ความคิดเห็นที่ 1 ค่าคอมมิชชั่นพนักงาน ปีแรก ประมาณ 40-45%  ปีต่อๆ ไปก็ลดลงไป เช่น 10-20% ประกันชีัวิตทั่วไป  เงินไปเข้าผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุ แล้วจะใช้หนี้อะไรก็ตามแต่จะเลือก ไม่ใช่ใช้หนี้เงินกู้แบงค์ ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ เป็นไปได้ที่จะได้ลดลง เพราะความเสี่ยงของแบงค์น้อยลง + มีรายได้จากค่าเบี้ยประกัน   แต่คงไม่ลดมาก ไม่น่าเกิน 0.25  ต้องถามคนบอกให้ละเอียด ว่าปกติเท่าไร ลดเหลือเท่าไร  กันอ้างลมปากเอาง่ายๆ หรือ ขอดูระเบียบและเงื่อนไขของแบงค์ที่ประกาศ ทำคนเดียวเฉพาะสามีไม่ได้หรือครับ ขอดูบัตรตัวแทนประกันของพนักงานด้วย จากคุณ : birdeyeview เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 02:53:14

ความคิดเห็นที่ 2 ... แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 53 10:18:08 จากคุณ : birdeyeview เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 02:53:26

ความคิดเห็นที่ 3 เรากู้น้อยกว่านั้น ประกัน 25 ปีก็เกือบแสน คุ้มครองแบบจ่ายค่าบ้านให้เมื่อเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ คนข้างหลังไม่ต้องผ่อนต่อ เราว่าคุ้ม ถือเป็นการประกันความเสี่ยง เทียบกับประกันอื่น  คงต้องเปรียบเทียบดูว่า หากต้องการได้เงินชดเชยเท่าค่าบ้าน คุณต้องจ่ายเบี้ยประกันให้ บ. เท่าไหร่ อาจจะมากกว่า เรื่องประกันคนเดียวได้หรือไม่ คงแล้วแต่ความเสี่ยง หากสามีเป็นคนหารายได้หลัก ภรรยาไม่มีรายได้ สมมติว่าภรรยาเสียชีวิต สามียังผ่อนได้ แต่ถ้าสามีเสียชีวิต ภรรยาคงผ่อนไม่ไหว บ้านโดนยึดแน่นอน กรณีนี้ ซื้อประกันเฉพาะตัวสามีก็พอค่ะ นอกจากประกันผู้กู้แล้ว สำหรับบ้าน เราก็ซื้อประกันบ้านอีกต่างหาก รถเราก็ซื้อประกันแบบนี้เหมือนกันค่ะ รถหาย ไฟไหม้ เสียชีวิต ทุพพลภาพ ประกันจ่ายให้ไฟแนนซ์เลย ไม่ต้องผ่อนกุญแจต่อ จากคุณ : Nootukk2010 เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 05:43:01

ความคิดเห็นที่ 4   ถ้าคิดว่าผิดปรกติอย่ากู้ครับหาแบงค์อื่นจนเราพอใจค่อยกู้ครับ จากคุณ : sitteto เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 08:14:35

ความคิดเห็นที่ 5 พนักงานได้ค่านายหน้า ตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาประกันให้ละเอียดก่อนตัดสินใจครับ จากคุณ : แนะนำด้วยครับ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 08:17:47

ความคิดเห็นที่ 6 ผมกู้ 4 ล้านเหมือนกัน แต่ทำแต่ประกันภัยบ้านครับ แค่ 5 พันกว่าบาท ปีเดียวด้วย ไม่เห็นมีประกันชีวิตเลยอ่ะครับ จากคุณ : nong2000 เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 08:35:41

ความคิดเห็นที่ 7 ของพี่สาวผมก็โดนบังคับให้ทำครับ อ้างโน่นอ้างนี่แบงค์ L.. ผมบอกถ้าทำงั้นก็ย้ายแบงค์ละกัน 10 ปี 240,000 จ่ายล่วงหน้าหมดเลย สักพักเขาก็บอกว่าไม่ทำก็ไม่เป็นไร พอวันโอน มีค่าประกันอัคคีภัย + ประกันทรัพย์สินภายในบ้าน อีก 14,000 เสียดายผมไม่ได้ไปด้วยเลยจ่ายไป พอดีบ้านเพื่อนพี่สาว โอนวันพฤหัสบดีนี้ วันอาทิตย์เลยไปชำระค่าธรรมเนียม เห็นในเอกสาร มีค่ามีค่าประกันอัคคีภัย + ประกันทรัพย์สินภายในบ้าน อีก 14,000 เลยบอกน้องว่าถ้าจ่ายก็คงเอาแบงค์อื่น แต่สุดท้ายก็บังคับให้ทำประกันอัคคีภัยอยู่ดี ถ้าเราไม่ต้องการก็บอกเขาเลยครับ หรือย้ายแบงค์ก็ได้ จากคุณ : naijoke เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 08:38:39

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่จำเป็นต้องทำครับ ของแฟนผมกู้ 2.5 ล้าน ตอนขอกู้ก็บอกแล้วว่าไม่ทำประกันชีวิต ตอนวันเซ็นต์สัญญา ดันโผล่เข้ามาในสัญญา (ราว 5 หมื่นบาท ผ่อน 10 ปีตกเดือนละ 700 บาท)  เลยให้ไปเปลี่ยนสัญญาใหม่ (เสียเวลาไปทั้งสองฝ่าย) ธนาคารขอให้ซื้อประกันชีวิตให้เพราะเขาจะทำยอด (พนักงานว่า หัวหน้าสาขาได้ commission ลูกน้องได้คะแนนที่ใช้ในการประเมินขึ้นเงินเดือน) เดี๋ยวนี้แบงค์ชอบขอกึ่งบังคับเช่น เปิดบัญชีเงินฝาก เฉยๆ ไม่ได้ต้องสมัคร atm ด้วย จากคุณ : tonjung เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 08:38:55

ความคิดเห็นที่ 9 กู้ 3.2 ล้าน เจอประกันชีวิต 6 ปี 1.4 แสน ประกันอัคคีภัย 4.5 พัน ขอให้ทำประกันชีวิตภรรยาเพิ่มอีก 2.5 หมื่น ...... โอ้... จากคุณ : NuxnixClub เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 08:44:04

ความคิดเห็นที่ 10   ไม่มีใครคอยควบคุมตรงนี้อย่างจริงจังเลยเหรอครับ เหมือนโดนเอาเปรียบ มัดมือชกยังไงไม่รู้ จากคุณ : พล เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 08:49:31 A:58.8.46.210 X: TicketID:016158

ความคิดเห็นที่ 11   คำนวณดีๆๆนะครับ ถ้าทำประกันด้วยเราจ่ายสดเองหรือทำกับที่อื่นที่เป็นแบบ 3ปีต่อครั้งหรือปีต่อปี ผมว่าจะถูกกว่า ถ้าทางธนาคารเอายอดประกันชัวิตกับยอดกู้บ้านไปรวมกัน ผมว่าไม่คุ้มนะครับ ลองคำนวณดูสิครับ แล้วจะรู้ว่ายอดดอกเบี้ยมันสูงขึ้น ถึงให้ส่วนลดก็ปกติ แค่ ปี2ปีแรกเท่านั้นครับ ดูสัญญาดีๆๆครับ และดูกรมทรรนศ์ดีๆๆครับ พวกนี้มันไม่ยอมเสียเปรียบเราง่ายๆๆหรอกครับ จากคุณ : peengineer19/68 เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 08:57:45

ความคิดเห็นที่ 12 กรณีที่ธนาคารกำหนดว่า"จำเป็นต้องทำ" จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างของผู้กู้ครับ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารครับ เช่น กรณีเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ว่าผู้กู้มีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถชำระหนี้สินเชื่อได้ครบจนวันสิ้นสัญญา ซึ่งจะทำให้ธนาคารเกิด NPL ได้ครับ(ธนาคารจะไม่ได้นับรวมในส่วนที่จะต้องยึดหลักทรัพย์นะครับ คนละเคสกัน หลายๆคนเข้าใจผิดเยอะ) ก็จะกำหนดว่า"จำเป็นต้องทำ"ประกันชีวิต มิฉะนั้นจะไม่สามารถกู้เงินผ่านได้ครับ โดยทั่วไปหลักทรัพย์ที่กู้เกินวงเงิน 1,500,000.00 บาท ผมจะต้องมีการระวางการทำประกันชีวิตไว้ก่อนครับ จากนั้นจึงมาคำนวณระยะเวลาครบกำหนดสัญญา , เงินงวด , อายุงาน เป็นต้นครับ ที่บอกอย่างนี้เพราะว่าผมเคยเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อ เข้าใจว่าทุกคนไม่อยากทำ เพราะกลัวจะเป็นเงินเสียเปล่า แต่บางกรณีก็จำเป็นต้องทำจริงๆ ตามเงื่อนไขของสินเชื่อธนาคารนั้นๆครับ ฉะนั้นลองโต้แย้งที่จะไม่ทำก่อนก็ได้ครับ เพราะบางครั้งเจ้าหน้าที่สินเชื่อก็อยากจะลดความเสี่ยงในการยื่นกู้ให้ครับ จากคุณ : Am_hilo เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 09:11:31

ความคิดเห็นที่ 13 ขอโทษทีครับลืมตอบคำถาม 1.ปกติทุนประกัน 750,000 บาท เบี้ยประกันตกปีละ 50,000 บาท ลองคำนวณดูว่าคุ้มไหม แต่เราต้องเข้าใจนะว่ามันไม่ได้เสียเปล่าเพราะครบสัญญา(20 ปีตามที่จั่วหัวกระทู้)ก็จะได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยตามเงื่อนไขประกัน เว้นเสียแต่จะใช้เงินตอบแทนจากประกันตอนครบสัญญามาจ่ายค่าสินเชื่ออีกทีก็อีกเรื่องนึงครับ 2.ถ้าสมมติคุณเสียชีวิตไปก่อนก็ต้องมาดูครับว่า ทำประกันชื่อใคร ถ้าเป็นชื่อคุณก็ไม่ต้องส่งเบี้ยต่อแล้วครับ และแฟนคุณก็จะได้เงิน 200,000 บาทด้วย แต่ตามปกติเงื่อนไขธนาคารก็จะนำเงิน 200,000 บาทไปชำระสินเชื่อครับ แต่ถ้าเป็นชื่อแฟน แฟนคุณก็ต้องจ่ายเบี้ยต่อไป แต่ตามปกติจะกำหนดให้ผู้กู้หลักทำประกันครับ 3.เกี่ยวครับ ถ้าทำประกันวงเงินสูงขึ้นแน่นอน แต่ก็จะไม่เกินราคาประเมินหลักทรัพย์ครับ หรือก็คือได้เต็ม 100% ครับ กรณีต้อง Bulit-in เฟอร์นิเจอร์ก็ต้องแจ้งเพิ่มเติมในส่วนตกแต่งบ้านนะครับ จากคุณ : Am_hilo เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 09:25:03

ความคิดเห็นที่ 14 จริงๆแล้ว bank มีให้เลือกเป็น package ว่าถ้าทำประกันจได้อัตราดอกเบี้ยเท่านี้ ถ้าไม่ทำประกันได้ อัตราดอกเบี้ยอีกอัตราหนึ่งซึ่งแพงกว่า จขกท. ลองคำนวณดูว่าดอกเบี้ยที่ได้ลดคุ้มหรือไม่ และถ้าคิดว่าเป็นการซื้อประกันความเสี่ยง ก็ต้องพิจารณาดูว่าจำเป็นหรือไม่เช่นเรามีทำประกันชีวิตไว้แล้ว หรือถ้าเราเป็นอะไรไป(ไม่ได้แช่งนะครับ แต่เหตุการณ์ในอนาคตไม่มีใครรู้) คนที่อยู่ข้างหลังก็ไม่นาจะมีปัญหาในการจัดการกับบ้านและหนี้สินได้ ก็ไม่ตวรซื้อ สิ่งสำคัญคือก่อนกู้เรามีสิทธิเลือกว่าจะใช้ธนาคารใหนและ package ใหนตอนนี้ธนาคารแข่งกันเสนอ package ต่างๆเยอะ ใช้สิทธิให้เต็มที่ ส่วนเรื่องประกันอัคคีภัยมีทุกธนาคารอยู่แล้วซึ่งส่วนใหญ่ธนาคารจะให้ทำกับบริษัทประกันในเครือของตัวเองซึ่งก็จะดีในแง่ของถ้าเกิดไฟใหม้การ claim ระหว่างกันก็ง่าย แต่เราก็มีสิทธิที่จัดหาบริษัทประกันมาเองถ้าคิดว่าได้เบี้ยประกันที่ถูกกว่าแต่เมื่อมีการ claim จะยุ่งยากกว่า ซึ่งจากประสบการณืผมค่าเบี้ยไม่ต่างกันเท่าไหร่ ซึ่งผมไม่เสียดายตรงนี้ ที่พนักงานคนนั้นจะได้ค่าคอมฯ เพราะเจ้าหน้าที่ที่ทำให้ผมบริการถึงที่ทำงาน และติดต่อได้ตลอดเวลา จากคุณ : Abarica เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 09:40:21

ความคิดเห็นที่ 15   ขออนุญาตเห็นแย้งกับคุณ Am_hilo นะครับ ที่ว่าลูกค้ามีความเสี่ยงในการผิดนัด ต้องทำประกันชีวิต การำทประกันชีวิตจะจ่ายเมื่อลูกค้าเสียชีวิตครับ ไม่ใช่ลูกค้าตกงาน หรือลูกค้าเบี้ยวหนี้ ผมเคยทำงานทั้งวงการแบงค์และประกันภัย ไม่ว่าจะใช้ถ้อยคำสวยหรูยังไง วัตถุประสงค์แท้จริงคือการเพิ่มยอดขาย เนื่องจากจากสถิติแล้ว คนที่กู้บ้านแล้วเสียชีวิตก่อนทำให้ไม่สามารถผ่อนชำระได้ครบนั้น มีน้อยมากจนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ลำบาก แถมแบงค์มีประกันความเสี่ยงทั้งจากผู้กู้ร่วม ทั้งจากหลักทรัพย์ ทั้งดอกเบี้ยส่วนใหญ่ที่หักก่อนเงินต้น ฯ ผมไม่ห้ามที่ใครจะทำประกันชีวิตคุ้มบ้าน แล้วแต่การใช้วิจารณญาณของแต่ละคน แต่แบงค์ควรให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ว่านอกจากคุณจะได้อะไรแล้ว คุณจะต้องเสียอะไรบ้าง เช่น คุณต้องจ่ายเบี้ยประกันที่คุณต้องจ่ายล่วงหน้า และคุณต้องเสียดอกเบี้ย(อีกครั้ง) จากเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ควรถึงกำหนดชำระ และสิทธิตามกฎหมายมรดก คือ หากคุณเสียชีวิต ทายาทของคุณไม่จำเป็นต้องรับภาระหนี้มากกว่าทรัพย์สินที่คุณทิ้งไว้ให้  ข้อยกเว้นที่ประกันจะไม่จ่ายเงินฯ  หากคุณปิดบัญชีเงินกู้ก่อนครบกำหนด หรือคุณรีไฟแนนท์ ประกันชีวิตจะคืนให้หรือไม่อย่างไร จากคุณ : ทนายบี (หวังดีกะเพื่อน) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 09:42:46

ความคิดเห็นที่ 16 ผมก็ไม่ได้บอกนี่ครับว่ากรณีลูกค้าตกงาน เบี้ยวหนี้?? เพราะถ้าตกงาน ลูกค้าจะมีตังมาจ่ายเบี้ยประกันจนครบสัญญาประกันหรือ?? โอ๊ะ ขอโทษทีครับ พึ่งขึ้นไปอ่านข้อความตัวเอง สงสัยผมคงพิมพ์ไพเราะเกินไป ต้องขออภัยด้วย เพราะผมหมายถึงถ้าผู้กู้จำต้องจากลาโลกไปก่อนจะครบสัญญา จะได้นำเงินนั้นมาจ่ายสินเชื่อ ชี้แจง : ประกันความเสี่ยงจากดอกเบี้ย?? ดอกเบี้ยถูกนำไปรวมกับผลกำไร(ผลประกอบการของธนาคาร) ไม่นำมารวมกับต้นทุนธนาคารครับ จากคุณ : Am_hilo เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 10:01:18

ความคิดเห็นที่ 17 ช่วยให้ข้อมูลนะคะ เพิ่งกู้มาได้หลายเดือนแล้ว 1.  การประกันกับแบงค์ เป็นการประกันวงเงินกู้ซื้อบ้านที่ทำกับแบงค์ ไม่เหมือนกับการประกันชีวิตทั่วไปนะคะ  ถ้าผ่อนหมดตามกำหนด ไม่ได้เงินคืนนะคะ   จะได้เงินคืนกรณีไถ่ถอนก่อนกำหนดที่ทำประกันเท่านั้น  เช่นทำประกันไว้ 20 ปี  ถ้าผ่อนประมาณ 10 ปี  ก็จะได้เบี้ยประกันคืนตามอัตราส่วนค่ะ  ส่วนเงินต้นยอดสี่ล้าน   ทำประกัน 20 ปี  เบี้ยก็จะประมาณนี้หละค่ะ 2.  ถ้าผู้ทำประกันตาย   ก็ไม่ต้องผ่อนต่อแล้วค่ะ  บริษัทประกันก็จะชำระหนี้แทนทั้งหมด   กรณีทำวงเงินประกันไว้เต็มนะคะ   สำหรับมูลค่าที่ลดลงนั้นคือกรณีที่กล่าวไว้ในข้อ 1 ค่ะ   คือชำระหนี้หมดก่อนกำหนด จะได้เบี้ยคืนตามอัตราส่วน 3.  ถ้าทำประกันกับแบงค์ จะได้อัตราดอกเบี้ยลดลงประมาณไม่เกิน 0.5 นะคะ ส่วนวงเงินก็จะได้สูงขึ้นแน่นอน  แต่ต้องขึ้นอยู่กับรายได้และหลักประกันด้วยค่ะ 4.  จริง ๆ ธนาคารไม่มีสิทธิ์บังคับให้ทำนะคะ  แต่ทุกแบงค์เดี๋ยวนี้เหมือนกับเอาการประกันมามีส่วนในการอนุมัติด้วยซ้ำ  บางแบงค์ถ้าไม่ทำ  ขอสินเชื่อยากมาก กรณีถ้าผู้กู้เป็นข้าราชการ หรือทำงานประจำ จะกู้ง่ายกว่าพวกที่ทำธุรกิจอีกนะคะ   5.   อันนี้เป็นข้อแนะนำนะคะ  ถ้าไม่อยากเสียเบี้ยประกันสูง  ขอลดระยะเวลาเอาประกันลงก้ได้ค่ะ หรือขอลดวงเงินลงก็ได้ จากคุณ : เพิ่งกู้ (nareelovesol) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 10:12:50

ความคิดเห็นที่ 18 ผมไปยื่นแบงค์ออมสิน ขอไป1.5ล้านได้มาครบ ไม่เห็นต้องเสียค่าประกันชีวิตสักบาท นอกจากให้ทำประกันภัยบ้าน เห็นหลายๆคนแล้วหนักใจแทนครับ จากคุณ : อย่างฮา... เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 10:17:41

ความคิดเห็นที่ 19   ประกันชีวิต 1 มองในแง่ธนาคารคือการป้องกันความเสี่ยงให้กับธนาคาร ในกรณีที่ลูกค้า (ผู้กู้) เสียชีวิต ซึ่งหนี้จะต้องตกแก่ทายาท 2. มองในแง่ของลูกค้า ก็เป็นการป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ที่อยู่ข้างหลังเรา ว่าเมื่อเรา (ผู้กู้) เสียชีวิต ทายาทจะได้ไม่ต้องแบกภาระหนี้ต่อจากเรา แต่ถ้าในกรณีเรามีบ้านที่กู้ธนาคาร แต่ไม่มีการประกันตัวนี้ และ มีประกันชีวิตจากบริษัทนอก ในกรณีเสียชีวิต จริงอยู่ทายาทได้รับผลประโยชน์เป็นเงินก้อนจากกรมธรรม์ของเรา แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรับภาระหนี้สิน (บ้าน) ด้วยเช่นกัน 3.การประกันอัคคีภัย ธนาคารจะบังคับทำทุกธนาคารอยู่แล้ว และ ผู้รับผลประโยชน์จะเป็นธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้เราครับ 4. ขอยืนยันว่า การทำประกันชีวิตสำหรับการกู้ซื้อบ้าน พนักงานไม่มีผลประโยชน์เป็นค่าคอมมิชชั่นครับ แต่ไม่เถียงว่า ธนาคารเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ค่าคอมมิชชั่นจากบริษัทประกันภัยแน่นอน จากคุณ : คนไทย เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 13:04:43 A:113.53.43.7 X: TicketID:207097

ความคิดเห็นที่ 20 เรากู้น้อยกว่าจขท หน่อยนึง เสียเบี้ยประมาณหกหมื่นกว่า คุ้มครอง 10 ปี วงเงินประมาณ 80% ของเงินกู้...เท่าที่ทราบเบี้ยประกันของผู้ชายจะสูงกว่าผู้หญิงเพราะผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าค่ะ...ถ้าอยากจ่ายเบี้ยต่ำลงมา ก็ลดปีและวงเงินคุ้มครอง...เราว่าคุ้มนะ เพราะเราเคยเจอเหตุการณ์ที่น้องชายเรากู้เงินซื้อบ้าน แต่ไม่ได้ทำประกันชีวิต เค้าเสียชีวิตกระทันหัน ทั้งๆ ที่เริ่มผ่อนไม่ถึงปี ที่บ้านเราปวดหัวเรื่องบ้านนี้มาก เพราะไม่รู้จะทำยังไง เราก็ไม่อยากได้เพราะมันไม่ได้อยู่แถวที่ทำงานเรา ในที่สุดก็ปล่อยให้แบงค์ยึดไป กว่าเรื่องจะจบก็วุ่นวายมาก....พอมาถึงเรา เราเลยทำประกัน เพื่อที่ว่าคนอยู่ข้างหลังจะได้ไม่ปวดหัวเหมือนที่เกิดขึ้น จากคุณ : Cordia เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 13:14:15

ความคิดเห็นที่ 21 จขกท นะครับ  ขอบคุณทุกความเห็นอย่างยิ่งครับ  (เริ่มทำใจรับกับประกันแล้ว) คิดสะว่า  ค่าเบี้ย 4.5% ของวงเงิน จ่ายทีเดียว  เป็นค่าความเสี่ยง .. แต่ก็ยังสงสัยอีกนิดว่า  หากบัญเอิญ ปีที่ 19 เหลือยอดหนี้กู้แค่ไม่กี่บาท  แต่ดันตายก่อน   ยอดประกันมันจะเป็น 4,300,000 ก็คือเหลือเงินหลายล้านมาให้ทายาท  หรือ คุ้มครองแค่ยอดหนี้ทีเ่หลือครับ จากคุณ : ต้อมMRP เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 13:36:02

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบคุณต้อม ที่คห.21 นะคะ เงินทุนประกันจะคุ้มครองตามยอดหนี้บ้าน ที่ยังเหลืออยู่กับธนาคารค่ะ ถ้าปีท้ายๆ เหลือยอดเงินกู้น้อยลง ทุนประกันก็จะเหลือน้อยลงค่ะ ของเราก็โดนเบี้ยประกันไป 3 แสนกว่าๆเหมือนกัน เราคิดว่า ซื้อความเสี่ยง ถ้าเป็นอะไรตายไป จะได้หมดห่วงเรื่องหนี้บ้านค่ะ จากคุณ : i am kookai เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 13:55:15

ความคิดเห็นที่ 23 แบงค์ที่ไม่บังคับทำก็มีครับ ส่วนตัวผมไม่ทำครับ รู้สึกโดนเอาเปรียบ เพราะผมมีซื้อประกันชีวิตไว้อยู่แล้ว แม้เบี้ยประกันจะเทียบกันไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่ตายอย่างน้อยเราได้เงินก้อนคืนครับ คุ้มไม่คุ้มแล้วแต่จะเอามุมไหนมาคิดครับ  จากคุณ : aof_kub เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 15:07:58

ความคิดเห็นที่ 24   คห. 13 ครับ เบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองบ้านนี่ ไม่ใช่แบบออมทรัพย์นะครับ ไม่มีการคืนเงินให้ เหมือนประกันรถยนต์ ไม่ใช่หรือ จากคุณ : เฮฮา เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 17:36:16 A:58.9.180.59 X: TicketID:011396

ความคิดเห็นที่ 25   ดีใจที่ได้แสดงความเห็นบ้างเพราะเรื่องนี้เรารู้จริง .. คอนเฟิร์ม  อาจอธิบายละเอียดมากเพราะกรณี จขกท. อาจต้องการความรู้แบบเจาะลึกเพื่อประกอบการพิจารณา ขออธิบายก่อนแล้วจะตอบคำถามเป็นข้อ ๆ นะคะ       การทำประกันตัวนี้เป็นประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อที่เราได้กู้ศัพท์ประกันเรียกว่า MRTA (Modget Reducing Time Insurance)  แปลตามตัวก็คือการประกันตัวนี้ความคุ้มครองจะลดลงตามระยะเวลาที่เรากู้ไปโดยการลดลงจะสัมพันธ์กับยอดหนี้ที่ผ่อนชำระไปเรื่อย ๆ  เช่น นาย ก. กู้ซื้อบ้าน 20 ปี ยอดเงินเอาประกัน 2,000,000 บาท ด้วยค่าเบื้ย  20,000 บาท (ส่วนใหญ่การชำระจะเป็นการชำระครั้งเดียว  โดยจะกู้หรือจะจ่ายสดก็แล้วแต่ความสะดวก)  หากผ่อนบ้านมาได้ 5 ปี นาย ก. มีเงินมาโปะบ้านจนหมด  แต่ความคุ้มครองของประกันจะยังคงมีอยู่  นาย ก. สามารถเลือกที่จะขอเงินค่าเบี้ยประกันในส่วนที่เหลือคืนได้ หรือ  นาย ก. สามารถรับความคุ้มครองแบบเดิมไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่มียอดหนี้กับทางธนาคารแล้ว  เพราะหากเกิดกรณีเสียชีวิตขึ้น  บ.ประกันก็จะจ่ายตามยอดซึ่งจะลดลงสัมพันธ์กับยอดกู้ในตอนที่เรากู้มา  โดยหลักของสัญญานี้จะจ่ายให้กับธนาคารก่อน แต่หากเราไม่ได้มียอดหนี้แล้วก็จะจ่ายต่อมาให้กับผู้รับประโยชน์ของเราต่อไป..            การทำประกันตัวนี้ จากคุณ : Lady Melon (Lady Melon) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 22:19:34

ความคิดเห็นที่ 26   1. เบี้ยประกัน 2 แสน ตกปีละ 10,000 คุ้มไหมครับที่จะทำ  เทียบกับการประกันชีีวิตแยกอย่างพวก aia  ฯลฯ ตอบ  ถามว่าคุ้มมั้ย มันขึ้นกับมุมมอง  เช่น  หากนาย ก. กู้ตัวนี้  ต่อมานาย ก. เกิดเสียชีวิต บ้านหลังนี้ก็จะตกเป็นของครองครัวนาย ก. ทันที  โดยที่ไม่ต้องมานั่งผ่อนต่ออีกต่อไป  มันคนละตัวกับประกันชีวิตโดยทั่วไปเพราะตัวนี้ใช้คุ้มครองวงเงินกู้โดยเฉพาะ 2. ถ้าสมมติผมตายไปก่อน แต่แฟนยังอยู่  จะต้องจ่ายต่อไหมครับ  ได้ยินว่ามูลค่าประกันลดจาก 4 ล้านกว่าไปทุกปี จนหมดมูลค่าปีที่ 20 ตอบ  ส่วนใหญ่จะจ่ายครั้งเดียวตอนทำสัญญาเงินกู้ทีเดียวเลยค่ะ  ไม่ต้องจ่ายอะไรอีกแล้ว  มีแต่ถ้าโปะหมดเร็วก็ขอค่าเบี้ยที่เหลือคืนได้ 3. แบ้งค์บอกทำแล้วได้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ และวงเงินได้สูง  ไม่ทราบเกี่ยวกันไหม ถ้าไม่ทำจะได้หรือเปล่า  ทำไมอยากให้ผมทำจัง  มีคอมมิชชั่นหรือโดนบังคับยอดหรอครับ ตอบ  คงจะเกี่ยวกันก็ตรงที่ถ้าคุณยอมทำ  จนท.ก็จะได้ยอด(เป้าหมาย + คอมมิสชั่น) อันนี้จะช่วยให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษหรือเปล่า เราตอบไม่ได้เพราะไม่ได้ทำงานมานานไม่แน่ใจว่านโยบายแต่ละธนาคารเป็นแบบไหนไปบ้างแล้ว        อ้อ ไม่ทราบว่า จขกท. กู้คนเดียวหรือกู้ร่วมกับแฟนคะ  เบี้ยประกันส่วนใหญ่  ค่าเบี้ย ผู้หญิงจะถูกกว่าผู้ชายนะคะ  คนอายุน้อยก็จะถูกกว่าคนอายุมาก  ถ้ากู้ร่วมก็แบ่งยอดครึ่ง ๆ ก็ได้        เราเองก็จะได้เป็นหนี้แบงค์ในไม่ช้านี้เหมือนกัน  ตัวเราเองไม่ได้ทำงาน  ถ้าตอนที่กู้ตัวนี้เราก็จะให้แฟนทำประกันตัวนี้คนเดียวเลยค่ะ  เพราะไม่มีเค้าเราไม่มีเงินผ่อนต่อแน่นอน  แต่ถ้าไม่มีเราเค้าหาคนมาอยู่แทนเราสบายแน่นอน         ทั้งนี้และทั้งนั้น  ถ้าพึ่งจะซื้อบ้านใหม่  ต้องใช้เงินเยอะอยู่  ต้องทำแล้วเป็นภาระเพิ่มก็ไม่ต้องทำ  หรือทำในตอนหลังก็ได้นะคะ  ไม่งั้นตึงแย่ จากคุณ : Lady Melon (Lady Melon) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 22:35:15

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าเครดิตคุณดี "ก็ไม่ต้องง้อ" แบงค์ครับ แต่ถ้าดูจากที่คุณบอกว่ามีเพียงแบงค์เดียวให้ได้ตามวงเงินที่คุณต้องการ แปลว่า เครดิตคุณไม่อยู่ในขั้นดีพอ จึงต้อง "'ง้อ" แบงค์ครับ ผมแนะนำให้ทำประกันไปครับ เพระไม่ได้มีข้อเสียอะไรมากนัก แต่ถ้าสำหรับทั่วๆไปที่เครดิตดี ไปหาประกันชีวิต ทำเองต่างหากดีกว่า ยืดหยุ่นกว่าครับ จากคุณ : Tamจัง เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 23:39:05

ความคิดเห็นที่ 28 ------------------------------------------------------------------------------ ทำอยู่เหมือนกันกับ AIA คุ้มครอง 10 ปี จ่ายครั้งเดียว ถ้าตายก่อนภายใน 10 ปี ผู้ที่รับช่วงต่อ ก็ได้บ้านไปเลย โดยไม่ต้องส่งต่อ ----------------------------------------------------------------------------- จากคุณ : swlmt เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 53 07:34:58

ความคิดเห็นที่ 29 แฟนเรากลับอยากทำโดยสมัครใจ ยอดหนี้ี่ี่ที่เราจะกู้ 3.9 ล้านค่ะ กู้ร่วมกัน แฟนบอกจะทำประกันชีวิตด้วย กรณีที่แฟนเราเป็นอะไรไป เราจะได้ไม่ต้องมารับภาระอะไร เงินประกันที่ได้ น่าจะเพียงพอที่จะจ่ายค่าบ้าน จากคุณ : mookiebear เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 53 10:01:03

ความคิดเห็นที่ 30 เรามอง ว่าแบงค์ไม่ได้เอาเปรียบ ถ้าคุณไปซื้อ เอง ประกันที่ได้มา คุณก็ต้องเอามาจ่ายหนี้บ้านอยู่ดี แถม บางคน ไม่มีเงินจะซื้อประกันด้วยซ้ำ เช่น ตัวดิฉันเอง เราเลย เต็มใจทำ เพราะว่า แม้ว่าจะเป็นหนี้เพิ่มแต่ก็ยังดีกว่า ไปดิ้นรน หาเงินทำประกันเอง อันนี้ แบงค์ให้กู้รวมมาอยู่แล้ว ดอกเบี้ยก็ถูกว่า สินเชื่อเงินสดทั่วไป ยังงัย ก็คิดให้ดีแล้วกันคะ จากคุณ : Many Name เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 53 14:53:18

ความคิดเห็นที่ 31   ปรกติคนเราเมื่อมีรายรับเหลือ จึงจะเริ่มนึกถึงความมั่นคง ดังนั้นถ้ากู้ซื้อบ้านแล้วแต่ละเดือนเหลือเงินฟิตๆก็ไม่น่าจะทำเป็นการเพิ่มภาระ ถึงแม้ว่าเบี้ยประกันจะรวมกับยอดกู้ซื้อบ้านและมีการคำนวนเกลี่ยยอดชำระแต่ละเดือนออกมาแล้วลงตัวพอจะเดินต่อไปได้ ก็อย่าลืมว่าเบี้ยที่ต้องจ่ายทีเดียวมันเยอะพอสมควร กลายเป็นหนี้พอกขึ้นมาสำหรับคนที่มีรายได้แบบฟิตๆ ไม่จำเป็นต้องรับเงื่อนไขของแบ้งค์นั้น หาแบ้งค์อื่นได้ถมเทไปครับ ดอกบ้านที่ลดก็ไม่คุ้มกับเบี้ยที่ต้องจ่ายหรอกครับ แต่ถ้าผ่อนบ้านบวกค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนแล้วมีเงินเหลือพอก็ทำประกันเถอะครับเพื่อความมั่นคง จากคุณ : peterfly (peterfly) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 53 16:31:52

ความคิดเห็นที่ 32 รับทราบครับผม จากคุณ : googazi เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 14:22:23