป็นระบบ Key Card แต่บางคน ก็ไม่ค่อยจะยอมช่วยกัน ปิดประตู ทำให้บุคคลภายนอกสามารถขึ้นไปข้างบนได้โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น ขอให้โชคดีครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 52 11:39:14 จากคุณ : kitz เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 11:35:21

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นใจ... จากคุณ : ZERO_IDEA เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 11:41:08

ความคิดเห็นที่ 7 ให้ท่านสบายใจเถอะ ท่านอุ้มท้องเรามาตั้ง 9 เดือน ย่อมเห็นลูกยังเล็กอยู่วันยังค่ำ แฟนคุณคบคุณมากี่ปี แม่คุณเลี้ยงคุณมากี่ปี อีกไม่นานก็จากกันแล้วครับ อธิบายให้แฟนเข้าใจครับ ท่านอุสาห์ไปซื้อบ้านและคุมงานทุกวัน ย่อมแสดงถึงความห่วงใยครับ ถ้าเป็นผมจะรู้สึกยินดีมากและน้อมรับคำสั่งสอน แล้วคุณมีลูกคุณจะรู้สึก ถ้าลูกคุณบอกคุณว่า อย่ามาวุ่นวายเรื่องส่วนตัวหนู คิดถึงและห่วงใย ยามมีชีวิตดีกว่าครับ จากคุณ : apiwatt เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 11:41:36

ความคิดเห็นที่ 8 เป็นกำลังใจให้อย่าพึงท้อ ชีวิตคู่กำลังจะเริ่มมีอะไรรอคุณอยู่ข้างหน้าอีกมากมายนะคะ เรื่องแม่คงต้องพบกันครึ่งทาง เข้าใจความรู้สึกคนเป็นแม่ว่าห่วงลูกมากขนาดไหน ขนาดเราอยู่หมู่บ้านแบบปิด กลางคืนแสนจะเงียบแต่ไม่น่ากลัว 2 ทุ่มแม่เราโทร.มาเช็คแหละว่าขึ้นนอนหรือยังปิดประตูเรียบร้อยไหม ทั้งๆที่อยู่มา 5 ปีไม่เคยเกิดเรื่องเลยแต่เรื่องแบบนี้ก็ประมาทไม่ได้ คุณเป็นไรขึ้นมาแม่คงใจสลาย ทางสามีก็คงต้องประนีประนอมนะคะ เราคนกลางต้องทำให้สองฝ่ายรู้สึกว่าเราก็อยู่ข้างเขา ถอยที่ถอยอาศัยกันไปนะคะ จากคุณ : ไอศครีมกะทิ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 11:48:59

ความคิดเห็นที่ 9 สงสารแม่จัง  อะไรยอมได้ก็ยอม ๆ ไปเหอะคับ ต้องเข้าใจอารมณ์แม่ที่มีลูกคนเดียวด้วย ย่อมต้องการให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ  ส่วนที่แม่พูดกับแฟนผมว่ามันไม่ใช่การดูถูกหรอกนะ มันคือความห่วงใยมากกว่า จากคุณ : i_am_np เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 11:52:37

ความคิดเห็นที่ 10 ทำใจ... ตอนที่ผมแต่งงาน อายุ25 ตามธรรมเนียมจีนที่ฝ่ายหญิงต้องมาอยู่กับฝ่ายชาย ผมโดนทั้งพ่อผมและพี่สาวเจ้ากี้เจ้าการซะจนมีความรู้สึกในตอนนั้นว่า นี่เราแต่งงานมาเพื่อความสุขหรือความทุกข์แน่หว่า แค่ยกน้ำชาวันแรกแฟนผมก็ร้องไห้แล้ว แต่ก็ทนครับ ไม่ว่าจะเรื่องราวใดๆซึ่งแฟนผมก็จะเก็บเงียบไว้ไม่มาบอกปล่อยให้เรื่องราวผ่านไป เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องราว ไม่สบายใจ จากความอดทนอดกลั้นของแฟนผมซึ่งมีต่อครอบครัวผมเอง มันก็เลยมีวันนี้ ถ้าซึ่งวันนั้นไม่อดทน ก้จะไม่มีวันนี้ เหมือนดั่งคนยุคใหม่ที่พูดกันเสมอว่าไม่ทนหรอก จริงอยู่ที่จะไม่อดทน ต่างคนต่างไป แต่วันนึงข้างหน้า ชีวิตที่ผ่านการแต่งงานมาแล้ว ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย บั้นปลายยังไงซะก็ต้องอดทนอยู่ดี ถึงแม้ว่าคนสุดท้ายล่าสุด นิสัยใจคอจะแย่กว่าคนแรกมากมายหลายเท่าก็ตามที ยังไงก็ต้องทน จากคุณ : เหล่านั้งเคียวห่วย เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 11:56:38

ความคิดเห็นที่ 11 จริง ๆ เรื่องนี้ถ้าคุยกัน.. ก็คงแตกออกเป็นสองฝ่าย.. แบบที่ทำไปเลย.. ตามใจเรา.. กะตามใจพ่อแม่.. ตัวผมเอง.. ก็รู้สึกว่า.. ไม่อยากให้ พ่อแม่ เข้ามาเกี่ยวข้องมากนัก.. อยากตัดสินใจเอง ไม่ใช่เพราะว่า.. รังเกียจ.. หรือไม่อยากรับฟัง.. เราเคารพเค้ามาก ๆ ด้วยซ้ำ แต่มีสองเหตุผลหลัก ๆ .. 1. เราอยากทำอะไรทุกอย่างด้วยตัวเอง.. ถ้าจะแต่งงาน.. แล้วยังต้องให้พ่อแม่มาคอยจ้ำจี้ จ้ำไช.. คงดูไม่เหมาะอ่ะ.. แต่อยากจะเป็นลักษณะ.. เข้าไปคุยกัน.. มีไรมาปรึกษากันกับพ่อแม่.. แล้วท่านให้คำแนะนำดีกว่า.. สุดท้าย.. เป็นเราที่ตัดสินใจอ่ะ.. 2. ทัศนคติ.. หรือ style ที่ไม่ตรงกัน.. อันนี้ก็เรื่องนึง.. เหมือนที่คุณ hoolio เขียนไว้อ่ะคับ.. พ่อแม่ชอบแบบนึง.. เราชอบแบบนึง.. เราอยากแต่งแบบนี้.. แต่พ่อแม่ไม่ชอบ.. หรืออีกอย่าง.. พ่อแม่ผมเชื่อเรื่อง ฮวงจุ้ยมาก.. ผมไม่เชื่อเลย.. บางทีก็คุยกันไม่ได้.. อันนี้.. ถ้าจะให้สบายใจ.. ต้องพบกันครึ่ง ๆ อ่ะ.. ตรงกลางอย่างเดียว.. แล้วก็อธิบายดี ๆ .. ว่าทำไมเลือกแบบนี้.. ************************************************ แต่ความคิดผมนะ.. อย่าบอกว่า.. ต้องทน ยังไงก็ต้องทน.. ไม่เหมาะมาก ๆ .. ถ้าคุณคิดจะทน.. แล้วก็ทนไปเรื่อย ๆ .. วัน ๆ นึง.. คุณก็จะเลิกทน.. เปลี่ยนเป็น.. ช่างมันเถอะ.. หรือไม่ก็สุดจะทน.. ระเบิดออกมา.. แล้วคนที่เสียใจที่สุด.. ก็จะเป็นคุณ ไม่ก็พ่อแม่.. ผมว่า.. เรามาพยายามทำให้เค้าเห็นเหตุผล.. อธิบายไปเรื่อย ๆ ทุกวัน.. จนเค้าเริ่มคล้อยตามดีกว่า.. ไม่งั้น.. ถ้าวันนึง.. คุณทนได้.. แต่สามีคุณทนไม่ได้.. จะทำยังไง.. คนนั้นคุณแม่ของคุณ.. แต่สามีคุณอาจจะไม่ได้คิดอย่างนั้น.. สุดท้าย.. จบไม่สวยอ่ะ.. ไม่ใช่คนสมัยนี้ความอดทนต่ำนะ.. แต่ผมว่า.. เราเริ่มที่จะคิดแตกต่าง.. แล้วแก้ปัญหาในแบบของเรามากกว่าอ่ะ.. จากคุณ : monarak เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 12:12:48

ความคิดเห็นที่ 12 ทุกเรื่องจะกระจ่าง เมื่อเราได้เป็นพ่อเป็นแม่ .. เป็นไปได้สูงว่า ลูกของเราจะคิดกับเราอย่างที่เราคิดกับพ่อแม่อยู่ตอนนี้ อะลุ้มอะล่วยและอดทนซึ่งกันและกันครับ ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย เวลาท่านไม่อยู่กับเราแล้วเห็นได้สติกันทุกคน ค้วยความปราถนาดีครับ .. จากคุณ : คุณจิม เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 12:35:58

ความคิดเห็นที่ 13 ให้กำลังใจแฟนมากๆนะคะ คุณเองคือคนสำคัญที่จะต้องไม่เข้าข้างแม่ของตัวเอง บอกให้แฟนรู้ว่า เรารู้ว่าเราสองคนเข้าใจกัน คุณเข้าใจและเห็นใจเค้า ส่วนแม่จะพูดยังไงก็เรื่องของแม่ คงต้องปล่อยให้แม่พูดไป ต่อหน้าก็เออออไปตามเรื่องก่อน อย่าไปขัด ตัวคุณจะทำตัวเป็นกลาง ถูกว่าตามถูก ผิดว่าตามผิด ไม่ปล่อยให้แม่ปั่นหัวได้ อย่าหูเบา เมื่อแต่งงานแล้ว อยู่บ้านของตัวเอง นั่นคือความเป็นอยู่ของเรา อยู่ที่เราสองคนเอาสะดวก คนนอกอยากพูดอะไร พูดได้ พูดไป ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันซะอย่าง แม่ทำอะไรไม่ได้หรอก พอถึงเวลามีปัญหากับแม่คุณ คุณต้องเป็นคนออกรับหน้านะคะ เพราะลูกตัวเอง ทำอะไรแม่ไม่ค่อยว่าเท่าเขยสะใภ้ อีกหน่อยเวลาแม่ขอให้ย้าย คุณก็คงต้องคอยหาเหตุผลผัดผ่อนไปเรื่อย คุณไม่อยากย้าย ยังหาบ้านไม่ได้ เงินยังไม่พร้อม คอนโดเดินทางสะดวกแล้ว ต่างๆนาๆ อ่านแล้วเหมือนคนเลวเลย 5555 แต่สามีเราปฏิบัติอย่างนี้จริงๆนะ เราถึงยังเข้มเข็งอยู่ได้ ทั้งที่แม่สามีเราเขี้ยวกว่าแม่คุณอีก ส่วนตัวเราก็ปฏิบัติเหมือนกันกับสามี เพราะแม่เราก็เป็นเหมือนแม่คุณนั่นหล่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 52 12:48:00 จากคุณ : Cuddle เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 12:42:38

ความคิดเห็นที่ 14 พบกันครึ่งทางค่ะ  คุณคือคนกลางแล้วนะ ตอนนี้ สู้ๆค่ะ เพื่อครอบครัวหรรษานะ จากคุณ : makeup เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 12:50:28

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นความห่วงใยของแม่นะ อย่าคิดมาก กลายเป็นทิฐิ หากมองบวกจะกลายเป็นดีครับ จากคุณ : ฝั่งหัวใจ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 12:54:04

ความคิดเห็นที่ 16 แฟนคุณนี่วาสนาดีนะ  ว่าที่แม่ยายถูกใจขนาดซื้อบ้านเตรียมไว้ให้อยู่กับลูกสาว แถมไปคุมงานให้อีก ถ้าเป็นมาตรฐานทั่วไป กรณีลูกสาวคนเดียวที่แม่เป็นห่วงมากๆ  เรื่องที่จะไปอยู่กันต่างหากตามประสาผัวเมีย หมดสิทธิ์ ว่าแต่ว่า แฟนคุณเตรียมอะไรสำหรับครอบครัวแบบที่แม่คุณทำให้ไว้บ้างหรือยัง จากคุณ : ฟักแฟงแตงไทย เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 13:02:21

ความคิดเห็นที่ 17 วันนี้คุณอาจไม่เข้าใจท่าน ไว้รอวันที่คุณมีลูกของตัวเองแล้วคุณจะรู้ว่าแม่คิดยังไง โดยส่วนตัวเคยอยู่คอนโดแบบโลโซ ก็ระมัดระวังตัวเองค่ะ ที่แม่เป็นห่วงเพราะเห็นมันมีข่าวอยู่แทบทุกวันที่เกิดเหตุต่างๆ ตามคอนโด หรืออพาร์ทเม้นท์ จึงไม่แปลกที่ท่านจะกังวลไปต่างๆนานา ไลฟ์ คอนโด เป็นระดับกลางๆ ดีกว่าที่ดิฉันเคยอยู่ด้วยซ้ำ ก็น่าจะโอเคอยู่ แต่ที่แม่บอกว่าช่วงแรกๆให้ไปไหน มาไหนพร้อมๆกัน เพราะเค้าไว้ใจในตัวว่าที่สามีคุณนั่นแหละว่าจะคุ้มครองลูกสาวท่านได้ แล้วช่วงแรกที่ย้ายไปอยู่ก็ยังไม่ค่อยรู้จักใครไง จะได้ไม่ต้องกังวล ว่าลูกสาวท่านจะเป็นยังไง เอาดวงใจของเราใส่ดวงใจของเขา แล้วจะรู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง เปิดใจให้กว้าง เราจะได้เป็นสุข ค่ะ จากคุณ : p_natsaran เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 13:02:30

ความคิดเห็นที่ 18 เข้ามาให้กำลังใจนะคะ ตอนเราจะแต่งงาน  ยิ่งกว่านี้อีก อยากจัดงานแต่งงานในแบบของตัวเองก็ทำไม่ได้ กดดันมากๆเลยตอนนั้น เรายิ่งไม่ชอบเหมือนใคร  ไม่ชอบงานแต่งงานแบบปกติ  มีขึ้นเวที ขอบคุณ มีเพลงมหาฤกษ์มหาชัย...บอกตรงๆเกลียดมาก แต่ได้หมด.. ชุดงานแต่งออกแบบ ก็โดนเปลี่ยน  ออกแบบไว้เรียบเก๋ เพื่อนๆก็ชม แต่ที่สุดก็กลายเป็นชุดตุ๊กตาฟูฟ่อง จากคอคเทลเป็นโต๊ะจีน งานแต่งงานเราเหมือนฝันร้าย.. แต่เราไม่เคยโกรธเกลียดพ่อแม่เราพ่อแม่สามี คิดว่านี่เป็นสิ่งที่เราจะทำให้ท่านมีความสุขได้... แล้วความสุขจริงๆของเราคือการได้อยู่กับคนที่เรารัก.. ผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นไปได้  ผ่านความอึดอัดเหล่านี้ไปได้  เราสองคนรักกันมากขึ้นทุกวัน เพราะหลังการแต่งงานชีวิตก็อยู่ในมือเราสองคน วันนึงที่เราเป็นพ่อคนแม่คน  เราเข้าใจพ่อแม่เลยนะว่า รักที่พ่อแม่มีกับเราเป็นอย่างไร มันไม่ถูกไม่ผิด  มันแค่ ความรักของชายหญิงคู่หนึ่งที่ทำทุกอย่าง "ด้วยความเข้าใจว่า...ดีที่สุด...สำหรับลูก...ดวงใจของเขาแล้ว" คุณเปลี่ยนท่านไม่ได้  แต่พูดคุยได้ คุณเปลี่ยนความคิดท่านไม่ได้  แต่วันข้างหน้าสิ่งที่คุณไม่ต้องการในวันนี้อย่าได้ทำกับลูก ปัญหาและความอึดอัดใจวันนี้เป็นบททดสอบชีวิตคู่ของคุณค่ะ บอกได้เลยหนทางข้างหน้าอีกยาวไกล ผ่านไปให้ได้นะคะ..และแก้ปัญหาในทางบวกเสมอ หากรู้ว่าท่านเป็นแบบนี้  วางแผนด้วยกันทั้งคู่เลยค่ะ  ว่าจะรับมืออย่างไร  พูดคุยอย่างไร  เชื่อเลยว่าหลังจากนี้คุณต้องเจออีกเยอะ..ขอให้ใช้ความรักและสตินำทางในการแก้ปัญหา ให้กำลังใจนะคะ จากคุณ : anavrin เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 13:14:14

ความคิดเห็นที่ 19 พระท่านสอนว่า  ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พ่อ-แม่บอก หรือพ่อแม่ทำให้เรา อาจจะถูกใจ หรือไม่ถูกใจ เราต้องยิ้มรับไว้ เพราะทุกสิ่งที่ท่านทำ ท่านทำด้วยเจตนาที่ดีกับตัวเราทั้งสิ้น  แล้วค่อยนำสิ่งที่ท่านพูดท่านสอน คิดตรองดูว่า อย่างไหนดี หรืออย่างไหนไม่ดี อย่างไหนถูกอย่างไหนผิด เพราะบางอย่างที่ท่านพูด อาจจะผิด ก็ได้ เป็นเพราะว่าท่านเชื่ออย่างนั้น เข้าใจอย่างนั้น ดังนั้นเรามีเวลาว่าง หรือโอกาสเหมาะ ค่อยหาเวลาอธิบายให้ท่านเข้าใจในสิ่งที่ท่านเข้าใจผิด เพื่อให้ท่านเข้าใจถูกต้องอย่างที่เราพูด และที่สำคัญอย่าเถียงท่านทันที เพราะจะเกิดเหตุการณ์แบบที่ท่านเจอได้ เอาใจช่วยนะครับ..... เรื่องคอนโด ผมไม่มีความรู้ครับ... จากคุณ : เบียร์ (beer_homjom) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 13:22:49

ความคิดเห็นที่ 20 แฟนคุณคงรำคาญแม่คุณมากทีเดียว บ้านแฟนคุณเขาอาจจะไม่ได้จุกจิกอะไรเท่านี้ เขาเลยไม่ชินน่ะครับ มุมมองผู้ใหญ่กับเรามั้งจะแตกต่างกัน บางทีพวกเรื่อง Furniture ผมก็ซื้มาแบบไม่ได้คิดอะไรมาก ว่ามันจะใช้มันให้ทนหรือไม่ แค่สวยถูกใจใช้ประโยชน์ได้ก็โอ เสียก็เปลี่ยนแค่นั้นไม่ได้เดือดร้อนอะไรนิ แต่บ้างคนเขาดูระยะยาว จึงต้องคิดเผื่อไว้สำหรับอนาคต คงต้องเป็นคนกลางอธิบายให้เขาเข้าใจกันน่ะ แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง และหากทำตามแม่มากไปแฟนก็น้อยใจ ทำตามแฟนมากไปเดี๋ยวแม่ก็ไม่พอใจ ค่อยๆพูดกันทีละคน อีกหน่อยเดียวเขาก็ชินเอง จากคุณ : vitchy8873 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 13:26:59

ความคิดเห็นที่ 21 ไลฟ์ ท่าพระ .. ใช่ที่อยู่ใกล้ๆ คาเฟ่ใหญ่ๆ กับ รพ อะไรซักอย่าง (จำชื่อไม่ได้) หรือเปล่าคะ ?? ถ้าเป็นตรงนั้น เราก็พอเข้าใจคุณแม่คุณนะ .. คือไม่รู้ว่าระบบการจัดการในโครงการเป็นยังไง ปลอดภัยแค่ไหน .. แต่สภาพแวดล้อมรอบๆ บริเวณนั้นไม่ค่อยน่าอยู่เท่าไหร่ค่ะ มันอยู่ใกล้สถานบันเทิงอะ  เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะคะ แต่ถ้าเลือกได้เราจะไม่ซื้อบ้านอยู่ใกล้ๆ สถานที่พวกนี้ค่ะ   คุณแม่ จขกท จะเป็นห่วงก็ไม่แปลกหรอกค่ะ .. ท่านก็แค่เป็นห่วง .. อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอะไรที่ติดแล้วทำให้ท่านสบายใจขึ้นก็ติดๆ ไปเถอะค่ะ .. เรื่องอื่น ก็คงต้องค่อยๆ คุยทำความเ้ข้าใจกันไป .. เป็นคนกลางแบบนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะคะ ^^" เรื่องเฟอร์นิเจอร์ ไม่เกี่ยวกับคอนโดหรอกค่ะ .. ผู้ใหญ่วัยนี้ชอบไม้จริง .. จะคอนเซ็ป อินเด็ก เอสบี หรือ ยี่ห้ออะไร เค้าก็มองเป็นไม้อัด ไม่ทนแถมยังแพงอีกต่างหากหมดแหละค่ะ .. ที่บ้านเราก็โดนเหมือนกัน .. โดนจนชินแ้ล้ว ต้องทำใจค่ะ จากคุณ : แม่มดพันปี เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 13:54:09

ความคิดเห็นที่ 22   ถามจขกท.ว่า คุณกำลังจะแต่งงานกับแฟนคุณ หรือกำลังจะให้แม่ของคุณแต่งกับแฟนคุณละครับ   ถ้าลูกสาวกำลังจะมีชีิวิตครอบครัวเป็นของตัวเอง ก็ต้องไว้ใจหุ้นส่วนชีวิตครอบครัวใหม่ของลูกสาวด้วยว่าดูแลกันไ้ด้ ลูกสาวได้เลือกแล้วว่าดี ผมไม่ค่อยเห็นด้วยที่บอกว่า ถ้ามีลูกของตัวเองแล้วจะเข้าใจ ผมก็มีลูกแล้ว ก็ยังต้องเข้าใจเลยครับว่าลูกก็เป็นคนอีกชีวิตหนึ่งที่มีความคิดความต้องการเป็นของตัวเอง เมื่อโตแล้วก็ต้องปล่อยให้เขาคิดตัดสินใจเองบ้าง  ว่าที่สามีเขาก็มีชีิวิตเติบโตมาเอง มีความคิดเป็นของตัวเองได้  คนเราไม่สามารถเลี้ยงดูลูกไปจนตายหรอกครับ ต้องคิดดูว่าใครจะตายก่อนกัน ต้องคิดเผื่อหลังจากที่เราตายไปแล้วด้วย จากคุณ : <SportivO> เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 13:56:20

ความคิดเห็นที่ 23   เราอยากให้แม่มาคุมแบบนี้บ้างจัง แต่ไม่มีโอกาสแล้วคะ ท่านไปแล้ว เราเองหาบ้านเอง ดูเอง เลือกเองคนเดียว กะว่าจะให้แม่มาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่มีบุญวาสนา เราหาบ้านมาปีกว่า แม่ไม่รอเราแล้ว   ตอนนี้บ้านซื้อแล้ว อีกไม่นานจะได้อยู่ แต่ไม่มีแม่มาอยู่ด้วย ไม่มีใครคอยบ่น อยากให้แม่ได้มาอยู่ด้วยกันบ้านนี้  มันเศร้ามาก ๆ เลยนะ อย่างที่บางท่านบอกไว้  ท่านทำเพราะรักคุณมากนะ  แต่เราซิต้องการท่านมากแต่ไม่มีท่านแล้ว มันแย่สุด ๆ กับชีวิติเราเลยคะ จากคุณ : ต้นทับทิมของแม่ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 13:56:54

ความคิดเห็นที่ 24 ผมว่า แฟนคุณโชคดี ที่ คุณเป็นคนมีสติ... ผมคิดว่า แม่คุณ ห่วงคุณมากเกินไป...(จากคำบอกเล่าของคุณ ผมไม่คิดเหมือนความเห็นอื่นๆ ว่า รักมาก เลยห่วงมาก... เพราะว่ามันเป็นอาการมากเกินไป แบบว่าหลับหูหลับตา กลัวเกินเหตุ เรื่องบางเรื่องไม่เคยเกิด ก็ไปคิดตุตะ เหมือนกับในละคร)... ผมเชื่อเหมือนคุณว่า แฟนคุณคงฟิวส์ขาด... 1. แฟนคุณต้องใจเย็นลง 2. คุณปรับความเข้าใจ กับแฟนคุณ ... 3. คุณปรับความเข้าใจ กับแม่คุณ 4. พาคุณแม่ มาเยี่ยมคอนโดบ่อยๆ ให้ได้ใช้คลับ ให้พบกับสังคมคอนโด... ของอย่างงี้ต้องเห็น และต้องสัมผัสครับ... ท่านไม่เคยรับรู้ และต่างสมมติ ต่างๆ นานา อะไรที่มันไม่เคยเกิด มันก็เกิดได้ เพราะท่านจินตนาการครับ... ส่วนเรื่องไปอยู่บ้านที่สร้างใหม่... ผมว่าไม่เห็นเป็นประเด็นหรือจำเป็นต้องเอามาคิดเลยครับ ตอนนี้ขอให้มีความสุขกับครอบครัวเล็กๆ นะครับ... อย่าไปคิดว่า มีเด็กแล้วต้องย้ายบ้านครับ... บางที ชีวิตครอบครัวคุณอาจจะลงตัวกับแบบนี้ก็ได้... ถึงเวลาที่ถ้อยทีถ้อยอาศัย แล้วอะไรๆ มันก็ง่ายไปหมดครับ... ผมเข้าใจแฟนคุณนะ... แม่ภรรยาผม ก็เจ้ากี้เจ้าการแบบนี้ล่ะ แต่ผมยิ้มอย่างเดียว และมีบางที บอกว่า "ผมไม่ชอบ แต่จะพยายามทำให้แม่สบายใจครับ" ตัวคุณเองก็โอเคแล้วนะครับที่มีสติแบบนี้... ที่สำคัญใช้อารมณ์ไม่ได้ครับ.. มีบ้างที่น็อตหลุด แต่ต้องรีบขันให้แน่นครับ... ขอให้มีความสุขกับครอบครัวใหม่ครับ จากคุณ : BLee เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 14:27:27

ความคิดเห็นที่ 25 เราอิจฉาเจ้าของกระทู้นะคะ ที่คุณแม่รักคุณมากๆ ขนาดนี้   ที่ท่านพูดเราเข้าใจเลยว่าท่านเป็นห่วงเป็นใยคุณมากแค่ไหน  ถ้าคุณมีลูกเอง ยิ่งเป็นลูกสาวด้วย คุณจะเข้าใจเลยว่า ไม่มีใครในโลกรักคุณเท่าแม่คุณอีกแล้ว ลูกสาวเนี่ย เป็นความห่วงใยขั้นสูงสุดของพ่อแม่เลย ยิ่งสังคมสมัยนี้แล้ว ส่วนในเรื่องสิ่งที่ท่านพูดเราว่ามีเหตุผลมากเลยทีเดียว สังคมสมัยนี้ไว้ใจใครไม่ค่อยได้นะคะ  ไลฟ์เป็นคอนโดขนาดกลาง ยิ่งบวกกับสิ่งแวดล้อมแถวนั้น พ่อแม่คนไหนก็ต้องเป็นห่วง  ยิ่งท่านเจ้ากี้เจ้าการเรื่องห้าวัน ห้ามเจ้าสาวอยู่คนเดียวนั้น เห็นได้เลยว่าท่านเป็นห่วงความปลอดภัยคุณมากแค่ไหน เรื่องเฟอร์นิเจอร์เราก็เห็นด้วยเต็มที่ คอนเซ็ปท์เป็นเยื่อไม้หรือปาติเคิลอัดข้างใน ปะด้วยผิวกระดาษลายไม้อีกที เจอน้ำเนี่ย ก็เยินได้แล้วค่ะ ไม่ต้องถึงกับน้ำ แค่ความชื้นเวลานานๆ ก็บวมแล้วค่ะ อ่านไปอ่านมา ยิ่งรู้สึกว่าแม่คุณรักคุณมากๆ เลยนะคะ  เราเคยฟังคำสัมภาษณ์ของลูกสาวคุณบานเย็นรากแก่น ที่เค้าแต่งงานมีครอบครัวไป และมีลูก เค้าบอกว่า พอมีลูกเค้ารู้เลยว่าแม่เค้ารักเค้าแค่ไหน วันที่เค้าคลอดลูก ทุกคน แฟนเค้า รวมทั้งครอบครัวแฟน ไปดูลูกกันหมด แต่มีแม่เค้าคนเดียวที่อยู่ข้างๆ เค้าจับมือเค้าไว้ เค้าถามว่าทำไมแม่ถึงอยู่กับเค้า คุณบานเย็นบอกว่า ก็เพราะหนูคือลูกสาวของแม่ แล้วจะปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวได้อย่างไร เล่าสู่กันฟังเฉยๆ เมื่อยังเด็กยังเล็ก เราอาจรำคาญความรักความห่วงใยของพ่อแม่ ของครอบครัว  เมื่อโตๆ ขึ้นเราจะเข้าใจค่ะ  คนเรามีวิธีการแสดงออกถึงความรักไม่เหมือนกัน ยิ่งด้วยทัศนคติที่แตกต่างกันแล้ว บางทีเราก็ไม่เข้าใจเค้า  แต่อย่างไรก็ตามให้ระลึกไว้เสมอนะ ว่าคนที่รักเราที่สุดคือพ่อแม่เราเนี่ยแหละ ส่วนแฟน ก็พูดให้เค้าเข้าใจนะว่าแม่คุณรักและเป็นห่วงคุณ  ถึงเค้าไม่เข้าใจก็ยอมรับ ให้เค้าลองพยายามเอาใจคุณแม่คุณมาใส่ใจเค้า ว่าหากวันใดข้างหน้า คุณทั้งคู่มีลูกสาวที่รักปานดวงใจ ท่ามกลางอันตรายจากคนรอบตัวอย่างนี้  การตัดสินใจของพวกคุณคงไม่ต่างจากนี้ คงไม่ใช่ว่าพอลูกสาวจะแต่งงานมีแฟนแล้ว ก็ปล่อยไป อยากทำอะไรก็ทำ คอยดูอยู่เฉยๆ ให้แฟนของลูกพาขึ้นเขาลงห้วยกันไปเอง รักคุณแม่ให้มากๆ นะคะ จากคุณ : sastress เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 14:33:37

ความคิดเห็นที่ 26 อีกนิดนึง เดี๋ยวนี้สังคมเราค่อนข้างไม่ปลอดภัยมากๆ อย่างเรา เราอยู่บ้านในหมู่บ้านที่มีความปลอดภัยมากๆ มีรปภ สองชั้น หากมีคนที่ไม่ใช่ลูกบ้านเข้ามา  ต้องจอดรถรอรปภ ขี่จักรยามมาถามเจ้าของบ้านก่อนว่าให้เข้าหรือไม่ ถนนในโครงการ หน้าบ้านมีวงจรปิด ในบ้านเรามีสัญญาณกันขโมย  รปภ ปั่นจักรยานทุกครึ่งชั่วโมง คุณว่าเรากลัวไหม เรากลัวนะคะ  รปภ ก็คน คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเค้าไว้ใจได้ ว่าวันใดวันนึงเค้าจะไม่ลุกมาฆ่า ข่มขืน หรือชิงทรัพย์ ไหนจะผู้รับเหมา คนงานที่มาตกแต่งต่อเติมบ้านอื่นในหมู่บ้าน หรือถ้าเป็นห้องอื่นในคอนโดหละ ขนาดเพื่อนร่วมงาน ผู้ชาย คนระดับเดียวกับเรา เรายังไว้ใจไม่ได้เลยอ่ะ  ระวังตัวไว้ก็ดีค่ะ อย่าเอาชีวิตและความปลอดภัยไปฝากกับรปภ   อ้อ คอนโดใส่โซ่คล้องไว้ด้วยนะคะ เพื่อความปลอดภัย จากคุณ : sastress เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 14:44:00

ความคิดเห็นที่ 27 สงสาร จขกท  นะคะ แต่ ว่า บุพการี ก็คือ บุพการี  ท่องคำนี้ไว้นะคะ เราเอง ก็เป็นคนนึง ที่มีปัญหา แต่ต่างกันที่ ปัญหาเกิด หลังแต่ ได้ เข้าปีที่ 5 แล้ว เพราะ เราต้องพาแม่มาอยู่ด้วย แฟนเราเอง ไม่เคยพูด ว่าอะไร แต่ก็ไม่ค่อยจะสามารถ ทำกิจกรรม  เช่นนั่งดูทีวี  ร่วมกับแม่เรา แม่อยู่ข้างล่าง เค้าขึ้นข้างบน อาจจะเป็นเพราะแม่เราค่อนข้างขี้บ่น + ชอบดูละคร แล้วบ่นด่าไปด้วย แต่ยังงัย ซะ คน คนนี้ ก็คือแม่ของเรา เค้าต้องพยายามที่จะ เข้าใจแล้วยอมรับ  เน้นนะคะ ว่ายอมรับ  เพราะคุณไม่สามารถ เปลี่ยนอะไรได้ ยังงัยซะ ค่อย ๆ คุยกับแฟน แล้วบอกให้เค้ารู้ว่า คนที่คุณรักทั้งสอง คือ แฟน และ แม่คุณเอง  ไม่มีใครบอกได้ใช่ไม๊ ว่าใครจะอยู่กับคุณนานที่สุด เคยได้ยินไม๊คะ  ว่าบางครั้ง อาจไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับคุณ  ไม่มีใครบอกได้ ว่าท่านจะอยู่กับคุณนานไม๊ ทำไม คุณไม่ทำให้ท่านสบายใจที่สุด แต่นะคะ คุณก็ควรเอาใจแฟน มาใส่ใจคุณด้วยเช่นกัน คุณคงต้องคุยกับแม่ (ลับหลังแฟนอะคะ)   ว่าอะไร บางอย่าง แม่ควรเห็นใจแฟนคุณบ้าง คอนโด หลังนี้ ซื้อ ด้วยกำลังที่เค้าเลือก ว่าดีที่สุดแล้ว  ถ้าแม่พูดแบบนั้น คนซื้อก็เสียกำลังใจนะคะ ค่อย ๆ หาทางออกนะคะ  เด๋ยวว่าที่เจ้าสาว จะกลายเป็น พริสซิลล่าซะก่อน อิอิ จากคุณ : Many Name เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 15:10:20

ความคิดเห็นที่ 28 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 15:14:39

ความคิดเห็นที่ 29 น่าจะให้แฟนคุณเข้าใจแม่ของคุณให้มาก เพราะมีลูกสาวคนเดียวย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา มีอะไรที่ป้องกันได้แม่คุณก็อยากให้ป้องกัน ไม่ใช่วัวหายแล้วล้อมคอก จะมาโกรธแม่คุณก็ไม่ถูกน่าจะเข้าใจมากกว่า ถ้าเขารักคุณจริง เขาก็จะห่วงคุณอย่างที่แม่คุณห่วง หมาแมวมันยังห่วงลูกมันเลย ลูกร้องหน่อยรีบวิ่งออกมาดูลูกล่ะ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่มีรอยหยักสมองมากกว่าไม่รู้กี่พันเท่า ลองคิดดูถ้าเป็นลูกตัวเองจะห่วงไหม ขนาดยังไม่แต่ง (ขอโทษครับอินไปหน่อย รักพ่อรักแม่ให้มากนะครับ) ตอนจีบคุณ คุณยังไม่ชอบเขา เขายังทำจนให้คุณรักเขาได้ อันนี้แค่โอนอ่อนผ่อนตาม ผมว่าไม่เกินความสามารถเขา แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 52 17:25:27 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 52 17:23:18 จากคุณ : รักบุพการี (เมี้ยว บรู้วว บรู้วว) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 15:15:09

ความคิดเห็นที่ 30   ของ คุณจิม เวลาท่านไม่อยู่กับเราแล้วเห็นได้สติกันทุกคน ................................ เห็นด้วยคะ ไม่เจอกับตัว ไม่รู้จริง ๆ คะ ด้วยความที่คิดว่า ท่านยังอยู่กับเราอีกนาน  แต่เวลาท่านจะไป ท่านไม่บอกเราก่อนนะคะ   ตอนนี้ได้แต่มองของ ที่ท่านทำไว้ เคยให้ไว้ แล้วก้อได้แต่ ร้องไห้คะ รักแม่นะ... จากคุณ : ต้นทับทิมของแม่ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 15:28:16

ความคิดเห็นที่ 31   หนักพอกันค่ะ...กำลังจะแต่งงานเหมือนกัน แม่แฟนค่ะ...เหอะๆ ดูแลทุกอย่าง ทุกอย่างที่เราตัดสินใจ แกจะรีเช็คทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม (ไปสองครั้ง) เมนูอาหาร....โอ้ววววว คือที่บ้านเราเอง พ่อกับแม่เลี้ยงดูแบบให้ตัดสินใจเอง มีอะไรให้ปรึกษาได้ ไม่เคยว่าอะไรเลย เค้าจะดูห่างๆ แต่แม่แฟนแกติดนิสัยคุมทุกอย่างในบ้าน แฟนเราเป็นคนไม่ละเอียดเลย แม่แฟนเลยต้องตามเช็ค คงเป็นเพราะแบบนี้กระมัง เค้าเลยเช็คเราด้วย อึดอัดมาก เราก็พยายามบอกแม่แฟนทุกครั้งว่าเราจะตัดสินใจเอง(พูดนิ่มกว่านี้นะ) ไม่อยากให้ทุกคนต้องเหนื่อย ...ประมาณนี้ ทีพ่อกับแม่เรานะ ชวนไปดูโรงแรมสามพันกว่ารอบแล้ว ได้คำตอบว่า งานแต่งงานลูก ตัดสินใจเอง โตแล้ว อยากได้อะไรก็ทำ ได้เรื่องอะไรก็มาบอก...คือ เราชอบแบบนี้ เราอยากตัดสินใจเอง จขกท.ค่ะ เข้าใจความรู้สึกแฟนคุณค่ะ...สงสารเค้าเหอะ ให้กำลังใจเค้ามากๆนะค่ะ โชคดีค่ะ จากคุณ : เจ๊ไข่เจียว เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 15:51:30 A:61.19.144.194 X: TicketID:223951

ความคิดเห็นที่ 32 ไม่มีแม่คนไหน อยากเข้ามาวุ่นวาย ถ้าไม่คิดว่า เพื่อลูก ใครจะด่าว่ายังไงก็ไม่สนใจ ก็เพราะว่าทำเพื่อลูก แต่เค้าจะเสียใจที่สุด ถ้าความหวังดีนั้น ถูกคนที่เป็นลูกมองข้าม หรือต่อว่า เพียงเพราะลูกจะเอาใจสามี เราว่าไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าจะอธิบายให้สามีคุณเข้าใจแม่ของคุณ จากคุณ : แมวสีขาวขนปุย เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 16:39:24

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ พ่อและแม่ก็ยังเห็นคุณเป็นเด็กในสายตาท่านเสมอ.. ยิ่งถ้าคุณเป็นลูกคนเดียว แถมยังเป็นลูกสาวด้วยแล้ว ความรักความเป็นห่วงยิ่ง มากมายครับ เห็นใจคุณว่าที่สามี เป็นเรื่องที่ดี คุณเป็นคนกลางย่อมเหนื่อย ที่จะประสานทุกๆ การกระทำไม่ให้หมองน้ำใจระหว่างคนที่คุณรักทั้ง 2 ทาง ดูจากคำพูดของคุณแม่ แล้วก็ไม่ได้แสดงว่าจะดูถูกอะไรมากมาย แต่อยากให้คุณได้อยู่ในที่ๆ ท่านคิดว่า ดีที่สุดที่ท่านพยายามทำมันขึ้นมา (หากสามารถทำเองทุกอย่างได้ท่านคงทำแล้ว) เพื่อลูกสาวที่ท่านรัก  ลองคิดดูนะครับ  ระหว่างคนที่รักคุณมาทั้งชีวิตคุณ  กับ คนที่รักคุณมาไม่ถึงครึ่งชีวิตของคุณ  ไม่ว่าจะเอนเอียงไปฝั่งไหน อีกฝั่งย่อม เจ็บช้ำใจครับ เป็นผมจะเลือกไปทางแ่ม่ และพูดกับแฟนกลายๆ ว่าเราต้องการอยู่อย่างที่แม่ต้องการ (ไม่ได้เข้าข้างนะครับ แต่คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณอยากอยู่ที่ไหน)  โดย พูดกับแฟนคุณดีๆ ด้วยเหตุผลที่ฟังแล้วไม่เสียน้ำใจ และหากคุณเป็นลูกคนเดียว (ไม่มีพี่หรือน้องชาย) แนะนำให้พาคุณพ่อคุณแม่ มาอยู่ด้วย ท่านแก่แล้ว จะได้ช่วยดูแลท่านได้ ส่วนฝั่งสามีคิดว่าหากไม่อะไรมาก ก็น่าจะอยู่ด้วยกันได้ครับ จากคุณ : thebLuR เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 17:18:47

ความคิดเห็นที่ 34 เราก็เป็นลูกสาวคนเดียว รักแม่มากๆ แล้วก็รักสามีมากเหมือนกัน สามีเรามีแต่พูดว่า บ้านของเราเสร็จเมื่อไหร่ ไปรับแม่ตัวเองมาอยู่ด้วยกันนะ แกอายุมากแล้ว อยากให้แกอยู่สบายๆ ..... เรางี้โชคดีจริงๆ ได้สามีที่รักแม่เรา จากคุณ : ลดไข้ บรรเทาอาการปวด เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 17:21:18

ความคิดเห็นที่ 35 ของเราก่อนแต่ง แม่เรายิ่งกว่านี้หลายเท่า แต่แฟนเราไม่เคยโกรธแม่เราเลย เค้าเข้าใจว่ารักมากก็ห่วงมาก เคสของคุณ แฟนคุณต้องเลิกอคติกับแม่คุณก่อน แล้วจะได้พบว่าท่านหวังดี ให้เค้าคิดกลับกันว่าถ้าเป็นแม่เค้า ทำแบบเดียวกัน เค้าจะโกรธขนาดนี้ไม๊ อย่าโกรธเพราะคิดว่าเป็นแม่แฟนไม่ใช่แม่ตัว เค้าต้องอยู่กับแม่คุณไปอีกนาน ถ้าคิดแบบนี้ไม่ได้ ต่อไปจะลำบาก รวมถึงชีวิตคู่ของคุณด้วย ขอให้ลงเอยด้วยดีนะคะ จากคุณ : ยำขนุน53 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 18:44:15

ความคิดเห็นที่ 36   ช่างที่ทำบ้านให้ จขกท. คงน้ำตาไหลเป็นปี๊บบบบบบบ จากคุณ : นนนี่มาแล้ว เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 21:56:52

ความคิดเห็นที่ 37 อิ อิ คนห้องชายคาน่ารักๆกันทั้งนั้นเลยวุ้ย มีข้อคิดดีๆเพียบ ส่วนเราเปิดอ่านมาตั้งแต่ยังไม่มีความเห็นเลย และไม่มีความเห็นด้วย เพราะยังโสด จึงได้แต่ขอให้กำลังใจจขกท. ให้ใจเย็นๆ ดำรงไว้ซึ่งสติสัมปชัญญะอยู่ทุกเมื่อ การมีสติ คิด พิจารณา จะทำให้สามารถผ่านปัญหาอุปสรรคทั้งปวงไปได้ จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 21:59:49

ความคิดเห็นที่ 38 เข้ามารับฟัง และขอยินดีล่วงหน้าสำหรับการสละโสดครับ  ยังไงก็คงต้องค่อยๆ ปรับตัวกันไป  ร่วมกันคิด ร่วมกันแก้ แล้วทุกอย่างจะดีเองครับ จากคุณ : a cup of coffee เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 22:55:47

ความคิดเห็นที่ 39 ถ้าผมเป็นแฟนคุณผมเลิกอะ ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกครับ พ่อแม่ผมก็เลี้ยงมาดี อย่างนี้เป็นผมคงอยู่กันลำบาก จากคุณ : KGB เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 23:03:20

ความคิดเห็นที่ 40 แฟน จขกท. นิสัยเหมือนผมเลย อิอิ จากคุณ : เรียกข้าว่าสมชาย เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 23:16:09

ความคิดเห็นที่ 41 ลองคิดในมุมกลับกัน คุณเคยเป็นห่วงแม่คุณ เหมือนที่แม่คุณเป็นห่วงหรือเปล่า ผมว่าปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ทางแก้ 1. ลดทิฐิลง แม่อยากจัดการอะไร ก็ให้จัดการไป 2. ค่อยๆ หาวิธีการพูดกับแม่ จากคุณ : Master (myrmts) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 23:29:20

ความคิดเห็นที่ 42 นึกภาพออกเลย ลูกเขย พอมีพอกิน ซื้อได้แค่คอนโดระดับปานกลาง (ก็ไม่ใช่จะถูกนะนั่น) คุณแม่ มีลูกสาวคนเดียว ก็อยากให้ลูกอยู่ที่ดีๆ ซื้อบ้านหลังใหญ่ให้อยู่ ลูกเขย คงเครียดน่าดู ท่าจะกังวล ว่าจะพาลูกสาวเขาลำบาก แต่ยังไงก็ตาม ไม่ต้องไปกังวลไปหรอกครับ ฝากบอก แฟนของ จขกท หน่อยนะครับ ว่าอย่าไปเก็บเอาคำแม่ มาเครียดเลย แกว่าของแกไปคนเดียว ก็ปล่อยแกว่าไป ยิ้มรับเอาเถิด อนาคตของเรา เราเลือกได้เอง แม่คงไม่มาบัีงคับเราได้หรอก แต่งกันไป เดี๋ยวก็ปรับเข้าหากันได้ มีกันอยู่แค่นี้ จะทิ้งกันไป ก็คงไม่ใช่ กังวลเฉพาะเรื่องใกล้ๆ ไปก่อนเหอะ อย่าคิดไปไกลเกินไป อนาคต มันเปลี่ยนกันได้ทุกวัน จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 23:33:01

ความคิดเห็นที่ 43 หุหุ เข้ามาเห็นใจคุณ จขกท. และเข้าใจวัฒนธรรมไทย จีน เรื่องแต่งงานเพราะมันเหมือนว่าจะต้องแต่งกับครอบครัวของอีกฝ่ายนึงด้วยเลย มะรุมมะตุ้มไปหมด รักลูกนี่ใครๆก็รัก แต่ถ้าไม่ปล่อยให้ลูกดูแลตัวเองซะบ้าง ลูกจะไม่โตและรับผิดชอบตัวเองไม่เป็นเลย (ในบางราย) และในกรณีที่หากเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้าถ้าต้องอยู่ลำพัง เกิดมีปัญหาขึ้นมาแล้วจะเอาตัวรอดได้อย่างไร รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นลูกคนโปรดของพ่อแม่ ที่รักเหมือนไข่ในหินฐานะมีอันจะกินส่งเสียให้ลูกทุกอย่าง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อพ่อแม่แก่ตัวลง ฐานะก็เริ่มลำบาก แต่ยังต้องคอยช่วยเหลือลูกชายคนนี้อยู่ตลอด แม้ว่าลูกชายจะอายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่งงานมีลูกแล้ว วันดีคืนดีเงินไม่พอใช้ยังโทรไปขอพ่อแม่อยู่เลย ทำอะไรในบ้านไม่เป็นซักอย่างต้องจ้างเขาหมด เพราะตั้งแต่เล็กจนโตมีคนคอยทำให้ตลอด คำแนะนำดีๆข้างบนบอกไว้หมดแล้ว เราแค่มาเล่าเรื่องราวอีกด้านนึงให้ฟัง ขอให้โชคดีค่ะ จากคุณ : Fly away home เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 01:49:45

ความคิดเห็นที่ 44 เห็นใจ จขกท. ค่ะ เป็นคนกลางหนักใจน่าดู เข้มแข็งไว้นะคะ เราก็เป็นลูกคนเดียวเหมือนกัน พ่อกับแม่รักและหวงยังกะไข่ในหิน แต่ท่านก็เชื่อใจและไว้ใจเรานะ ท่านบอกว่าอยากจะทำอะไรก็ลองผิดลองถูกเอาเอง ถ้าเรามีความสุขท่านก็มีความสุขด้วย โห เอาใจคุณสามีมากกว่าลูกสาวตัวเองอีก แตะนิดแตะหน่อย ใช้ทำโน่นทำนี่หน่อยไม่ได้ เราโดนดุ  ท่านบอกว่าถ้าดูแลลูกเขยดีๆ ลูกสาวท่านก็จะได้รับการดูแลที่ดีไปด้วย ก็คงจะจริงของท่านมังคะ :) ขอให้ จขกท. แก้ไขสถานการณ์ได้ไวๆ นะคะ จากคุณ : FawltyTowers เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 09:34:18

ความคิดเห็นที่ 45 คนกลางทำใจอยากน้อยครับ  ผมอยู่ข้างแม่คุณครับ แม่เรา เลี้ยงเรา แฟนเรารักเรา ต้องเขาใจแม่เรา ปล....แม่อาจจะทำไม่ถูกในความคิดของเรา แต่นั้นอาจจะทำเพื่อเรา ในโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งใดเล่า สวยงามปานนางฟ้า เท่ากับลูกสาวของแม่คนนี้ เพียงคนเดียวเท่านั้น.......จากคำพูดที่ ผมได้ยินจากปากคนที่เป็นแม่มีลูกสาวเพียงคนเดียว จากคุณ : อ่อน (augaug) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 10:29:42

ความคิดเห็นที่ 46 ขอเสนอความคิดเห็นไว้พิจารณานะครับ 1. อย่าพยายามฝืนทน ทั้งคุณ ทั้งแฟน ควรเปลี่ยนเป็นพยายามเข้าใจสถานการณ์มากกว่า ..แม่ก็รักห่วงลูกสาว และมองลูกเป็นเด็กเสมอก็จริง แต่ลูกสาวก็ต้องแสดงให้เห็นว่าตัวเค้าเองสามารถดูแลชีวิตได้ ไม่ใช่แค่การพูดจาหรือบอกปฏิเสธให้เสียน้ำใจแม่   แต่ด้วยผลงานหน้าที่การงาน การตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆของลูกเอง ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ...ส่วนแฟน ก็พยายามเข้าใจว่า แม่ห่วงลูกสาวเป็นเรื่องธรรมดา เป็นลูกผู้ชาย ต้องจิตใจเข้มแข็ง อย่าหวั่นไหวง่ายกับคำพูดง่ายๆ ให้ดูวัตถุประสงค์แก่นแท้ เป็นหลัก (บางคนเค้าใช้คำพูดไม่เก่ง แต่เค้าอาจไม่ได้หมายความเช่นนั้น) 2. คอนโดไลฟ์ มันไม่เลวร้าย ออกจะดีด้วยซ้ำ แต่ผู้ใหญ่หลายท่าน (รวมถึงพ่อแม่ผมด้วย) ยังไม่คุ้นกับชีวิตแบบคอนโดสมัยใหม่มากกว่า ต้องให้คุรแม่มาลองสัมผัส ลองใช้บริการส่วนต่างๆ ให้เค้ามั่นใจว่า คอนโดไม่ได้เลวร้าย บางทีก็ปลอดภัยกว่าบ้านเดี่ยวด้วยซ้ำ 3. พยายามให้คุณแม่เข้าใจว่า การใช้ของดีที่สุดเป็นเรื่องที่ดี..คุณเองก็รู้ และอยากได้เช่นกัน   แต่การรู้จักบริหารการใช้เงินของชีวิตคู่ ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำก่อน  ที่อยู่อาศัยหรือข้าวของบางอย่าง อาจจะไม่ดีมากในสายตาท่าน แต่ว่าถ้าท่านอยากเห็นชีวิตครอบครัว ลูกสาวสามารถเก็บหอมรอมริบ จากการใช้เงินอย่างฉลาด และมีครอบครัวอบอุ่น ท่านอยากเห็นสิ่งไหนมากกว่ากัน 4. ถ้าคุณหวังให้ท่านช่วยเหลืออยู่เสมอ นั่นก็แปลว่าคุณกำลังทำ ให้ท่านเข้าใจว่า คุณดูแลชีวิตตัวเองไม่ได้ และนั่นแหละ ท่านจึงต้องเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการช่วยเหลือลูกสาวเสมอ ข้อ 4. นี่ ไม่ได้หมายความว่า ตัดญาติขาดมิตรนะครับ แต่ผมคิดว่าเป็นกลยุทธ์ในการสร้างจุดยืนให้ตัวเอง ท่ามกลางสัมพันธภาพครอบครัวเดิมและครอบครัวใหม่ ผมกับแฟนก็อยู่คอนโด ลูกเล็ก 3คน เลี้ยงเองด้วย ไม่มีคนรับใช้อีกต่างหาก  ก็อยู่ได้นะ เหนื่อยนิดหน่อย แต่เห็นใจและรักกันมากขึ้น และภูมิใจในตัวเราทั้งคู่มากขึ้น แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 52 12:08:19 จากคุณ : i love children (i love children) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 11:45:11

ความคิดเห็นที่ 47 อยู่ที่ ว่าที่สามี ทำให้ แม่ยายมั่นใจในความปลอดภัยแค่ไหนกับลูกสาวคนเดียวของเขาน่ะแหละ จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 12:40:04

ความคิดเห็นที่ 48 ขอดูรูป จขกท ได้ไหมครับ แล้วค่อยมาว่ากันอีกที อยากรู้ว่าจะสวยเหมือนนางฟ้ารึเปล่า ทำไมแม่ถึงหวงนักหวงหนา จากคุณ : Poprock Engineer เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 13:13:20

ความคิดเห็นที่ 49   แม่ผมเป้นโรคประสาท ผมเลยแยกตัวออกมาตั้ง 20 ปีแล้ว แต่ผมก็รักแม่ผมนะ คล้ายๆแม่ผมเลย จากคุณ : กาฟิว เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 14:06:48 A:10.11.12.28 X:203.155.9.163 TicketID:155104

ความคิดเห็นที่ 50 เข้มแข็งไว้นะคะ จขกท ค่อยๆแก้ไขกันไปค่ะ แต่จะทำอะไรก็อยากให้นึกถึงใจคุณแม่มากๆนะคะ ยังไงท่านก็เป็นคนที่รักและหวังดีกับเราที่สุดคนนึง หากเป็นไปได้...คงต้องพยายามให้คุณว่าที่ปรับทัศนคติที่มีต่อท่านด้วย เพราะถ้าเริ่มก็ยังไม่ดี ชีวิตต่อไปจะมีความสุขลำบากนะคะ จากคุณ : เป็นกำลังใจให้ (kungchan) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 15:03:34

ความคิดเห็นที่ 51 อ่านแล้วก็งงครับ  แม่หรือลูกครับเนี่ยะ หลายอย่างก็พอจะเข้าใจได้นะครับ  แต่ถ้าเรื่องแค่นี้ก็ร้องไห้มันก็ไม่ไหวนะครับ  รับแรงกดดันอะไรไม่ได้เลยก็ไม่ไหว แต่มีช่วงนึงเรื่องงานแต่ง เราเลือกซุ้มดอกไม้ น้ำแข็งอะไรเรียบร้อยแล้ว แต่แม่เราบอกว่าจะเข้าไปดูอีกที เพราะที่เราเลือกโรงแรมแถมให้ กลัวไม่สวย แต่เราดูว่ามันสวยแล้ว เค้าก็ไม่ยอมบอกให้เราพาเค้าไปดูแบบที่เราเลือก ถ้าไม่สวย เค้าจะจ้างข้างนอก เราโมโหอ่ะ เราเลยบอกว่า ไม่อยากให้เค้าวุ่นทุกเรื่อง แม่เราเสียใจ ร้องไห้ด้วย บอกว่าจะไม่ยุ่งแล้ว ลองคิดในมุมกลับกัน  ถ้าพ่อหรือแม่แฟนคุณเกิดอารมณ์ศิลปินแบบคุณแม่คุณล่ะครับ  คุณและแฟนคุณจะทำยังไงครับ คนเป็นพ่อเป็นแม่ห่วงลูกก็ไม่ผิดหรอกครับ  แต่ถ้าเข้ามาบงการชีวิตมากเกินไปมันก็ไม่ไหวนะครับ จากคุณ : mute เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 15:10:27

ความคิดเห็นที่ 52 บางทีท่านอยู่ในวัยทองจะอารมณ์ประมาณนี้แหละ ยิ่งถ้าท่านไม่มีคนอื่น ไม่มีสังคมหรือญาติ เพื่อนสนิทให้ไปจิ๊จ๊ะ แม่เราก็เป็น วุ่นวายแม้แต่กับแมว 555 นินทาแม่ตัวเอง จากคุณ : weirdbird เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 16:03:12

ความคิดเห็นที่ 53 บางทีท่านอยู่ในวัยทองจะอารมณ์ประมาณนี้แหละ ยิ่งถ้าท่านไม่มีคนอื่น ไม่มีสังคมหรือญาติ เพื่อนสนิทให้ไปเจาะแจ๊ะ แม่เราก็เป็น วุ่นวายแม้แต่กับแมว 555 นินทาแม่ตัวเอง จากคุณ : weirdbird เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 16:03:40

ความคิดเห็นที่ 54 คคห. 51   ผมก็ยังมองว่า ไม่ใช่ว่าคุณแม่จขกท. อยากจะติสเองหรืออยากออกแบบเองหรือ อย่างไร เพียงแต่ท่านต้องการให้งานของลูกสาวคนเดียวที่ท่านรักออกมาดีที่สุด เพราะมีลูกคนเดียว จัดงานแต่งก็จัดครั้งเดียวถ้าไม่ทุ่มไม่วุ่น แล้วจะทำเพื่อใครได้ อีก  และการปฎิเสธแบบรำคาญโดยจขกท. มันทำร้ายความรู้สึกจริงๆ ขอไม่เอ่ยครับ อาจไม่เกี่ยวกับกระทู้ครับ การแก้ปัญหาแย่งกันเลือกจัดงาน และรายละเอียดในงานสำหรับครอบครัวฝ่าย ญ และ ช นั้นคือ แบ่งกันจัดคนละงานครับ งานเช้า และงานค่ำ  แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน จากคุณ : thebLuR เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 16:04:59

ความคิดเห็นที่ 55   คุณค่อยๆ บอกท่านสิคะ ว่าชอบอะไรแบบไหน ถ้าแม่คุณบ่นเรื่องคอนโด งานแต่ง ฯลฯ เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่ต้องเล่าให้แฟนคุณฟังค่ะ เพราะตอนนี้เขาอาจจะยังไม่เข้าใจความคิดของแม่คุณ ถ้าไปพูดเรื่องอื่นๆ ที่แม่คุณบ่น ก็จะเหมือนซ้ำเข้าไปอีก อาจจะต่อรองว่าอยู่คอนโดไปก่อน ถ้ามีลูกแล้วค่อยอยู่บ้านเดี่ยว ลองดูนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ จากคุณ : กวางน้อย เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 16:12:49 A:124.157.188.144 X: TicketID:194056

ความคิดเห็นที่ 56 เข้าใจ จขกท อย่างมากเลยค่ะ ตัวเองก้เจอแบบนี้แหละค่ะ คุณแม่ก้เป็นแบบนี้เหมือนกัน ห่วงเรามากจนบางทีรำคาญค่ะ บอกตรง ๆๆ เลยค่ะว่ารำคาญ แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเข้าใจค่ะ คุณแม่จะร้องไห้เพราะเราบ่อย ๆๆ รู้สึกบาปนะคะ จะบอกว่าขนาดตอนนี้อายุจะ 37 ปีแล้วคุณแม่ก็ยังห่วงอยู่เลยค่ะ อีกอย่างไม่ใช่ไม่เคยอยู่คนเดียวนะคะ ไปเรียนเมืองนอกอยู่ที่โน่นก็อยู่คนเดียวตั้ง 7-8 ปี ทำไมไม่เห็นเคยห่วง เคยสนใจ พอมาอยู่ใกล้หูใกล้ตา อาการเดิมกำเริบค่ะ (อาการหวง ห่วง) แต่นะคะ ไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน คุณพ่อคุณแม่ก็ยังเห้นเราเป็นเด้กเสมอค่ะ ขนาดซื้อรถใหม่คุณพ่อยังถามเลยทำไมไม่ปรึกษาเค้า ก็งงนะคะ ทำไมต้องปรึกษา เงินเราที่เก็บออมมา 4 ปีอ่ะค่ะ (ซื้อรถเงินสดค่ะ เพราะำไม่อยากมีภาระผ่อนค่ะ ยิ่งเศรษฐิกจบ้านเมืองไม่ค่อยดีนะคะ) ของทาง จขกท คุรแม่อยากให้อยู่บ้าน ไม่ชอบคอนโด สลับกันค่ะ คุณแม่ของเราท่านไม่อยากให้อยู่บ้าน อยากให้อยู่คอนโดค่ะ บอกว่า คอนโดสะดวกสบายกว่า มียามรักษาความปลอดภัย ทุกอย่างดีกว่าบ้านค่ะ ไม่ต้องมีภาระโน่นนี่ ทุอย่างเราจ่ายส่วนกลางไปแล้ว มีอะไรเสีย ก็เรียกคอนโดมาดูค่ะ ....สลับขั้วเลยค่ะ ตอนนี้ก็อยู่กับแฟนที่คอนโดค่ะ แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน อยากได้บ้านค่ะ พอบอกคุณแม่ ๆ ไม่ยอมค่ะ บอกว่า อยู่คอนโดแหละดีแล้ว ถ้าไม่ชอบคอนโดนี้ให้ไปหาคอนโดใหม่ค่ะ แต่เราเบื่อห้องแคบ ๆๆ ค่ะ อยุ่มา 7 ปีแล้วตั้งแต่กลับมาจากนอก เคยไปดูคอนโดใหม่ค่ะ เชื่อตามคุณแม่ค่ะ แต่ไม่ยอมเอาค่ะ เพราะคอนโดใหม่ ๆๆ ทำอาหารด้วยแก๊สไม่ได้ เราเป็นคนชอบทำกับข้าวไงคะ อันนี้คุณแม่ทราบ เลยใช้เป็นข้ออ้างได้เสมอ แต่ไม่ทุกครั้งค่ะ อีกอย่างที่อ้างคือ คอนโดไม่มีสนามเป็นของตัวเอง อยากปลูกผักปลูกต้นไม้ก็ไม่ได้ คุณแม่จะชอบอ้างน้องชายค่ะ เพราะน้องชายเค้าเป็นประเภทอาหารกล่อง เวฟค่ะ อยู่เมืองนอก 2 ปี น้อยกว่าเราอีก แต่ชอบจังอยู่ห้องแคบ ๆๆ อ่ะ อาจเป็นเพราะความเป้นส่วนตัวเค้าสูงค่ะ เลยชอบอะไรแบบนั้น เราชอบที่จะมีเพื่อนบ้าน ปลูกต้นไม้ ทำโน่นทำนี่ค่ะ เลี้ยงสัตว์   ส่วนบ้านที่คุณพ่อคุณแม่อยู่ เราไปอยู่เมืองนอกนานไปหน่อยค่ะ ห้องนอนเราเลยกลายเป็นห้องเก็บ ของไปแล้ว ถึงต้องออกมาอยู่คอนโดของคุณพ่อที่ท่านซื้อไว้นานแล้วค่ะ ตอนนี้ก็แอบจองบ้านไว้นะคะ ธนาคารปล่อยกู้แล้วด้วย ยังกังวลเหมืทอนกัน เพราะต้องมีการย้ายออก เฮ้อ ไม่รู้จะบอกทางบ้านยังไง แล้วจะโดนอะไรอีก แต่ยังไงก็เอาใจช่วย จขกท นะคะ คุยกับแฟนค่ะ คุยให้เค้าเข้าใจ แม่ก็คือแม่ค่ะ เค้าไม่ได้จะเข้ามายุ่งกับเราไปตลอดทั้งชีวิตหรอกค่ะ ตอนนี้ทำอะไรให้เค้าสบายใจได้ก็ทำนะคะ บอกแฟนเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เถอะค่ะ ปิดหู ปิดตา สักพัก ทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ จากคุณ : mooaoun เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 52 18:08:44

ความคิดเห็นที่ 57 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 52 11:09:41 จากคุณ : focus@joe เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 52 11:08:14

ความคิดเห็นที่ 58 ถ้าเมื่อไหร่มีลูก คุณจะเข้าใจความรักของแม่ โดยเฉพาะถ้าคุณมีลูกสาว คุณจะยิ่งรู้ว่าคุณจะห่วงใยมากกว่าลูกชายเป็นร้อยเท่า แฟนคุณ ยิ่งควรเข้าใจ รักลูกสาวเขา ก้ต้องรักแม่ยายด้วย ไม่ใช่ทำเป็นรำคาญหรือเบื่อหน่าย  ผู้ชายควรผ่อนปรน ไม่ใช่ทำให้คุณยิ่งไม่สบายใจ หวังว่าคุณจะรับมือกับเรื่องนี้ได้คะ จากคุณ : scriptwriter เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 52 15:57:37

ความคิดเห็นที่ 59 คุณแม่รักคุณมากๆเลยนะคะนี่ เราเห็นด้วยกะความคิดเห็นข้างบนนะคะ รักลูกสาวเขา  ต้องรักแม่เขาด้วย จากคุณ : ครีมชีส เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 14:57:37