ความคิดเห็นที่ 1 เอาล่ะ ไหนๆ เราก้อเลือกเค้าแล้วนี่ ตอนนั้นเราเพิ่งคบกะเค้ามาได้ไม่ถึง 3 เดือนด้วยซ้ำครับ แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมถึงได้คิดได้ไกลขนาดนี้ ซึ่งเรื่องแบบนี้เราก้อไม่เคยคิดกับใครมาก่อน ทั้งๆที่เราก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีแฟนมาก่อนหน้านี้เลย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ด้วยความที่เราจบวิศวะ เคยสอนพิเศษเลขก็ออกบ่อย ทำให้เราเริ่มคิดวางแผนครับ แผนการที่ได้ก็เป็นดังนี้ครับ 12 เดือนแรก หรือปีที่ 1 เรากะว่าจะเก็บเดือนละ 15,000 ครับ 12 เดือน = 180,000 ปีที่สอง ขอเดือนละ 20000 ครับ 12 เดือน = 240,000 ปีที่ 3-4 เดือนละ 25000 ครับ 24 เดือน = 600,000 เบ็ดเสร็จ รวมได้ 1,020,000 พอดีครับ งานนี้ก้อมีโอกาสแล้วสิ สังเกตไหมครับ ว่าผมจะเก็บเงินแบบ step up 5000 บาท ในสองปีแรก เพราะด้วยความที่เป็นเด็กจบใหม่ครับ คิดว่าเงินเดือนจะขึ้น แต่ความจริง!!!! จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 21:44:03

ความคิดเห็นที่ 2 หลายๆท่านคงจะพอรู้ครับ ว่าความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยครับ ทางเดียวที่จะเป็นไปได้คือ หางานทำเพิ่มครับ แล้วอย่างผม จะทำอะไรได้ล่ะครับ อย่างมากก้อแค่สอนพิเศษครับ ผมก้อเลยเพิ่มเวลาในการสอนครับ ให้มากขึ้น เอาเป็นว่า ว่างตอนไหน ไปสอนเมื่อนั้น เลิกงานก้อไป เสา อาทิต ก้อไป แบบว่าอาทิตนึงตกแล้ว 8 ชม ขึ้นครับ ตกเดือนนึง ได้เงินจากการสอนพิเศษ เกิน 15000 แล้วครับ (ยอมรับว่าเหนื่อยมากครับ) แต่เราก้อไม่รู้ว่าจะหาอะไรทำแล้วครับ เงินที่ผมเก็บได้ตอนนั้น 20,000 ครับ นับว่า แผนที่ผมตั้งไว้ สำเร็จในขั้นต้นครับ 6 เดือนหลังจากนั้น เงินเดือนผมเพิ่มจาก 17k เป็น 19k ครับ หลายคนอาจจะคิดว่า ทำไมได้ขึ้นเยอะจังเลย จิงๆแล้ว เค้าปรับฐานเงินเดือนครับ มันไม่ได้ขึ้นหรอก จิงๆแล้ว ช่วงนั้น สิ่งที่ห่วงมากครับ คืออนาคตตัวเอง ได้แต่หลอกถามพี่ๆที่ทำงาน ว่าเงินเดือนขึ้นเท่าไร ปกติ กว่าจะได้ promote นานไหม คำตอบที่ได้ไม่น่าพอใจเป็นอย่างมากครับ สรุป ความคิดตอนนั้นคือ ย้ายงานครับ เพื่อให้ได้เงินเดือนมากขึ้น ตอนผมทำงานที่นี่ได้ 1 ปีครับ สิ่งแรก ที่ทำเลย คือพยายามหางานใหม่ครับ เพราะคิดว่าอย่างน้อยตัวเองก้อมีประสบการณ์ 1 ปีแล้ว น่าจะพอไป บริษัทใหญ่ๆ ที่เค้าให้เงินเดือนเยอะกว่านี้ได้ครับ ผมไปสมัครงานหลายที่มากครับ ประมาณ 6-7 ที่ได้ สรุป ก็ได้งานตามที่ตัวเองหวังครับ อ้อลืมบอก เงินเดือนที่ 19k ตอน reviews เงินเดือนปลายปีได้ปรับขึ้นมาเป็น 21k ครับ เงินเดือนที่ทำงานใหม่ที่เรียกไปได้ 27k ครับ แต่มันมีสิ่งที่ต้องแลกกันครับ อย่างว่าได้อย่าง ก้อเสียอย่างครับ จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 21:53:44

ความคิดเห็นที่ 3 ที่ว่าเสียนะ เพราะว่าที่ทำงานที่ใหม่อยู่ใจกลางเมืองครับ ค่าครองชีพ ค่าสังคมสูงกว่าที่เก่า ค่อนข้างมากครับ ที่เสียยิ่งไปกว่านี้คือ คงไม่ได้ไปสอนพิเศษ หรือหารายได้เสริมตอนเย็นอีกแล้วครับ เพราะทำงานที่นี่เลิกไม่เร็วครับ เอาเป็นว่า สอนพิเศษคงได้แค่เสา อาทิต ครับ รายได้เสริมลดน้อยลง เลยต้องมาพึ่งเงินเดือน ที่ได้เยอะมากขึ้นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ครับ (ถึงตอนนี้ ครบ 1 ปีแล้วครับ สรุปว่าปีแรก เก็บเงินได้ 270,000 ครับ ทุกอย่างดีกว่าที่ผมคาดไว้มากครับ แอบภูมิใจในตัวเองเหมือนกัน) ตอนนี้สิ่งที่ผมพยายามทำให้คนที่ผมรักเห็นคือ พยายามที่จะเก็บเงินแต่งงานกับเค้าให้ได้ครับ แต่วันนึง แฟนผมเข้ามาถามว่า แต่งแล้วจะไปอยู่ที่ไหน เออ นั่นสิ!!!! จริงๆบ้านผมก็มีครับ ไม่ได้เช่าเค้าอยู่ แต่ว่าเป็นตึกแถวสองห้องธรรมดาครับ ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ก้อเลยเป็นที่มาของความคิดที่อยากจะซื้อบ้านครับ แต่คิดๆ แล้วเครียดครับ ลำพังเงินแต่งงาน ก้อหนักมากแล้ว ยังจะเอาเรื่องบ้านเข้ามาอีก ตอนนั้นยอมรับครับ ว่าเครียดมาก อายุยังไม่ 25 เลยด้วยซ้ำ คิดจะซื้อบ้าน ไว้พรุ่งนี้มาเล่าต่อครับ . แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 54 22:26:08 จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 22:02:26

ความคิดเห็นที่ 4 อ่านกำลังเพลินเลยค่ะ พรุ่งนี้มาอ่านต่อนะคะ จากคุณ : From Venus เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 22:15:29

ความคิดเห็นที่ 5 แต่งงานใช้เงินมากก็จริง แต่เราก็จะได้เงินช่วยงานจากแขกนะครับ หลายคู่ถ้าจัดงานแบบไม่ฟุ่มเฟือยนักหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วยังเหลือเงินเก็บอีก เว้นแต่คุณจะจัดแบบไม่รับเงินช่วย ปล.รออ่านต่อนะครับ จากคุณ : Coral Sea เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 22:17:13

ความคิดเห็นที่ 6 อ่านเพลินน่าติดตาม เชียร์ให้หาเงินพิเศษเพิ่มโดยการเขียนหนังสืออิอิ ติดไว้อ่านต่อวันพรุ่งนะคะ ต้องตื่นเตรียมคุณลูกไปร.ร.แต่เช้า จากคุณ : NN2704 เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 22:32:45

ความคิดเห็นที่ 7 ฟังแล้วเหนื่อยแทน แต่ถ้าเหนื่อยแล้วมีความสุข ก็ทำไปเถอะครับ จากคุณ : vespa744 เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 22:35:44

ความคิดเห็นที่ 8 อดทน สู้ๆ ครับ จากคุณ : gus9642 เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 22:46:57

ความคิดเห็นที่ 9 ขอเล่าย้อนความไปก่อนหน้านี้นิดนึงครับ คือช่วงที่เก็บตัง ลองเอาเงินไปฝากธนาคารครับ เราเองก้อมานั่งคำนวณดอกเบี้ยธนาคารครับ ว่าได้มากน้อยแค่ไหน สรุปคือ ดอกเบี้ยธนาคาร ถ้าหวังว่าจะเอาไว้ให้ได้ดอกเบี้ยเป็นกอบเป็นกำ คำตอบคือยากมากครับ ลองไปคำนวณเองครับ ว่าได้เท่าไร เลยเริ่มมีความคิดที่จะลงทุนครับ ไอ้เราเอง จะจู่ๆ ไปลงทุนทำธุรกิจเลย เงินก้อน้อยครับ กว่าจะคืนทุนได้ก้อคงนานครับ เลยตัดออกไปครับ ทางเลือกถัดไปกองทุนรวมครับ และ หุ้นครับ เอาเป็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยเลยครับ แต่ก็มาพร้อมกับความเครียดที่ไม่น้อยเลยเหมือนกันครับ กลับมาที่ปัจจุบันครับ ยอมช่วงนี้ ยอมรับครับ ว่าผมทะเลาะกันแฟนบ่อยมากครับ จะเรียกว่าทะเลาะก้อคงไม่ถูกครับ ทุกคนเคยจำได้นะครับ ที่แฟนผมบอกว่าแต่งงานต้องมีเงินล้านนึง ตอนนั้นผมไม่รู้ครับ ว่าเค้าคิดจิงจังแต่ไหน แต่ผมคิดจริง และจริงมากด้วยครับ เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า บ้านเค้ารวยครับ เราก้อเลยคิดไปแบบนั้น แต่แฟนผมมาบอกช่วงหลังๆว่า ตอนนั้นที่เค้าพูด เค้าไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้คิดว่าคนที่จะแต่งงานกับเค้าต้องมีเงินล้านนึง หลายครั้ง ที่เราไม่มีเวลาให้กัน ทะเลาะกัน ผมเองยอมรับเลยครับ ว่ามีนิสัยเสียครับ ชอบพูดออกไปครับ ว่าที่เราเครียด เราเหนื่อย เพราะว่าต้องมีเงินล้านนึง ให้เค้า หลายครั้งเราเครียดเรื่องเก็บเงิน เรื่องทำงานหาเงิน เราก้อจะหงุดหงิดใส่เค้าครับ พูดจาอะไรไม่คิดบ้างล่ะ แฟนเราเค้าก้อชอบโทดตัวเองบ้างล่ะ ว่าที่เราต้องเป็นแบบนี้เพราะว่าเค้าแก่ เราก้อชอบบอกว่า ที่เราต้องเป็นแบบนี้ เพราะว่าเราห่วยเอง แต่เราก็พยายามปรับปรุงตัวเองครับ ควบคุมสติตัวเองให้ได้ แต่หลายครั้งก้อมีหลุดไปครับ กลับมาเรื่องที่เราคิดจะซื้อบ้านครับ ตอนนั้นมีหลายครั้งครับ ที่เราไม่อยากจะซื้อบ้านแล้ว เพราะว่าไม่มีเงิน คิดไปคิดมาเป็นเรื่องที่หนักสำหรับเรามากครับ ซื้อบ้าน แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปแต่ง ความเห็นที่ 5 อันที่จริงมันก้อจริงครับ แต่งงานไปมันได้เงินช่วยจากแขกครับ แต่จริงๆ ถ้าคิดให้ลึก ซึ่งจริงๆ สำหรับผม เรื่องแต่งงานมันยังมีอีกหลายเรื่อง หลายคำถามแอบแฝงอยู่ครับ เช่น    เงินช่วย จะได้เยอะแค่ไหน ทำไมหลายๆคน จัดงานขาดทุน???    งานแต่งที่เราจัด จะให้มันเล็กมากเกินไปคงไม่ได้ เพราะที่บ้านเค้าอาจจะมองไม่ดีได้ อย่างน้อยก้อต้องแบบปานกลางขึ้นไป แล้วเพื่อนเราก้อรุ่นเดียวกับเราทั้งนั้น จะให้มีเงินช่วยได้แค่ไหนกัน???    แล้วเงินสู่ขอ เงินซื้อแหวนหมั้น ทอง เอาที่ไหน????    เงินเก็บเพื่อที่จะใช้เริ่มต้นชีวิตคู่ล่ะ????    อยู่ด้วยกัน รายจ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นล่ะ????   มากมายเหลือเกินครับ กลับมาเรื่องบ้านอีก ตอนนั้นผมมีความคิดว่าแต่งไป ก้อให้แฟนมาอยู่บ้านเรา ก่อนก้อได้ อยู่สักปีสองปี มีเงินค่อยไปดาวบ้าน แต่แฟนผมเป็นคนกลัวสุนัขมากครับ มากแบบที่ว่าทำให้เค้าร้องไห้ได้เลย แล้วบ้านผมเอง เลี้ยงสุนัข 3 ตัว แมว 2 กระต่าย1 เอาเป็นว่า นับตั้งแต่เราคบกันมา เค้ายังไม่เคยเข้าไปถึงใจกลางบ้านผมได้เลยครับ อย่างมาก ก้อเข้ามาในบ้านนิดหน่อย แล้วก็ออกไปครับ เหตุผลเพราะว่าเค้ากัวสุนัข ที่บ้านผมมากครับ ผมก้อเลยคิดว่าเราต้องคิดที่จะซื้อบ้านจริงจังแล้วล่ะ ในใจคิดว่าเป็นคอนโดดีไหม เราน่าจะไหวอยู่ ในหัวตอนนั้น ด้วยความไม่รู้เรื่องครับ คิดว่าคอนโด ห้องมันเล็กนิดเดียว ราคาคงไม่แพงหรอกน่า (แต่ความเป็นจริง คอนโด สมัยนี้ ห้องนิดเดียวก้อปาไปหลายๆล้านแล้วครับ) เลยเอาไปถามแฟนครับ แบบว่า หลอกถามเค้าว่า คิดยังไงกับคอนโด (ตอนนั้น เค้าคงยังคิดไม่ถึงหรอกครับ ว่าผมคิดจะซื้อบ้าน เหตุผลนึงคือผมไม่เคยบอกเค้าเลยว่ามีความคิดนี้ ได้แต่เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจคนเดียวก่อน) คำคอบที่ได้ยินครับ คือเค้าบอกว่าเค้าไม่ชอบคอนโด เค้าพูดแบบไม่คิดอะไร (อีกแล้ว ) ว่า เค้าชอบบ้านเดี่ยวครับ ผมก็เอาอีกล่ะ มีอะไรก้อเก็บมาคิดจริงจังอีก เอาเป็นว่าช่วงนี้ก้อเริ่มเข้าเว็บ หาบ้านเลยครับ ได้มาหลายโครงการครับ บ้านเดี่ยวแต่ละที่ ราคาปาไป 5 ล้านทั้งนั้น เอาไงดี เงินเดือนเรา กู้ไม่ได้แน่ๆ อีกอย่างเพิ่งย้ายงานอีก เครียดครับ เลยมีความคิดนึงครับ หาทาวโฮมเล็กๆ ราคาไม่แพงสักหลังดีกว่าไหม เอาแบบที่เงินเดือนอย่างเรากู้ได้ ผ่อนไหว เลยเริ่มหาข้อมูล แล้วตัดสินใจบอกเค้าครับ ว่าเราอยากจะซื้อบ้าน แต่เรื่องยังไม่จบครับ แล้วเงินแต่งงานล่ะ กลับมาเรื่องเดิมอีก ไว้ต่อคราวหน้าแล้วกันครับ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 54 22:29:15 จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 22:49:57

ความคิดเห็นที่ 10 อยากให้แฟนได้อ่านค่ะ ตอนนี้แฟนเก็บเงินแต่งรถ จากคุณ : kokang&nana เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 22:50:52

ความคิดเห็นที่ 11 @ทุกๆความเห็น มีค่ามากนะครับ ยินดีรับคำแนะนำครับ จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 23:11:40

ความคิดเห็นที่ 12 เข้ามารอฟังด้วยคนค่ะ มีความพยายามมาก อยากเป็น ผู้หญิงคนนั้น จังเลย จากคุณ : Hula Girl เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 23:14:46

ความคิดเห็นที่ 13 บ้านเดี่ยวราคาสองล้้านกว่าแถวบางใหญ่ มีเยอะนะคะ ลองแวะไปดู จากคุณ : หมวยตาหยี เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 23:24:17

ความคิดเห็นที่ 14 @คห 15 เราทำงานใจกลางเมือง แฟนเราอยู่แถวศรีนคริน ไปตรงนั้นคงยากครับ เอาเป็นว่า เด๋วไ้ว้มาเล่าต่อครับ ว่าเป็นยังไงต่อไป จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 23:26:36

ความคิดเห็นที่ 15 จขกท.เคยถามตัวเองมั้ยคะว่า สิ่งที่ตัวเองต้องการในชีวิตคืออะไร แล้วคนที่เราคบอยู่นั้น เค้ามีเป้าหมายชีวิตเดียวกันกับเราหรือเปล่า การแต่งงานไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต เป็นแค่การเริ่มต้นเพื่อนำไปสู่เป้าหมายเท่านั้น เราแต่งงานกัน อยู่เป็นเพื่อนกัน ร่วมสร้างทุกอย่างด้วยกัน มีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บ มีลูก เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี มีคนที่ดูแลกันยามเจ็บ หรือก่อนตาย นี่คือเป้าหมายในชีวิตของเรา และคนที่อยู่เคียงข้างเราก็มีเป้าหมายเดียวกัน จะรออ่านต่อนะคะ จากคุณ : Sara เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 23:31:27 A:10.0.11.138 X:58.8.114.146 TicketID:309572

ความคิดเห็นที่ 17 โห....น่าลุ้นมากค่ะ แต่เห็นแล้วเครียดแทน ผู้ชายถ้าจะเริ่มสร้างครอบครัวเค้าคิดเยอะขนาดนี้กันเลยเหรอคะ คุณคงรักแฟนมากกกก.....แต่อย่าทำงานมากเกินจนลืมดูแลกันนะคะ อย่ายึดติดอยู่ที่ตัวเงิน เปิดอกคุยกันให้มากๆนะคะ เพิ่งรู้ว่าต้องเครียดขนาดนี้...เหอๆ ถ้าอิชั้นมีแฟนล่ะก็ จะไม่ต้องให้เครียดเลยอ๊ะ จากคุณ : syr_girl เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 00:08:29

ความคิดเห็นที่ 18 ความเป็นลูกผู้ชายนะครับ มันอยู่ที่จุดมุ่งหมายของชีวิตว่าเราอยากจะเป็นอะไร เราอยากจะทำอะไร เรามีความเป็นตัวของตัวเองในเรื่องใด มันคือเส้นทางในชีวิตของเราครับ ในเส้นทางที่เดินไปนั้น เราอาจจะเจอคนที่ไปร่วมทางกับเราได้ ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้ และให้เราทำในสิ่งที่รักได้ นั่นคือคู่ของเรา แต่ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้ง เราต้องยอมเบี่ยงเบนเส้นทางเพื่อได้มาซึ่งเงินทองจนเสียความเป็นตัวของตัวเอง โอเค คุณอาจจะได้แต่งงานอย่างที่หวัง แต่หลังจากนั้นล่ะ คุณจำเป็นต้องทนใช้ชีวิตทำงานในสิ่งที่คุณไม่ได้อยากจะทำหรือเปล่า ตรงนี้ต่างหากที่คุณควรจะเอามาคิด อีกอย่างนึงนะครับ จำคำผมไว้ดีๆ คุณต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ก่อนที่จะให้แฟน หากแฟนคุณยอมรับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ คุณก็ต้องลองเอาไปคิดแล้วล่ะครับว่าเขาดีพอที่จะมาเป็นแม่ของลูกได้หรือเปล่า แค่นี้ล่ะครับ จากคุณ : BlueAurora (BlueAurora) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 00:09:21

ความคิดเห็นที่ 19 มีสองทางเลือก 1. ขยันทำงาน ให้มาก และหาช่องทางให้มีรายได้มากกว่านี้มากๆ หรือ 2. เปลี่ยนตัวเจ้าสาว ทางเลือกที่สอง เห็นทีจะเหมาะกว่ากระมัง ผมเอง ก็เจอภาวะ แบบเดียวกันคับ 555+ จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 00:25:46

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่อยากขัดใจผู้ชม แต่เป็นผมไม่แต่ง ฮาๆ จากคุณ : Dr.D70 เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 00:54:32

ความคิดเห็นที่ 21 จขกท ที่เราละไม่ได้ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ คือ ความรัก เริ่มต้น ขั้นกลาง สุดท้าย เราอยู่เพี่อรัก ตลอดไป รู้นะรักทำให้คนตาบอด แต่ไม่เคยรักไม่มีวันเข้าใจ แม้ถูกทำลายใจกาย ให้ย่อยยับเป็นผุยผง ก็จะขอฟื้นคืนกลับมา เพรียกหารัก ... สาวๆในชายคา ช่วยรับรักหน่อยนะ เก้งกวาง หลบไป หุหุ จากคุณ : PAN in Love (REALPAN) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 01:09:42

ความคิดเห็นที่ 22 คุณทำถูกต้องแล้ว.....สิ่งที่ได้มาง่าย ๆย่อมหาคุณค่าได้ยาก .... การได้พิสูจน์ตัวเองเป็นความภาคภูมิใจของลูกผู้ชาย (ถ้าที่บ้านไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทอง พ่อแม่อยู่สุขสบายดี ....ก็บวชทดแทนพระคุณท่านซะก่อนแต่งงานนะครับ) จากคุณ : ผ่านมาผ่านไป เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 01:48:39 A:59.97.128.14 X: TicketID:288750

ความคิดเห็นที่ 23 งานแต่งเราใช้แค่ แสนกว่าๆ เองค่ะ ไม่รวมสินสอด กับทองหนัก 10 บาทนะคะ (30 โต๊ะ งานต่างจังหวัด โต๊ะจีน จัดโรงแรม  งาน 2 ปีที่แล้วค่ะ) ทางเราออก   ค่าชุด อุปกรณ์แต่งตัว ค่าทำผม แต่งหน้า ของไหว้ผู้ใหญ่ ของตอบแทนคนช่วยถือขันหมาก ค่าเพื่อนเจ้าสาว หรือเด็กๆ ช่วยถือ ของชำร่วย  แหวนเจ้าบ่าว (ตอนซื้อราคาถูกกว่าแหวนเจ้าสาว แต่ตอนนี้ ราคาทอง ทำให้แพงกว่าแล้วค่ะ ^^' ) รวมถึงของฝากญาติฝ่ายชายเป็น น้ำใจเล็กๆน้อยๆ  และของฝากให้กับญาติผู้ใหญ่ที่ช่วย ทางเจ้าบ่าว ออกค่าสินสอด แหวนเจ้าสาว ของชำร่วย ชุดขันหมาก ดอกไม้หน้างาน ค่าโรงแรมให้ญาติพัก ประมาณ 20 ห้อง  ค่าโต๊ะ เหล้า ค่าถ่ายภาพ ส่วนภาพถ่ายใช้ภาพที่เคยถ่ายด้วยกันตอนไปเที่ยว (ภาพเดียวพอ ไม่ต้องหลุย กรอบลอยธรรมดา ไม่ถึงพัน ^^ )  พรีเซนเทชั่นทำเอง การ์ดทำเอง ซื้อซองเอง ออ นอกจากนี้ เจ้าสาวยังซื้อเตียง ที่นอน แอร์  เตรียมไว้ให้อีกค่ะ ^O^   (พลาดจากคนนี้ คงไม่เอาใครแล้วค่ะ   คบมา 10 กว่าปี  เค้าคนนี้คือ คนที่เลือกแล้วว่า ถ้าเราไม่สบาย ล้มวันไหน เค้าไม่ทิ้งเราแน่ค่ะ ช่วงชีวิต ที่เราลำบาก มีเค้านี่แหละค่ะที่ช่วยให้กำลังใจ หรือช่วงที่ไกลกัน เค้าก็ไม่เคยเปลี่ยนไป ) จขกท บวชรึยังคะ ถ้ายัง แนะนำให้บวชก่อนค่ะ ทดแทนคุณก่อน ===================================== ขอให้ จขกท มีความสุขในชีวิตคู่ในอนาคตนะคะ     อย่าเป็น "ไม่ทันเริ่มต้น ก็ล้มซะแล้วนะคะ" จากคุณ : moonface เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 03:41:07

ความคิดเห็นที่ 24 อืม... ผู้ชายแบบ จขกท. สมัยนี้นับวันยิ่งจะมีน้อยลงๆ พยายามต่อไป...ทาเคชิ จากคุณ : ลาช่า เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 05:54:10

ความคิดเห็นที่ 25 จขกท น่ารักมากค่ะ ทำงานเก็บเงินเป็นสิ่งที่ดีนะคะ ถ้าแฟนคุณรู้คงดีใจ แต่ไม่ใช่เก็บเงินเพื่อแต่งงานอย่างเดียวนะคะ คิดได้ ฝันได้ แต่บางทีชีวิตจริง ไม่ได้เป็นแบบที่เราวาดฝันทุกอย่างนะคะ เราต้องอยู่ในโลกของความจริงด้วย ถ้าผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโด แล้วต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีก คุณจะเอาเวลาที่ไหนไปอยู่กับเธอล่ะ ผู้หญิงต้องการคนเอาใจนะคะ แล้วอีกหน่อย แต่งงาน ก็ต้องมีรถเพิ่มอีก ผ่อนรถอีก อยู่คอนโด อยากมีบ้านเดี่ยว ก็ต้องผ่อนอีก มีลูก ค่าใช้จ่ายก็เยอะ อีก พ่อแม่ แก่แล้ว ก็ต้องดูแลท่านด้วย  เยอะแยะ ไปหมด ทำงานเก็บเงินไว้ แล้วใช้ชีวิตแบบพอเพียงดีที่สุดค่ะ  ในความคิดเรานะ เราไม่ต้องการอะไรจากแฟนเรามากหรอก ขอแค่เค้ามีเวลาอยู่กับเราก็พอแล้ว   จากคุณ : My lovely pet เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 07:41:39

ความคิดเห็นที่ 26 ผู้หญิงคนนึง ทำให้คุณมีความพยายามถึงขนาดนี้ เป้นสิ่งที่น่าชื่นชมค่ะ แต่ป้าอยากรู้ว่าคุณเคยทำสิ่งแบบนี้ กับครอบครัวพ่อแม่ของคุณหรือเปล่า ปล. ไม่ได้มาขวางโลกนะคะ จากคุณ : ป้าแมงฯ เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 08:27:54

ความคิดเห็นที่ 27 แล้วแฟนคุณรู้มั้ยคะว่าคุณพยายามขนาดไหน (แค่ถามดู) จากคุณ : simple O_x เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 09:21:39

ความคิดเห็นที่ 28 @คหห26 ครับ นั่นละ่ครับ เป็นส่ิงที่อยู่ในแผนผมส่วนนึงเหมือนกัน คือผมเป็นลูกผู้ชายคนเดียวในบ้าน เอาเป็นว่า ผมตั้งใจแล้วครับ ว่าอย่างน้อย ผมอยากให้แม่ผม ไม่ต้องทำงานอะไรแล้ว หรือถ้าท่านจะทำ ก็คงเป็นเพราะท่านอยากทำครับ คืออยากให้ที่บ้านไปอยู่ด้วยกันครับ เอาไว้มีเวลามาเล่าให้ฟังแล้วกันครับ จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 09:26:56

ความคิดเห็นที่ 29 เก็บเงินไปก่อน อันนี้เห็นด้วยล้านเปอร์เซ็น ถามกลับว่า ผู้หญิงเคยเอ่ยปากช่วยคุณเรื่องจะทำให้ไปถึงฝันบ้างไหม ถ้ารักกันจริง แค่จัดงานแต่งให้ได้ 1-2แสนก็ได้แต่งงานแล้ว ไม่มีสินสอดหรือบ้าน คุณทำงานหนักเก็บเงินแต่งงาน แต่พอใกล้หรือได้เงินพอดี แฟนคุณไปมีคนใหม่หรือบอกว่าคุณไม่ใช่ จะทำไง? เสียเวลาไป 4 ปี หรือถ้ารักมั่นคง คุณตั้งเป้าเก็บได้ 1 ล. แฟนคุณก็น่าจะช่วยเก็บสัก 3 - 5 แสนบ้าง ไว้เมือซื้อบ้าน จะได้รวมกันให้มันเบาๆบ้าง ลองคิดดู จากคุณ : ptboy เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 09:30:33

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นด้วยกับป้าแมงฯ #26 ดูเหมือนคุณจะทุ่มเททั้งชีวิต  ยอมอด  ยอมเสียสละความสุขส่วนตัว   เพื่อผู้หญิงคนนึง  ซึ่งแค่พูดเล่น ๆว่าให้คุณมีเงิน 1 ล้านถึงจะยอมแต่ง (หรือไง) ในขณะที่พ่อแม่  ผู้ซึ่งเลี้ยงดูคุณตั้งแต่เด็ก  ส่งคุณเรียนจบ หมดเงินไปกับคุณเป็นล้าน คุณไม่พูดถึง หรือไม่คิดจะทดแทนบุญคุณอะไรเลย รักของพ่อแม่นั้นของจริง  ไม่หลอกลวง แต่ของผู้หญิงคนนั้น  ไม่รู้ของจริงหรือของเล่น  ยังดูไม่ออก คุณว่าผู้หญิงคนนั้นรวย  ถ้าแต่งจริงคุณจะเลี้ยงเธอไหวหรือ  กระเป๋าหลุยส์ใบล่ะหลายหมื่น ไม่เห็นคุณบอกว่าชอบผู้หญิงคนนั้นเพราะอะไร  มีแต่บอกว่าเธอรวย  รวย  และรวย จากคุณ : --^ไชโย^-- เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 09:34:11

ความคิดเห็นที่ 31 @ ทุกความเห็น เอาเป็นว่า ทุกเรื่องมีคำตอบครับ ผมคิดว่าผมไม่ใช่คนที่ไม่คิดถึงพ่อแม่ เรื่องแฟนผม สุดท้ายแล้วก้อต้องช่วยกันครับ ใจเย็นๆครับ ไว้มีเวลา ค่อยมาเล่าดีกว่าครับ ขอบคุณทุกความเห็นมากๆนะครับ จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 09:39:17

ความคิดเห็นที่ 32 สินสอดแพงนัก เราสามารถ ลดได้เองนิครับ .......... - ใช้ เวลา ลด ค่าสินสอด ยิ่งนาน ยิ่งถูก (ยิ่งแก่ ยิ่งตายยาก) - ใช้ เด็กในท้อง รับรองลด และ เร็ว - แพงนักก็หาคนใหม่ ถูกกว่านี้ มีถมไป - ความคิดเห็นที่ 26 27 น่าคิดนะครับ คุณขนาดนี้ แล้วเค้าล่ะ ทำเพื่อคุณขนาดไหน อายุไม่เยอะอย่าเพิ่งคิดเรื่องแต่งเลย รอ 30 ก่อน การมองโลกจะเปลี่ยนไป ไม่แน่ อาจชอบ เด็กๆ สาวๆ เหมือนผม 5555+  เด็กๆ เดี่ยวนี้ โตเร็วน่ารัก~ (แต่ก่อนผม 24 แฟน 30) จากคุณ : jealousyman เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 09:46:49

ความคิดเห็นที่ 33 วิธีเก็บเงินไม่รู้ ไม่ได้อ่านละเอียด แต่ชื่นชมวิธีการ เพราะทำให้เห็นคุณค่าของการได้มา ระหว่างเก็บเงินนี้จะผ่านทั้งสุกข์และทุหข์ ได้เรียนรู้กัน สุดท้ายจะได้หรือไม่ได้ก็นับว่าคุ้มค่าอยู่ดี ส่วนเรื่องพ่อแม่ เรื่องผู้หญิง ระยะเวลา4ปีระหว่างจขกท.เก็บเงิน เขาจะได้เรียนรู้เอง ว่าเงินที่เก็บได้1ล้าน คุ้มหรือเหมาะสมหรือไม่เพื่อ ญ.คนนี้ ญ.คนนี้อาจมีอะไรดี หรือไม่มีอะไรดี เจ้าตัวย่อมรู้ดีด้วยเวลา ถ้าเราเป็น ญ. คบช.ที่อายุน้อยกว่า เราก็จะตอบแบบนี้ เพราะเพิ่งเรียนจบไม่รู้ว่าเราอยู่ด้วยจะมั่นคงหรือไม่ และเวลาขนาดนี้เป็นการพิสูจน์ส่วนหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 54 09:57:18 จากคุณ : napaznan (napaznan) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 09:54:03

ความคิดเห็นที่ 34 เราว่าใจเย็น ๆ ก็ได้  ค่อย ๆ เก็บเงิน  เดี๋ยวจะเครียดเปล่า ๆ  เรามองว่าแฟนคุณ ไม่ได้คิดอะไร  ไม่ได้อยากให้คุณทุ่มเทกับการแต่งงาน  ซื้อบ้าน  จนไม่มีเวลาให้  แต่คงอยากอยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขก่อน  ค่อย ๆ ช่วยกันเก็บก็ได้ ช่วยกันผ่อน  เพราะการใช้ชีวิตคู่ ไม่ได้หมายถึงคุณคนเดียวนะ  ยังมี แฟนคุณ  ครอบครัวคุณ ครอบครัวแฟนอีก หลาย ๆ คำตอบด้านบนคงช่วยคุณได้เยอะเลย  อย่าลืมพ่อแม่ พี่น้องนะจ๊ะ  ต้องเก็บเงินไว้เผื่อส่วนนี้ด้วย   โชคดีคะ จากคุณ : ผึ้งน้อยafet เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 09:54:46

ความคิดเห็นที่ 35 เจ้าของกระทู้เพิ่งเล่าได้แค่มุมเดียวเองค่ะ "อย่าตัดสินคน เพราะแค่การเล่าเรื่องที่ยังไม่ถึงไหนเลย.. เป็นแค่มุม มุมเดียวของชีวิตเค้าเองค่ะ ใจเย็นๆ เรื่องที่เล่าไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต เจ้าของกระทู้ มุมนี้อาจเป็นมุมที่อยากนำเสนอ จึงนำมาฝากกันเท่านั้นเองค่ะ ปล. รออ่านต่อค่ะ :) จากคุณ : แม่น้องเบสท์ เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 09:58:37

ความคิดเห็นที่ 36 คุณกับว่าที่เจ้าสาวต้องใช้ชีวิตร่วมกัน "คู่ชีวิต" ควรจะปรึกษากันทุกเรื่อง หรือมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตด้วยกัน อย่าทำคนเดียว เพราะถ้าถึงวันนึงที่ลิ้นกับฟันมันกระทบกัน อาจจะมีคำพูดที่เจ็บปวด หรือเสียดายเวลาที่ทุ่มเทให้กัน ค่อยๆสร้างดีกว่า อย่าก้าวกระโดด คนหนุ่มอายุยังน้อย เวลายังมีอีกมาก แต่ขอชื่นชมความมุ่งมั่นและตั้งใจ ขอให้สมหวังนะคะ จากคุณ : ต้มส้มปลากระบอก เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 10:20:22

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่ได้มาทำลายความสุข ของ จขกท นะคะ แต่สำหรับดิฉัน ถ้าต้องเก็บเงินถึง 1 ล้าน เพื่อแต่งงาน ดิฉันไม่แต่งหรอกค่ะ (ในกรณีที่รวย มีเงิน ไม่ต้องมานั่งเก็บ อันนั้นไม่เป็นไร) งานแต่งหรูหรา หน้าตา สังคม ดิฉันว่าไม่สำคัญไปกว่าความรักหรอกค่ะ แต่งงานใหญ่โต หม้อข้าวไม่ทันดำ เลิกกันซะละ มีให้เห็นเยอะในสังคม เป็นคนหนึ่งที่มีลูกสาว ถ้าวันหนึ่งลูกจะมีคู่ครอง ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องเรียกร้องให้จัดงานใหญ่โต ขอแค่เค้ารักลูกเราจริง ก็พอค่ะ (ความเห็นส่วนตัวค่ะ) จากคุณ : ยังมีอะไรอีกเยอะที่เราต้องเจอ (P AND F FOREVER) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 10:29:17

ความคิดเห็นที่ 38 ว่าแต่ว่ามันเกี่ยวกับชายคาตรงบ้านไม่ใช่เหรอ เออแฮะ ออกทะเลไปกันเยอะ ผมว่าถ้าอยากหาบ้านเดี่ยวเงินเก็บล้านนึงไม่พอแน่ๆ บ้านสมัยนี้หากทำเลดีๆใกล้รถไฟฟ้าก็ 3.5-4 ล้านขี้น ตีว่าซักสี่ล้านหากจะดาวน์วางไว้สามแสน ผ่อนยี่สิบปีก็จ่ายเดือนตกเดือนละสองหมื่นห้าครับ นี่ยังไม่รวมค่าตกแต่ง (มีเพลงคาราบาวคลอมาเบาๆ....ทาวน์เฮ้าส์ก็ยังดี ดีกว่าเราเช่าเขาอยู่.....) ส่วนตัวผมเคยโพสมาหลายหนแล้วว่า เป้าหมายในการซื้อบ้านหลังแรกคือซื้อลงทุนครับ ผมกับแฟนคิดว่าในช่วงที่เรายังไม่มีลูกขอซื้อบ้านในทำเลที่ดีก่อนเพื่อโอกาสในการปล่อยเช่า ทำเลที่ดีคือการคมนาคมต้องสะดวกและตัวบ้านสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้สะดวก ผมเลยตัดสินใจไปซื้อโฮมออฟฟิต 4 ชั้น ห้าปีถัดมาหลังจากแต่งงานและเข้าอยู่แล้ว สิ่งที่คิดเอาไว้มันก็เกิดจริงๆ มันคือความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการดำเนินชีวิตเพราะผมมีไอ้ตัวเล็ก ตอนนี้ลูกผมอายุสองขวบกว่าและชอบวิ่งเล่นมาก มันเลยถึงเวลาที่ต้องอเปหิตัวเองไปอยู่บ้านเดี่ยวและปล่อยเช่าบ้านนี้ตามแผนที่เคยวางกันไว้ ผมปล่อยเช่าได้สามหมื่น ขณะที่เลือกบ้านใหม่ในโครงการที่ใกล้โรงเรียนลูกสามารถเดินไปเรียนได้ และอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูในอนาคต ราคาบ้านสี่ล้าน แต่เนื่องจากผมปล่อยเช่าบ้านใหม่ได้สามหมื่นเพราะทำเลดี ผมเลยมีกำไรเดือนละห้าพัน บ้านเดิมผ่อนอยู่เดือนละหมื่นหก พอมีสองบ้านภาระกับลดลงเหลือค่าผ่อนเพียงหมื่นหนึ่งพันบาท บ้านใหม่นี่ผมก็วางแผนในการหาเงินพิเศษโดยการกันพื้นที่ส่วนโรงรถของบ้านมาทำเป็นห้องอเนกประสงค์ไว้สอนพิเศษเด็ก (เพราะบ้านอยู่ใกล้โรงเรียน) เช่นภาษาจีน คณิตศาสตร์ ห้องที่ว่านี่ผมออกแบบโครงสร้างให้รถยนต์เข้ามาจอดได้ด้วย แข็งแรงมาก ตอนเช้าผมเอารถออก เด็กที่ผมจ้างก็จะปรับห้องเอาไว้สอนหนังสือตอนเย็น กลางคืนผมกลับมาก็เลิกคอร์สแล้วผมก็เอารถเข้าไปจอดปกติ รายได้จากการสอนพิเศษผมคำนวณไว้อยู่ประมาณสองหมื่นบาทต่อเดือน ตกลง ผมกลับได้เงินเก็บมากขี้นอีกเดือนละเก้าพัน เงินเดือนสองคนรวมกันหักค่าใช้จ่ายแล้วก็มีเงินเก็บสำหรับส่งลูกเรียนปริญญาตรีเมืองนอก (จริงๆแล้วตอนนี้ผมมีเงินเก็บอีกก้อนสำหรับการศึกษาของลูก 1 ล้านบาท เพียงพอจนถึงมัธยม 6 )   บ้านใหม่นี่ผมคำนวณ future value ของบ้านคิดว่าน่าจะได้กำไร เพราะสถานีอยู่ห่างจากบ้านเพียงสามร้อยเมตร อีกยี่สิบปีข้างหน้าเมื่อผ่อนเสร็จแล้วราคาบ้านน่าจะตกอยู่ประมาณ 8-10 ล้านบาท ต้นทุนของบ้านนี้รวมดอกเบี้ยอยู่ที่ 6 ล้านบาท บ้านที่ดีคือบ้านที่ขายแล้วได้กำไรครับ ดังนั้น การเก็บเงินนั้นต้องคิดเสมอครับว่าเก็บแล้วจะเอาเงินไปทำอย่างไรให้มันงอกเงยต่อไป ผมสนใจเรื่องอสังหาริมทรัพย์ บางคนสนใจทอง บางคนสนใจหุ้น อันนี้มันแล้วแต่ความชอบความถนัดครับ แต่ทุกอย่างมันคือแผนระยะยาวครับ อีกอย่างหนี่งที่ผมอยากจะบอกคือ ตอนผมแต่งงานน่ะ ผมไม่จัดงานแต่งครับ ผมกับแฟนคุยกันเรื่องนี้แล้ว นิสัยของผมกับเค้าคือไม่ชอบความวุ่นวายและพิธีการ จบเลยครับ เราสองคนก็อายุสามสิบกว่าด้วยกันแล้วเป็นผู้ใหญ่พอที่จะตัดสินใจได้ ผู้ใหญ่ไม่ได้ห้ามอะไรแถมบอกว่าดีเสียอีกไม่เปลือง แค่จัดเลี้ยงเล็กๆเชิญญาติสนิทมาบอกกล่าวกันหมดเงินไปสองหมื่นกว่าเอง เอิ้กๆๆ พอจบวันนั้นมันก็เหมือนกับทุกๆวัน ชีวิตหลังแต่งงานและตอนมีลูกมันสำคัญกว่าไปไหนๆ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 54 10:46:01 จากคุณ : BlueAurora (BlueAurora) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 10:39:42

ความคิดเห็นที่ 39 ใจนายหล่อมาก จากคุณ : อาโป๊ง เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 10:50:05

ความคิดเห็นที่ 40 มาต่อเลยครับ อ่านกำลังเพลินเลย จากคุณ : new_som เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 10:51:49

ความคิดเห็นที่ 41 ยินดีรับฟัง จขกท.ครับที่เล่ามาอ่านไม่หมดจริงๆรู้เพียงแต่ว่า เป้าหมายคือ 1 ล้านบาทสำหรับแต่งงานกับคนที่รักมาก ยินดีล่วงหน้าเลยครับหากเก้บเงินและขยันแบบที่เล่ามาอีกไม่นานทำได้แน่นนอน แต่อีกมุมนึงการแต่งงานมันเป็นเพียงแค่พิธีการหนึึง่เองครับ ชีวิตจะใช้ร่วมกัน ความสุขร่วมกัน ความทุกข์ร่วมกัน ไม่ได้อยู่ที่มูลค่ามากหรือน้อยนะครับ 1 ล้านบาทสำหรับงานแต่งงานบางคนทั้งชีวิตก็หาไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมคนนึงถ้าเจ้าสาวบอก 1 ล้านผมคงไม่มี หรือถ้ามีผมอยากเอเงินจำนวนนี้ไปทำให้มันงอกเงยครับ เป็น กำลังใจให้ เจ้าของกระทู้มนฐานะ ผช.ด้วยกันครับ จากคุณ : por7127 เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 11:05:09

ความคิดเห็นที่ 42 ก่อนที่จะเล่าเรื่องอะไรต่อไป ขอตอบคำถามที่คาใจหลายๆคนก่อนนะครับ เรื่องพ่อแม่ จริงๆแล้ว ผมยอมรับครับ ว่าผมไม่สามารถเลี้ยงท่านได้ทันที 100% ในตอนนี้ครับ เหมือนกับที่ผมเอง ก็ไม่สามารถที่จะให้แฟนหยุดทำงาน แล้วก้อเลี้ยงเค้าได้อย่างเดียวเช่นกันครับ แต่สิ่งที่ผมคิดว่าผมน่าจะทำได้ คือ *ผมคิดว่าผมน่าจะช่วยแบ่งเบาอะไรต่างๆที่บ้านได้ครับ โดยส่วยตัว ผมจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านหลักๆ เช่นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ *เรื่องแต่งงาน ผมจะไม่มีทางขอที่บ้านเด็ดขาดครับ ยังไงก้อจะพยายามด้วยตัวเอง แล้วหลังแต่งงาน ก็คิดว่าจะต้องมีเงินก้อนนึง อาจจะไม่ได้มากมายอะไร เหลือไปให้ท่านครับ *หลังแต่งงาน อันนี้อย่างที่เคยบอกไปครับ ว่าผมอยากให้แม่ผม มาอยู่ที่บ้านด้วยกัน อย่างน้อยไม่อยากให้เค้าทำงานแล้วครับ คือถ้าเค้าอยากจะทำ ก็ให้เค้าทำเพราะเค้าอยากจะทำจริงๆ *เรื่องเงิน  ผมไม่ได้มีความคิดเลยครับ ว่าจัดงานต้องหมด 1 ล้าน อันนี้ไม่ใช่ครับ แต่ผมมองว่าเป็นการมีเงินเก็บสักก้อนมากกว่า เพื่อที่จะเริ่มทำอะไรสักอย่างครับ อย่างน้อยที่สุด เวลาพ่อแม่ มาอยู่กับเรา  ก้อไม่อยากให้ท่านลำบากครับ สำหรับเรื่องแฟนผม ผมคิดว่าผมคงไม่ได้มีแฟนคนแรกครับ แล้วคนนี้ที่คบอยู่ ที่ผมเลือกเค้า ก็ไม่ใช่เป็นเพราะว่าหน้าตา หรืออะไรเลยครับ สาเหตุหลักๆ ที่ผมชอบเค้าคือ ผมเห็นเค้าไปไหว้พระบ่อยมากครับ ในตอนเช้า เห็นนิสัยเค้าจากภายนอกหลายๆอย่าง ทำให้ผมเองคิดว่าเค้าน่าจะเป็นคนดี อย่างน้อยที่สุดคือ เค้าคงจะไม่สามารถที่จะทำร้ายเราได้ เรื่องเงิน จริงครับ ที่บ้านเค้าฐานะค่อนข้างดี แต่ที่ผ่านมา เค้าก้อเคยลำบากมาก่อนครับ และตัวแฟนผมเองก้อไม่ใช่คนไฮโซอะไรเลยครับ ออกจะธรรมดาๆ ด้วยซ้ำ ผมมองว่าคนรวยหลายๆคน ก้อไม่ได้ใช้เงินฟุ้มเฟ้อเลยนะครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น  วอร์เรน บัฟเฟต (ไม่รู้ว่าจะกดถูกหรือเปล่า) ต่อครับ หลังจากที่ผม คิดอยากจะซื้อทาวโฮมเล็กๆสักหลัง ก้อเลยเริ่มหาตามเว็บ ต่างๆ ครับ ตั้งแต่ แอล..., เอ...., พฤก .., พี .  ก้อหาได้ที่นึงครับ ราคาไม่แรงมาก ประมาณ 1.7 ล้าน คิดว่าเงินเดือนอย่างเรากู้ได้พอดีครับ ก้อเลยโทรไปหาแฟน พยายามคุยเรื่องนี้ครับ คำตอบแรกที่เราได้ยิน จากแฟนเราคือ เค้าไม่อยากได้ เพราะว่าเค้าไม่อยากเห็นเราลำบากครับ อันนี้ค่อนข้างจะตรงข้ามกับสิ่งที่เค้าเคยบอกผม ก่อนหน้านี้ครับ เค้าบอกผมว่า ที่เค้าเคยบอกเราก่อนหน้านี้ เค้าพูดโดยที่เค้าไมได้คิดอะไรครับ แต่ไอ้เรามันเป็นคนชอบคิดครับ ทำยังไงได้ ผมก้อเลยบอกเค้าว่า บ้าน 1.7 ล้าน ถ้าผ่อนตกประมาณ เดือน ละ หมื่นนึง หลังหักเงินดาวไปแล้ว แล้วอีกอย่าง กว่าบ้านจะเสร็จ ก้อคงหลังเราแต่งงานพอดี ใช้เวลาระยะนึงครับ ในการที่จะบอกเค้าว่า เราทำได้นะ เราไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย พอได้วันดี ก้อเข้าไปดูบ้านเลยครับ ตอนนั้นบ้านตัวอย่างยังไม่ขึ้นครับ เห็น model บ้าน รู้สึกว่าชอบ เลยวนๆแถวนั้น ดูเปรียบเทียบสัก สองสามโครงการครับ สรุปมาเอาที่นี่ครับ เป็นทาวโฮมหลังเล็กๆ 18 ตารางวาได้ มี 3 ห้องนอน กะว่าห้องนึงจะให้แม่มาอยู่ด้วย แล้วอีกห้องนึง จะไว้เป็นห้องพระ วาดฝันไว้เยอะเกินไปหรือเปล่าครับ ยังไมได้เห็นเลย แม้กระทั่งบ้านตัวอย่าง วันนี้ที่เราจองบ้าน ที่บ้านเราไม่รู้เลยครับ ว่าเราจอง ก้อคิดไว้ว่า จองก่อนแล้วไปบอกตอนเย็นก้อได้ ใจจริงก้อกัวครับ ว่าเค้าจะว่าเรา เพราะเราเองก้อเพิ่งอายุ 24 เอง ทำยังไงดี แต่แฟนเราบอกว่าให้บอกไปเลยครับ เพราะยังไงเค้าก้อต้องรู้ เอ้า!!! เป็นไงเป็นกัน เย็นนั้นกลับบ้านเร็วครับ เพื่อที่จะไปคุยกับที่บ้านเรื่องนี้ครับ ยอมรับครับ ว่าเครียดมาก กัวจะโดนว่า กัวที่บ้านจะไม่ยอม เห้อ!!!! แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 54 22:32:12 จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 11:07:55

ความคิดเห็นที่ 43 คห. 32 4 บรรทัดแรกของคุณ  แสดงถึงความคิดและจิตใจที่แย่มากๆ ค่ะ น่าสงสารแฟนคุณนะคะ  ป่านนี้ไม่รู้ถูกลดราคาไปถึงไหนแล้ว จากคุณ : น้องพี่อิ้ว เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 11:23:35

ความคิดเห็นที่ 44 อยากให้แฟนเรามีความพยายามแบบนี้จัง เพราะเราก้อเคยแกล้งบอกไปเหมือนกันว่าค่าสินสอดล้านนึง ที่บอกเนี่ย เพื่อให้เค้าไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่พอเก็บมาได้ก้อนนึง ก้ออยากซื้อรถ ซะงั้น เลยต้องมาเก็บใหม่ พอเก็บมาได้อีกก้อนนึง(แล้วกู้เพิ่มอีกหน่อย) ก้อต้องมาซ่อมแซมบ้าน เพื่อเตรียมใช้เป็นเรือนหอ สรุปว่า... สินสอดเราจะได้เท่าไหร่ก้อช่าง เพราะสุดท้ายสินสอดมันก้อคือสินสมรสของเราทั้งคู่ เพื่อเก็บไว้สร้างครอบครัวค่ะ จัดงานแต่งใหญ่โต ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่กันจนสิ้นลมหายใจ งานแต่งเราจะไม่ใหญ่โต จัดเป็นพิธีพอ ฐานะทางบ้านของเราสองคนอยู่ระดับกลางค่ะ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจดีว่ามันเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย มันแค่การเริ่มต้นค่ะ จัดงานให้เล็กลงครึ่งนึง เอาเงินส่วนที่เหลือ ไว้ใช้ยามจำเป็นดีว่าค่ะ มารออ่านต่อนะคุณ kl_sn ปล.ทีแรกนึกว่าแฟนเรามาโพสไว้ซะอีก เพราะมีบางอย่างคล้ายกัน อิอิ จากคุณ : G_RittA เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 11:34:40

ความคิดเห็นที่ 45 เอาเป็นเป็นกันครับ รวบรวมสติ เดินเข้าไปถามท่านเลยครับ เริ่มต้นจากลองถามด้วยคำถามง่ายๆก่อน เอาโบชัวบ้านให้เค้าดู ถามเค้าว่า บ้านหลังนี้เป็นไงบ้าง ถ้าคิดจะซื้อ แม่จะว่ายังไง แม่ผมตอบมาเลยครับ ว่า ไม่อยากให้ซื้อครับ แต่ทำไงครับ ผมก้อตอบไปว่า จองไปแล้ว แม่เค้าก้อดูๆ ครับ ถามคำถามง่ายๆว่า ผ่อนไหวหรอ เราก้อบอกว่าไหวสิครับ คำนวณมาแล้วนี่ สรุป คือที่บ้านเราไม่ว่าอะไรครับ แต่เค้าก้อมีความคิดที่แอบกัวว่าเราจะผ่อนไม่ไหว   ยังไงเราก้อตัดสินใจไปแล้วครับ ลุยต่อเลยแล้วกัน ระหว่างนั้น จากเป้าหมาย แต่งงานต้องมีเงินเก็บล้านนึง เราต้องมานั่งคิดกันใหม่แล้วล่ะครับ เพราะว่าบ้านจะเสร็จปีหน้าแล้ว เงินดาวบ้าน ก้อต้องใช้อีก ไหนจะค่าซื้อของ เข้าบ้านอีก เห้อ เครียดอีกแล้วครับ เอาง่ายๆ 1 ล้าน กับสี่ปี เราก้อต้องเปลี่ยน มาเป็น 5 แสน กับ สองปีครึ่ง ด้วยเหตุผลที่บ้านจะเสร็จปีหน้านี้ แล้วเงินเก็บก้อต้องลดลงครับ ช่วงนี้ครับ แฟนเราเลยถามเราว่า คิดว่าอยากให้เค้าช่วยอะไรหรือเปล่า เราตอบไปแค่ว่าขอให้เราทำให้ดีที่สุดก่อนครับ เราเริ่มบ้างาน เก็บเงินหนักขึ้นกว่าเดิมครับ ความสุขตัวเอง ลดลงอย่างมากเลยครับ (เป็นสิงที่ไม่ถูกเลยนะครับ บอกไว้ก่อน) หลายคืนเลยครับ ที่เรานอนไม่หลับ กว่าจะนอนก้อตีสอง หรือหลังเที่ยงคืนไปแล้ว  ในใจคิดแค่ว่าจะหาหนทางยังไง ถึงจะทำให้ดีกว่านี้ได้ ในใจเรา ก้อยังค้างคาในอีกเรื่องด้วย ว่าจริงๆแล้วเราอยากได้บ้านเดี่ยว หลายต่อหลายครั้ง ผมเอาเรื่องบ้านเดี่ยว ไปคุยกับแฟน แฟนเราก้อตอบปัด ว่าไม่อยากได้อย่างเดียว  เค้าบอกเราว่าสิ่งที่เค้าเห็นเราเป็นทุกวันนี้ เค้าไม่เคยมีความสุขเลย เค้าบอกเราว่าเค้าไม่เคยอยากให้ใครต้องมาเป็นเพื่อเค้าขนาดนี้ ช่วงนั้น ผมเริ่มเห็นแฟนผม ประหยัดเงินมากขึ้น เริ่มหางาน เริ่มที่จะไป พยายามสอบ CPAอีกครั้ง เค้าบอกว่าเค้าอยากช่วยเราให้ได้มากกว่านี้ เค้าเอาแต่โทดตัวเอง ว่าถ้าเค้าเก่งกว่านี้ หรือว่าถ้าเค้าอายุ น้อยกว่านี้ เราคงไม่ต้องเป็นแบบนี้ ผมเองก้อเครียดนะ เอาเป็นว่า ตอนนั้นเราเริ่มหันมาคุยอะไรมากขึ้น เริ่มเข้าใจกันมากขึ้น เริ่มมีความคิดที่ว่า ไม่ต้องมีถึง 1 ล้านก้อได้ จัดงานเล็กๆ ที่ ok หน่อย เชิญแขกสัก 200 คน เงินจัดงานไม่ต้องถึง สองแสนก้อได้ สินสอด ยังไงที่บ้านเค้าคืนให้หมด ก้อเอาเงินส่วนนี้มาเริ่มต้นชีวิต พอเริ่มได้คุยกันจริงจัง ทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าที่เป็น ในตอนแรกครับ ถ้าจะมองในแง่ดี ที่ตอนแรกเราพยายามหาเงินให้ได้ล้านนึง มันก้อมองได้หลายข้อนะครับ เช่น *ทำให้เรารู้จักที่จะก้าวหน้า มีความพยายาม *ทำให้เรารู้จักบริหารเงิน รู้จักที่จะลงทุน *ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น *ทำให้อย่างน้อย เรามั่นใจได้ระดับนึงเลยว่า อนาคตเราจะไม่ลำบากครับ ไว้มาต่อคราวหน้าแล้วกันนะครับ อีกครั้งครับ ขอบคุณสำหรับทุกๆความเห็นครับ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 54 22:34:45 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 54 11:44:44 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 54 11:38:29 จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 11:35:23

ความคิดเห็นที่ 46 สนุกดีครับชีวิต แต่ผมผ่านมาแล้ว  จำได้ว่า เงินเดือน สองหมื่น  ผ่อน บ้านอย่างเดียว สองหมื่นสอง ยังเก็บใบเสร็จค่าบ้านอยู่เลย  อย่างว่า สมัยก่อนลูกบ้าเยอะ  ทำงานแหลกลาญ ทำงานนอกเวลาทำงาน ดึกๆ ดื่นๆ  ก็ทำ เรียกว่า มีเงิน ผมสู้ตาย ้เดี๋ยวจะมีคนสงสัยว่าทำไมผ่อนได้มากกว่าเงินเดือน  ตอนนั้นที่ผมซื้อบ้าน มันมีโครงการผ่อนกะ โครงการเลย ไม่ได้ผ่อนกับแบงค์ครับ  บ้านก็ยังไม่ได้สร้าง เรียกว่าผ่อนไป สร้างไปแหละครับ........... จากคุณ : asawavet เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 11:55:09

ความคิดเห็นที่ 47 แต่ผมกลับมีความคิดไม่เหมือนกับน้องจขกท.เท่าไหร่นัก  จริงอยู่ที่เราต้องมองด้านดีสำหรับคนที่จะมาเป็นคู่เรา แต่เราก็ต้องมองด้านที่ไม่ดีของเขาด้วยแล้วมาคิดดีๆว่าเรารับมันได้หรือเปล่า (แฟนผมชอบไหว้พระและก็ชอบกินไวน์จนเมาแอ๋ บางครั้งก็เมาอ้วก ผมเช็ดอ้วกให้แฟน แต่ก็ขำๆ คุณเคยเห็นแฟนคุณรั่วอย่างนี้ไม๊ล่ะ รับได้ไม๊) วินัยด้านการเงินกับการลงทุนมันไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเงื่อนไขการแต่งงานและการซื้อบ้านเป็นตัวตั้ง ไม่ว่าจะแต่งหรือไม่แต่งก็สามารถเรียนรู้เรื่องการเก็บออมและการลงทุนได้และมันเป็นเรื่องปัจเจก หากคนที่เป็นแฟนเราเขาต้องฝืนตัวเองมาเขียมกับเราด้วย แน่ใจหรือว่านั่นมันคือตัวเขา หากคุณจะซื้อบ้านตอนนี้มันน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณเอง (ถึงแม้ว่าคุณจะมีการแต่งงานเป็นแรงบันดาลใจก็เหอะ) ถึงเวลาที่พร้อมหากแฟนคุณยังอยู่กับคุณ บ้านนั้นก็พร้อมที่จะเป็นเรือนหอ ผมว่าคุณ push เขาเรื่องนี้มากไป จำได้ว่าตอนที่ผมอายุเท่าคุณ ผมได้ทุนไปเรียนสหร้ฐและคิดในเรื่องอนาคตของตัวเองในการเรียนให้จบปริญญาโท เรื่องแต่งงานไม่อยู่ในหัวสมองเลย แต่ตอนที่เรียนอยู่นั้นผมมีแฟนคนนึงก็เลิกกันเพราะตอนนั้นผมก็ฟุ้งในเรื่องของการแต่งงานจนเขารู้สึกอึดอัด เครียดและไม่เป็นอิสระเพราะเขาก็ต้องการค้นหาตัวเองก่อนที่จะคิดเรื่องแต่งงาน เขารู้สึกว่าผมไปผูกมัดเขามากเกินไป (จริงของเขาว่ะ) ก็เลยเฟดมาเป็นเพื่อนกันสบายใจกว่าเยอะ พอจบไปแล้วผ่านไปสี่ห้าปีทำงานไปซักระยะหันมามองหน้ากัน เออว่ะพร้อมแล้ว ต่างคนต่างผ่านโลกแห่งการทำงานมากันเยอะแล้ว เพื่อนเลยการมาเป็นภรรยาจนทุกวันนี้   แม่ผัวลูกสะใภ้ เรื่องน้ำเน่าที่ผู้หญิงทุกคนกลัว (ไม่เชื่อลองไปถามที่ห้องชานเรือนดูสิ) ถ้าแต่งงานแล้วเอาแม่มาอยู่ด้วยต้องแน่ใจจริงๆว่าคุณจะเป็นคนกลางที่ควบคุมทั้งสองฝ่ายได้ เพราะผู้หญิงทั้งสองรักคนๆเดียวกัน 555 ถ้าไม่แน่ใจ อย่าเด็ดขาด เตือนกันดีๆครับ หลายคู่บ้านแตกก็เพราะเรื่องนี้มาแล้ว จากคุณ : BlueAurora (BlueAurora) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 12:28:20

ความคิดเห็นที่ 48 ต่อครับ คราวนี้ พอผมเริ่มดาวบ้านไปครับ ตอนนี้บ้านผมก้อมีการเริ่มก่อเป็นรูปเป็นร่างแล้วครับ ผมเองก้อตื่นเต้นใจร้อนครับ รีบเข้าไปดู พอไปดูเท่านั้นล่ะ เด็กอย่างผม ที่เพิ่งเคยซื้อบ้าน รู้เลยครับ ว่าบ้านพื้นที่ 18 ตารางวา เล็กมากครับ อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ชิน เพราะว่าบ้านที่ผมอยู่ปัจจุบันก้อประมาณ 50 ตารางวาได้ เลยรีบเข้าไปแอบดูโครงสร้างในห้องนอนเล็กครับ สรุปว่าเล็กมาก ขนาดไม่เกิน 9 ตารางเมตร แย่แล้วครับ อย่างงี้แม่ผมมาอยู่ เค้าคงอึดอัดตายเลย นั่งเครียดหลายวันครับ แอบไปถามแม่หลายรอบเหมือนกัน ว่าห้องนอนเล็ก จะนอนได้ไหม วันดีคืนดี มีป้านโครงการบ้านเดี่ยวโครงการนึง มาติดหน้าบ้านครับ เขียนไว้ว่าเริ่มต้นที่ 2.49 ล้าน ผมก็แอบมานั่งคิดสิครับ ว่าเงินเดือนผมจะกู้ได้หรือเปล่า สรุปคือได้ครับ แต่ไม่กี่ธนาคารที่ปล่อยให้ขนาดนี้ เอาไงดี ถามแฟน แฟนก้อไม่เอาอย่างเดียวเลย คิดไม่ออกครับ เลยไปปรึกษาแม่ แม่ผมเองก้ออยากให้อยู่แถวบ้านตัวเองมากกว่า เลยจัดแจงมาวันเลยครับ พาแม่ไปดูบ้านตัวอย่าง ไปพร้อมกับแฟนเราเนี่ยล่ะ สรุป ตอนไปดู แม่เราชอบมาครับ เราก้อเลยคิดไม่ออก ว่าควรซื้อดีหรือเปล่า แฟนเราก้อเสนอว่า เค้าจะกู้ร่วมกับเรา เย็นนั้น ผมกลับไปคำนวณเลยครับ ว่าต้องทำยังไง ผ่อนยังไง ผ่อนธนาคารอะไร แล้วต้องผ่อนเดือนละเท่าไร กี่ปี อยากได้ครับ แต่กลัวไม่ไหว เลยได้แผนมาข้างต้นครับ บ้าน 2.49 ล้าน ผ่อนในเวลา 10 ปี จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 12:34:20

ความคิดเห็นที่ 49 เราว่าชีวิตคู่ของคุณดูเหมือนมี เงื่อนไข เยอะแยะ ทั้งที่ชีวิตคู่มันไม่ต้องมากขนาดนั้นก็ได้นะ เหนื่อยแทนอ่ะ จากคุณ : NN2704 เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 12:55:27

ความคิดเห็นที่ 50 โอ้โห ปีแรก เก็บได้ 2แสน7 เงินเดือนวิศวะทั้งปีผมยังไม่ถึงเลย เอ่อ ถามนิดนึงได้ไหม แฟนคุณทำงานอะไรครับ ผมเพิ่งแต่งเมียไปเมื่อวันที่ 7 นี่เอง คนบ้านนอกทั้งคู่ 27 ปีทั้งคู่ หมดตังค่าจัดงานไปแสนกว่าบาท (ไม่รวมสินสอด) จากคุณ : AMATAENG เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 13:09:32

ความคิดเห็นที่ 51 ผมว่าคุณเป็นลูกคนเดียวจริงๆ ด้วย ... จริงจังกับสิ่งอะไรมันก็ดีนะครับ มันทำให้เรามีความทะเยอทะยาน แต่มากไปแบบนี้ก็ไม่ดีนะครับ กลายเป็นว่า คุณจะคิดจะทำอะไรให้มันเร็วๆๆ จนเกินตัว คุณว่าทำไมแฟนคุณถึงไม่อยากได้บ้านเดี่ยวครับ? เคยคิดซักครั้งในหัวมั้ยครับ .. ว่าถ้าทุกอย่าง สิ่งที่คุณวาดฝันไว้ ว่ามันต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ มันสลายไป มันไม่ได้เป็นอย่างฝัน คุณจะทำยังไงครับ ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอนหรอกครับ วันนี้พรุ่งนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ตั้งไว้ให้พอดี ให้พองาม ถ้าเยอะไป ก็กดดันตัวเอง กดดันคนรอบข้าง อย่างน้อยผมก็ดูออกแล้วอย่างนึง ว่าคุณกดดันแฟนคุณละครับ ... แต่ผมชอบความพยายามของคุณนะ จริงใจดี จากคุณ : เชาว์เชาว์ เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 13:23:42

ความคิดเห็นที่ 52 เอาใจช่วยครับ ฝันให้ไกล ไปให้ถึง สถานการณ์ผมคล้ายๆ จขกท. ตรงที่ ตอนนี้ ทำงานส่งบ้าน เตรียมงานแต่ง ค่าใช้จ่าย ฯลฯ รายได้เหยียบแสน แต่พอสิ้นเดือน ออกจากบัญชีหมด บางเดือนเหลือ 97 บาท แต่มันก็เป็นทางที่เราเลือกเอง เลือกแล้วก็ต้องลุยครับ ขอแค่มีเวลาให้กัน อย่าให้งาน หรือเงิน ทำให้คุณต้องจบกับคนที่รักครับ ผมเองก็ลาออกจากเส้นทางเดิม แม้ว่า ถ้าทำต่อไป ถึงจุดนึง คงไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่มามองไกลๆ กว่าจะถึงตอนนั้น ผมคงแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวเลยครับ พ่อแม่ก็แก่ลงทุกวัน คนที่ใช่ก็เจอแล้ว ไม่อยากเสียเค้าไป ก็ต้องเลือกทางที่เหมาะกับเราครับ จากคุณ : zurato เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 13:26:45

ความคิดเห็นที่ 53 โห... ชีวิต... อ่านอ่านไป... เริ่มเครียดหล่ะ... กับตัวหนังสือแน่นเอียดเยยอ่ะ... จากคุณ : ลาช่า เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 13:28:41

ความคิดเห็นที่ 54 อ่านเรื่องราวของคุณที่เล่ามาตั้งแต่ต้น  มีความรู้สึกว่า คุณมีความคิดเกินกว่าวัยของตัวเอง และค่อนข้างใจร้อน  พอมีความคิดเรื่องจะแต่งก็รีบทำงานหาเงิน หาจนความสุขที่เคยมี มันลดไปเรื่อยๆ พอคิดถึงเรื่องบ้าน คุณก็รีบหาบ้านอีกแล้ว ตอนนี้จากทาวน์เฮ้าส์ กำลังจะเป็นบ้านเดี่ยว คุณก็คงต้องรีบคพนวณอีก ว่าจะไหวหรือไม่...          น่าสงสารคุณจริงๆ นะคะ ทั้งคุณและแฟน อายุยังไม่มากเลย จะรีบตั้งครอบครัวไปถึงไหนคะ.. น่าจะใช้เวลา คบหา ดูใจ ศึกษาตัวตนจริงๆของทั้งสองคนก่อน ให้เวลาช่วยทำให้คุณเข้าใจกันมากขึ้น เท่าที่เห็นๆ คนวัยทำงานในสมัยนี้ ถ้ามีความรักจะมีความสุขจากการได้เรียนรู้  ได้ใช้เวลาว่างด้วยกัน ไปเที่ยว ไปทำกิจกรรมของทั้งสองครอบครัวด้วยกัน เห็นเขากว่าจะคิดแต่งก็อายุต้นๆ สามสิบ ยิ่งคุณหนุ่มๆสาวๆ เดี๋ยวนี้เห็นเธอมีความสุขกับความเป็นโสด และอิสระ         เพิ่งเห็นคุณนี่แหละค่ะ ที่ใจร้อนมาก และเตรียมการทุกอย่าง เพื่อให้สำเร็จในเวลาอันจำกัด  ซึ่งก็ทำให้ทั้งแฟนคุณและคุณต้องเคร่งเครียดกับชีวิต ทั้งๆที่ ควรจะอยู่ในช่วงเวลาที่น่าจะมีความสุขสำหรับการเป็นคนรักกันนะคะ..         เราคิดว่า คุณควรใจเย็นลงสักนิดๆ ไม่ต้องรีบร้อน ช่วงเวลาในชีวิตคุณยังอยู่อีกยาวไกล ใช้เวลากับคนรักอย่างมีความสุข ในขณะที่ยังเป็นคนรัก เพราะชีวิตแต่งงานคือการเริ่มต้นของความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และยาวนานนะคะ.. จากคุณ : อมริสสา เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 13:32:20

ความคิดเห็นที่ 55 ช่วงแต่งงานและซื้อบ้านสร้างเรือนหอ ทำไปพร้อมๆกันนี้ปวดหัวมากครับ นอนไม่ค่อยหลับ คิดโน้นนี้เยอะแยะไปหมด ผมก็เป็นเหมือนกัน คิดเสมอว่าทุกอย่างต้องมีทางออกครับ จากคุณ : new_som เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 13:48:51

ความคิดเห็นที่ 56 เห็นด้วยกับคุณ อมริสสา ค่ะ เราอ่านเรื่องของคุณแล้วเราเหมือนมองตัวเองเมื่อปีที่แล้ว เราอายุ 24 ค่ะ 2 ปีที่แล้วเราเพิ่งทำงานแล้วอยากมีคอนโด อยากมีสมบัติเป็นชื่อตัวเอง ไปวางเงินจองคอนโดไว้ แล้วก็เครียดตลอดเวลาว่า ชั้นจะเอาเงินที่ไหนผ่อนดีนะ ผ่อนเดือนละหมื่นกว่า ค่าหอที่เช่าระหว่างรอคอนโดสร้างอีก รวมกันก็พอดีเงินเดือนแล้ว ไหนจะค่ากินอยู่อีกล่ะ นอนกอดใบจองคอนโดไว้ เหมือนมีความสุขแต่นอนไม่ค่อยหลับ แต่ก่อนที่จะเริ่มผ่อนดันไปหาข้อมูลทางเนต ทำให้รู้ว่าโครงการเริ่มแปลกๆ ไปถึงแปลกมาก ตัดสินใจยกเลิกการจอง ความรู้สึกตอนนั้นคือโล่งมากๆ ไม่เสียดายสักนิดที่ต้องเสียเงินสามหมื่นไป แลกกับความสบายใจที่ได้คืนมา เราเลยคิดว่า พร้อมเมื่อไหร่ ค่อยเริ่มดีกว่า เพราะช่วงเวลานี้คือช่วงที่ควรจะเก็บเกี่ยวความสุขของวัยเริ่มต้นชีวิตเอาไว้ให้มากที่สุด เรื่องแต่งงาน เราว่าคุณมีความคิดดีนะ แต่ใจร้อนไป ชีวิตคู่ ควรร่วมกันสร้างนะคะ คุยกับแฟนของคุยแบบตรงไปตรงมาเลยดีกว่าไหมคะ แฟนเราก็คิดวางแผนการเรื่องแต่งงานเอาไว้ แล้วก็เครียดคล้ายๆกับคุณนั้นแหละ เป็นแบบนี้สักพักจนเราหงุดหงิด เลยถามไปตรงๆว่าแพลนชีวิตของเขาวางไว้ยังไงบ้าง เราจะได้ปรับแพลนชีวิตของเราให้ตรงกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างคิด จะมีบ้าน รากฐานต้องมั่นคง จะสร้างครอบครัว ความรักความเข้าใจต้องไปคู่กันค่ะ จากคุณ : Yumi_chan เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 14:03:26

ความคิดเห็นที่ 57 อ่านแล้วเครียดแทนค่ะ ตอนแรกก็รู้สึกชื่นชมผู้ชายอย่างคุณ ที่มีความพยายาม จริงจังและรักผู้หญิงคนหนึ่งอย่างจริงใจ แต่อ่านไปเรื่อย ๆ ถึงช่วงทำงานเยอะ สอนพิเศษเยอะในช่วงปีแรกของการเก็บเงินแต่งงาน เราก็ คิดขึ้นมาแล้วว่า เอ๊ะ..แล้วเอาเวลาที่ไหนให้แฟน อ่านลงมาอีกจนถึงที่บอกว่า ทะเลาะกัน เพราะเครียด ไม่มีเวลาให้ ฯลฯ ก็รู้เลยว่าต้องเป็นปัญหาแน่ๆ ชีวิตเราอยู่กันได้ไม่กี่ปีเองนะคะ จะเครียดไปไหน ผ่อนคลายบ้าง เคยมีเวลาไปต่างจังหวัดหรือพาแฟน ไปทำบุญอย่างที่เค้าชอบบ้างมั๊ยคะ ความรักไม่ได้ต้องการแค่เงินและฐานะที่มั่นคงนะคะ เรื่องบ้าน เราว่ารีบไปนิดนึง ยังไม่ได้แต่งกันเลยค่ะ ไว้อีก 4 ปีตอนจะแต่ง ค่อยซื้อก็ยังไม่สาย แถมบ้านใหม่ด้วย และตอนนั้นคุณเจ้าของกระทู้ก็เงินเดือนและรายได้คงหลายหมื่น คงซื้อบ้านเดี่ยวได้สบายๆ บ้านมันไม่ได้หมดแค่ผ่อนนะคะ ทั้งตกแต่ง จัดสวน ฯลฯ รายจ่ายบานปลายมาก ๆ ค่ะ ส่วนเรื่องแต่งงาน 1 ล้านสำหรับสินสอดก็พอดี ๆ นะ ไม่เยอะไม่น้อย เงินหนึ่งล้านเนี่ยใช้ดีหมดไม่รู้ตัว ^^ แต่ตอนเก็บลำบากสุด ๆ กว่าจะถึง ถ้าเก็บส่วนนี้ได้ หลังแต่งงานก็คงสบายขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายการจัดงานจริงๆ เราว่า 500000 เนี่ยก็หรูแล้วนะคะ สำหรับโรงแรมทั่ว ๆ ไปที่ไม่ใช่โรงแรม 5 ดาว อันนี้รวมทั้งค่าชุด ค่าการ์ด ของชำร่วย ถ่ายรูปอะไรด้วยนะคะ (แต่ไม่รวมสินสอด แหวน) ที่พิมพ์มาซะยาว อยากบอกเจ้าของกระทู้ค่ะ ว่าเรามองคุณจากเรื่องเล่าแบบนี้ เราก็ชื่นชมคนอย่างคุณค่ะ แต่ถ้าให้แฟนเราเป็นแบบนี้ เราขอบายค่ะ บอกได้อย่างเดียวว่า เราต้องการคนที่จะอยู่เคียงข้างเราค่ะ ม่ได้ต้องการเงินเน้อ... จากคุณ : fantastic GiRL เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 14:08:29

ความคิดเห็นที่ 58 ปล่อยวางบ้างก็ดีนะครับ หาความสุขใส่ตัวบ้าง จากคุณ : โคอะล่า มาร์ช เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 15:13:47 A:101.108.75.131 X: TicketID:097175

ความคิดเห็นที่ 59 เราเพิ่งแต่งงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เองค่ะ คุณสามีก็เหมือน จขกท คือเงินค่าสินสอดจะหาเอง ไม่ขอจากพ่อแม่ หาด้วยลำแข้งตัวเอง แรกๆ เรากะจะเรียกสินสอดเยอะๆ แต่คิดไปคิดมาสงสารเค้า เลยเรียกแค่ 200,000 ทอง 2 บาท แต่คุณสามีว่าทองน้อยไปเดี๋ยวเพิ่มให้เป็น 5 บาท (มีใจดีด้วย อิอิ) หลังแต่งงานแล้ว  เราต้องสร้างอนาคตร่วมกัน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งค่ะ จากคุณ : ข้าวเหนียวเขาวง เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 15:30:36

ความคิดเห็นที่ 60 เจ้าของกระทู้รู้จัก บัพเฟต รู้จักบริหารการเงิน รู้จักการลงทุน "ผมมองว่าคนรวยหลายๆคน ก้อไม่ได้ใช้เงินฟุ้มเฟ้อเลยนะครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น วอร์เรน บัฟเฟต (ไม่รู้ว่าจะกดถูกหรือเปล่า) *ทำให้เรารู้จักบริหารเงิน รู้จักที่จะลงทุน" แนะนำอ่านพ่อรวยสอนลูกอีกชุด ^_^ จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 15:33:46 A:192.168.0.228 X:125.26.224.53 TicketID:175435

ความคิดเห็นที่ 61 เรื่องซื้อบ้านค่ะ บ้านที่อยู่ในทำเลยที่ดีๆ ในราคาที่ใช่ จะไม่มีเข้ามาบ่อยๆ อันนี้เห็นด้วย แต่ที่สำคัญคือซื้อแล้วต้องไม่ทุกข์นะคะ (เดี๋ยวเหมือนลัดดาแลนด์อ่า) อีกเรื่องคุณคิดจะพาพ่อแม่มาอยู่ด้วย อันนี้เคลียร์กับแฟนแล้วรึยังคะ เพราะเห็นว่าขนาดจะเข้าบ้านคุณแฟนยังกลัวหมาเลย หากย้ายพ่อแม่ไปด้วยก็คงจะเอาหมาไปด้วยแน่ๆ แล้วจะอยู่ร่วมบ้านกับแฟนยังไง ตอนนี้เท่ากับซื้อบ้านก่อนแต่งละ รายจ่ายจะงอกออกมาอีกเยอะเลยค่ะ ค่อยๆคิด ค่อยๆทำนะคะ อย่าเหมาเอาทุกเรื่องมาใส่หัวทั้งหมด เดี๋ยวจะเครียดเกินไป ปล..งานที่ทำอยู่มั่นคงดีใช่ไหมคะ อันนี้ก็อีกเรื่องนะ ต้องคิดเยอะๆนะคะ จากคุณ : ฮิปโปฟันผุ เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 16:14:22

ความคิดเห็นที่ 62 แวะมาบอกว่าเป็นกำลังใจให้ค่ะ วันนี้เป็นวันครบรอบ 14 ปีของการแต่งงานของเรา ตอนแต่งได้สินสอดมาเท่าไร เราหารครึ่งค่ะ คืนให้แม่เรากับแม่สามี และค่าแต่งงานเอาจากซองที่ช่วยงาน ขาดเหลือเติมเอง เหลือแค่ทอง เพิ่งจะซื้อบ้านเมื่อแต่งงานไปแล้ว 13 ปีค่ะ มีลููกชายหญิง และยังรักกันไม่เปลี่ยนแปลง ร่วมสุขร่วมทุกข์มาตลอด ที่ขาดไม่ได้คือความเชื่อใจและไว้ใจค่ะ ขอให้ จขกท.  โชคดีนะคะ จากคุณ : bbmit เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 16:52:37

ความคิดเห็นที่ 63 จขกท. ลองนับคำว่า "เครียด" ในกระทู้ที่คุณโพสมาทั้งหมดสิ มีกี่คำ แค่คุณโพสให้คนที่อ่านในนี้ หลายคนรวมทั้งผมก็เครียดแทน ลองคิดหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านที่แฟนคุณเค้าเสียใจ ต้องหางาน เพื่อมาช่วยคุณ มันเครียดและบังคับเค้าทางอ้อม อย่างที่หลายคนบอกจริงๆ ตอนนี้ คุณอายุยังน้อย คุณคงคิดว่าอะไรๆมันต้องเปะ ต้องเป็นแบบนี้ๆๆ แบบ 1+1 = 2 แต่พอคุณโตขึ้นมีความคิดแบบผู้ใหญ่ จะทำให้รู้ว่าบางที 1+1 ไม่จำเป็นต้องเท่ากับ 2 หรอก วันนั้นคุณคิดได้และมองย้อนกลับมา แล้วก็จะรู้ เอาความเห็นของหลายๆคน ข้างบนนี้มาใส่ใจบ้าง เค้าไม่ได้ว่า แต่ส่วนใหญ่ เค้า"เตือน"คุณ เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อน รับฟังไว้และเอาไปคิด ผมว่าเค้าเตือนคุณก็เพราะไม่อยากให้คุณ ทำอะไรเกินตัว กดดันและทำให้คนรอบตัวคุณเครียด จากคุณ : ptboy เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 16:57:18

ความคิดเห็นที่ 64 กดซ้ำครับ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 54 16:59:06 จากคุณ : ptboy เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 16:58:17

ความคิดเห็นที่ 65 เป็นกำลังใจให้นะครับ ค่อยค่อยคิด แก้ปัญหา ยังมีเวลาอีกมากอายุ 24 เอง จากคุณ : bosniak เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 17:19:10

ความคิดเห็นที่ 66 จขกท. คะ สู้ๆค่ะ มีความสุขกับชีวิตนะคะ ขยัน อดทน แต่ต้องหาเวลาให้กับตัวเอง ครอบครัว และคนที่คิดว่าจะร่วมชีวิตกันด้วยนะ คะ  ตัวเราเองเป็นคนที่รู้ลิมิตว่าอะไรมากน้อยแค่ไหน   ถ้าเหนื่อยก็หยุดพักจุดหมายปลายทางวิ่งบ้างเดินบ้างสลับกันก็ไปถึงค่ะ จากคุณ : aya BGIRL เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 18:46:17

ความคิดเห็นที่ 67 ต่างกรรมต่างวาระนะครับ ขอเล่าเรื่องของผมบ้างครับ ผมกับภรรยาคนปัจจุปัน แต่งงานอยู่กินกันมาแล้ว 6 ปีครับ เธอก็แก่กว่าผม 4 ปีเหมือนกันครับ วันที่ผมคิดว่าจะแต่งงานกับเธอ สองครวมกันมีเงินสดติดตัว 50,000.- เลยคิดว่าไม่ต้องจัดงาน จดทะเบียนกันก็พอ เอาเงินไปลงทุนเปิดร้านดีกว่า เงิน 50,000.- ในวันนั้นจัดงานเล็กก็พอไหว แต่คงหมดไป แต่ทุกวันนี้จาก 50,000.- สร้างรายได้ให้เรามากกว่าเดือนล่ะ 100,000.- พร้อมลูกสาว ที่น่ารัก 1 คน พออยู่พอกินครับ คุณมีทางเลือกมากว่าผมมาก อย่าคิดมากจนทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุขเลยครับ เลือกทางที่เหมาะกับเราแล้วเราไม่เดือดร้อนดีกว่าครับ กำลังจะบอกว่า งานแต่งงานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตคู่ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นหน้าเป็นตาของผู้ใหญ่ เลือกทำที่มันเหมาะสมแล้วเราไม่เดือดร้อนดีกว่าครับ ไม่ได้หน้า 1 วันแต่สบายไปอีกนานครับ ด้วยความเคารพ จากคุณ : ryan_champ เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 19:17:31

ความคิดเห็นที่ 68 เจ้าของกระทู้มีความพยายามดีมากค่ะ แต่ก็กดดันทั้งตัวเองและคนรอบข้าง รวมทั้งคนที่เจ้าของกระทู้คิดว่าจะเป็นคนร่วมชีวิตของคุณอย่างมาก คุยกับเค้าบ้างในเมื่อจะให้เค้าเข้ามาแชร์ชีวิตร่วมนะคะ ไม่ใช่คิดคนเดียวและรับฟังเค้าด้วย และอีกอย่างเจ้าของกระทู้ใช้สุขภาพของตัวเองเข้ามาเสี่ยง เครียดมากๆ ระวังโรคต่างๆ จะถามหานะคะ วันที่จะมีความสุขแต่ร่างกายไม่เอื้ออำนวยมันก็ไม่มีความสุขหรอกค่ะ ห่วงสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ จากคุณ : ลมทะเลพัดโชย (oilname) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 21:06:58

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณทุกๆความเห็นมากนะครับ ผมขอจบกระทู้ไว้แค่นี้ก่อนดีกว่าครับ (ถึงจะมีเรื่องราวต่อจากนี้อีกมากมาย) จากเรื่องนี้ สุดท้าย ผมกับแฟนก้อต้องช่วยกันครับ และสิ่งที่เราทั้งคู่ทำได้ ก็ดีเหนือความคาดหมายเยอะมากเลยครับ ซึ่งทุกอย่าง มาจากความตั้งใจครับ ช่วงนี้เรามีปัญหาอะไร ก็จะคุยกันมากขึ้นครับ ความสุขก็เพิ่มขึ้นมามากขึ้นเหมือนกันครับ แต่เป้าหมายยังคงอยู่ เหมือนกับ "เหนื่อยอย่างมีความสุข" ครับ เรื่องแต่งงาน ผมมองว่า ทำให้ดีที่สุดดีกว่าครับ ส่วนตัวคือ ไม่อยากมีข้ออ้างที่จะสบายไปวันๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ สิ่งที่ผมทำอยู่ เหมือนกับการขี่จักรยานครับ ถ้าเราออกแรงถีบแรงมากแค่ไหน เราก้อจะไปถึงเส้นชัยเร็วมากขึ้น โดยในตอนท้าย แรงที่เราออกไป มันจะผลักจักรยานให้วิ่ง โดยที่บางครั้งเราไม่ต้องออกแรงเลยด้วยซ้ำครับ ขอขอบคุณทุกๆความเห็นอีกครั้งครับ การได้เขียนเล่าเรื่องในนี้ ทำให้ผม สบายใจขึ้นมาอีกไม่น้อยเลยครับ จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 21:42:29

ความคิดเห็นที่ 70 คุณเป็นผู้ชายที่มีความมุ่งมั่น มีความพยายามและรับผิดชอบสูงครับ ขอชมเชย แต่ปัญหาคือ ชีวิตคน มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องทะยานเข้าหาเป้าหมายให้เต็มที่ เราต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ริมทางข้างทางบ้าง คุณเอาแต่ตั้งเป้าหมายเกินตัว กดดันตัวเองให้ทำงานหนัก "เพื่อเงิน" มากเกินไป จนคุณลืมไปแล้วหรือเปล่าว่า วัตถุต่าง ๆ ชื่อเสียงหน้าตา ที่คุณใช้ "เงิน" ซื้อหามาน่ะ มันได้ทำลายชีวิต ทำลายความสุข ทำลายประสบการณ์อื่น ๆ ที่คุณควรจะได้รับในช่วงอายุต่าง ๆ ไปหรือเปล่า ช่วงเวลาที่คุณเอาแต่หาเงินเอาเป็นเอาตาย เครียดเพื่อเป้าหมายการเงิน อยากได้อยากมีในวัตถุ มันทำให้คุณ "ขาด" ช่วงเวลาของความสุข ที่ได้ใช้เวลาว่าง ๆ อยู่กับคนที่คุณรัก และคนที่รักคุณ หรือเปล่า เงิน ไม่ใช่คำตอบของชีวิตนะครับ ถึงแม้ว่ามันจะสามารถบันดาลวัตถุที่นำมาใช้เสริมสร้างความสุขได้ แต่ถ้าการที่ได้มาซึ่ง "เงิน" ที่คุณต้องการ มันทำให้ "ความสุข" ของคุณ ของแฟนคุณ ของแม่คุณ หายไป ... คุณจะต้องการเงินไปเพื่ออะไร ? แฟนคุณก็บอกแล้ว ว่าเค้าเสียใจ ที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้ คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอครับ แม่คุณก็คงเป็นห่วงคุณ ที่ให้ความสำคัญกับการหาเงินมาก ๆ ๆ ๆ จนเกินไป คุณต้องเรียนรู้การใช้ชีวิต "อย่างสมดุลย์" ให้มากกว่านี้นะครับ เดินทางสายกลาง ทำงานให้พอดี กินให้พอดี นอนให้พอดี พักผ่อนให้พอดี และ "หาเงิน" ให้พอดี เพื่อที่ชีวิตจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ ในวันที่มี "เงิน" กองท่วมหัว แต่กลับไม่เหลือ "ความสุข" เอาซะเลย ... พักผ่อนบ้างนะครับ จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 02:42:54

ความคิดเห็นที่ 71 อ้าว สงสัย จขกท น้อยใจ โดนทักซะเยอะ เลยไม่เล่าต่อแระ จากคุณ : My lovely pet เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 07:34:48

ความคิดเห็นที่ 72 เล่าต่อก็ดีครับ ผมอยากอ่าน อ่านจบแล้วค่อยมาวิจารณ์กัน จากคุณ : จระเข้เจ้าเล่ห์ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 09:37:48

ความคิดเห็นที่ 73 เหนื่อยแทน จขกท. คะ ไม่ได้เหนื่อยกายอย่างเดียวนะ ดูเหมือนเหนื่อยใจ จากการกดดันโดยไม่รู้ตัว จากรอบข้าง ของพี่ ตอนแต่งงานพี่ก็ช่วยกันเก็บสองคนคะ เก็บเงินทุกเดือนในบัญชีที่ไม่ถอน...เริ่มต้นจาก 0 เลย ตอนแต่งรวมทุกอย่างนะ (ถ่่ายรูป ชุด แขกเช้า-เย็น ยกเว้นสินสอดเพราะพ่อแม่คืนให้หมดคะ) ใช้เงินไปสองแสน (สถานที่ไม่ขี้เหร่นะ จัดร้านอาหารริมสระว่ายน้ำคะ) ผ่านมาแปดปี..ค่อยๆเก็บ ค่อยๆสร้าง กินบ้าง เที่ยวบ้างตามสมควร ไม่เครียด เลี้ยงดูพ่อ แม่ ทั้งสองฝ่ายตามสมควร....บ้าน รถ เงิบเก็บ มันจะมาตามวัยคะ ถ้ารู้จักใช้มันนะ จากคุณ : Wed11Nov07 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 13:38:20

ความคิดเห็นที่ 74 หวังว่า จขกท อย่าได้เจอสิ่งที่กระทบกระเทือนใจมากนะ ดูแล้วเป็นคนที่ซีเรียสมาก บางทีปล่อยวางบางเรื่องบ้างก็ดีนะ แฟน จขกท หรือคนรอบข้างเคยบอกไหมว่า เครียดไปหรือเปล่า ความตั้งใจนะมันดี แต่ดูแล้วมันจะเครียดไปไหม ถ้าทำแล้วชีวิตไม่เป็นสุข ผมว่ามีเงินแสนแล้วมีความสุขก็พอ ดีกว่ามีเงินล้านนะ จากคุณ : peggo เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 14:42:43

ความคิดเห็นที่ 75 จขกท. เครียดมากเกินไปหรือเปล่าเนี่ย บางทีชีวิตที่ต้องการความมั่นคงมาก ๆ ก็อย่่าละเลย ความสุขด้วย ไม่รู้หรอกว่าจะตายเมื่อไหร่   สิ่งที่คุณวางเป้าหมายไว้ มันก็ดีอยู่หรอกน่ะ แต่บางทีเร่งมันเกินไป ก็อาจจะมีผลเสียมากกว่าผลดี   จะพลอยทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ คุณเครียดตามคุณไปด้วย จากคุณ : Dr.modx เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 15:39:12

ความคิดเห็นที่ 76 คิดมากไปก็เหนื่อยนะครับ แต่การขยันทำงาน เป็นสิ่งที่ดีครับ หายากนะ คนหนุ่มๆ ที่จะทำงาน มีเงินเก็บได้เดือนละ 2 หมื่น แต่ลำพังเงินเดือนคงทำให้มีเงินล้านได้ยาก ถ้าคุณมีเป้าหมายจะแต่งงานจริง ที่จะแนะนำได้คือ 1. อย่าทำงานหนักจนลืมเป้าหมายหลักคือการแต่งงาน    ไม่ใช่ทำงานจนเครียด ไม่มีเวลาให้แฟน สุดท้ายเลิกกัน ยังไม่ได้แต่งเลย 2. ให้เตรียมซื้อทองสำหรับเป็นสินไว้ก่อน    เพราะทองราคาเพิ่มขึ้นทุกปี  สมมติว่าคุณจะมีสิดสอด 10 บาท    คุวรซื้อเป็นทองแท่ง  ก็ซื้อไว้เลย เก็บไว้ให้ดีๆ  ทอง 10 บาท ก็ 2 แสนกว่าๆ    รอไปซื้ออีก 3 ปี  อาจจะต้องใช้เงิน  3 แสน 3. บ้าน ก็เป็นของที่ราคาขึ้นทุกปี ถ้าไหวก็ซื้อไว้ ถือว่าเป็นเงินเก็บ   4. เวลาแต่งงาน เงินแยกเป็น 2 ส่วน คือ ค่าจัดงาน  และ ค่าสินสอด    สินสอด ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินสดทั้งหมด   บ้าน, ทอง,รถ  เป็นสินสอดได้      เงินสดปกติจะยกให้ พ่อแม่ เจ้าสาว (แต่ส่วนมากท่านจะไม่เอา)      คุยสอบถามก่อนว่าพ่อแม่เจ้าสาวว่ายังไง    บางคนก็ใช้วิธีการ กู้ธนาคาร  ยกเว้นคนที่รวยจริงๆ ถึงจะใช้เงินตัวเองสินสอดเป็นล้าน    หลายคนก็ใช้วิธียืมพวกเงินด่วน  เสร็จงานก็รีบคืน เงินที่ไม่ควรยืม คือ ค่าจัดงาน  ซึ่งถ้าควบคุมค่าใช้จ่ายดีๆ ก็น่าจะไม่มาก โรงแรมแถวโซนนอกเมืองหน่อย 3 ดาว  จำกัดโต้ะ เลือก เชิญแขกที่สำคัญๆ ก็พอ   ดังนั้นถ้าคุณบริหารจัดการดีๆ  คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินถึง 1 ล้านบาทหรอกครับ คุณสามารถให้ สินสอด บ้าน 3 ล้าน  ทอง 10 บาท เงิน 2 แสน  รถยนต์  6 แสน รวมๆ  4 ล้าน บาท     แขกประมาณ 30-40 โต้ะ  ค่าจัดงาน  1 แสน ก็ถือว่า OK แล้ว จากคุณ : webkit เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 15:54:50

ความคิดเห็นที่ 77 อยากได้สามีแบบนี้จังครับ .... ฮื๊อ O_o จากคุณ : ฟ้าใสดีจังวันนี้ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 16:15:02

ความคิดเห็นที่ 78 เขียนต่อให้จบครับ จขกท อย่าเครียด ดูคุณทำอะไรทำจริง (จนดูเหมือนมากเกินไป) แค่คนทักนิดหน่อย อย่าเลิกทำง่ายๆ เอาให้จบเรื่อง เดี๋ยวช่วยให้ความเห็นเพิ่มอีกที เท่าที่อ่านเบื้องต้น คือ ตัวเลขอายุคุณยังน้อยเกินไปหน่อย จากคุณ : BFattitude เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 16:18:22

ความคิดเห็นที่ 79 เจ้าของกระทู้เก่งมากครับ จากคุณ : กาตาลุนย่า เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 16:24:01

ความคิดเห็นที่ 80 คุณไม่จำเป็นต้องทำคนเดียว ช่วยๆกันสิ จัดงานเล็กๆก็ได้ บางคนจัดงานแสนเดียวแต่ซื้อบ้านหลายล้าน บางคนจัดงานเป็นล้านแต่อยู่หอ ผมทำได้มาแล้ว แฟนมากกว่า 3 ปี แต่งงานหมดไปแค่สินสอดแสนเดียวกับทองสิบบาท(แม่เค้าคืนให้แฟน) แต่ซื้อบ้าน(ผ่อน)เป็นเรือนหอ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 54 16:41:21 จากคุณ : giupomuj เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 16:40:03

ความคิดเห็นที่ 81 หลายท่านติจขกท. มาเยอะแระ เอาเป็นว่าเราให้กำลังใจแล้วกันนะคะ ยังไงคุณก็เป็นผู้ชายส่วนน้อยมากกกกกกกจริงๆ ที่คิดและทำเพื่อคนที่คุณรักได้ขนาดนี้ค่ะ เอาใจช่วยให้ทุกอย่างสำเร็จด้วยดีอย่างที่ตั้งใจไว้ และมีความสุขกับชีวิตคู่ด้วยนะคะ ^^ จากคุณ : Moody Girl เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 17:04:23

ความคิดเห็นที่ 82 ไม่น่าน้อยใจรีบหยุดเล่าเรื่องต่อเลย  อนาคตคงมีชื่อคุณผ่านสื่อออนไลน์แน่ คนหนุ่มที่มีไฟ อุปสรรค์ คือสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ไม่งันไฟมันมอดไปเรื่อยๆ จากคุณ : meaka เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 17:16:10

ความคิดเห็นที่ 83 หนึ่งในผู้ชายไม่กี่คนที่มีความพยายามเพื่อคนที่คุณต้องการใช้ชีวิตร่วมกัน นับถือความพยายาม มุ่งมั่น ตั้งใจ ถ้าสิ่งที่คุณทำอยู่มันไม่ทำให้ชีวิตคุณต้องลำบากเกินไป ขอเอาใจช่วยค่ะ จากคุณ : เช้าวันใหม่กับใจดวงเดิม เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 17:21:50

ความคิดเห็นที่ 84 เงิน อยากได้ อยากมี ก็ต้องสู้ครับ จากคุณ : ม่านทะเลดำ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 18:12:32

ความคิดเห็นที่ 85 เราว่า จขกท. น่ากลัวอ่ะ จิตๆ ไงไม่รู้ ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเกินไปก็นะ แล้วที่จะเอาแม่มาอยู่ด้วยเนี่ยะ คุยกับแฟนแล้ว แฟนโอเคแล้วใช่มั๊ยคะ ขอสวนกระแส รู้สึกกลัวคนที่กดดันตัวเองขนาดนี้อ่ะ มัวแต่ทำงาน ญ หนีไปมีกิ๊ก จะรับสภาพได้มั๊ยนั่น ปล. เรารู้สึกว่าถึงจะมีคนเตือน จขกท. ยังไง น้องก็ไม่ฟังอยู่แล้ว คงไม่เอาไปคิดให้เปลืองสมองแน่ๆ แค่อยากมาเล่าให้ฟังเฉยๆ ยังไงก็เอาใจช่วยอยู่ห่างๆ ละกันค่ะ จากคุณ : เบาหวิว เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 18:23:37 A:58.137.175.82 X: TicketID:092733

ความคิดเห็นที่ 86 ขอให้สู้ ๆ นะครับ ผมถือคติว่า เหนื่อยหน่อยตอนเป็นเด็ก ดีกว่าลำบากตอนแก่ครับ อาจจะมีหลายคนบอกกับผมเหมือนบอกคุณว่าให้เพลา ๆ ลงบ้าง หาไว้เยอะแล้วตายก่อนก็ไม่ได้ใช้ แต่ผมคิดว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ อย่างน้อยคนที่เรารักที่อยู่ข้างหลังก็คงได้ ประโยชย์จากความพยายามของผมครับ เมื่อสิ้นสุดการเดินทางที่เหน็ดเนื่อย แล้วเราจะมีความสุขกับจุดหมายที่เราไปถึงครับ ยิ่งเริ่มเดินเร็วก็ถึงจุดหมายเร็วครับ (ถ้าไม่สะดุด) ควรเดินให้เร็วแต่เดินอย่างระมัดระวังนะครับ จากคุณ : jackblack เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 18:50:35

ความคิดเห็นที่ 87 อ้าว เลยงอนเลยไม่เขียนต่อแล้วเหรอครับ อ่านกะลังเพลินเลย คุณนี่มีความมั่นใจในตัวเองมากๆ น่านับถือ ผมยังไม่เคยแม้แต่จะคิดอะไรแบบนี้เลย 5555 อาจจะเป็นไปได้ว่า ความต้องการของคนมันอาจจะต่างกัน ผมมีความสุขกับอะไรที่มันง่ายๆ กว่านั้นมาก ก็อยากบอกว่า จริงๆ ความสุขมันอยู่ระหว่างทางนะครับ ไม่ได้อยู่ที่เส้นชัย ลองดูว่าทางที่เดิน มันมีทางไหนที่จะทำให้ชีวิตเราสมดุลย์กว่านี้ได้หรือเปล่า เพราะเท่าที่อ่านมาเหนื่อยแทนครับ แล้วคือ คุณกะไงอะครับ ซื้อบ้านอะไรนี่ก็กะตั้งใจให้เป็นชื่อแฟนด้วยหรือเปล่า ระวังหน่อยนะครับ ในโลกนี้ไม่มีอะไรยังยืน ไม่มีอะไรแน่นอน แม้แต่ใจตัวเราเอง จากคุณ : ซาเวีย เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 18:55:45

ความคิดเห็นที่ 88 เอ๊าา มาต่อนะคะ รออ่านอยู่ คุณเก่งมากเลย มีเป้าหมาย และพยายามไปให้ถึง ไม่ฝันลมๆแล้งๆไปวันๆ ลงมือทำเลย ชนะเลิศค่ะ จากคุณ : บลูบราร่า เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 18:59:54

ความคิดเห็นที่ 89 อีกนิดครับ ความรักมันต้องเดินไปด้วยกันนะ ค่อยๆ เดินไปพร้อมกัน มันถึงจะเรียกว่าชีวิตคู่ แบบร่วมทุกข์ร่วมสุข คุณเล่นเอาทุกข์มาไว้กับตัวเองคนเดียว อะไรก็ได้ ยังไหว แต่แฟนคุณแค่มองกลับมาเขาก็เห็นละว่าคุณไม่มีความสุข เขาก็ไม่มีความสุขตามไปด้วย แต่ถ้าตอนนี้ คุณได้ลองปรับแล้ว ก็ดีครับ และพร้อมที่จะเดินไปพร้อมๆกัน แบบเท่าเทียม แบบแชร์ชีวิต แชร์ความสุขความทุกข์ คุยกันเยอะๆ คิดด้วยกันเยอะๆ เพราะสิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่แค่เพื่อคุณคนเดียว มันคือคำว่า "เรา" ไปถึงช้าหน่อยก็ได้นะ เพราะถ้ายังไงเราชัวร์กะคนนี้แน่แล้ว ไม่มีไรต้องกลัวนิครับ ไม่เห็นต้องรีบผูกมัด :) ขอให้คุณไปถึงจุดหมายนั้นอย่างมีความสุขครับ จากคุณ : ซาเวีย เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 19:02:41

ความคิดเห็นที่ 90 ผมกับเจ้าของกระทู้ตรงกันข้าม กันทุกประการทั้งปวงเลย ผม 29 จะ 30 ชีวิต ถือว่าชีวิตมีครบทุกอย่าง การงาน การเงิน พ่อแม่ครอบครัวที่อบอุ่น ไม่เดือดร้อน ไม่ต้องดิ้นรน ไปเที่ยวไปกิน ชนิดแบบราคาไม่ต้องคำนึง ถ้าเพื่อนไปก็ไป เมืองนอกเมืองนาไม้เว้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่มีเลย ก็คือความรักนะ ผู้หญิงที่อยากจะแต่งงานด้วย ผมก็ไปคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เขาก็ไงไม่รู้ผมก็ดูเขาไม่ออก ถ้าผู้หญิงคนนี้เขาโอเคกับผมนะ ผมแต่งเลยนะแต่ก็มีเหตุบางอย่างทำให้ห่างกันออกไป ผมก็รับเขาได้นะทั้งๆที่เขาก็ชอบเที่ยว ชอบดื่ม สูบบุหรี่ด้วย แต่ผมก็รับได้ทุกอย่าง ผมไม่สูบ ไม่ดื่ม ชอบพาเขาไปเที่ยว ผมเลยคิดว่า ถ้าผมอายุ 32 แล้วยังโสด ผมขอไปใช้ชีวิตคนเดียวที่เมืองนอกดีกว่า จากคุณ : Le droit เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 19:14:55

ความคิดเห็นที่ 91 เห็น จขกท. แล้วเครียดแทนเลยนะครับ จริงแล้ว การแต่งงานมันคือจุดเริ่มต้น ต่างหากนะครับ ผมเห็นมาก็มาก  หวังมาก  รับไม่ได้  เสียคนไปก็เยอะแล้ว  อยากให้พบสายกลางดีใหมครับ  เงินคือทุกอย่างแต่ไม่ไช่ทุกสิ่งนะครับ ลองวันนึง เมื่อมันไม่ดำเนินไปตามที่หวังไว้หละ ? คุณมีแผน 2 แผน 3 ยันแผน 75895 หรือไม่ ผมมองว่า จขกท เป็นคนเก่งนะครับ แต่อย่าลืมแบกเป้ไปด้วยนะครับ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติสนิท  มิตรสหาย  ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ  ทางเลือกที่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ หรือวันหนึ่ง จขกท อาจเป็น SME ตีแตก หาเงินได้เดือนละหลักล้านตอนอายุไม่ถึง 30 ก็เป็นได้ ใครจะรู้เพราะเพื่อนผมก็ทำได้ไปแล้ว !!! ขอให้สมหวังนะครับ จากคุณ : พี่หมี (meecom) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 19:25:52

ความคิดเห็นที่ 92 “จุดหมายไม่สำคัญเท่าการเดินทาง” (แจ๊ค สแปร์โรว) จากคุณ : pilioly เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 19:42:15

ความคิดเห็นที่ 93 จขกท.เก่งมากค่ะ ถ้าให้สามีเราทำแบบจขกท.เราก็ไม่ยอมแน่ๆ สงสารเขาอะ แรกๆอาจแค่พิสูจน์ความตั้งใจ และความจริงใจ แต่ก็คงจะบอกว่าพอเถอะ แค่นี้ก็ปลื้มใจแล้ว เรากับสามีรู้จักกันมา 10 ปี เป็นแฟนกันจริงจัง 2 ปี เขาเริ่มออกมาหางานทำตอนนั้น จากเดิมที่ทำงานอยู่ที่บ้านเป็นโปรแกรมเมอร์ พ่อแม่สามีอยากให้เขาออกมาหางานทำมากกว่าอยู่ที่บ้านทำงาน เพราะรายได้ไม่แน่นอน เขาก็ยอม เพราะอยากแต่งงาน แต่เราโชคดีที่พ่อแม่สามี พอมีฐานะอยู่บ้าง พ่อแม่เราจ่ายค่างานหมั้น พ่อแม่เขาจ่ายค่างานแต่ง แล้วพ่อแม่เขาก็ให้บ้านมา 1 หลัง รถ 1 คัน พ่อแม่เราก็ให้ทองมาเก็บ ชีวิตเราจึงไม่ลำบากมากมายอะไร ตัวสามีก็ทำงานไป เราก็เก็บบัตรเอทีเอ็มไว้ อิอิอิ ถ้าคุณจขกท.ทำในสิ่งที่ทำอยู่แล้วมีความสุขจากใจจริง ก็ทำไปเถอะค่ะ ชีวิตชีวิตมัน จะบอกว่าผิดหรือถูกก็ไม่ได้ แต่อยากบอกว่า รักษาสุขภาพบ้างนะคะ จากคุณ : a pinky pig เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 20:12:41

ความคิดเห็นที่ 94 หาเวลาไปเที่ยว พักผ่อน บ้างนะคะ เห็นทำแต่งานๆ ^^ จากคุณ : *ก็ชั้นนี่แหละนะ* เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 20:23:24

ความคิดเห็นที่ 95 อย่าให้เงินอยู่นิ่งๆ ครับ มีเงินให้ดูจังหวะดีๆ หากทองลง ซื้อทองแท่งเก็บไว้ แท่งละบาท มีมากซื้อ 10 บาทเลย รับรองคุ้มครับ ทองขึ้นทุกปี ปีที่ผ่านมาขึ้นมาบาทละหลายพัน เสี่ยงน้อยกว่าหุ้น ผลตอบแทนดีกว่ากองทุนรวม ไม่เสียภาษี แถมเอาไปเป็นสินสอดได้ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 54 20:27:35 จากคุณ : Yippie เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 20:26:23

ความคิดเห็นที่ 96 กิน+เที่ยวบ้านนะคะ  หาความสุขใส่ตัวบ้าง จากคุณ : ขวานฟ้าหน้าแดง เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 20:34:22

ความคิดเห็นที่ 97 เราว่าโดยพื้นฐานของเจ้าของกระทู้ เป็นคนขยัน ทะเยอทะยาน ชอบวางแผน ทำตามเป้าหมาย ทำอะไรทำให้ดีที่สุด อยู่แล้ว   เราก็เลยคิดว่า ที่เขาทำอยู่ตอนนี้ ถ้าแฟน+คนในครอบครัวเข้าใจ ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรเลย  เพราะตัวเขาเองรู้สึกมีความสุข และภาคภูมิใจกับการกระทำดังกล่าว ถ้า จขกท. มีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว เขาจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์ในการที่ต้องทำงานหนัก เพื่อหาเงิน เพราะเขารู้สึกเป็นสุขเมื่อได้ทำงาน +ผลลัพธ์ออกมาตามเป้าหมาย ดังนั้น สิ่งที่ต้องห่วง มีอย่างเดียว  เรื่องเวลาที่ให้แฟน+ความเอาใจใส่พ่อแม่+แฟน และเรื่องสุขภาพ นอกนั้นเราว่าไม่น่าเป็นห่วงนะ   ส่วนคำที่บ่นว่าเครียด ๆๆ   มันคือ คำบ่น  เหมือนกับว่า การกังวล ว่าผ่อนไหวมั้ยเนี่ย จะมีเงินล้านตอนไหนเนี่ย   แต่พอเขาเห็นเสาบ้าน ขึ้นโครงหลังคา  เขาก็หายเครียด   แต่จะเครียดไปเรื่อยๆ แล้วก็หายไปเรื่อยๆ   ยังไง จขกท. ก็ฟังเพื่อนๆในนี้บ้างนะ  เพราะที่เขาพูด เพราะเขาเป็นห่วง และไม่อยากให้พลาดในการแสวงหาความสุขในวัยนี้   และก็อยากบอกว่า  บางทีที่แฟนคุณบอกว่า เขาไม่อยากได้  นั่นอาจจะแปลว่าเขาไม่อยากได้จริงๆนะคะ    เพราะเราก็เป็นบ่อยนะ  ตอนที่ไม่อยากได้จริงๆ แต่แฟนเข้าใจไปเองว่าที่ไม่อยากได้เพราะกลัวเขาลำบาก   เป็นกำลังใจให้นะ  อย่าลืมเรื่องสุขภาพเชียว จากคุณ : Sparking Gunner เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 20:54:41

ความคิดเห็นที่ 98 อยากให้เจ้าของกระทู้   หยุดคิดซักนิด   ว่า ผู้หญิง คนที่เราจะแต่งงานด้วย  นั้น  จะเลือก ข้อ 1 หรือ 2 1.  ยอมลำบากกับ จขกท.   2.  ยอมสบาย กับ จขกท. ถ้าเลือกข้อ 1  ผมยินดีกับ จขกท. ด้วย  คุณได้แฟนที่ วิเศษ ยิ่ง ถ้าเลือกข้อ 2  ผมก็ยินดี กับ จขกท.ด้วย ที่ คุณ เป็นแฟนที่ วิเศษ ยิ่ง จากคุณ : บ้านนี้มีแต่รัก เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 20:56:13

ความคิดเห็นที่ 99 คำสอนนี้เตือนใจเราเสมอค่ะ จากคุณ : ปริศนาไขกระจ่างแล้ว เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 20:59:50

ความคิดเห็นที่ 100 สุขภาพและความสุข บางทีเงินก็ซื้อไม่ได้ คุณทำงานหนัก ๆ เครียดแยะ ๆ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ  ร่างกายมันจะฟ้องตอนวัยสี่สิบกว่าหล่ะค่ะ เรากะสามีเริ่มมาด้วยปริญญากันคนละใบ ไม่มีเงื่อนไขว่าต้องนั่นนี่ สุดท้ายมันมาเองค่ะมากมายเสียจนคิดว่า ลมหายใจสำคัญที่สุดละ อย่างอื่นไม่ต้องไปตะเกียกตะกายมากหรอก ตอนนี้อยากสุขภาพกายใจดี ๆ อยู่กะคนที่รักไปนาน ๆ แค่นั้นเอง แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 54 21:01:54 จากคุณ : NN2704 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 21:01:09

ความคิดเห็นที่ 101 จขกท. ถ้าวันใด หากมีอ่ะไรผิดพลาดหรือล้มเหลว อย่าลืมหันกลับมามองและคิดถึงความคิดที่เริ่มต้นชีวิตในวันนี้นะ จากคุณ : member no.805 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 21:16:10

ความคิดเห็นที่ 102 เหอะๆ ชื่นชมมากกก อยากได้สามีแบบนี้บ้าง แต่ในชีวิตจริง ไม่ใช่เลย... คนเราจะรักกัน จะอยู่ด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่ต้องทำให้ได้ คือ เดินไปพร้อมๆกัน... ทุกข์ หรือ ลำบาก ก็ต้องร่วมด้วยช่วยกัน.... ไม่ใช่จะหวังแค่ สุข โดยไม่คำนึงถึงอีกฝ่าย.... แล้วถ้าหากวันหนึ่ง เกิดทุกข์ แล้ว ลำบาก จะทนได้ไหม... เพราะไม่เคยร่วมหัวจมท้ายกันมาก่อนเลย... (อันนี้ กรณีที่ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง) นะคะ อีกอย่าง ตอนที่เราจะเก็บเงินทำอะไรสักอย่าง คนแรกที่คิดถึงคือ   พ่อ หรือ แม่ หรือ ลูก  ไม่เคยนึกถึง สามีเป็นคนแรกเลย อย่างตอนนี้จะซื้อบ้าน คิดแค่ว่า อยากให้พ่อให้แม่ได้อยู่สบายๆ อยากมีทรัพย์สินไว้ให้ลูก พี่ชายเรา เป็นประมาณนี้ เพื่อผู้หญิงทำได้ เพื่อ พ่อ แม่ เหรอ หึ หึ ถ้าไม่มีประโยชน์ไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็นเลย นอกจากเวลาเงินหมด ล่าสุด ส่งผู้หญิงเรียน แต่ลูกตัวเอง ให้แม่ส่งเรียน เห้ออออ จริงๆเร้ยยย (แอบนอกเรื่องอะ) ยังไง ก็ต้องยกนิ้วให้ถึงความพยายามที่เป็นเลิศ ของ จขกท นะคะ แต่ อยากให้คำนึงถึงคนที่รักเรา และดูแลเรามาตลอดชีวิตด้วย ค่ะ จากคุณ : dady_mim (Dady_mim) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 21:36:47

ความคิดเห็นที่ 103 กลับมาเล่าต่อเถอะค่ะ.... นะนะ จากคุณ : Toom-bs เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 21:48:50

ความคิดเห็นที่ 104 ทำทุกอย่างเพื่อหญิงที่ตนรัก... ประทับใจจัง สิ่งที่ตัดสินใจทำไปแล้ว ก็สู้ๆนะ เป็นกำลังใจให้ สิ่งที่คิดจะทำต่อ ก็ปรึกษาแฟนกับแม่ด้วย เพราะเขาต่างก็รักคุณ ไม่อยากให้คุณเหนื่อย จากคุณ : เจี๊ยบ (SSL) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 21:51:55

ความคิดเห็นที่ 105 มานั่งอ่านของตัวเองย้อนหลัง แล้วดูมันมั่วๆยังไงไม่รู้นะครับ เอาเป็นว่าตอนเขียน ลำดับเรื่องอะไรได้ ก้อเขียนไปตามนั้นเลยครับ ไม่ได้วางแผนอะไรไว้ล่วงหน้าเลย ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะครับ เรื่องเหนื่อย อันนี้ต้องยอมรับครับ ว่าเหนื่อย แต่สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ ต่างกับตอนแรกครับ เพราะผมรู้สึกว่าเหนื่อย แต่มีความอิ่มเอิบใจมากขึ้นครับ ความเครียดในอดีตที่เคยเจอมา อย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ครับ ว่าต้องจัดการยังไงกับมัน ทำยังไงเราถึงจะไม่เครียด เรื่องที่บอกว่าจะเอาแม่มาอยู่ด้วย หลายคนสงสัยครับ ว่าคุยกับแฟนแล้วหรอ?? อันนี้คุยแ้ล้วครับ และผมคิดเลยว่า ถ้าผู้หญิงคนไหนที่ผมรัก เค้าก้อต้องรักที่บ้านผมด้วยครับ เรื่องนิสัย อันนี้ยอมรับเลยครับ ว่านิสัยผมเป็นคนแบบนี้จริงๆ อาจจะเป็นเพราะผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับการวางแผนชีวิต อะไรทำนองนี้ เยอะด้วยครับ หลายๆอย่าง ยอมรับครับ ว่าหลายๆเรื่องก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไปครับ หลายเรื่องต้องเรียนรู้จากปัญหาที่เราเองไม่เคยเจอมาก่อนครับ อีกเรื่องครับ จากเดิม เป้าหมายที่ผมตั้งไว้ ว่าต้องเหนื่อยถึง 4 ปี ตอนนี้คงเหลือ ไม่ถึง 10 เดือนแล้วครับ สำหรับตัวผม ผมว่ามันคุ้มค่าครับ เกือบทุกอย่าง ดีกว่าที่ผมคาดไว้เยอะมากครับ วิธีการเก็บเงินของผม ขอแชร์สั้นๆครับ ผมจะใช้วิธีการเขียนเป้าหมายหลัก ของสิ่งที่ผมต้องการ แล้วเขียนเป้าหมายย่อยๆ วิธีการที่จะต้องเดินไป ลงในกระดาษครับ แล้วติดไว้ที่หัวนอน เพราะผมคิดว่าทางเดินนี้ มันไม่ใช่วันสองวันครับ ถ้าเราไม่ทำอะไรเตือนเราไว้ เราอาจจะหลงทางได้ แล้วผมก็จะคอยบันทึกครับ ว่าเดือนนี้เป็นยังไง ทำได้แค่ไหน เป้าหมายที่ว่า ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียวนะครับ เช่น ผมเคยคิดว่า เดือนนี้ทั้งเดือน เราจะไม่ทำให้แฟนเรา กับที่บ้านเรา ไม่สบายใจครับ อันนี้เป็นต้น ขอบคุณทุกๆความเห็นอีกครั้งนึงนะครับ ไว้เรื่องราวต่อไป ถ้ามีเวลาจริงๆ จะมาแชร์ให้ฟังครับ จากคุณ : kl_sn (kl_sn) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 22:54:44

ความคิดเห็นที่ 106 ยังอ่านไม่จบ อ่านถึงแค่ความเห็นทที่ 45 ผมอยากบอกว่า หัวใจพี่หล่อมากก ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวเพื่อคนที่เรารัก จากคุณ : Honza_Like a ku เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 23:30:44

ความคิดเห็นที่ 107 จาก 4 ปี เหลือไม่ถึง 10 เดือน O_o สวดดดยวดดดดดดดด แชร์ให้มนุษย์เงินเดือนอย่างผมๆ ฟังหน่อยก็ดีนะครับว่าทำยังไง อยากมีเงินล้านในเวลาปีกว่าบ้าง 555 แถมยังต้องเจียดเงินซื้อบ้านไรอีก ถ้าเฉลยออกมาเป็นพวก working@home เหมือนใน fwd mail ที่รายได้เป็นแสนต่อเดือน หรือขายตรงล่ะก็ ฮาตรึมแน่ 5555555 ล้อเล่นนะครับ :P จากคุณ : ซาเวีย เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 23:36:37

ความคิดเห็นที่ 108 ชอบมุมมองจขกท.นะ สมัยเราอายุเท่าคุณเรายังไม่เคยคิดถึงอนาคตเลย มีแค่อยู่ไปเรื่อยๆวันๆ ง่ายๆสบายๆ ถามว่าสุขไหมมันก็สุขนะ แต่พอมองย้อนกลับในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลายๆอย่างที่เรามีโอกาสทำแต่กลับไม่ทำ ถึงจะไม่เสียดายเวลาที่ผ่านไป แต่ถ้าเรามีลูก เราจะสอนให้เขาใช้ชีวิตแบบมีเป้าหมาย เพื่อจะได้มีแรงกระตุ้น มีความฝันมีเป้าหมายเป็นเรื่องที่ดีค่ะ ด้วยวัยจขกท.อาจจะทำอะไรที่สุดโต่งไปบ้าง แต่คิดว่าอีกไม่กี่ปีก็จะเข้าใจอะไรๆเอง จากนั้นชีวิตและความคิดก็จะช้าลงไปเอง ไม่มีใครในนี้รู้ดีเรื่องคุณและแฟนมากไปกว่าคุณทั้งคู่ คุณเองก็เป็นคนมีความคิดคนหนึ่ง การที่เลือกผู้หญิงคนนี้เขาก็ต้องดีสำหรับคุณแน่ๆ และสิ่งที่คุณทำเรามองว่าประโยชน์ตกอยู่ที่คุณทั้งนั้น แม้ว่าเป้าหมายคือเพื่อได้ใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงคนหนึ่งแต่สิ่งที่คุณกำลังสร้างอยู่คือการเก็บเงิน การซื้อบ้าน การเปลี่ยนงาน ซึ่งได้ประสบการณ์ที่โตขึ้นและจะต่อยอดไปในอนาคต ต่อให้วันข้างหน้ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลง แต่3สิ่งที่คุณบรรจงสร้งมามันก็ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน สู้ๆค่ะ อย่าตึงอย่าหย่อนเกินไป จากคุณ : จะเอาอะไรกับลมปาก เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 54 00:14:20

ความคิดเห็นที่ 109 อ่านแล้วก็อึดอัดแทนครับ แต่ยอมรับว่า จขกท.มีความพยายามมากๆ... ผมอ่านบางความเห็นที่พูดเกี่ยวกับว่า จขกท.ตั้งเป้าเกินไปมั่งล่ะ เกินตัวมั่งล่ะ.. ผมมองว่ามันเป็นวิธีที่ดีนะ แต่ไม่กับทุกคน ^^" เหมือนแบบว่าเราจะทำอะไรให้สำเร็จ บางทีหรือบางคนต้องมีอะไรบังคับหรือกดดันบ้าง เพื่อที่จะได้ตามเป้าหมาย เหมือนเป็นการสร้างวินัยทางหนึ่ง.....จะทำได้ตามที่ตั้งหรือป่าวอันนี้ก็ไม่อาจรู้ได้เพราะมันคืออนาคต!!! แต่อย่างที่บอกครับว่ามันใช้ไม่ได้กับบางคน..... จากคุณ : INTy เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 54 00:44:22

ความคิดเห็นที่ 110 จขกท. มีความทะเยอทะยานแบบเด็กๆ เชื่อว่า...กระทู้นี้ไม่ได้หวังขอคำปรึกษา เพียงแค่อยากเล่าสู่กันฟัง ไม่ได้สนใจคำทัดทาน หวังเพียงคำชื่นชมและการยอมรับเท่านั้น เพราะคุณมั่นใจตัวเองมาก ถึงมากที่สุด แต่ยังไงก็ขอให้โชคดีครับ จากคุณ : หนุ่มกรุง เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 54 00:50:55

ความคิดเห็นที่ 111 เอาใจช่วยเจ้าของกระทู้ค่ะ ถ้าอ่านความคิดเห็นไหนแล้วท้อ ก็ปล่อยๆ ไปเถอะค่ะ บางคนก็ตัดสินคนทั้งชีวิต จากแค่ตัวหนังสือไม่กี่ตัว ซึ่งบางคนที่ทำแบบนั้น คุณค่าของชีวิตเขาอาจไม่เท่าเจ้าของกระทู้ด้วยซ้ำ ขอนับถือความตั้งใจและการวางแผนของคุณมากๆค่ะ ใครจะว่าตึงอะไรไป ก็อย่าอ่านแล้วไปเครียดตาม เพราะคนที่รู้ดีที่สุดก็คือ จขกท เพราะตลอดเวลาที่เล่า เมื่อคุณมองย้อนกลับไป ก็เห็นคุณบอกว่า แบบนี้ไม่ดี แบบนี้ไม่ควรทำ แปลว่าคุณรู้ตัวอยู่แล้ว ขอให้ภูมิใจ ถ้าใครจะว่าคุณว่า อายุแค่ 24 แต่วางแผนมากไปไหม กดดันตัวเองไปไหม ดีกว่าให้ใครมาว่า อายุ 24 แล้ว แต่ยังทำไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้เลย เก็บเงินไม่เป็น ไม่เคยวางแผนการใช้จ่าย และ...ไม่เคยวางแผนอนาคต ยังไงเสีย ต่อให้สุดท้ายผลจะออกมาเป็นยังไง บ้านก็ยังเป็นของคุณ และราคาก็จะขึ้นต่อไปในอนาคต มันก็คือการลงทุนรูปแบบหนึ่ง ขอนับถือค่ะ ตอนเรา 24 ยังไม่เคยคิดอะไรได้เท่านี้เลย ส่วนใครที่ว่าเจ้าของกระทู้โรคจิต ช่วยมองกลับตัวเองก่อนดีไหม ว่าควรเรียกอาการที่ตัวเองเป็นอยู่ว่าอย่างไร ที่เที่ยวไปว่าคนที่เขากำลังถ่ายทอดประสบการณ์ การวางแผนชีวิต แชร์สิ่งดีๆ ให้คนอื่นว่า...โรคจิต จากคุณ : Glitter Maker เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 54 01:12:40