|
ความคิดเห็นที่ 2 |
เพิ่งซื้อคอนโดมือสอง ตอนนั้นได้รายละเอียดจากคุณผู้หญิงท่านนึง ที่มาโพส์เล่าประสบการณ์ พอดียังเก็บไว้อยู่ ขออนุญาตแปะให้นะคะ
*** เครดิตของคุณผู้หญิงท่านนั้นคะ (ขออภัยจริง ๆที่จำชื่อไม่ได้)
ประสบการณ์ซื้อคอนโดมือสอง ช่วงที่ 1 : หาข้อมูลและเป้าหมาย (ผู้เกี่ยวข้อง>ตัวเราเอง) อยากจะได้คอนโดซักห้องสำหรับอยู่เอง เราเริ่มจากหาทางอินเตอร์เน็ตนี่แหละค่ะ โดยเริ่มจากไปตามเว็บที่ประกาศขาย เช่น www.prakard.com www.bestbuycondo.com www.thaiproperty.in.th www.ddproperty.com เป็นต้น
ถ้าเจอที่ถูกใจแล้ว แนะนำให้โทรไปตามเบอร์ที่โพสไว้เลยค่ะ เพื่อความรวดเร็ว เพราะบางทำเลเป็นที่ต้องการมาก ผู้ขายอาจโพสไว้ได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็มีคนจองแล้ว ถ้าเราโทรไปถามแล้วยังไม่ขาย ก็สอบถามข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องการและขอเข้าชมห้องจริง ส่วนเรื่องราคา แนะนำว่าให้สืบมาก่อนด้วยนะคะ ว่าค่าประเมินโดยคร่าวๆจะได้เท่าไหร่ และคนส่วนใหญ่เขาขายที่ราคาเท่าไหร่ อาจจะบวกลบตามทำเลของแต่ละห้อง ส่วนมากที่โพสขายไว้ทางอินเตอร์เน็ตมักะเป็นการขายผ่านนายหน้า ราคาเขาก็จะบวกมาอีกนิดหน่อย ก็ต้องทำใจค่ะ T-T (คิดแง่ดีไว้ว่าจะมีคนช่วยอำนวยความสะดวกให้เรา ^ ^" )
เสริมอีกนิด นอกจากดูห้องแล้วต้องดูสภาพรอบๆด้วยนะคะ ทั้งภายในตึกในส่วนอื่นๆ นิติบุคคล ส่วนกลาง สภาวะแวดล้อมโดยรวมในแต่ละเวลา เช้า กลางวัน เย็น ค่ำ
ก็เราจะซื้อไว้อยู่นี่คะก็ต้องสำรวจกันนิด อิอิ แต่ถ้าซื้อไว้ขายอาจไม่ต้องละเอียดเท่านี้ค่ะ
ในระหว่างที่เราหาเป้าหมายอยู่นี่ อย่าลืมหาข้อมูลการกู้ของแต่ละธนาคารไปด้วยนะคะ เช่น ธนาคาร A ปล่อยเงินให้สูง แต่ดอกเบี้ยก็สูง , ธนาคาร B ปล่อยเงินให้ 70% แต่ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น หรือ อาจจะลองไปถามธนาคารแล้วทำการ pre-approve ก่อน ว่าเราสามารถกู้ได้เท่าไหร่ค่ะ โดยส่วนตัวเราไม่ได้ทำ pre-approve อ่ะค่ะ แต่เนื่องจากมีสวัสดิการของบริษัทที่ดิวกับทางธนาคารไว้ จึงทราบอยู่แล้วค่ะว่ากู้ได้เต็มแน่ๆ ^0^ ช่วงที่ 2 : ทำสัญญาจะซื้อจะขาย (ผู้เกี่ยวข้อง>มีผู้จะซื้อ(เรา)และผู้จะขาย อาจมีนายหน้ามาคอยอำนวยความสะดวก) เมื่อเราเจอเป้าหมายที่ถูกใจแล้ว ก็ให้นัดทำ "สัญญาจะซื้อจะขาย" ซึ่งในสัญญาจะระบุ 1) ชื่อ-ที่อยู่ของผู้จะขาย และผู้จะซื้อ 2) รายละเอียดของห้องที่จะซื้อจะขาย (ตรงนี้ให้ตรวจดูเลขที่โฉนดกับพื้นที่ห้องให้ตรงตามด้วยนะคะ) 3) ราคาขายตามที่ตกลงไว้ สมมติว่าราคาที่ตกลงกันเป็น 2 ล้านบาท 4) ระบุเงินมัดจำ ที่เราจะต้องจ่ายวันทำสัญญาฉบับนี้ สมมติเป็น มัดจำ 20,000 บาท 5) ส่วนเงินที่เหลือที่เราจะต้องชำระในวันโอน 2,000,000 - 20,000 = 1,980,000 บาท 7) จะมีการระบุว่าจะต้องทำการโอนภายในวันที่เท่าไหร่ ซึ่งปกติจะกำหนดเป็นอีก 1 เดือนถัดจากที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายฉบับนี้ค่ะ ถ้ากลัวดำเนินการเรื่องยื่นกู้ไม่ทันอาจผ่อนผันได้ แต่เพื่อความสบายใจแนะนำว่าตกลงระยะเวลากันดีๆและเขียนไปในสัญญาเลยค่ะ
เอกสารที่ต้องใช้ในการทำสัญญานี้มี - สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้จะขาย - สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้จะซื้อ
หลังจากทำสัญญาแล้วเอกสารที่เราควรจะได้คือ - สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้จะขาย - สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้จะซื้อ - สำเนาโฉนดห้อง - สัญญาจะซื้อจะขาย (เราและคนขายจะมีคนละ 1 ชุด) ช่วงที่ 3 : ยื่นเรื่องกู้กับทางธนาคาร (ผู้เกี่ยวข้อง>เรากับธนาคาร) จากช่วงที่ 1 ที่เราได้หาข้อมูลมาแล้ว ว่าเราเลือกจะยื่นกู้กับธนาคารไหน ก็ตรงนำเอกสารไปยื่นขอกู้เลยค่ะ (เอกสารที่ต้องใช้ทั้งหมดเราต้องรู้และเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนช่วงที่ 1 แล้วค่ะ) เอกสารพื้นฐานสำหรับยื่นกู้ - สำเนาบัตรประชาชนของเรา - สำเนาทะเบียนบ้านของเรา - สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย - สำเนาบัตรประชาชนของผู้จะขาย - สำเนาทะเบียนบ้านของผู้จะขาย - สำเนาโฉนดห้อง - หนังสือรับรองเงินเดือนที่ขอกับทางบริษัท - slip เงินเดือน 3 เดือนย้อนหลัง
เมื่อเราทำการยื่นเรื่องกู้แล้ว ขั้นต่อไปจะมีบริษัทประเมินติดต่อเรามาเพื่อทำการประเมินราคาห้องที่เราจะซื้อค่ะ ระยะเวลาตรงนี้ จากที่สอบถามมาประมาณ 1-2 สัปดาห์ และรอผลการอนุมัติ อีกเกือบเดือน แต่เรายื่นกับธนาคาร ธอส. ค่ะ มี สินเชื่อ Fast Track จึงค่อยข้างเร็ว อนุมัติภายใน 1 สัปดาห์
เมื่อธนาคารแจ้งผลอนุมัติเงินกู้แล้วให้เราโทรไปแจ้งกับผู้จะขายด้วยค่ะ เพื่อที่ว่าผู้จะขายจะได้ดำเนินการปลดหนี้กับทางธนาคารเก่า (กรณีห้องยังถูกจำนองกับธนาคารอยู่)
หมายเหตุ สมมติว่าธนาคารปล่อยเงินกู้ 90% ความหมายคือ 90% ของราคาขายหรือราคาประเมิน(ราคาไหนต่ำกว่าจะอิงจากราคานั้น) ถ้าต้องการให้ได้โอกาสกู้เงินได้สูง ตอนที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายอาจจะเขียนเกินราคาจริง เช่น ขายจริง 2 ล้าน เราก็มีสิทธิ์จะได้เงินกู้ 90% ของ 2 ล้าน (1,800,000) ถ้าขายจริง 2 ล้าน อาจจะเขียนว่า ขาย 2.2 ล้าน เราก็มีสิทธิ์จะได้เงินกู้ 90% ของ 2.2 ล้าน (1,980,000) ทำให้เราต้องหาเงินก้อนน้อยลงอีกตั้ง 180,000 บาท (แต่ถ้าให้ดีควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนคิดจะซื้อค่ะ ควรมีเงินก้อนอย่างน้อย 30% ของราคาขาย) แต่ถ้าราคาประเมินต่ำกว่าราคา 2 ล้าน ก็มีค่าเท่าเดิมค่ะ เพราะต้องอิงราคาประเมิน
หมายเหตุสอง บางทีทางธนาคารอาจจะเสนอให้ทำประกันวงเงินกู้ค่ะ ตรงนี้แล้วแต่เราจะพิจารณาค่ะ ส่วนเราเลือกทำเพื่อลดความเสี่ยงค่ะ กู้ 30 ปี ทำประกันไว้ 10 ปี (และเลือกทำ 80% ของวงเงินค่ะ) เหตุผล คือ เราตั้งใจว่าอีกซัก 5-6 ปี อาจจะขายคอนโดนี้เพื่อซื้อบ้านต่อไปค่ะ จึงประกันไว้แค่ 10 ปี เคยได้ยินบางคนแนะนำว่า ให้ประกันระยะสั้นแล้วต่อประกันเอาถูกกว่า ตรงนี้เราขอค้านค่ะ ลองศึกษาดีๆจะเข้าใจค่ะว่าเป็นยังไง ส่วนรายละเอียดอธิบายยาวนิดนึง ยังไงขอข้ามไปก่อนนะคะ ช่วงที่ 4 : ทำสัญญากู้ (ผู้เกี่ยวข้อง>เรากับธนาคาร) ไปเซ็นต์สัญญากู้ค่ะ ในกรณีเงินกู้เกิน 500,000 บาท จะเสียค่าธรรมเนียม 0.01% ของวงเงินกู้นะคะ แล้วก่อนที่จะไปเซ็นต์กู้ที่ธนาคารให้โทรไปนัดวันโอนกับทางคนขายว่าจะโอนกันวันไหน ณ กรมที่ดินเขตไหนค่ะ เนื่องจากจะมีเขียนในสัญญากู้ค่ะ วันทำสัญญานี้ไม่มีอะไรค่ะ ชิวๆ เป็นหนี้ซะแล้วเรา ^^ แต่เราจะเริ่มจ่ายงวดแรกให้ธนาคาร นับจากวันโอนไป 30 วันค่ะ ช่วงที่ 5 (ช่วงสุดท้ายแล้วค่ะ) : การโอน ณ กรมที่ดิน (ผู้เกี่ยวข้อง>เรา, เจ้าหน้าที่ธนาคารที่เรายื่นกู้, ผู้ขาย, เจ้าหน้าที่ธนาคารฝั่งคนขาย)
พอถึงวันนัดโอน เราก็ไปที่กรมที่ดินเขตที่นัดกันไว้ ไปถึงก็มองหาเจ้าหน้าที่ธนาคารของเราก่อนเลย พอเจอแล้ว เขาก็จะเอาเอกสารการมาให้เราเซ็นต์ ส่วนฝั่งผู้ขายก็เช่นกันค่ะเจ้าหน้าที่ธนาคารฝั่งผู้ขายก็จะมีเอกสารให้เซ็นต์ หลังจากนั้นก็รอคิวค่ะ
เมื่อถึงคิว เจ้าหน้าที่กรมที่ดินจะเรียกไปเซ็นต์เอกสารและผู้ขายต้องเสียภาษีรายได้ก่อนค่ะ จากนั้นก็ทำตามเจ้าหน้าที่แนะนำ (ขอโทษจริงๆค่ะ ตรงนี้จำรายละเอียดไม่ได้ (ตายตอนจบซะงั้นเรา) ) ตอนนี้เช็คเงินกู้เราจะอยู่ที่เจ้าหน้าที่ธนาคารเรานะคะ เราจะไม่ได้ถือเช็คเลยค่ะ
....... อ้อเล่าข้ามไปนิดนึงตอนที่เซ็นต์สัญญากู้เงินกับธนาคารค่ะ เจ้าหน้าที่ธนาคารจะถามเราว่าจะแยกเช็คมั๊ย คือ สมมติเรากู้ได้ 1.8 ล้านนะคะ (ราคาขาย 2 ล้าน) ณ ปัจจุบัน คนขายติดจำนองอยู่ 1 ล้านกับธนาคารที่ผู้ขายไปจำนองไว้ (ตรงนี้ต้องถามทางผู้ขายค่ะ) เราอาจจะแยกเช็คดังนี้ค่ะ ใบที่1 เช็ค 1 ล้านบาท ลงชื่อผู้รับเป็นธนาคารฝั่งผู้ขาย ใบที่ 2 เช็ค 8 แสนบาท ลงชื่อเรา (เวลาจ่ายเซ็นต์กำกับหลังเอาค่ะ) ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ฝั่งผู้ขายค่ะ เราไม่เกี่ยว อ้อ อีก 180,000 ส่วนต่างนั้น อาจจะถือเงินสดไปจ่ายเพิ่ม แต่เราแนะนำให้ไปซื้อเช็คเงินสดอีก 1 ใบ ค่ะ (20,000 จ่ายเป็นค่ามัดจำไปแล้ว) ครบ 2 ล้านแล้วนะคะ .......
ต่อค่ะ เจ้าหน้าที่ธนาคารฝั่งผู้ขายจะนำโฉนดฉบับจริงมาให้แล้วก็เอาให้เจ้าหน้าที่เพื่อไปพิมพ์เปลี่ยนเป็นชื่อเราค่ะ เมื่อเราเซ็นต์เอกสารการโอนเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ธนาคารจะเป็นคนจ่ายเช็คให้ธนาคารฝั่งผู้ขายเองค่ะ ส่วนเช็คใบที่ 2 ก็จะเอามาให้เราแล้วเราเซ้นต์กำกับหลังแล้วมอบให้ผู้ขายพร้อมเช็คเงินสดอีกใบที่เราเตรียมมาค่ะ ขั้นตอนวันนี้เราต้องจ่ายค่าจ้างให้เจ้าหน้าที่ธนาคารเราด้วยค่ะ เราจ่าย 700 บาทค่ะ
สรุปนะคะ เมื่อโอนเสร็จเรียบร้อย เอกสารที่เราจะได้มี - สัญญาซื้อขาย (ธนาคารเราจะขอสำเนาไว้ 1 ชุด) - สำเนาโฉนดห้อง (ธนาคารจะเก็บตัวจริงไป) - กุญแจห้อง การ์ด etc. ของห้องเราอ่ะค่ะ (ผู้ขายมอบให้เรา)
จากคุณ |
:
ปีกฝัน
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ก.ย. 53 11:38:01
|
|
|
|
|